วิเรียนบอกเล่าความเคลื่อนไหวคร่าวๆของศูนย์กลางให้ฟังทันที ประกาศทำลายทีละเมืองของโทนาชสิ้นสุดแล้วเพราะแผนแตก ผู้อพยพย้ายเข้าสู่เมืองข้างเคียงเพื่อรับการปกป้อง เหล่าทหารถูกแบ่งตามลำดับความสำคัญตามจุดต่างๆ ภายใต้การดูแลของนางทุกอย่างสงบราบคาบต่างกับตอนเฟเรซิสเป็นผู้สั่งการ
“แล้วไม่มีใครพูดเรื่องที่มีคนตายเพราะข้าเลยหรือ” คนป่วยออกอาการวิตกออกมา
“มีบ้าง แต่ไม่มีใครไม่เคยทำพลาดนอกจากคนที่ไม่ทำอะไรเลย” วิเรียนปลอบ “ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าพลาดอีก ทวีปเทพปกครองด้วยระบบทหารตามคำขอของเสาค้ำจุนเพื่อปกป้องชีวิตอื่นๆทั่วเอนโวลา แม้หน้าที่ของเจ้าจะอยู่แค่ทวีปเทพแต่ถ้าผู้คนรวมตัวกันเพราะความข้องใจก็มิสิทธิ์โดนเตะออกเหมือนกัน”
ผู้รักษาการตำแหน่งผู้นำนิ่งอย่างสำนึกผิด หลังจากนี้นางจะต้องรอบคอบมากขึ้น
“อิลซานอร์กับมิเลนนัสได้รับการคุ้มครองสูงสุด คนอื่นรู้แค่นั่นเป็นศูนย์รวมคนในทวีปและจุดล่อแหลมต่อเหตุร้าย” วิเรียนบอกเล่าต่อว่าวางแผนไว้ว่าอย่างไร “ตอนนี้เราต้องเงียบรอโทนาชก่อนจึงค่อยเคลื่อนไหว บุ่มบ่ามไปมีแต่จะเป็นรอง”
“ช่วยเป็นที่ปรึกษาระหว่างนี้ได้ไหมวิเรียน ข้ายังไม่อยากตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆหลังเรื่องผ่านมา” เฟเรซิสต้องการผู้ช่วยยามมีปัญหา ในอดีตโทนาชมาประชุมขอความเห็นเกี่ยวกับคำสั่งต่างๆประจำ แบบนี้คงคล้ายกันกระมัง
วิเรียนให้คำมั่นว่าจะคอยช่วยเหลือเต็มที่ ระหว่างพักรักษาตัวหญิงสาวจะได้รับเอกสารสรุปเรื่องทุกอย่างว่ากำลังทำอะไรบ้าง คนป่วยรู้สึกไม่ค่อยดีแต่ไม่มีทางเลือกนอกจากให้วิเรียนใช้ความละเอียดรอบคอบช่วยอีกต่อหนึ่ง
“ฝ่ายพยาบาลรายงานการรักษาแล้ว กระดูกปีกหักหลายแห่งต้องใช้เวลาฟื้นตัว น่าแปลกที่มีเพียงปีกกับปอดที่เสียหายหนัก...ขอบคุณความทรหดของเผ่าเทพเสีย หากเป็นมนุษย์คงอาการหนักเพราะปอดฉีกไปข้างหนึ่ง และข้าเชื่อว่าเจ้าต้องกลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้ง”
ว่าแล้ววิเรียนก็เรียกพยาบาลทหารมาอรรถาธิบายเกี่ยวกับอาการปอดฉีกหรือมีแผลที่ปอดว่าการรักษาค่อนข้างซับซ้อน ตอนนี้หญิงสาวต้องใส่สายหนังระบายลมกับเลือดจากปอดข้างที่ถูกยิง หลังผ่าตัดสักสัปดาห์อาการโดยรวมจะดีขึ้นแต่มันส่งผลกระทบระยะยาวเพราะโดนจุดสำคัญ หากร่างของนางไม่สามารถฟื้นตัวได้ดังเดิมอาจต้องออกจากทหารเพราะไร้ประสิทธิภาพ
“ขอเวลาพักคนเดียวได้ไหม” ในหัวของเฟเรซิสเต็มไปด้วยอากาศเมื่อได้ยินว่าต้องเลิกเป็นทหาร
วิเรียนที่มักแสดงออกว่าเป็นห่วงพยายามปลอบทว่ากำแพงกั้นระหว่างทั้งคู่ใหญ่เกินไป นางบอกคนป่วยว่าจะหาคนคุยเล่นที่เหมาะสมให้ก่อนฝืนใจทิ้งหญิงสาวไว้คนเดียวบนเตียง...
