ผ่านไปสองวันหลังเหตุการณ์ที่ยาเวลเหล่าทหารก็พร้อมประชุมใหญ่ที่ศูนย์กลาง เฟเรซิสเกร็งเล็กน้อยเพราะมีผู้รอรับตำแหน่งของโทนาชกับนางเข้าร่วมด้วยในฐานะผู้ดูงาน ทว่าความเกร็งเปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่อรู้ว่าหลักฐานหนึ่งเดียวที่จะช่วยโยงไปถึงแผนของโทนาช เครื่องจักรปริศนาที่เลสลีย์พบดันหายไประหว่างขนย้ายมาศูนย์กลาง เนื่องจากไม่สามารถใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายกับมันได้จึงต้องใช้ระบบขนส่งแบบธรรมดา
ความรู้สึกผิดที่มีคนตายเพราะแผนของนางยังเกาะอยู่เหมือนตัวเห็บ เฟเรซิสอยากกลับไปพักที่บ้าน พ่อกับแม่ของนางพร้อมให้คำปรึกษาต่อความรู้สึกผิดบาป นางอยากกลับไปซุกตัวบนที่นอนอุ่นๆเพื่อหลับลึกสักตื่นแต่ทำไม่ได้เพราะเวลางวดเข้ามาแล้ว อีกห้าวันโทนาชจะลงมือทำลายเมืองอีกครั้ง ทุกนาทีควรใช้กับการวางแผนการครั้งต่อไป
“ตกลงตอนนี้เรารู้อะไรบ้างแล้ว” เฟเรซิสกลับมาเยือกเย็นได้อีกครั้งหลังเกือบทำลายโต๊ะประชุมเพราะบันดาลโทสะ นายกองผู้หนึ่งที่เตรียมอยู่แล้วยกมือขึ้นเพื่อขอพูด
“เจตนาของโทนาชค่อนข้างสับสน จากการดำเนินการตามแผนที่ยาเวลพวกเรามีทฤษฎีว่าโทนาชไม่ได้เป็นภัยแท้จริง หากเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเขาที่คอยบงการเรื่องนี้อยู่”
เฟเรซิสไม่ยอมรับว่านางมีอคติกับความคิดนี้ ทหารเหล่านี้เคยเป็นลูกน้องของโทนาช พวกเขาและนางเคยเชื่อว่าโทนาชเป็นหัวหน้าที่ยอดเยี่ยมจนบางคนถึงขั้นเทิดทูน แต่ความจริงแล้วไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เฟเรซิสพบความลับบางอย่างของโทนาชแล้วแต่มีข้อมูลน้อยเกินกว่าจะเปิดเผยจุดประสงค์แท้จริง
“ยอมรับหน่อยเฟเรซิสว่าพวกทหารยังภักดีกับโทนาชอยู่” พีเตอร์ที่ไม่ค่อยสงบปากเห็นอาการนางจึงโผล่งออกมา หากเป็นปกติเฟเรซิสคงหยอกกลับโดยการปามีดไม้ทื่อใส่หัวเขาแล้ว แต่คราวนี้มีผู้สืบทอดสองคนมานั่งดูอยู่ด้วย นางจึงต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ด้วยการไม่ใส่ใจ
“ประเด็นนี้ข้ายังเชื่อว่าเจตนาของโทนาชยังเอนเอียงไปทางร้ายจนกว่าจะมีหลักฐานเพิ่ม” เฟเรซิสบอกตัวเองว่ายังวางใจไม่ได้จนกว่าจะได้สืบสวนกับเจ้าตัวโดยตรง “พอลไลน์ ท่านได้อะไรบ้างจากเจ้าเครื่องมือปริศนานั่นบ้างก่อนมันถูกขโมยไป”
พอลไลน์ประสานมือไว้เหนือโต๊ะประชุมขัดมันแล้วเอ่ยคำ น้ำแข็งในอากาศรวมตัวกันเป็นโครงร่างแปลกๆ รูปร่างของอุปกรณ์นั้นมีรูปร่างคล้ายท่อพร้อมขาตั้งสี่อัน ส่วนบนท่อมีบางสิ่งกลมใหญ่เหมือนกระเปาะประกอบไปด้วยพลอยสีใสล้อมรอบ ส่วนตัวกลางเครื่องนั้นลักษณะกลวงเหมือนท่อโลหะธรรมดา
