หลังวิเรียนบอกทุกอย่างเพียงสองวันการรุกรานก็มาถึงตามคำบอกเล่า ประตูห้องทำงานที่น่าจะลั่นกุญแจตลอดกลับเปิดได้เองเสียอย่างนั้น ข้างในห้องไม่มีร่องรอยบุกรุกราวกับตัวเฟเรซิสลืมไขปิดห้องเอง มันเป็นลักษณะเฉพาะของการใช้กุญแจผีที่เปิดได้แต่ปิดเหมือนเดิมไม่ได้ หญิงสาวเพิ่งเปลี่ยนมาใช้ไม้ช่วยเดินคิดว่าตนคงเหมือนคนบ้าหากอยู่ ๆ ก็เริ่มค้นห้องตัวเองเพื่อหาสิ่งผิดปกติ
ผู้รักษาการแทนผู้บัญชาการสูงสุดอย่างเฟเรซิสอยู่ในช่วยพักฟื้นทำให้วิเรียนที่เป็นว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดเข้ามากุมบังเหียนชั่วคราว แผนสลับตัวครั้งใหญ่เริ่มดำเนินงานที่เอสคอร์แทนที่จะเป็นศูนย์กลาง พวกพอลไลน์กระจายตัวกันอย่างไม่เต็มใจเพื่อทำตามแผนของวิเรียน
เมื่อลองเปลี่ยนสถานะกันดูเฟเรซิสจึงเห็นความต่างระหว่างตนกับวิเรียน รายงานการประชุมและการดำเนินเรื่องต่าง ๆ ถูกแบ่งประเภทจัดลำดับตามความสำคัญอย่างเป็นระบบ เอกสารทุกหน้าตัวอักษรคมชัดสะอาดจนความเป็นระเบียบแทงทะลุร่างของนางอย่างไม่ปรานี
บางครั้งนางก็คิดว่าพนักงานจดบันทึกไม่ตั้งใจทำงานยามนางเป็นหัวหน้าการประชุม
วิเรียนใช้หน่วยผู้วิเศษเฝ้าระวังพื้นที่โดยรอบของศูนย์กลาง ยามประจำจุดถูกเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเป็นระบบ ประชาชนต้องรายงานสถานการณ์กับทางการอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่การส่งทหารไปเอสคอร์ไม่มีการลงรายละเอียดจนน่าสงสัยว่าส่งคนไปเพื่ออะไร แต่คาดว่าทำตามแผนการเปลี่ยนตัวชาวเมือง
เฟเรซิสพลิกอ่านเจอซองจดหมายสีชมพูเข้มจนน่าอายสอดอยู่ระหว่างหน้ารายงาน ข้างในมีลายมือหวัด ๆ ของวิเรียนระบุไว้เกี่ยวกับการลอบโจมตีสองจุดในเอสคอร์ พอลไลน์กับพีเตอร์ไปตรวจสอบแล้ว ท้ายข้อความยังเขียนไว้ด้วยว่าให้เผากระดาษแผ่นนี้เสีย นางเผากระดาษข้อความนี้ทิ้งด้วยความสงสัยว่าทุกอย่างอาจเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
ข่าวเรื่องการปะทะกันระหว่างทหารกับกลุ่มปริศนาในเอสคอร์พุ่งเข้าหาเฟเรซิสเมื่อนางสามารถโยนไม้ค้ำยันทิ้งได้ จากการคาดเดากลุ่มที่วิเรียนส่งไปคงพบบางสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามจัดเตรียมไว้จึงเกิดการต่อสู้ ขณะที่รอบศูนย์กลางสงบเรียบร้อย ไม่เหมือนความเงียบก่อนพายุใหญ่เลยสักนิด
หนึ่งวันก่อนการบุกตามประกาศของโทนาช พอลไลน์กับพีเตอร์กลับศูนย์กลางด้วยมนตร์เคลื่อนย้ายในร่างที่โทรมด้วยแผลและเลือดราวผ่านการต่อสู้อย่างหนัก
“เราหนีได้ฉิวเฉียด ต้องขอบคุณพวกทหารที่ช่วยดึงความสนใจให้” พอลไลน์โยนห่อสัมภาระเล็ก ๆ ลงข้างเก้าอี้นั่งเล่น ชุดรัดกุมของเขาเต็มไปด้วยรอยฉีดขาดจากของมีคม บางส่วนก็เปื้อนคราบบางอย่างและมีกลิ่นเหมือนขยะเปียก ดูผิดจากภาพลักษณ์ของนักวิชาการตามปกติ
พอลไลน์เรียกหาน้ำตาลเพื่อเพิ่มพลังงาน ส่วนพีเตอร์เปลี่ยนเสื้อทั้งที่เฟเรซิสอยู่ในห้องพลางบ่นเป็นหมีกินผึ้งเกี่ยวกับบ่อบำบัดน้ำเสีย