คนที่วิเรียนส่งมาคุยเป็นเพื่อคือเลสลีย์ผู้ร่าเริงสดใสเสมอแม้จะชอบสีดำเป็นชีวิตจิตใจ เลสลีย์ผู้ห่วงคนอื่นแม้ไม่ค่อยรู้กาลเทศะพยายามบอกว่าเป็นคนธรรมดาก็ทำประโยชน์ได้ไม่ต่างกับทหาร
คนป่วยนั่งนิ่งราวอยู่ในห้วงความคิด แรกเริ่มเฟเรซิสอยากเป็นทหารเพราะเพื่อนของพ่อที่ทำงานรองผู้บัญชาการของศูนย์กลางอย่างยอดเยี่ยม เขามีชื่อเสียงเป็นผู้กล้าในกองทัพคอยทุ่มเทช่วยเหลือผู้คน ภรรยาของเขาเป็นทหารคนละหน่วยทว่าเสียชีวิตลงในการปะทะกับพวกยักษ์ นั่นทำให้ชายคนนั้นคัดค้านเรื่องการรับผู้หญิงเป็นทหาร
นางบาดเจ็บเพราะไปแตะเส้นต้องห้าม ไม่ใช่เพราะเป็นผู้หญิง ภรรยาของคนรับตำแหน่งก่อนหน้านางก็เช่นกัน เฟเรซิสบอกตัวเองอย่างนี้หลายครั้ง
“เมืองเกียนที่พวกเจ้าอยู่เป็นอย่างไรบ้าง” เฟเรซิสถามลอยๆระหว่างเลสลีย์เล่าเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต
หญิงสาวชุดดำพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นแล้วเริ่มเล่าเรื่องตระกูลที่แบ่งสายแยกฝักฝ่ายชัดเจน เฟเรซิสไม่รู้ว่าตนจะทนอยู่ในทวีปเทพโดยเฝ้ามองพวกพ้องเฉยๆได้หรือไม่ แม้ไม่นานหญิงสาวก็มีความสุขกับงานนี้ ทั้งการเรียนรู้เรื่องอาวุธ ยุทธศาสตร์กองทัพบางอย่างสามารถนำมาใช้กับการดำเนินชีวิตได้จริง และได้พบคนมากมายทั้งมิตรและศัตรู
“แล้วพอลไลน์เขาทำงานอะไรก่อนหน้านี้หรือ ข้าไม่เคยถามจริงจังเลย” อยู่ดีๆหญิงสาวก็อยากรู้เรื่องของพอลไลน์เสียอย่างนั้น
“เขาเตรียมเข้าเป็นครูสอนเวทมนตร์ในเมือง เป้าหมายของเขาคือล้างสมองเด็กในเมืองให้ละเลิกวิถีเก่าแก่ที่สอบทอดกันมา” เลสลีย์รับถาดอาหารเย็นจากพยาบาลแล้วจัดเตรียมช้อนกับส้อมให้คนป่วย
“ครอบครัวเจ้าล่ะ เราคุยกันทีไรก็มีแต่ของกินไม่ก็เรื่องงาน” เฟเรซิสมีความเชื่ออยู่บ้างว่าที่นั่นอาจต้อนรับนางเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง
“เปิดร้านอาหารในเขตผู้เรียกสัตว์ปิศาจ ข้ารับหน้าที่ส่งอาหารตามบ้านและซื้อวัตถุดิบ” เลสลีย์วางแก้วน้ำและเตรียมน้ำผลไม้ให้ “บ้านข้าไม่เคร่งธรรมเนียมเก่าแก่นักเพราะกลุ่มลูกค้าของเรากว้าง อย่างพัวร์รีนกับพีเตอร์ชอบสร้างปัญหาแต่เป็นลูกค้าชั้นดี พวกนั้นไม่เคยกินเชื่อเลยสักครั้ง”
“เจ้าเชื่อเรื่องนั้นมากแค่ไหน ผู้กล้ากับนักรบเทพ” เฟเรซิสมองอาหารเหลวสีครีมอย่างขยะแขยง นางไม่สามารถกินอาหารปกติได้เพราะต้องเตรียมผ่าตัดในอีกสองวัน คู่สนทนาส่ายหน้าสร้างความแปลกใจให้คนป่วยจนยกช้อนค้าง