“ขนาดของมันสูงสักครึ่งหนึ่งของตัวคน ตัวเครื่องทำจากโลหะที่มีการตอบสนองกับเวทมนตร์สายควบคุมอารมณ์ความรู้สึก เลสลีย์มีพบว่ามันเริ่มทำงานเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น เช่นตอนภูเขาไฟปะทุหรือภูเขาเคลื่อน เราจึงคิดว่ามันใช้เพื่อสูบกินความสิ้นหวังของผู้คนเพื่อเอาไปใช้งานบางอย่าง”
“ไม่พบใครอยู่ใกล้เครื่องนี้เลยหรือเลสลีย์” เฟเรซิสถามเลสลีย์ที่พยายามนั่งให้นิ่งที่สุด
“ตอนแรกข้าตามเวทมนตร์แปลกๆไปจนเจอคนกลุ่มหนึ่งพร้อมเครื่องนั่น พอจะเข้าล้อมจับทางนั้นก็ไหวตัวทัน พวกทหารตรึงเครื่องนั่นไว้กับพื้นดินพวกนั้นจึงคว้าหนีไปไม่ได้”
“แล้วท่านแน่ใจได้อย่างไรว่ามันเก็บเอาความสิ้นหวังของคนได้” เฟเรซิสหันไปทางพอลไลน์
“ข้าเคยเห็นมันมาก่อน ตอนเข้าไปสืบค้นคลังเอกสารลับขององค์กรสมานฉันท์อสูร” พอลไลน์ดูประหม่าเล็กน้อยเมื่อพูดถึงองค์กรนี้ “ข้าเห็นพิมพ์เขียวการสร้างแต่ไม่ได้เห็นตัวเครื่องจริงๆ มันแตกต่างกันเล็กน้อยแต่โดยรวมแล้วคล้ายกันมาก”
“ความสิ้นหวังๆ การที่โทนาชประกาศทำลายเมืองเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนและสิ้นหวัง มันตอบคำถามของข้าได้ว่าเหตุใดเขาจึงทำให้มันโฉ่งฉ่างนัก” เฟเรซิสเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าโทนาชต้องการให้ผู้คนสิ้นหวังเพื่อใช้เจ้าเครื่องนี้ดูดความรู้สึกออกมาเก็บไว้
“ต่อไปหน่วยที่ข้าฝากตรวจตรารอบยาเวลได้อะไรมาบ้าง” เฟเรซิสผู้เป็นหัวหน้าการประชุมขอให้ทุกคนเงียบก่อนเมื่อเห็นว่าวุ่นวายมากแล้ว นายกองอีกคนชูมือเรียกความสนใจของทุกคน
“ข้าส่งแผนที่แสดงจุดพลังเวทอื่นนอกจากพวกเราให้ท่านแล้วที่เอกสารแนบ” นายกองคนนั้นทำให้เฟเรซิสรีบพลิกหน้ากระดาษข้อมูลประชุมเพื่อเปิดหา “โทนาชมาทางภูเขาแต่ความจริงแล้วเขาอ้อมมาจากทางป่าด้านใต้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ซึ่งเขาแยกทางกับแหล่งพลังเวทอีกกลุ่มที่น่าจะมาจากเครื่องมือที่ท่านเลสลีย์พบ ทางเราได้ตรวจสอบรอยพลังเวทที่เหลือตามพื้นดินพบว่ามันเดินทางมาจากอีกฟากของภูเขา ใกล้เคียงกับเคลย์เกล็นที่โดนทำลายไปก่อนหน้านี้”
“เคลย์เกล็นกับยาเวลมีเทือกเขากั้นอยู่ ไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญที่โทนาชเลือกทำลายเมืองใกล้กันต่อเนื่องไป และเลปาเรียก็อยู่ทางใต้ลงไปอีกชั้นหนึ่ง” เฟเรซิสพูดสิ่งที่คิดออกมาให้คนในที่ประชุมได้ยินเพื่อให้เข้าใจตรงกัน “และการที่ประวิงเวลาไว้ถึงเจ็ดวันคงเพราะต้องเตรียมเจ้าเครื่องนี่เป็นแน่”
โดยไม่มีใครคาดคิด ผู้สืบทอดของเฟเรซิสที่นั่งอยู่หลังห้องยกมือขึ้นเพื่อขอพูด ผู้รักษาการฯพยักหน้าให้นางพูดได้
“ไม่ทราบว่าท่านมีแผนช่วยชาวเมืองทั้งสองที่ถูกทำลายอย่างไร จะทิ้งไว้ที่หมู่บ้านทั้งสองอย่างนั้นหรือ”
ผู้สืบทอดของเฟเรซิสเป็นชายหนุ่มหน้าสวยฝีมือดาบเป็นเลิศในรุ่นเดียวกัน เฟเรซิสเกือบต้องทนข่าวลือว่านางกับเขามีอะไรกันจึงมอบตำแหน่งผู้สืบทอดให้ เพียงแค่นางออกเที่ยวกับผู้ชายทุกคนในกองทัพและเขาทำงานได้ดีมาก ข่าวลือที่ไร้มูลและจืดชืดจึงหายไปเหมือนข่าวลืออื่นๆ