“ช่วยไปรอนอกห้องก่อนได้ไหม ข้ากับพีเตอร์ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเราเจออะไรกันมาบ้าง” พอลไลน์ขอเวลาส่วนตัวจากเฟเรซิส นางอยากอยู่ซักถามเรื่องที่วิเรียนส่งพวกเขาไปทำแต่ด้วยมารยาทจึงยอมออกไปรอหน้าประตูห้องพัก
“เราสองคนไปผจญภัยที่เอสคอร์มา” พอลไลน์บอกว่าจะเขียนเป็นรายงานอย่างไม่เป็นทางการส่งให้ เขาอยากทำให้มั่นใจว่าเฟเรซิสจะไม่ตามไปคุยตอนกำลังอาบน้ำล้างตัวจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น พีเตอร์อยากบ่นมานานแล้วเริ่มเล่าเรื่องคร่าว ๆ ให้ฟัง
“วิเรียนส่งเราไปเจอทางลับใต้ดิน กลุ่มคนประสงค์ร้ายขนส่งสิ่งของบางอย่างข้างใต้นั่น” พีเตอร์ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้แล้วคว้าน้ำดื่มดับกระหาย “มีวงอาคมสำหรับทำเหมืองหินด้วย มันทำให้เกิดแผ่นดินเลื่อน เอาไว้ถล่มภูเขาสร้างเหมือง...รู้ใช่ไหมว่าหากเกิดแผ่นดินเลื่อนในทะเลอะไรจะตามมา”
เฟเรซิสรู้คำตอบในทันที เวลาเกิดแผ่นดินไหวในทะเลย่อมมีโอกาสเกิดคลื่นยักษ์ เอสคอร์อยู่ติดทะเล หากมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นจะไม่มีใครสงสัย ผู้คนจะล้มตายพร้อมเกิดความหวั่นกลัวมหาศาลโดยไม่ต้องพึ่งการโจมตีของโทนาช บางทีฝ่ายตรงข้ามอาจไม่หวังพึ่งโทนาชอีกแล้ว หรือไม่ก็แค่ไม่ไว้ใจให้เขาทำงานสำคัญคนเดียว
“พวกเราเปลี่ยนแปลงวงอาคมส่งคำสั่งโดยบังเอิญ ให้สาบานกับเสาค้ำจุนเลยก็ได้ว่าไม่มีเจตนา” พีเตอร์หัวเราะร่วนเหมือนคนเมา “ก็แค่ขยับสัญลักษณ์เล่นจนเป้าหมายของอาคมเลื่อนไปอยู่แถว ๆ อิลซานอร์เอง โชคดีมันถูกทำลายก่อนทำงานจึงไม่เกิดหายนะ”
“ข้าบอกให้ทำลาย ไม่ใช่ปรับแก้มั่วจนกลายเป็นเรื่องใหญ่” พอลไลน์สะกิดเพื่อนที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วก็เล่าต่อโดยไม่รอพีเตอร์สงบอารมณ์ “เราโดนล้อมแต่ใช้ช่องทางระบายอากาศหนีออกมาในเขตกำจัดขยะนอกเมือง รอยขาดบนเสื้อผ้าเกิดตอนออกมาจากตอนตัดลวดเหล็กสร้างทางออก ตอนนั้นต้องไปซ่อนในกองซากจากโรงแล่จนได้คราบเลือดกับกลิ่นแปลก ๆ มา ลงท้ายก็จนมุมในบ่อบำบัดน้ำเสีย จนข้าต้องสร้างระเบิดขึ้นเพื่อเรียกความสนใจ พวกทหารมาทำให้เราสบช่องหนีมาที่นี่ได้”
“ความจริงพอลไลน์อยากพาดำไปทางท่อส่งน้ำเพื่อออกแม่น้ำ แต่ใครจะอยากลงไปแหวกว่ายในน้ำเหม็นเน่านาน ๆ ล่ะจริงไหม” พีเตอร์ทำให้พอลไลน์มองค้อนอย่างขัดใจ
“เราไปเที่ยว ทำไมคิดว่าแถวนั้นจะมีทหารอยู่ใกล้ ๆ กัน” พอลไลน์พูดเป็นนัยว่ามีทหารคอยเฝ้าตามพวกเขาตลอดเวลา “เป็นความผิดของเจ้าคนเดียว มันใช่เวลาอยากลองทำตัวเป็นพระเอกหรือ อย่างน้อยข้าก็รีบทำลายแล้วใช้ควันพรางตัวหนีก่อนมันทำงานสำเร็จ”
“ก็ข้าอยากเป็นพระเอกของเฟเรซิสบ้างนี่” พีเตอร์ล้อเลียนอย่างสนุกสนาน พอลไลน์หันมองค้อนเพื่อนอีกรอบหนึ่ง
เฟเรซิสผู้หมกมุ่นกับงานไม่สนใจคำหยอกล้อรีบถามต่อว่าได้อะไรมาอีกหรือไม่