“ข้าไม่สนหรอก รู้แค่ถ้าไปกับสองคนนั้นจะเรียกแขกให้ร้านได้เยอะแยะ ป่านนี้คนที่บ้านคงทำงานกันหัวหมุนกระมัง พ่อแม่กับน้องสาว นางยังเพิ่งสิบสี่เท่านั้น คนขี้เกียจอย่างข้าทำเพื่อธุรกิจได้แค่นี้ล่ะ หากรอดกลับไปได้คงมีคนรู้จักมากกว่านี้”
เฟเรซิสยิ้มได้เพราะความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรนางก็ไม่ควรจมกับความเศร้า
“ถ้าต้องออกจากงานขอไปอยู่ด้วยคนได้ไหม ในเกียนมีเผ่าเทพอยู่แต่ไม่สนิทกับพวกนั้น ลองทำงานร้านอาหารก็น่าสนุกเหมือนกัน”
“ข้ารู้จักนะ รานิสกับเฟอร์เน่ สองคนนั้นนิสัยใช้ได้ มาเป็นผู้ช่วยวิจัยเวทมนตร์อยู่หลายปีแล้ว” เลสลีย์ตั้งข้อสังเกตว่าพวกเผ่าเทพไม่มีชื่อสกุลเหมือนมนุษย์ “หลังเรื่องนี้คงดีหากมีคนมาช่วยงานที่ร้านฟรีๆ อาจแลกที่พักกับอาหารแต่คุ้ม”
สภาพจิตใจของเฟเรซิสดีขึ้นเพราะความมีชีวิตชีวาของคู่สนทนา หญิงสาวทานอาหารพร้อมชวนคุยเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนทั่วไป สาวชุดดำรีบเล่าเรื่องนิยายรักหวานเลี่ยนที่นางอ้างว่าเพื่อนทางจดหมายของพีเตอร์เป็นคนเขียน นั่นทำให้นางรบเร้าเขาให้เขียนไปถามข่าวเล่มใหม่เสมอ
เฟเรซิสไม่ใคร่สนใจกิจกรรมทั่วไปของผู้หญิงอย่าว่าแต่นิยายเลย บางทีหากอยู่กับเลสลีย์นานกว่านี้คงเป็นผู้หญิงแท้ๆได้กระมัง หญิงสาวตั้งข้อสงสัยในใจ
“ข้าไม่รู้เรื่องทหารพอๆกับชีวิตของพวกเผ่าเทพ” เลสลีย์ขอให้คนป่วยยอมให้ตนเก็บจานอาหารลงถาดเตรียมส่งคืนเอง “หากท่านคิดว่ามนุษย์น่าสนใจเราก็คิดว่าเผ่าเทพน่าสนใจเช่นกัน”
หญิงชุดดำขอตัวเอาถาดใส่จานอาหารไปคืนพยาบาลก่อนแล้วจะกลับมาคุยกันต่อ ฝ่ายคนป่วยก็ขอให้ช่วยปิดม่านรอบเตียงเพื่อทำธุระส่วนตัวบ้าง
ตอนค่ำพ่อกับแม่ของเฟเรซิสมาเยี่ยมถึงห้องพยาบาลด้วยความเป็นห่วงลูกสาวคนเดียว เดิมทั้งคู่ไม่อยากให้นางเป็นทหารเพียงไม่อยากขัดความตั้งใจ หญิงสาวกล่าวขอโทษทั้งคู่ก่อนบอกว่านางจะทำให้ดีที่สุดแล้วจะออกจากงานไปเป็นคนธรรมดาไม่เสี่ยงชีวิตอีก
“พ่อกับแม่จะว่าไหมถ้าข้าไปอยู่ในเขตมนุษย์” เฟเรซิสถามด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไปอยู่ที่เกียนหลังจบเรื่องของโทนาช
คำตอบเหมือนตอนที่หญิงสาวบอกว่าอยากเป็นทหารในศูนย์กลาง หากลูกมีความสุขพ่อแม่ย่อมพอใจ ทว่าอันตรายร้ายแรงคราวนี้ทำให้ทั้งคู่ตระหนักว่าลูกสาวอาจตายโดยไม่มีโอกาสสร้างครอบครัว เฟเรซิสนั่งใบ้หลายนาทีจนสมองกลับมาประมวลผลได้
(มีต่อ)
นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 16
“แล้วไม่มีใครพูดเรื่องที่มีคนตายเพราะข้าเลยหรือ” คนป่วยออกอาการวิตกออกมา
“มีบ้าง แต่ไม่มีใครไม่เคยทำพลาดนอกจากคนที่ไม่ทำอะไรเลย” วิเรียนปลอบ “ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าพลาดอีก ทวีปเทพปกครองด้วยระบบทหารตามคำขอของเสาค้ำจุนเพื่อปกป้องชีวิตอื่นๆทั่วเอนโวลา แม้หน้าที่ของเจ้าจะอยู่แค่ทวีปเทพแต่ถ้าผู้คนรวมตัวกันเพราะความข้องใจก็มิสิทธิ์โดนเตะออกเหมือนกัน”
ผู้รักษาการตำแหน่งผู้นำนิ่งอย่างสำนึกผิด หลังจากนี้นางจะต้องรอบคอบมากขึ้น
“อิลซานอร์กับมิเลนนัสได้รับการคุ้มครองสูงสุด คนอื่นรู้แค่นั่นเป็นศูนย์รวมคนในทวีปและจุดล่อแหลมต่อเหตุร้าย” วิเรียนบอกเล่าต่อว่าวางแผนไว้ว่าอย่างไร “ตอนนี้เราต้องเงียบรอโทนาชก่อนจึงค่อยเคลื่อนไหว บุ่มบ่ามไปมีแต่จะเป็นรอง”
“ช่วยเป็นที่ปรึกษาระหว่างนี้ได้ไหมวิเรียน ข้ายังไม่อยากตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆหลังเรื่องผ่านมา” เฟเรซิสต้องการผู้ช่วยยามมีปัญหา ในอดีตโทนาชมาประชุมขอความเห็นเกี่ยวกับคำสั่งต่างๆประจำ แบบนี้คงคล้ายกันกระมัง
วิเรียนให้คำมั่นว่าจะคอยช่วยเหลือเต็มที่ ระหว่างพักรักษาตัวหญิงสาวจะได้รับเอกสารสรุปเรื่องทุกอย่างว่ากำลังทำอะไรบ้าง คนป่วยรู้สึกไม่ค่อยดีแต่ไม่มีทางเลือกนอกจากให้วิเรียนใช้ความละเอียดรอบคอบช่วยอีกต่อหนึ่ง
“ฝ่ายพยาบาลรายงานการรักษาแล้ว กระดูกปีกหักหลายแห่งต้องใช้เวลาฟื้นตัว น่าแปลกที่มีเพียงปีกกับปอดที่เสียหายหนัก...ขอบคุณความทรหดของเผ่าเทพเสีย หากเป็นมนุษย์คงอาการหนักเพราะปอดฉีกไปข้างหนึ่ง และข้าเชื่อว่าเจ้าต้องกลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้ง”
ว่าแล้ววิเรียนก็เรียกพยาบาลทหารมาอรรถาธิบายเกี่ยวกับอาการปอดฉีกหรือมีแผลที่ปอดว่าการรักษาค่อนข้างซับซ้อน ตอนนี้หญิงสาวต้องใส่สายหนังระบายลมกับเลือดจากปอดข้างที่ถูกยิง หลังผ่าตัดสักสัปดาห์อาการโดยรวมจะดีขึ้นแต่มันส่งผลกระทบระยะยาวเพราะโดนจุดสำคัญ หากร่างของนางไม่สามารถฟื้นตัวได้ดังเดิมอาจต้องออกจากทหารเพราะไร้ประสิทธิภาพ
“ขอเวลาพักคนเดียวได้ไหม” ในหัวของเฟเรซิสเต็มไปด้วยอากาศเมื่อได้ยินว่าต้องเลิกเป็นทหาร
วิเรียนที่มักแสดงออกว่าเป็นห่วงพยายามปลอบทว่ากำแพงกั้นระหว่างทั้งคู่ใหญ่เกินไป นางบอกคนป่วยว่าจะหาคนคุยเล่นที่เหมาะสมให้ก่อนฝืนใจทิ้งหญิงสาวไว้คนเดียวบนเตียง...