“ถามได้ดี พอลไลน์ช่วยอธิบายแผนการของท่านให้ฟังด้วย” เฟเรซิสยิ้มเล็กน้อยเมื่อขอให้พอลไลน์ช่วยอธิบายแผนอีกรอบ
“พวกท่านไม่คิดบ้างหรือว่าคนระดับโทนาชจะไม่เอะใจว่าเราสร้างชาวเมืองตัวปลอมเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะแสร้งทำหรือไม่ทางเราจะใช้ประโยชน์จากจุดนั้น ปล่อยเขาทำลายเมืองตามความต้องการ ส่วนชาวเมืองทั่วทวีปเทพจะอพยพไปที่ปลอดภัยทีละเมืองตามประกาศทำลาย ให้ทำลายเฉพาะเมืองกับตัวปลอมที่สร้างขึ้นก็พอ”
แผนของพอลไลน์สร้างความสับสนเล็กน้อยว่าสถานที่ปลอดภัยคือที่ใดกัน และการย้ายคนทั้งทวีปต้องเป็นงานระดับมังกรแน่
“ข้าได้ยินจากเฟเรซิสว่าเผ่าเทพสามารถเก็บปีกได้ซึ่งเราจะใช้จุดนั้นให้เป็นประโยชน์ ถึงจะดูขี้ขลาดแต่ข้าเสนอให้พาพวกชาวเมืองไปอาศัยอยู่ในเขตแดนของมนุษย์ เมื่อพวกท่านไม่มีปีกก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา แค่ให้พวกชาวเมืองซ่อนตัวจากโทนาชจนกว่าจะจบเรื่องนี้ได้”
สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับเผ่าพันธุ์เทพที่ถูกสร้างโดยเสาหลักทั้งสี่คือ นอกจากพวกเขาจะคิดว่าตนสูงส่งกว่าปิศาจยังเชื่อว่าพวกตนสมบูรณ์แบบกว่ามนุษย์ด้วย การที่เผ่าเทพจะลดตนลงไปอยู่ในแดนมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่ยากจะรับได้ สิ่งที่พอลไลน์เสนอจึงนับว่ามีราคาสูงสำหรับเผ่าพันธุ์ที่ถือตัวอย่างเผ่าเทพ
พ่อของเฟเรซิสทำงานเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารระหว่างเผ่าเทพกับมนุษย์สอนนางประจำ ว่าเผ่าเทพก็ไม่ต่างกับมนุษย์แค่มีปีกเพิ่มมาเท่านั้น ดังนั้นพวกแดนเทพควรปฏิบัติกับมนุษย์ด้วยความเคารพเหมือนเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน เฟเรซิสจึงไม่ค่อยให้ความสนใจเรื่องความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์เท่าไรนัก
เสียงในที่ประชุมแตกออกเป็นสองแทบในทันที ส่วนมากคัดค้านความคิดของพอลไลน์ด้วยความทะนงตัวของเผ่าเทพที่ควรทำการต่อต้านโทนาช ส่วนอีกกลุ่มก็ไม่ได้อยากเห็นด้วยกับพอลไลน์เท่าไรนัก พวกเขาอยากให้ผู้คนหลบหนีการทำลายแต่ที่หลบต้องไม่ใช่แดนมนุษย์
“ก็คิดเรื่องการตอบสนองแบบนี้เอาไว้แล้วล่ะนะ ขอให้ทุกคนฟังพอลไลน์ต่ออีกหน่อย” เฟเรซิสขอให้ทุกคนเงียบก่อน
“ที่พูดไปข้างต้นคือสิ่งที่ข้าคิด” พอลไลน์รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้เสมอ เขายังยิ้มอย่างมั่นใจให้เฟเรซิสเหมือนทุกครั้งที่มีการปรึกษาหารือเรื่องต่างๆ “แต่ท่านรูเนลบอกว่าเผ่าเทพไม่มีทางทิ้งศักดิ์ศรีเด็ดขาดข้าจึงคิดเรื่องนี้ใหม่อีกรอบ ข้าจึงคิดว่าพวกท่านควรใช้ประโยชน์จากการกระทำของโทนาช เมื่อเขาทำลายแล้วจะไม่กลับไปยุ่งอีก