“เส้นทางใต้ดินที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ของศูนย์กลาง” นักวิชาการหนุ่มก็ไม่สนใจคำล้อเลียนจากเพื่อนเช่นกัน “ตรงเอสคอร์มีอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ที่ชานเมืองด้านตะวันออก พวกเราพบว่ามันหักเลี้ยวจากตะวันออกขึ้นเหนือแสดงว่ามีส่วนอื่นอีก พีเตอร์ดูคร่าว ๆ แล้วบอกว่ามันมีอายุเป็นพันปี หมายความว่ามันไม่ใช่แค่ทางส่งของผิดกฎหมาย”
พอลไลน์เรียกพีเตอร์ให้อธิบายเรื่องนี้
“ลึกจากพื้นประมาณ 20 คีล สัณฐานเป็นช่องกลมเรียบเกินกว่าจะถูกเซาะด้วยน้ำอย่างเดียว หินงอกหินย้อยเต็มไปหมด โดยเฉลี่ยหินย้อยมีการก่อตัวที่ 2.5 เกนต่อ 100 ปี เท่าที่เห็นอายุของทางใต้ดินนั่นก็ประมาณ 2,000 ปี น่าจะถูกขุดในสมัยเทพมังกรโน่น” พีเตอร์โดนกดดันทางสายตาจนสงบลงในที่สุด
เฟเรซิสเค้นความทรงจำเรื่องประวัติศาสตร์ของเอนโวลา สมัยนั้นทุกอย่างรวมเป็นหนึ่งภายใต้การปกครองของเทพมังกรหนึ่งเดียวจึงไม่แปลกหากจะมีบางอย่างถูกซ่อนจากสายตาชีวิตอื่น กระทั่งอำนาจถูกกระจายออกเป็นสี่เสาค้ำจุนความลับบางเรื่องที่เปิดเผยได้จึงแพร่ออกมาเหมือนตาน้ำ
“อาจเป็นแค่กลุ่มสนับสนุนมากกว่าสมุนของเทพปิศาจ” เฟเรซิสออกความเห็นสั้น ๆ
เมื่อกล่าวถึงเรื่องใหญ่ระดับตำนานคนปากคันอย่างพีเตอร์ก็ยั้งความอยากไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็ชวนคุยหัวข้อสุ่มเสี่ยงด้วยเสียงกระซิบ
“ข้าสงสัยมานานแล้ว เสาค้ำจุนสูงสุดกับเทพปิศาจไปนอนอยู่ตรงส่วนไหนของเอนโวลากันแน่ นักวิชาการทางเวทมนตร์ศึกษากันจนพบว่าใต้ดินลึกมาก ๆ คือทะเลหินหลอมเหลว อย่าบอกนะว่าสองคนนั้นไปนอนแช่เล่นในนั้นฆ่าเวลาน่ะ”
เฟเรซิสแยกเขี้ยวเพราะความจงรักภักดีต่อเสาค้ำจุนยังมีอยู่ ส่วนพอลไลน์ไม่สนใจกลับไปพูดเกี่ยวกับทฤษฎีของตนเกี่ยวกับกลุ่มที่ใช้งานโทนาชแทน
“ภายในโถงถ้ำข้าพบบางส่วนของวงอาคมขนาดใหญ่ ไม่แน่ว่าพวกนั้นอาจเก็บความกลัวไปเป็นพลังงานสร้างบางสิ่งขึ้น ปัญหาคือทำไมเจาะจงทำกับทวีปเทพ หากทำในแดนมนุษย์อาจเก็บเกี่ยวได้มากกว่าเพราะพื้นที่ใหญ่กว่า จมทวีป ๆ หนึ่งอาจเก็บได้เร็วกว่านั่งทำลายทีละเมืองเสียอีก”
เฟเรซิสยินดีเปลี่ยนเรื่องมากกว่ายอมรับว่าบางส่วนของนางยังเป็นพวกหัวโบราณ
“อย่างนั้นเราต้องรู้เสียก่อนว่าความกลัวที่ถูกเก็บไปมันอยู่ในรูปแบบใด อาจฝังในแก้วผลึก อุปกรณ์เวทมนตร์ หรือถูกถ่ายโอนสู่วงไสยเวทที่ท่านว่าโดยตรง หากเป็นอันหลังสุดก็อธิบายได้ว่าทำไมต้องเริ่มที่นี่”
พอลไลน์พยักหน้าด้วยเห็นตรงกัน พีเตอร์กลับมาเป็นงานเป็นการได้ในที่สุดถามเกี่ยวกับการเตรียมการสำหรับพรุ่งนี้
“วิเรียนทำตามตำราว่าด้วยการสร้างป้อมปราการ” ผู้รักษาการตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดว่า “นางจะคุมทหารเองส่วนข้าบินตรวจตามกำหนดการ วิเรียนบอกว่าจะต้องปรับแผนตลอดเหมือนทำอาหาร ครั้งนี้ข้ามีหน้าที่ทำตามคำสั่งกับภาวนาไม่ให้มีคนตายอีก”
“ประเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะรีบเขียนรายงานส่งให้ในสามชั่วโมง...ขอเสาค้ำจุนคุ้มครอง” พอลไลน์เอามือแตะหน้าอกโน้มตัวอวยพรอีกฝ่ายอย่างมีพิธีรีตอง พีเตอร์นึกสนุกจึงทำบ้าง เฟเรซิสผู้ไม่เคร่งพิธีการอดยิ้มไม่ได้...
