นางฟ้าเปื้อนเลือด(แฟนตาซี) ตอนที่ 2

กระทู้สนทนา
วันรุ่งขึ้นเฟเรซิสตื่นด้วยอาการเมาค้างเนื่องจากกินเหล้ากับเพื่อนใหม่เยอะไปหน่อย ปีกสีขาวกางๆหุบๆอย่างเกียจคร้าน วันนี้นางต้องไปสืบในย่านสลัมของเมืองท่าเรือแห่งนี้ พวกปิศาจบางชนิดก็เข้ากับคนได้แต่บางชนิดก็ไม่ และน่าแปลกใจที่พวกที่เข้ากับคนได้มักอยู่ตามสลัมของเมืองต่างๆ ใช้ชีวิตเป็นกลุ่มเป็นฝูงของตัวเอง ถ้ามีการสมคบกับเพื่อล้มทวีปเทพแหล่งชมรมต้องอยู่ในเขตสลัมแน่ๆ
 
            เมืองท่าเอสคอร์นี้มีสลัมอยู่ทางใต้ซี่งเป็นถิ่นโจรสลัด ไม่ใช่ที่ๆพวกสายเลือดเทพจะย่างกรายเข้าไปโดยง่าย หากจะเข้าไปดูคงต้องบินเหนื่อยหน่อย เฟเรซิสคิดขณะทานปลาเป็นอาหารเช้า หรือนางควรไปสอบถามกับจุดบริการนักท่องเที่ยวในตัวเมืองว่าสามารถเข้าไปในฐานะนักท่องเที่ยวได้หรือไม่
 
            พอคิดอีกครั้ง ตอนนี้นางมาในคราบนักท่องเที่ยวนี่ ก็ต้องแสดงให้สมบทบาทสักหน่อย
 
            “เข้าไปเที่ยวชมได้สิแม่นาง” พนักงานการท่องเที่ยวประจำเมืองบอกอย่างร่าเริง “เมืองเราจัดทัวร์เข้าไปเที่ยวชมวันละสามรอบ อีกครึ่งชั่วโมงรถทัวร์รอบเช้าจะออกแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางจะไปด้วยหรือไม่”
 
            นักดาบสาวรีบจองที่บนรถท่องเที่ยวทันที
 
            “เจอกันอีกแล้ว เฟเรซิส” พอลไลน์เพื่อนดวลเหล้าของนางก็อยู่บนรถท่องเที่ยวเหมือนกัน
 
            “เมื่อวานข้าขอโทษที่เสียมารยาท ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าอยากให้ข้าแต่งงานเร็วๆ พอเมาได้ทีก็เที่ยวจีบคนโน้นคนนี้มั่วไปหมด” พีเตอร์เพื่อนของพอลไลน์ขอโทษอย่างเป็นกันเอง
 
            “อย่างนั้นก็เลี้ยงเหล้าข้าสิ เห็นอย่างนี้ข้าชอบเหล้ามากกว่าอาหารสามมื้อเสียอีก” เฟเรซิสตอบแล้วเดินหาที่ว่างนั่ง “แล้วนี่จะไปเที่ยวถิ่นโจรสลัดเหมือนกันหรือพอลไลน์”
 
            “ท่านนี่แปลกนะเฟเรซิส คนอื่นๆเขาออกเสียงชื่อข้าเป็นพัวร์รีนกันหมดยกเว้นพ่อกับแม่ข้ากับหมอนี่ ถูกล้อตลอดเลยเรื่องชื่อเหมือนผู้หญิง”
 
            “ข้าก็ถูกล้อเรื่องปีกสีขาวนี่เหมือนกัน” นักรบสาวชี้ไปที่ปีกข้างหนึ่งของตน “มันไม่เป็นปัญหาเท่าไรหรอก แค่รำคาญใจน่ะ”
 
            “ข้าไม่เคยเห็นเผ่าเทพที่มีปีกสีขาวมาก่อนเลย พนันได้ว่าท่านต้องพิเศษ”
 
            “สายตาสั้นเป็นพิเศษน่ะสิ” แล้วทั้งสามคนก็หัวเราะ...
 