“แผนของข้าคือแบ่งทหารเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งหาทางหยุดโทนาช ซึ่งเฟเรซิสเป็นผู้นำอยู่แล้ว อีกกลุ่มส่วนอีกกลุ่มสนับสนุน ข้าไม่ได้หมายถึงสนับสนุนการรบ สิ่งที่กลุ่มหลังต้องทำคือสนับสนุนพวกชาวเมือง ชาวเมืองจากเมืองที่ถูกทำลายไปแล้วให้หาทางตั้งหลักแหล่งใหม่ใกล้เมืองเดิมที่ยังมีทรัพยากรเหลืออยู่ ส่วนเมืองที่เป็นเป้าหมายทำลายก็ให้ผู้คนหลบหนีแล้วสร้างตัวปลอมไว้ โดยให้ชาวเมืองพวกนั้นไปปะปนกับชาวเมืองจากเมืองที่ถูกทำลายไปแล้ว หากแนบเนียนพอโทนาชจะไม่สงสัยเรื่องการขนย้ายและหลบภัย”
เฟเรซิสแทบไม่ต้องแกล้งทำเป็นเสียใจที่ต้องดำเนินการตามคำแนะนำของพอลไลน์
“ข้ารู้ว่ามันเจ็บปวดที่ต้องรับความช่วยเหลือในเรื่องสำคัญแบบนี้จากมนุษย์ แต่พวกเราต้องเปิดใจรับฟังความคิดของเผ่าพันธุ์อื่นบ้าง แม้จะเป็นพวกปิศาจก็ตาม สิ่งที่ควรเป็นไปในอนาคตคือความเท่าเทียมระหว่างเผ่าพันธุ์”
เฟเรซิสพยายามเหวี่ยงอารมณ์ในที่ประชุมให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง ความช่วยเหลือของพอลไลน์คราวก่อนพอรับได้แต่การสั่งการชาวเผ่าเทพเหมือนเจ้านายดูจะเป็นการล้ำเส้นไปหน่อย ชั่วขณะหนึ่งหัวหน้าการประชุมก็พลันนึกถึงคำพูดของโทนาชขึ้นมา
“ข้าแค่ทำให้คำพยากรณ์เป็นจริงเร็วขึ้นเท่านั้น อิเดนจะต้องถูกปกครองโดยมนุษย์ เผ่าเทพต้องล่มสลาย”
มันเป็นคำพยากรณ์ที่ว่าเผ่าเทพจะหายไปเหลือไว้แต่เหล่ามนุษย์ เรื่องนี้มีคนเชื่อไม่มากนัก ว่ากันว่าเพราะเป็นสาสน์จากเทพพยากรณ์ที่อยู่ในต่างมิติทำให้ข้อความคลุมเครือและอาจถูกบิดเบือนโดยผู้เผยแพร่ มันทำให้เฟเรซิสรู้สึกเหมือนกับโทนาชกำลังทำงานให้เทพพยากรณ์อยู่ เขามีกำลังของเทพเก่าแก่หนุนหลัง นางอาจไม่มีทางชนะ ทวีปเทพต้องล่มสลายและทุกคนตายหมด นั่นทำให้เฟเรซิสรู้สึกเหมือนถูกลากเข้าไปใกล้บ่อแห่งความกลัวอีกครั้ง
‘อย่าคิดมากไปเองเฟเรซิส ตั้งสติหน่อย’ พอลไลน์ส่งข้อความบางอย่างเข้าสู่หัวของเฟเรซิสโดยตรงทำให้นางกลับสู่ความจริงอีกครั้ง ผู้ร่วมประชุมเกือบทั้งหมดมองนางราวกับรอความเห็นเกี่ยวกับแผนของพอลไลน์
“ในระหว่างที่อพยพชาวเมืองเป้าหมายข้ากับพวกท่านก็จะร่วมมือกันหยุดเรื่องนี้ให้ได้ หากโชคดีก็จะทำการอพยพกันแค่ไม่กี่เมืองเท่านั้น” เฟเรซิสทำเป็นครุ่นคิดเรื่องแผนการ นางจำต้องเสแสร้งว่าไม่ได้ตื่นกลัวหรือหวาดเกรงโทนาชที่ซุ่มซ่อนในความมืด “ข้าคิดว่าเรื่องการป้องกันชาวเมืองสำคัญที่สุดจึงอยากฟังเสียงพวกท่าน ก่อนนำไปเสนอกับผู้สืบทอดของผู้บัญชาการสูงสุด จากนั้นก็ส่งคำสั่งไปเมืองต่างๆทั่วทวีปเทพ”
แล้วที่ประชุมก็เริ่มถกกันต่อเกี่ยวกับรายละเอียดของแผนที่พอลไลน์เสนอขึ้น เฟเรซิสแอบถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน นางต้องแกล้งทำเป็นเข้มแข็งในสถานการณ์นี้อีกนานเท่าไรหนอ...