คนที่วิเรียนส่งมาคุยเป็นเพื่อคือเลสลีย์ผู้ร่าเริงสดใสเสมอแม้จะชอบสีดำเป็นชีวิตจิตใจ เลสลีย์ผู้ห่วงคนอื่นแม้ไม่ค่อยรู้กาลเทศะพยายามบอกว่าเป็นคนธรรมดาก็ทำประโยชน์ได้ไม่ต่างกับทหาร
คนป่วยนั่งนิ่งราวอยู่ในห้วงความคิด แรกเริ่มเฟเรซิสอยากเป็นทหารเพราะเพื่อนของพ่อที่ทำงานรองผู้บัญชาการของศูนย์กลางอย่างยอดเยี่ยม เขามีชื่อเสียงเป็นผู้กล้าในกองทัพคอยทุ่มเทช่วยเหลือผู้คน ภรรยาของเขาเป็นทหารคนละหน่วยทว่าเสียชีวิตลงในการปะทะกับพวกยักษ์ นั่นทำให้ชายคนนั้นคัดค้านเรื่องการรับผู้หญิงเป็นทหาร
นางบาดเจ็บเพราะไปแตะเส้นต้องห้าม ไม่ใช่เพราะเป็นผู้หญิง ภรรยาของคนรับตำแหน่งก่อนหน้านางก็เช่นกัน เฟเรซิสบอกตัวเองอย่างนี้หลายครั้ง
“เมืองเกียนที่พวกเจ้าอยู่เป็นอย่างไรบ้าง” เฟเรซิสถามลอยๆระหว่างเลสลีย์เล่าเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต
หญิงสาวชุดดำพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นแล้วเริ่มเล่าเรื่องตระกูลที่แบ่งสายแยกฝักฝ่ายชัดเจน เฟเรซิสไม่รู้ว่าตนจะทนอยู่ในทวีปเทพโดยเฝ้ามองพวกพ้องเฉยๆได้หรือไม่ แม้ไม่นานหญิงสาวก็มีความสุขกับงานนี้ ทั้งการเรียนรู้เรื่องอาวุธ ยุทธศาสตร์กองทัพบางอย่างสามารถนำมาใช้กับการดำเนินชีวิตได้จริง และได้พบคนมากมายทั้งมิตรและศัตรู
“แล้วพอลไลน์เขาทำงานอะไรก่อนหน้านี้หรือ ข้าไม่เคยถามจริงจังเลย” อยู่ดีๆหญิงสาวก็อยากรู้เรื่องของพอลไลน์เสียอย่างนั้น
“เขาเตรียมเข้าเป็นครูสอนเวทมนตร์ในเมือง เป้าหมายของเขาคือล้างสมองเด็กในเมืองให้ละเลิกวิถีเก่าแก่ที่สอบทอดกันมา” เลสลีย์รับถาดอาหารเย็นจากพยาบาลแล้วจัดเตรียมช้อนกับส้อมให้คนป่วย
“ครอบครัวเจ้าล่ะ เราคุยกันทีไรก็มีแต่ของกินไม่ก็เรื่องงาน” เฟเรซิสมีความเชื่ออยู่บ้างว่าที่นั่นอาจต้อนรับนางเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง
“เปิดร้านอาหารในเขตผู้เรียกสัตว์ปิศาจ ข้ารับหน้าที่ส่งอาหารตามบ้านและซื้อวัตถุดิบ” เลสลีย์วางแก้วน้ำและเตรียมน้ำผลไม้ให้ “บ้านข้าไม่เคร่งธรรมเนียมเก่าแก่นักเพราะกลุ่มลูกค้าของเรากว้าง อย่างพัวร์รีนกับพีเตอร์ชอบสร้างปัญหาแต่เป็นลูกค้าชั้นดี พวกนั้นไม่เคยกินเชื่อเลยสักครั้ง”
“เจ้าเชื่อเรื่องนั้นมากแค่ไหน ผู้กล้ากับนักรบเทพ” เฟเรซิสมองอาหารเหลวสีครีมอย่างขยะแขยง นางไม่สามารถกินอาหารปกติได้เพราะต้องเตรียมผ่าตัดในอีกสองวัน คู่สนทนาส่ายหน้าสร้างความแปลกใจให้คนป่วยจนยกช้อนค้าง