 
            สลัมของเอสคอร์อยู่ในเขตท่าเรือร้างที่เหล่าโจรสลัดใช้เป็นที่ซ่องสุม โจรสลัดพวกนี้ประกอบไปด้วยเผ่าเทพหัวแข็ง มนุษย์ธรรมดา และเผ่าพันธุ์อื่นอีกเล็กน้อย เกือบทั้งหมดยึดเอาโกดังสินค้าร้างเป็นที่อยู่อาศัยและต่อเรือขึ้นมา ดูเหมือนอันตรายทว่าเหล่าโจรสลัดในแดนเทพล้วนตกลงกันว่าจะทำร้ายเฉพาะเรือเท่านั้น พวกเขาต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทางบกอย่างครึกครื้นแต่จะดุร้ายกับเรือสินค้าที่เข้าปล้นบนผืนน้ำ ด้วยเหตุนี้ทำให้มีรถลากพาคนมาท่องเที่ยวทุกวัน  
 
            แม้แต่ประธานสมาคมโจรสลัดยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ ว่าเหตุใดพวกโจรสลัดในแดนเทพจึงไม่เลิกปล้นชิงเรือในฐานะโจรสลัดในเมื่อการท่องเที่ยวทำรายได้มากกว่า หรือการเป็นโจรสลัดคือจุดขายของพวกเขาที่ใช้ดึงดูดนักท่องเที่ยว ทางกองทัพเรือประเทศต่างๆก็แทบไม่มีเหตุผลให้เข้ามาปราบปราม เพราะเหยื่อจากบนน้ำสามารถเข้ามาเล่นพนันบนบกเพื่อไถ่เอาสินค้าคืนได้ ประกอบกับมีกฎห้ามฆ่าคน ทำให้ไม่มีใครคิดเอาความจริงๆจังๆ
 
            ตอนนี้เฟเรซิสเดินดูโกดังที่เหล่าโจรสลัดกลุ่มต่างๆใช้เป็นฐานที่ตั้งอย่างเปิดเผย มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำมะพร้าวหวานที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ มีพอลไลน์กับพีเตอร์มาร่วมเดินเที่ยวไปด้วย
 
            “ข้ารู้สึกถูกชะตากับท่าน เฟเรซิส ดังนั้นเรามาเดินเที่ยวด้วยกันเถอะ” พอลไลน์พูดกับนางอย่างนี้หลังจากคุยกันได้สักพัก เป็นครั้งแรกที่เฟเรซิสมีเพื่อนเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่นางไม่ได้รังเกียจพวกเขาเลย
 
            “ตรงนั้นเป็นโซนขายของที่ระลึก ไปดูกันไหม” พอลไลน์ชวนเพื่อนกับหญิงสาวไปดูแผงขายของที่ระลึกจำพวกลูกมะพร้าวแกะสลักหรือสัตว์ทะเลสตัฟฟ์ ผู้ขายเป็นเผ่าปิศาจน้ำที่พอพูดคุยติดต่อกับมนุษย์ได้บ้าง
 
            “เราน่าจะต่อราคาได้บ้างนะ คนขายเป็นปิศาจนี่นา” พีเตอร์เปิดประเด็นขึ้น
 
            “เป็นเผ่าปิศาจใช่ว่าจะมีแต่ผู้ร้ายนี่ ข้าเคยรู้จักเผ่าปิศาจที่ทำไร่ไถนาเหมือนคนเราด้วย” พอลไลน์พูดขณะรอผู้ขายแพ็คของใส่กล่องอย่างดี เฟเรซิสก็ได้ของฝากเป็นลูกมะพร้าวแกะสลักเป็นรูปมังกรกับคลื่นทะเลด้วย
 
            “ใช่แล้วพีเตอร์ ปีศาจดีๆก็มี...หรือท่านพ่อค้าจะแอบรวบรวมกำลังปิศาจเอาไว้ล้มทวีปเทพ” เฟเรซิสแกล้งพูดเล่นๆแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอย่างร้อนรนจากพ่อค้าที่ตัวเต็มไปด้วยครีบปลา “ไม่ใช่หรือ ข้านี่ก็พูดไปสองไพเบี้ยนิ” เฟเรซิสขอโทษท่านพ่อค้าที่พูดอะไรเพี้ยนๆออกไป 
 
            “เป็นอาการระแวงปกติของพวกเผ่าเทพหรือ” พอลไลน์ถาม เฟเรซิสพยักหน้าแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน
 
            “เป็นมุกตลกร้ายของพวกเราน่ะ” 
 
            “แล้วไปไหนต่อดี อีกสักพักกว่ารถเที่ยวกลับจะออก” พอลไลน์เสนอให้เข้าบ่อนพนันใกล้ๆ
 
            เฟเรซิสใช้เวลากว่าชั่วโมงในการแอบตรวจสอบสถานที่ที่ใกล้แหล่งสลัมมากที่สุด เวทมนตร์ตรวจสอบการชุมนุมทางเวทมนตร์ของนางไม่บ่งบอกเลยสักนิดว่ามีพิธีกรรมต้องห้ามหรืออะไรประเภทนั้น 
 