วันรุ่งขึ้นเฟเรซิสบินรอบศูนย์กลางตามตารางเวลาของวิเรียน เทียบกับการเก็บปีกใช้ชีวิตบนรถเข็นกับไม้ค้ำแล้วน้ำค้างยามรุ่งสางเหมือนยาบำรุงกำลังชั้นดีของนาง แสงสลัวก่อนพระอาทิตย์ขึ้นมองเห็นกลุ่มทหารรอบเมืองเป็นเงาลางๆ หนึ่งทางเหนือ หนึ่งทางใต้ สามทางตะวันออก สองทางตะวันตก นั่นคือการวางกำลังคนแบบเน้นการบุกจากตะวันออกตามตำราแบบไม่กระดิก
รายงานจากพอลไลน์บอกถึงการพบเครื่องจักรเก็บความรู้สึกหวาดกลัวของผู้คน เขาเชื่อว่านั่นเป็นคนละเครื่องกับที่เคยยึดได้แต่ไม่มีเวลาพิสูจน์เท่านั้น กลุ่มที่พวกเขาพบและหนีได้นั้นมีทั้งเผ่าเทพ มนุษย์ และปิศาจที่มีพลังอำนาจต่ำ ในขณะที่รายงานทั่วไปเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอื่นบอกว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นจุดสนใจ ทั้งสัตว์วิเศษ วิญญาณป่า เอลฟ์ ครึ่งสัตว์ และพวกสิ่งมีชีวิตฝ่ายมืดนอกเหนือจากนั้นไม่มีสิ่งใดสะดุดตาชวนสงสัย
นอกเขตรั้วศูนย์กลางออกไปร่วมสองร้อยคีลมีผลงานของเลสลีย์ตั้งอยู่ เต่าหินขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านเหมือนคฤหาสน์หลังย่อม ๆ มันคือส่วนหนึ่งของวิชาเรียกสัตว์ปิศาจ เต่าทองแดงถูกเรียกออกมาจากมิติอื่นแล้วทิ้งคราบเอาไว้เหมือนจุดบอกเขตแดน หากสร้างหลายจุดล้อมพื้นที่จะกักสิ่งมีชีวิตให้อยู่ในวงล้อมยามผู้เรียกเต่าดังกล่าวออกคำสั่ง น่าเศร้าที่มันกินเรี่ยวแรงและสมาธิมหาศาล
พีเตอร์ชวนเฟเรซิสพนันว่าเลสลีย์จะทนนั่งควบคุมในที่มั่นได้นานกี่ชั่วโมงโดยไม่สติแตกเพราะความเบื่อ
วิเรียนผู้สั่งการแอบมาพนันกับเฟเรซิสว่าโทนาชจะทำลายคราบเต่าพวกนั้นได้ เฟเรซิสเคยพบอาณาเขตคราบเต่าครั้งหนึ่งตอนไปดูงานที่เกียน การทำลายคราบพวกนี้ต้องใช้อาวุธทรงพลังและเวทมนตร์ระดับเดียวกันโจมตีพร้อมกันทันที หากโทนาชสามารถทำลายได้ด้วยตัวคนเดียวคงมีแต่เสาค้ำจุนที่ชนะเขาได้
หญิงสาวละสายตาจากคราบเต่าสีทองแดงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อวนตามเข็มนาฬิกา ครั้งแรกเฟเรซิสคิดว่ามันคือก้อนเมฆทว่าไม่ใช่ มันเหมือนนกสีดำรวมกลุ่มกันจนมืดฟ้ามัวดิน ขนส่วนโคนปีกของนางลุกชันเหมือนทุกครั้งที่นางพบเจอพวกอสูรมืด พวกมันคือความชั่วร้ายที่รวมกันเป็นตัวตน มันมีหลากแบบหลายขนาดไม่จำกัดรูปร่าง เพียงแค่เป็นสิ่งสีดำทมิฬและดุร้ายป่าเถื่อนเท่านั้น ปกติมันไม่รวมกลุ่มนอกจากจะมีคนลากมันมา!