“ข้าไม่สนหรอก รู้แค่ถ้าไปกับสองคนนั้นจะเรียกแขกให้ร้านได้เยอะแยะ ป่านนี้คนที่บ้านคงทำงานกันหัวหมุนกระมัง พ่อแม่กับน้องสาว นางยังเพิ่งสิบสี่เท่านั้น คนขี้เกียจอย่างข้าทำเพื่อธุรกิจได้แค่นี้ล่ะ หากรอดกลับไปได้คงมีคนรู้จักมากกว่านี้”
เฟเรซิสยิ้มได้เพราะความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรนางก็ไม่ควรจมกับความเศร้า
“ถ้าต้องออกจากงานขอไปอยู่ด้วยคนได้ไหม ในเกียนมีเผ่าเทพอยู่แต่ไม่สนิทกับพวกนั้น ลองทำงานร้านอาหารก็น่าสนุกเหมือนกัน”
“ข้ารู้จักนะ รานิสกับเฟอร์เน่ สองคนนั้นนิสัยใช้ได้ มาเป็นผู้ช่วยวิจัยเวทมนตร์อยู่หลายปีแล้ว” เลสลีย์ตั้งข้อสังเกตว่าพวกเผ่าเทพไม่มีชื่อสกุลเหมือนมนุษย์ “หลังเรื่องนี้คงดีหากมีคนมาช่วยงานที่ร้านฟรีๆ อาจแลกที่พักกับอาหารแต่คุ้ม”
สภาพจิตใจของเฟเรซิสดีขึ้นเพราะความมีชีวิตชีวาของคู่สนทนา หญิงสาวทานอาหารพร้อมชวนคุยเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนทั่วไป สาวชุดดำรีบเล่าเรื่องนิยายรักหวานเลี่ยนที่นางอ้างว่าเพื่อนทางจดหมายของพีเตอร์เป็นคนเขียน นั่นทำให้นางรบเร้าเขาให้เขียนไปถามข่าวเล่มใหม่เสมอ
เฟเรซิสไม่ใคร่สนใจกิจกรรมทั่วไปของผู้หญิงอย่าว่าแต่นิยายเลย บางทีหากอยู่กับเลสลีย์นานกว่านี้คงเป็นผู้หญิงแท้ๆได้กระมัง หญิงสาวตั้งข้อสงสัยในใจ
“ข้าไม่รู้เรื่องทหารพอๆกับชีวิตของพวกเผ่าเทพ” เลสลีย์ขอให้คนป่วยยอมให้ตนเก็บจานอาหารลงถาดเตรียมส่งคืนเอง “หากท่านคิดว่ามนุษย์น่าสนใจเราก็คิดว่าเผ่าเทพน่าสนใจเช่นกัน”
หญิงชุดดำขอตัวเอาถาดใส่จานอาหารไปคืนพยาบาลก่อนแล้วจะกลับมาคุยกันต่อ ฝ่ายคนป่วยก็ขอให้ช่วยปิดม่านรอบเตียงเพื่อทำธุระส่วนตัวบ้าง
ตอนค่ำพ่อกับแม่ของเฟเรซิสมาเยี่ยมถึงห้องพยาบาลด้วยความเป็นห่วงลูกสาวคนเดียว เดิมทั้งคู่ไม่อยากให้นางเป็นทหารเพียงไม่อยากขัดความตั้งใจ หญิงสาวกล่าวขอโทษทั้งคู่ก่อนบอกว่านางจะทำให้ดีที่สุดแล้วจะออกจากงานไปเป็นคนธรรมดาไม่เสี่ยงชีวิตอีก
“พ่อกับแม่จะว่าไหมถ้าข้าไปอยู่ในเขตมนุษย์” เฟเรซิสถามด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไปอยู่ที่เกียนหลังจบเรื่องของโทนาช
คำตอบเหมือนตอนที่หญิงสาวบอกว่าอยากเป็นทหารในศูนย์กลาง หากลูกมีความสุขพ่อแม่ย่อมพอใจ ทว่าอันตรายร้ายแรงคราวนี้ทำให้ทั้งคู่ตระหนักว่าลูกสาวอาจตายโดยไม่มีโอกาสสร้างครอบครัว เฟเรซิสนั่งใบ้หลายนาทีจนสมองกลับมาประมวลผลได้
(มีต่อ)