            “พ่อข้าทำงานเกี่ยวกับพวกปิศาจ วิจัยเรื่องที่ว่าเผ่าปิศาจอาจอยู่กับเผ่าอื่นได้อย่างสันติ แต่ท่านตายไปแล้ว” พอลไลน์เล่าเรื่องพ่อของเขาให้เฟเรซิสฟัง “เผ่าปิศาจกินเนื้อมีแต่พวกกินพืชก็มีเหมือนกัน มีทั้งดีไม่ดี เหมือนมนุษย์และเผ่าเทพนั่นละ น่าเสียดายที่ตายไปแล้ว”
 
            ในวินาทีที่พอลไลน์พูดคำว่าตาย ดวงตาสีฟ้าของเขาดูแปลกไปวูบหนึ่ง เหมือนความแค้นที่ฝังแน่น พอพูดจบมันก็หายไป
 
            “เสียใจด้วยนะ คนดีตายไว” เฟเรซิสพูด พอลไลน์ตอบว่าไม่เป็นไรแล้วก็ชวนกันเข้าบ่อนที่อยู่ใกล้ๆ...
            
 
            เมื่อราตรีมาเยือน เฟเรซิสเตรียมตัวอยู่ในห้องพักแรม ปีกสีขาวถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินด้วยผงหมึกย้อมผ้า  นางแต่งกายสีดำรัดกุมเนื่องจากต้องไปคุยกับสายที่อยู่ในเมืองนี้ที่ร้านเหล้านอกตัวเมือง หญิงสาวมองปีกสีขาวด้วยความเบื่อหน่าย แค่มันมีสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาวคงไม่ต้องใช้ผงหมึกย้อมแบบนี้ แถมต้องเสียเวลาล้างอีกครึ่งค่อนวันกว่าจะกลับมาขาวเหมือนเดิม
 
            ร้านเหล้าล็อบสเตอร์ขี้เมาเป็นร้านหนึ่งในเมืองที่เปิดทั้งคืน หน้าร้านติดป้ายพร้อมรูปล็อบสเตอร์ตัวมหึมา ร้านเหล้านี้ขึ้นชื่อเรื่องเหล้าหมักผลไม้อ่อนๆสำหรับผู้หญิง จึงเป็นปกติสำหรับหญิงวัยทำงานอย่างเฟเรซิสจะเข้าไป นางนั่งลงบนโต๊ะในสุดที่นัดแนะกับสายและบริกรเอาไว้แล้ว
 
            “นั่นเจ้าหรอเฟเรซิส สีน้ำเงินเข้มแบบนี้สะดุดตากว่าสีขาวอีก” สายของกองทัพเทพเป็นปิศาจเผ่าที่กินพืช หนวดปลาหมึกที่ปิดหน้าถูกเปิดออกให้เห็นดวงตากลมโต
 
            “สีขาวคนมองเห็นได้ชัดกว่า เชื่อข้าสิ” เฟเรซิสพูดเคืองๆที่โดนดูถูกฝีมือปลอมตัว “สถานการณ์ของพวกปิศาจในเมืองนี้เป็นไงบ้าง”
 
            “เรียบลื่นยิ่งกว่าหนวดข้าอีก” สายพูด “เผ่าปิศาจแทบกลืนไปกับเผ่าเทพและมนุษย์ในเมืองนี้แล้ว อย่าว่าแต่วางแผนปฏิวัติเลย เรื่องเคืองใจแทบไม่มี จะมีก็แค่เรื่องนินทาลอยมาตามลมเท่านั้น”
 
            “เรื่องนินทาหรือ เมืองท่าเรือมีโจรสลัดแบบนี้คงมีเรื่องให้นินทาเยอะเลยล่ะสิ”
 
            “เยอะกว่าปุ่มหนวดข้าอีก” สายตอบ “เรื่องใหญ่ๆก็มีนะ เขาว่ามีเผ่าเทพที่ต้องการแต่งงานปิศาจด้วยละ อยากฟังไหม”
 
            เฟเรซิสไม่ค่อยมั่นใจว่าควรทำสีหน้าแบบไหน แต่ก็พยักหน้าว่าทราบแล้วว่าเมืองนี้สงบสุขจริงๆ
 
            “แล้วท่านโทนาชเป็นไงบ้าง...ข้าได้ข่าวว่าเขากำลังคิดการใหญ่ เสียแค่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร”
 
            “การใหญ่หรือ พวกทหารในแดนเทพคิดทำการใหญ่บ่อยกว่าทานอาหารสามมื้ออีก แค่คิดนะ” เฟเรซิสพูดโดยไม่หัวเราะเลย “แต่ลือกันในหมู่ปิศาจหรือ แปลกดี”
 