(มีต่อ)
นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 13
ผู้รักษาการแทนผู้บัญชาการสูงสุดอย่างเฟเรซิสอยู่ในช่วยพักฟื้นทำให้วิเรียนที่เป็นว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดเข้ามากุมบังเหียนชั่วคราว แผนสลับตัวครั้งใหญ่เริ่มดำเนินงานที่เอสคอร์แทนที่จะเป็นศูนย์กลาง พวกพอลไลน์กระจายตัวกันอย่างไม่เต็มใจเพื่อทำตามแผนของวิเรียน
เมื่อลองเปลี่ยนสถานะกันดูเฟเรซิสจึงเห็นความต่างระหว่างตนกับวิเรียน รายงานการประชุมและการดำเนินเรื่องต่าง ๆ ถูกแบ่งประเภทจัดลำดับตามความสำคัญอย่างเป็นระบบ เอกสารทุกหน้าตัวอักษรคมชัดสะอาดจนความเป็นระเบียบแทงทะลุร่างของนางอย่างไม่ปรานี
บางครั้งนางก็คิดว่าพนักงานจดบันทึกไม่ตั้งใจทำงานยามนางเป็นหัวหน้าการประชุม
วิเรียนใช้หน่วยผู้วิเศษเฝ้าระวังพื้นที่โดยรอบของศูนย์กลาง ยามประจำจุดถูกเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเป็นระบบ ประชาชนต้องรายงานสถานการณ์กับทางการอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่การส่งทหารไปเอสคอร์ไม่มีการลงรายละเอียดจนน่าสงสัยว่าส่งคนไปเพื่ออะไร แต่คาดว่าทำตามแผนการเปลี่ยนตัวชาวเมือง
เฟเรซิสพลิกอ่านเจอซองจดหมายสีชมพูเข้มจนน่าอายสอดอยู่ระหว่างหน้ารายงาน ข้างในมีลายมือหวัด ๆ ของวิเรียนระบุไว้เกี่ยวกับการลอบโจมตีสองจุดในเอสคอร์ พอลไลน์กับพีเตอร์ไปตรวจสอบแล้ว ท้ายข้อความยังเขียนไว้ด้วยว่าให้เผากระดาษแผ่นนี้เสีย นางเผากระดาษข้อความนี้ทิ้งด้วยความสงสัยว่าทุกอย่างอาจเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
ข่าวเรื่องการปะทะกันระหว่างทหารกับกลุ่มปริศนาในเอสคอร์พุ่งเข้าหาเฟเรซิสเมื่อนางสามารถโยนไม้ค้ำยันทิ้งได้ จากการคาดเดากลุ่มที่วิเรียนส่งไปคงพบบางสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามจัดเตรียมไว้จึงเกิดการต่อสู้ ขณะที่รอบศูนย์กลางสงบเรียบร้อย ไม่เหมือนความเงียบก่อนพายุใหญ่เลยสักนิด
หนึ่งวันก่อนการบุกตามประกาศของโทนาช พอลไลน์กับพีเตอร์กลับศูนย์กลางด้วยมนตร์เคลื่อนย้ายในร่างที่โทรมด้วยแผลและเลือดราวผ่านการต่อสู้อย่างหนัก
“เราหนีได้ฉิวเฉียด ต้องขอบคุณพวกทหารที่ช่วยดึงความสนใจให้” พอลไลน์โยนห่อสัมภาระเล็ก ๆ ลงข้างเก้าอี้นั่งเล่น ชุดรัดกุมของเขาเต็มไปด้วยรอยฉีดขาดจากของมีคม บางส่วนก็เปื้อนคราบบางอย่างและมีกลิ่นเหมือนขยะเปียก ดูผิดจากภาพลักษณ์ของนักวิชาการตามปกติ
พอลไลน์เรียกหาน้ำตาลเพื่อเพิ่มพลังงาน ส่วนพีเตอร์เปลี่ยนเสื้อทั้งที่เฟเรซิสอยู่ในห้องพลางบ่นเป็นหมีกินผึ้งเกี่ยวกับบ่อบำบัดน้ำเสีย
“ช่วยไปรอนอกห้องก่อนได้ไหม ข้ากับพีเตอร์ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเราเจออะไรกันมาบ้าง” พอลไลน์ขอเวลาส่วนตัวจากเฟเรซิส นางอยากอยู่ซักถามเรื่องที่วิเรียนส่งพวกเขาไปทำแต่ด้วยมารยาทจึงยอมออกไปรอหน้าประตูห้องพัก