(มีต่อ)
นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 9
ความรู้สึกผิดที่มีคนตายเพราะแผนของนางยังเกาะอยู่เหมือนตัวเห็บ เฟเรซิสอยากกลับไปพักที่บ้าน พ่อกับแม่ของนางพร้อมให้คำปรึกษาต่อความรู้สึกผิดบาป นางอยากกลับไปซุกตัวบนที่นอนอุ่นๆเพื่อหลับลึกสักตื่นแต่ทำไม่ได้เพราะเวลางวดเข้ามาแล้ว อีกห้าวันโทนาชจะลงมือทำลายเมืองอีกครั้ง ทุกนาทีควรใช้กับการวางแผนการครั้งต่อไป
“ตกลงตอนนี้เรารู้อะไรบ้างแล้ว” เฟเรซิสกลับมาเยือกเย็นได้อีกครั้งหลังเกือบทำลายโต๊ะประชุมเพราะบันดาลโทสะ นายกองผู้หนึ่งที่เตรียมอยู่แล้วยกมือขึ้นเพื่อขอพูด
“เจตนาของโทนาชค่อนข้างสับสน จากการดำเนินการตามแผนที่ยาเวลพวกเรามีทฤษฎีว่าโทนาชไม่ได้เป็นภัยแท้จริง หากเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเขาที่คอยบงการเรื่องนี้อยู่”
เฟเรซิสไม่ยอมรับว่านางมีอคติกับความคิดนี้ ทหารเหล่านี้เคยเป็นลูกน้องของโทนาช พวกเขาและนางเคยเชื่อว่าโทนาชเป็นหัวหน้าที่ยอดเยี่ยมจนบางคนถึงขั้นเทิดทูน แต่ความจริงแล้วไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เฟเรซิสพบความลับบางอย่างของโทนาชแล้วแต่มีข้อมูลน้อยเกินกว่าจะเปิดเผยจุดประสงค์แท้จริง
“ยอมรับหน่อยเฟเรซิสว่าพวกทหารยังภักดีกับโทนาชอยู่” พีเตอร์ที่ไม่ค่อยสงบปากเห็นอาการนางจึงโผล่งออกมา หากเป็นปกติเฟเรซิสคงหยอกกลับโดยการปามีดไม้ทื่อใส่หัวเขาแล้ว แต่คราวนี้มีผู้สืบทอดสองคนมานั่งดูอยู่ด้วย นางจึงต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ด้วยการไม่ใส่ใจ
“ประเด็นนี้ข้ายังเชื่อว่าเจตนาของโทนาชยังเอนเอียงไปทางร้ายจนกว่าจะมีหลักฐานเพิ่ม” เฟเรซิสบอกตัวเองว่ายังวางใจไม่ได้จนกว่าจะได้สืบสวนกับเจ้าตัวโดยตรง “พอลไลน์ ท่านได้อะไรบ้างจากเจ้าเครื่องมือปริศนานั่นบ้างก่อนมันถูกขโมยไป”
พอลไลน์ประสานมือไว้เหนือโต๊ะประชุมขัดมันแล้วเอ่ยคำ น้ำแข็งในอากาศรวมตัวกันเป็นโครงร่างแปลกๆ รูปร่างของอุปกรณ์นั้นมีรูปร่างคล้ายท่อพร้อมขาตั้งสี่อัน ส่วนบนท่อมีบางสิ่งกลมใหญ่เหมือนกระเปาะประกอบไปด้วยพลอยสีใสล้อมรอบ ส่วนตัวกลางเครื่องนั้นลักษณะกลวงเหมือนท่อโลหะธรรมดา
“ขนาดของมันสูงสักครึ่งหนึ่งของตัวคน ตัวเครื่องทำจากโลหะที่มีการตอบสนองกับเวทมนตร์สายควบคุมอารมณ์ความรู้สึก เลสลีย์มีพบว่ามันเริ่มทำงานเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น เช่นตอนภูเขาไฟปะทุหรือภูเขาเคลื่อน เราจึงคิดว่ามันใช้เพื่อสูบกินความสิ้นหวังของผู้คนเพื่อเอาไปใช้งานบางอย่าง”
“ไม่พบใครอยู่ใกล้เครื่องนี้เลยหรือเลสลีย์” เฟเรซิสถามเลสลีย์ที่พยายามนั่งให้นิ่งที่สุด