            “เรื่องแปลกๆก็มีแค่นี้ล่ะ นอกจากเจ้าอยากฟังเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับเผ่าเทพกับปิศาจที่จะแต่งงานกัน”
 
            แม้จะเป็นเพศหญิงแต่เฟเรซิสก็ไม่ได้รักใคร่เรื่องซุบซิบนินทาสักเท่าไรจึงปฏิเสธอย่างสุภาพ
 
            “อย่างนั้นก็พอแล้ว นี่ค่าข่าว” เฟเรซิสวางถุงทองลงตรงหน้าสายลับแล้วดื่มเหล้าหมักอึกใหญ่
 
            “ขอบคุณที่ใช้บริการ” 
            หนวดปลาหมึกเส้นหนึ่งยื่นออกมากวาดถุงเหรียญทองเข้าไปในร่างที่เต็มไปด้วยหนวด                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                      
 
            “ให้ข้าเลี้ยงเหล้าผลไม้หมักสักแก้วไหม แบบที่ผู้หญิงกินน่ะ ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้ามากกว่าแบบเข้มข้นที่กินอยู่”
 
            “ไม่ล่ะ เดี๋ยวต้องกลับไปทำความสะอาดปีกอีก คงกินเวลาสักครึ่งคืนกระมัง” เฟเรซิสถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเดินออกจากร้าน
 
            เมื่อเฟเรซิสเปิดประตูห้องนางก็พบกับกระดาษแผ่นหนึ่งถูกสอดผ่านช่องใต้ประตูเข้ามา ข้อความในกระดาษเขียนเอาไว้ทำนองว่าผู้บัญชาการโทนาชกำลังวางแผนร้าย ให้ระวังตัวเอาไว้ หญิงสาวชะโงกหน้าออกมามองทางเดินที่ไร้ผู้คน ใครก็สามารถเอากระดาษแผ่นนี้สอดใต้ประตูห้องนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องที่ขึ้นตรงต่อนางหรือไม่ก็ตาม  
 
            พอเดินจะเอากระดาษไปวางไว้บนโต๊ะนางก็เจอกับกระดาษจดข้อความอีกแผ่น คราวนี้นางมั่นใจว่ามาจากทหารลับที่ขึ้นตรงต่อนางจริงๆ เพราะในสารมีการลงชื่อเป็นรหัสเอาไว้ด้วย ข้อความในกระดาษเขียนเอาไว้ว่าให้นางระวังการลอบสังหาร
 
            ข้อความทั้งสองและข่าวจากสายยิ่งทำให้เฟเรซิสสงสัยในตัวผู้บัญชาการของนางมากขึ้น รวมถึงการสั่งให้นางออกไปจากศูนย์กลางด้วย
 
            ผู้บัญชาการโทนาชกำลังรวบรวมเหล่าปิศาจที่จับได้เพื่อทำบางสิ่ง เพียงแค่นางยังสืบไม่พบเท่านั้นว่าเขาต้องการทำอะไรกันแน่ ในเหล่าทัพที่นางสังกัดมีเพียงผู้บัญชาการคนนี้เท่านั้นที่นั่งเก้าอี้เหนือกว่านางอีกต่อหนึ่ง ตอนแรกที่นางทดลองให้คนของนางสืบเรื่องลับของโทนาชเล่นๆก็พบว่ามีอะไรแปลกๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ตอนนี้นางเริ่มมีความคิดผุดขึ้นมาว่าคนๆนั้นกำลังวางแผนร้ายต่อทวีปเทพอยู่
 
            เสียแค่หลักฐานอ่อนไปที่จะเอาผิดโทนาชได้ เฟเรซิสถอนหายใจ นางจำเป็นต้องเล่นไปตามเกมของอีกฝ่าย ออกตรวจสอบต่อว่าชายแดนทุกด้านสงบดีหรือไม่ แล้วปล่อยให้การตรวจสอบผู้บัญชาการเป็นหน้าที่ของหน่วยลับของนางเท่านั้น
 
            เฟเรซิสหยิบหวีหน้ากระจกแต่งตัวแล้วเดินไปห้องน้ำ ก่อนอื่นคืนนี้นางต้องจัดการปีกตัวเองเสียก่อน จะต้องใส่น้ำเต็มถังแล้วใช้มันร่วมกับหวีเพื่อให้ปีกกลับมาเป็นสีขาวเหมือนเดิม นางเอ่ยคำให้ไฟห้องน้ำสว่างขึ้นแล้วเริ่มงานทันที...
 
 (มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่