“เราสองคนไปผจญภัยที่เอสคอร์มา” พอลไลน์บอกว่าจะเขียนเป็นรายงานอย่างไม่เป็นทางการส่งให้ เขาอยากทำให้มั่นใจว่าเฟเรซิสจะไม่ตามไปคุยตอนกำลังอาบน้ำล้างตัวจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น พีเตอร์อยากบ่นมานานแล้วเริ่มเล่าเรื่องคร่าว ๆ ให้ฟัง
“วิเรียนส่งเราไปเจอทางลับใต้ดิน กลุ่มคนประสงค์ร้ายขนส่งสิ่งของบางอย่างข้างใต้นั่น” พีเตอร์ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้แล้วคว้าน้ำดื่มดับกระหาย “มีวงอาคมสำหรับทำเหมืองหินด้วย มันทำให้เกิดแผ่นดินเลื่อน เอาไว้ถล่มภูเขาสร้างเหมือง...รู้ใช่ไหมว่าหากเกิดแผ่นดินเลื่อนในทะเลอะไรจะตามมา”
เฟเรซิสรู้คำตอบในทันที เวลาเกิดแผ่นดินไหวในทะเลย่อมมีโอกาสเกิดคลื่นยักษ์ เอสคอร์อยู่ติดทะเล หากมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นจะไม่มีใครสงสัย ผู้คนจะล้มตายพร้อมเกิดความหวั่นกลัวมหาศาลโดยไม่ต้องพึ่งการโจมตีของโทนาช บางทีฝ่ายตรงข้ามอาจไม่หวังพึ่งโทนาชอีกแล้ว หรือไม่ก็แค่ไม่ไว้ใจให้เขาทำงานสำคัญคนเดียว
“พวกเราเปลี่ยนแปลงวงอาคมส่งคำสั่งโดยบังเอิญ ให้สาบานกับเสาค้ำจุนเลยก็ได้ว่าไม่มีเจตนา” พีเตอร์หัวเราะร่วนเหมือนคนเมา “ก็แค่ขยับสัญลักษณ์เล่นจนเป้าหมายของอาคมเลื่อนไปอยู่แถว ๆ อิลซานอร์เอง โชคดีมันถูกทำลายก่อนทำงานจึงไม่เกิดหายนะ”
“ข้าบอกให้ทำลาย ไม่ใช่ปรับแก้มั่วจนกลายเป็นเรื่องใหญ่” พอลไลน์สะกิดเพื่อนที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วก็เล่าต่อโดยไม่รอพีเตอร์สงบอารมณ์ “เราโดนล้อมแต่ใช้ช่องทางระบายอากาศหนีออกมาในเขตกำจัดขยะนอกเมือง รอยขาดบนเสื้อผ้าเกิดตอนออกมาจากตอนตัดลวดเหล็กสร้างทางออก ตอนนั้นต้องไปซ่อนในกองซากจากโรงแล่จนได้คราบเลือดกับกลิ่นแปลก ๆ มา ลงท้ายก็จนมุมในบ่อบำบัดน้ำเสีย จนข้าต้องสร้างระเบิดขึ้นเพื่อเรียกความสนใจ พวกทหารมาทำให้เราสบช่องหนีมาที่นี่ได้”
“ความจริงพอลไลน์อยากพาดำไปทางท่อส่งน้ำเพื่อออกแม่น้ำ แต่ใครจะอยากลงไปแหวกว่ายในน้ำเหม็นเน่านาน ๆ ล่ะจริงไหม” พีเตอร์ทำให้พอลไลน์มองค้อนอย่างขัดใจ
“เราไปเที่ยว ทำไมคิดว่าแถวนั้นจะมีทหารอยู่ใกล้ ๆ กัน” พอลไลน์พูดเป็นนัยว่ามีทหารคอยเฝ้าตามพวกเขาตลอดเวลา “เป็นความผิดของเจ้าคนเดียว มันใช่เวลาอยากลองทำตัวเป็นพระเอกหรือ อย่างน้อยข้าก็รีบทำลายแล้วใช้ควันพรางตัวหนีก่อนมันทำงานสำเร็จ”
“ก็ข้าอยากเป็นพระเอกของเฟเรซิสบ้างนี่” พีเตอร์ล้อเลียนอย่างสนุกสนาน พอลไลน์หันมองค้อนเพื่อนอีกรอบหนึ่ง
เฟเรซิสผู้หมกมุ่นกับงานไม่สนใจคำหยอกล้อรีบถามต่อว่าได้อะไรมาอีกหรือไม่
“เส้นทางใต้ดินที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ของศูนย์กลาง” นักวิชาการหนุ่มก็ไม่สนใจคำล้อเลียนจากเพื่อนเช่นกัน “ตรงเอสคอร์มีอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ที่ชานเมืองด้านตะวันออก พวกเราพบว่ามันหักเลี้ยวจากตะวันออกขึ้นเหนือแสดงว่ามีส่วนอื่นอีก พีเตอร์ดูคร่าว ๆ แล้วบอกว่ามันมีอายุเป็นพันปี หมายความว่ามันไม่ใช่แค่ทางส่งของผิดกฎหมาย”