“ตอนแรกข้าตามเวทมนตร์แปลกๆไปจนเจอคนกลุ่มหนึ่งพร้อมเครื่องนั่น พอจะเข้าล้อมจับทางนั้นก็ไหวตัวทัน พวกทหารตรึงเครื่องนั่นไว้กับพื้นดินพวกนั้นจึงคว้าหนีไปไม่ได้”
“แล้วท่านแน่ใจได้อย่างไรว่ามันเก็บเอาความสิ้นหวังของคนได้” เฟเรซิสหันไปทางพอลไลน์
“ข้าเคยเห็นมันมาก่อน ตอนเข้าไปสืบค้นคลังเอกสารลับขององค์กรสมานฉันท์อสูร” พอลไลน์ดูประหม่าเล็กน้อยเมื่อพูดถึงองค์กรนี้ “ข้าเห็นพิมพ์เขียวการสร้างแต่ไม่ได้เห็นตัวเครื่องจริงๆ มันแตกต่างกันเล็กน้อยแต่โดยรวมแล้วคล้ายกันมาก”
“ความสิ้นหวังๆ การที่โทนาชประกาศทำลายเมืองเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนและสิ้นหวัง มันตอบคำถามของข้าได้ว่าเหตุใดเขาจึงทำให้มันโฉ่งฉ่างนัก” เฟเรซิสเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าโทนาชต้องการให้ผู้คนสิ้นหวังเพื่อใช้เจ้าเครื่องนี้ดูดความรู้สึกออกมาเก็บไว้
“ต่อไปหน่วยที่ข้าฝากตรวจตรารอบยาเวลได้อะไรมาบ้าง” เฟเรซิสผู้เป็นหัวหน้าการประชุมขอให้ทุกคนเงียบก่อนเมื่อเห็นว่าวุ่นวายมากแล้ว นายกองอีกคนชูมือเรียกความสนใจของทุกคน
“ข้าส่งแผนที่แสดงจุดพลังเวทอื่นนอกจากพวกเราให้ท่านแล้วที่เอกสารแนบ” นายกองคนนั้นทำให้เฟเรซิสรีบพลิกหน้ากระดาษข้อมูลประชุมเพื่อเปิดหา “โทนาชมาทางภูเขาแต่ความจริงแล้วเขาอ้อมมาจากทางป่าด้านใต้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ซึ่งเขาแยกทางกับแหล่งพลังเวทอีกกลุ่มที่น่าจะมาจากเครื่องมือที่ท่านเลสลีย์พบ ทางเราได้ตรวจสอบรอยพลังเวทที่เหลือตามพื้นดินพบว่ามันเดินทางมาจากอีกฟากของภูเขา ใกล้เคียงกับเคลย์เกล็นที่โดนทำลายไปก่อนหน้านี้”
“เคลย์เกล็นกับยาเวลมีเทือกเขากั้นอยู่ ไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญที่โทนาชเลือกทำลายเมืองใกล้กันต่อเนื่องไป และเลปาเรียก็อยู่ทางใต้ลงไปอีกชั้นหนึ่ง” เฟเรซิสพูดสิ่งที่คิดออกมาให้คนในที่ประชุมได้ยินเพื่อให้เข้าใจตรงกัน “และการที่ประวิงเวลาไว้ถึงเจ็ดวันคงเพราะต้องเตรียมเจ้าเครื่องนี่เป็นแน่”
โดยไม่มีใครคาดคิด ผู้สืบทอดของเฟเรซิสที่นั่งอยู่หลังห้องยกมือขึ้นเพื่อขอพูด ผู้รักษาการฯพยักหน้าให้นางพูดได้
“ไม่ทราบว่าท่านมีแผนช่วยชาวเมืองทั้งสองที่ถูกทำลายอย่างไร จะทิ้งไว้ที่หมู่บ้านทั้งสองอย่างนั้นหรือ”
ผู้สืบทอดของเฟเรซิสเป็นชายหนุ่มหน้าสวยฝีมือดาบเป็นเลิศในรุ่นเดียวกัน เฟเรซิสเกือบต้องทนข่าวลือว่านางกับเขามีอะไรกันจึงมอบตำแหน่งผู้สืบทอดให้ เพียงแค่นางออกเที่ยวกับผู้ชายทุกคนในกองทัพและเขาทำงานได้ดีมาก ข่าวลือที่ไร้มูลและจืดชืดจึงหายไปเหมือนข่าวลืออื่นๆ
“ถามได้ดี พอลไลน์ช่วยอธิบายแผนการของท่านให้ฟังด้วย” เฟเรซิสยิ้มเล็กน้อยเมื่อขอให้พอลไลน์ช่วยอธิบายแผนอีกรอบ