พอลไลน์เรียกพีเตอร์ให้อธิบายเรื่องนี้
“ลึกจากพื้นประมาณ 20 คีล สัณฐานเป็นช่องกลมเรียบเกินกว่าจะถูกเซาะด้วยน้ำอย่างเดียว หินงอกหินย้อยเต็มไปหมด โดยเฉลี่ยหินย้อยมีการก่อตัวที่ 2.5 เกนต่อ 100 ปี เท่าที่เห็นอายุของทางใต้ดินนั่นก็ประมาณ 2,000 ปี น่าจะถูกขุดในสมัยเทพมังกรโน่น” พีเตอร์โดนกดดันทางสายตาจนสงบลงในที่สุด
เฟเรซิสเค้นความทรงจำเรื่องประวัติศาสตร์ของเอนโวลา สมัยนั้นทุกอย่างรวมเป็นหนึ่งภายใต้การปกครองของเทพมังกรหนึ่งเดียวจึงไม่แปลกหากจะมีบางอย่างถูกซ่อนจากสายตาชีวิตอื่น กระทั่งอำนาจถูกกระจายออกเป็นสี่เสาค้ำจุนความลับบางเรื่องที่เปิดเผยได้จึงแพร่ออกมาเหมือนตาน้ำ
“อาจเป็นแค่กลุ่มสนับสนุนมากกว่าสมุนของเทพปิศาจ” เฟเรซิสออกความเห็นสั้น ๆ
เมื่อกล่าวถึงเรื่องใหญ่ระดับตำนานคนปากคันอย่างพีเตอร์ก็ยั้งความอยากไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็ชวนคุยหัวข้อสุ่มเสี่ยงด้วยเสียงกระซิบ
“ข้าสงสัยมานานแล้ว เสาค้ำจุนสูงสุดกับเทพปิศาจไปนอนอยู่ตรงส่วนไหนของเอนโวลากันแน่ นักวิชาการทางเวทมนตร์ศึกษากันจนพบว่าใต้ดินลึกมาก ๆ คือทะเลหินหลอมเหลว อย่าบอกนะว่าสองคนนั้นไปนอนแช่เล่นในนั้นฆ่าเวลาน่ะ”
เฟเรซิสแยกเขี้ยวเพราะความจงรักภักดีต่อเสาค้ำจุนยังมีอยู่ ส่วนพอลไลน์ไม่สนใจกลับไปพูดเกี่ยวกับทฤษฎีของตนเกี่ยวกับกลุ่มที่ใช้งานโทนาชแทน
“ภายในโถงถ้ำข้าพบบางส่วนของวงอาคมขนาดใหญ่ ไม่แน่ว่าพวกนั้นอาจเก็บความกลัวไปเป็นพลังงานสร้างบางสิ่งขึ้น ปัญหาคือทำไมเจาะจงทำกับทวีปเทพ หากทำในแดนมนุษย์อาจเก็บเกี่ยวได้มากกว่าเพราะพื้นที่ใหญ่กว่า จมทวีป ๆ หนึ่งอาจเก็บได้เร็วกว่านั่งทำลายทีละเมืองเสียอีก”
เฟเรซิสยินดีเปลี่ยนเรื่องมากกว่ายอมรับว่าบางส่วนของนางยังเป็นพวกหัวโบราณ
“อย่างนั้นเราต้องรู้เสียก่อนว่าความกลัวที่ถูกเก็บไปมันอยู่ในรูปแบบใด อาจฝังในแก้วผลึก อุปกรณ์เวทมนตร์ หรือถูกถ่ายโอนสู่วงไสยเวทที่ท่านว่าโดยตรง หากเป็นอันหลังสุดก็อธิบายได้ว่าทำไมต้องเริ่มที่นี่”
พอลไลน์พยักหน้าด้วยเห็นตรงกัน พีเตอร์กลับมาเป็นงานเป็นการได้ในที่สุดถามเกี่ยวกับการเตรียมการสำหรับพรุ่งนี้
“วิเรียนทำตามตำราว่าด้วยการสร้างป้อมปราการ” ผู้รักษาการตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดว่า “นางจะคุมทหารเองส่วนข้าบินตรวจตามกำหนดการ วิเรียนบอกว่าจะต้องปรับแผนตลอดเหมือนทำอาหาร ครั้งนี้ข้ามีหน้าที่ทำตามคำสั่งกับภาวนาไม่ให้มีคนตายอีก”
“ประเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะรีบเขียนรายงานส่งให้ในสามชั่วโมง...ขอเสาค้ำจุนคุ้มครอง” พอลไลน์เอามือแตะหน้าอกโน้มตัวอวยพรอีกฝ่ายอย่างมีพิธีรีตอง พีเตอร์นึกสนุกจึงทำบ้าง เฟเรซิสผู้ไม่เคร่งพิธีการอดยิ้มไม่ได้...