“พวกท่านไม่คิดบ้างหรือว่าคนระดับโทนาชจะไม่เอะใจว่าเราสร้างชาวเมืองตัวปลอมเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะแสร้งทำหรือไม่ทางเราจะใช้ประโยชน์จากจุดนั้น ปล่อยเขาทำลายเมืองตามความต้องการ ส่วนชาวเมืองทั่วทวีปเทพจะอพยพไปที่ปลอดภัยทีละเมืองตามประกาศทำลาย ให้ทำลายเฉพาะเมืองกับตัวปลอมที่สร้างขึ้นก็พอ”
แผนของพอลไลน์สร้างความสับสนเล็กน้อยว่าสถานที่ปลอดภัยคือที่ใดกัน และการย้ายคนทั้งทวีปต้องเป็นงานระดับมังกรแน่
“ข้าได้ยินจากเฟเรซิสว่าเผ่าเทพสามารถเก็บปีกได้ซึ่งเราจะใช้จุดนั้นให้เป็นประโยชน์ ถึงจะดูขี้ขลาดแต่ข้าเสนอให้พาพวกชาวเมืองไปอาศัยอยู่ในเขตแดนของมนุษย์ เมื่อพวกท่านไม่มีปีกก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา แค่ให้พวกชาวเมืองซ่อนตัวจากโทนาชจนกว่าจะจบเรื่องนี้ได้”
สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับเผ่าพันธุ์เทพที่ถูกสร้างโดยเสาหลักทั้งสี่คือ นอกจากพวกเขาจะคิดว่าตนสูงส่งกว่าปิศาจยังเชื่อว่าพวกตนสมบูรณ์แบบกว่ามนุษย์ด้วย การที่เผ่าเทพจะลดตนลงไปอยู่ในแดนมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่ยากจะรับได้ สิ่งที่พอลไลน์เสนอจึงนับว่ามีราคาสูงสำหรับเผ่าพันธุ์ที่ถือตัวอย่างเผ่าเทพ
พ่อของเฟเรซิสทำงานเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารระหว่างเผ่าเทพกับมนุษย์สอนนางประจำ ว่าเผ่าเทพก็ไม่ต่างกับมนุษย์แค่มีปีกเพิ่มมาเท่านั้น ดังนั้นพวกแดนเทพควรปฏิบัติกับมนุษย์ด้วยความเคารพเหมือนเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน เฟเรซิสจึงไม่ค่อยให้ความสนใจเรื่องความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์เท่าไรนัก
เสียงในที่ประชุมแตกออกเป็นสองแทบในทันที ส่วนมากคัดค้านความคิดของพอลไลน์ด้วยความทะนงตัวของเผ่าเทพที่ควรทำการต่อต้านโทนาช ส่วนอีกกลุ่มก็ไม่ได้อยากเห็นด้วยกับพอลไลน์เท่าไรนัก พวกเขาอยากให้ผู้คนหลบหนีการทำลายแต่ที่หลบต้องไม่ใช่แดนมนุษย์
“ก็คิดเรื่องการตอบสนองแบบนี้เอาไว้แล้วล่ะนะ ขอให้ทุกคนฟังพอลไลน์ต่ออีกหน่อย” เฟเรซิสขอให้ทุกคนเงียบก่อน
“ที่พูดไปข้างต้นคือสิ่งที่ข้าคิด” พอลไลน์รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้เสมอ เขายังยิ้มอย่างมั่นใจให้เฟเรซิสเหมือนทุกครั้งที่มีการปรึกษาหารือเรื่องต่างๆ “แต่ท่านรูเนลบอกว่าเผ่าเทพไม่มีทางทิ้งศักดิ์ศรีเด็ดขาดข้าจึงคิดเรื่องนี้ใหม่อีกรอบ ข้าจึงคิดว่าพวกท่านควรใช้ประโยชน์จากการกระทำของโทนาช เมื่อเขาทำลายแล้วจะไม่กลับไปยุ่งอีก