วันรุ่งขึ้นเฟเรซิสบินรอบศูนย์กลางตามตารางเวลาของวิเรียน เทียบกับการเก็บปีกใช้ชีวิตบนรถเข็นกับไม้ค้ำแล้วน้ำค้างยามรุ่งสางเหมือนยาบำรุงกำลังชั้นดีของนาง แสงสลัวก่อนพระอาทิตย์ขึ้นมองเห็นกลุ่มทหารรอบเมืองเป็นเงาลางๆ หนึ่งทางเหนือ หนึ่งทางใต้ สามทางตะวันออก สองทางตะวันตก นั่นคือการวางกำลังคนแบบเน้นการบุกจากตะวันออกตามตำราแบบไม่กระดิก
รายงานจากพอลไลน์บอกถึงการพบเครื่องจักรเก็บความรู้สึกหวาดกลัวของผู้คน เขาเชื่อว่านั่นเป็นคนละเครื่องกับที่เคยยึดได้แต่ไม่มีเวลาพิสูจน์เท่านั้น กลุ่มที่พวกเขาพบและหนีได้นั้นมีทั้งเผ่าเทพ มนุษย์ และปิศาจที่มีพลังอำนาจต่ำ ในขณะที่รายงานทั่วไปเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอื่นบอกว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นจุดสนใจ ทั้งสัตว์วิเศษ วิญญาณป่า เอลฟ์ ครึ่งสัตว์ และพวกสิ่งมีชีวิตฝ่ายมืดนอกเหนือจากนั้นไม่มีสิ่งใดสะดุดตาชวนสงสัย
นอกเขตรั้วศูนย์กลางออกไปร่วมสองร้อยคีลมีผลงานของเลสลีย์ตั้งอยู่ เต่าหินขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านเหมือนคฤหาสน์หลังย่อม ๆ มันคือส่วนหนึ่งของวิชาเรียกสัตว์ปิศาจ เต่าทองแดงถูกเรียกออกมาจากมิติอื่นแล้วทิ้งคราบเอาไว้เหมือนจุดบอกเขตแดน หากสร้างหลายจุดล้อมพื้นที่จะกักสิ่งมีชีวิตให้อยู่ในวงล้อมยามผู้เรียกเต่าดังกล่าวออกคำสั่ง น่าเศร้าที่มันกินเรี่ยวแรงและสมาธิมหาศาล
พีเตอร์ชวนเฟเรซิสพนันว่าเลสลีย์จะทนนั่งควบคุมในที่มั่นได้นานกี่ชั่วโมงโดยไม่สติแตกเพราะความเบื่อ
วิเรียนผู้สั่งการแอบมาพนันกับเฟเรซิสว่าโทนาชจะทำลายคราบเต่าพวกนั้นได้ เฟเรซิสเคยพบอาณาเขตคราบเต่าครั้งหนึ่งตอนไปดูงานที่เกียน การทำลายคราบพวกนี้ต้องใช้อาวุธทรงพลังและเวทมนตร์ระดับเดียวกันโจมตีพร้อมกันทันที หากโทนาชสามารถทำลายได้ด้วยตัวคนเดียวคงมีแต่เสาค้ำจุนที่ชนะเขาได้
หญิงสาวละสายตาจากคราบเต่าสีทองแดงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อวนตามเข็มนาฬิกา ครั้งแรกเฟเรซิสคิดว่ามันคือก้อนเมฆทว่าไม่ใช่ มันเหมือนนกสีดำรวมกลุ่มกันจนมืดฟ้ามัวดิน ขนส่วนโคนปีกของนางลุกชันเหมือนทุกครั้งที่นางพบเจอพวกอสูรมืด พวกมันคือความชั่วร้ายที่รวมกันเป็นตัวตน มันมีหลากแบบหลายขนาดไม่จำกัดรูปร่าง เพียงแค่เป็นสิ่งสีดำทมิฬและดุร้ายป่าเถื่อนเท่านั้น ปกติมันไม่รวมกลุ่มนอกจากจะมีคนลากมันมา!
(มีต่อ)