“แผนของข้าคือแบ่งทหารเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งหาทางหยุดโทนาช ซึ่งเฟเรซิสเป็นผู้นำอยู่แล้ว อีกกลุ่มส่วนอีกกลุ่มสนับสนุน ข้าไม่ได้หมายถึงสนับสนุนการรบ สิ่งที่กลุ่มหลังต้องทำคือสนับสนุนพวกชาวเมือง ชาวเมืองจากเมืองที่ถูกทำลายไปแล้วให้หาทางตั้งหลักแหล่งใหม่ใกล้เมืองเดิมที่ยังมีทรัพยากรเหลืออยู่ ส่วนเมืองที่เป็นเป้าหมายทำลายก็ให้ผู้คนหลบหนีแล้วสร้างตัวปลอมไว้ โดยให้ชาวเมืองพวกนั้นไปปะปนกับชาวเมืองจากเมืองที่ถูกทำลายไปแล้ว หากแนบเนียนพอโทนาชจะไม่สงสัยเรื่องการขนย้ายและหลบภัย”
เฟเรซิสแทบไม่ต้องแกล้งทำเป็นเสียใจที่ต้องดำเนินการตามคำแนะนำของพอลไลน์
“ข้ารู้ว่ามันเจ็บปวดที่ต้องรับความช่วยเหลือในเรื่องสำคัญแบบนี้จากมนุษย์ แต่พวกเราต้องเปิดใจรับฟังความคิดของเผ่าพันธุ์อื่นบ้าง แม้จะเป็นพวกปิศาจก็ตาม สิ่งที่ควรเป็นไปในอนาคตคือความเท่าเทียมระหว่างเผ่าพันธุ์”
เฟเรซิสพยายามเหวี่ยงอารมณ์ในที่ประชุมให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง ความช่วยเหลือของพอลไลน์คราวก่อนพอรับได้แต่การสั่งการชาวเผ่าเทพเหมือนเจ้านายดูจะเป็นการล้ำเส้นไปหน่อย ชั่วขณะหนึ่งหัวหน้าการประชุมก็พลันนึกถึงคำพูดของโทนาชขึ้นมา
“ข้าแค่ทำให้คำพยากรณ์เป็นจริงเร็วขึ้นเท่านั้น อิเดนจะต้องถูกปกครองโดยมนุษย์ เผ่าเทพต้องล่มสลาย”
มันเป็นคำพยากรณ์ที่ว่าเผ่าเทพจะหายไปเหลือไว้แต่เหล่ามนุษย์ เรื่องนี้มีคนเชื่อไม่มากนัก ว่ากันว่าเพราะเป็นสาสน์จากเทพพยากรณ์ที่อยู่ในต่างมิติทำให้ข้อความคลุมเครือและอาจถูกบิดเบือนโดยผู้เผยแพร่ มันทำให้เฟเรซิสรู้สึกเหมือนกับโทนาชกำลังทำงานให้เทพพยากรณ์อยู่ เขามีกำลังของเทพเก่าแก่หนุนหลัง นางอาจไม่มีทางชนะ ทวีปเทพต้องล่มสลายและทุกคนตายหมด นั่นทำให้เฟเรซิสรู้สึกเหมือนถูกลากเข้าไปใกล้บ่อแห่งความกลัวอีกครั้ง
‘อย่าคิดมากไปเองเฟเรซิส ตั้งสติหน่อย’ พอลไลน์ส่งข้อความบางอย่างเข้าสู่หัวของเฟเรซิสโดยตรงทำให้นางกลับสู่ความจริงอีกครั้ง ผู้ร่วมประชุมเกือบทั้งหมดมองนางราวกับรอความเห็นเกี่ยวกับแผนของพอลไลน์
“ในระหว่างที่อพยพชาวเมืองเป้าหมายข้ากับพวกท่านก็จะร่วมมือกันหยุดเรื่องนี้ให้ได้ หากโชคดีก็จะทำการอพยพกันแค่ไม่กี่เมืองเท่านั้น” เฟเรซิสทำเป็นครุ่นคิดเรื่องแผนการ นางจำต้องเสแสร้งว่าไม่ได้ตื่นกลัวหรือหวาดเกรงโทนาชที่ซุ่มซ่อนในความมืด “ข้าคิดว่าเรื่องการป้องกันชาวเมืองสำคัญที่สุดจึงอยากฟังเสียงพวกท่าน ก่อนนำไปเสนอกับผู้สืบทอดของผู้บัญชาการสูงสุด จากนั้นก็ส่งคำสั่งไปเมืองต่างๆทั่วทวีปเทพ”
แล้วที่ประชุมก็เริ่มถกกันต่อเกี่ยวกับรายละเอียดของแผนที่พอลไลน์เสนอขึ้น เฟเรซิสแอบถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน นางต้องแกล้งทำเป็นเข้มแข็งในสถานการณ์นี้อีกนานเท่าไรหนอ...
(มีต่อ)