กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดวงดาวที่มีชื่อว่าอิเดน สงครามครั้งใหญ่ระหว่างเทพเจ้ากับปิศาจเพิ่งจบลง ร่างของเทพมังกรรุ่นสุดท้ายผู้ยืนหยัดจนถึงที่สุดล้มลงพร้อมลมหายใจที่ขาดหาย เอริสอดีตเทพผู้ปกครองทิศเหนือพยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากเย็น ผมสีทองยาวของเขาเปื้อนเลือดที่มาจากการถูกตัดปีกสองข้างออก เขาคือตัวตนที่มาจากตำนาน ราชสีห์ผู้มีดวงตาสีฟ้าแผงคอสีทอง กลิ่นดินและเลือดบวกกับความหนาวเย็นของทางเหนือทำให้ประสาทของเขาพร่ามัว
แม้จะอ่อนแรงแต่ยังมีอีกสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อจบปัญหาเรื่องระหว่างมนุษย์กับปิศาจฝ่ายมืด สติเลือนรางพยายามใช้พลังจากอดีตกาลเพื่อเปลี่ยนบางอย่างบนผิวของดวงดาว เทือกเขาทางเหนือยืดตัวขึ้นกั้นพรมแดนระหว่างมนุษย์กับฝ่ายมืด ส่วนตะวันออกของทวีปใหญ่แยกตัวออกไปเพื่อจัดสรรให้เป็นดินแดนของพวกเทพ สายเลือดจากบรรพกาลเท่านั้น
“พอกันทียุคของเทพเจ้า ตอนนี้สมควรเข้าสู่ยุคของมนุษย์ได้แล้ว” เอริสสบถถ่มน้ำลายลงพื้น
“ยุคของมนุษย์ ทั้งที่ยังมีเทพเจ้าอย่างพวกเจ้าอยู่น่ะหรือ!” เสียงแหบพร่าของเทพปิศาจคอลลอฟลอยมาตามสายลม
“ยัง ยังไม่ใช่ตอนนี้...เมื่อถึงเวลาตัดสินของดาวดวงนี้มาถึงเท่านั้น ไม่ว่ามนุษย์จะมีค่าให้มีชีวิตต่อหรือไม่ พวกเราจะไปจากดาวดวงนี้” เอริสพูดอย่างเหนื่อยล้า “ฝ่ายเจ้าก็อึดเหมือนกัน ข้ากับเทพมังกรร่วมมือกับกองพันเทพและมนุษย์ยังทำได้แค่เสมอ ต้องแลกปีกข้ากับร่างเนื้อของเจ้า”
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ เจ้าจะสู้กับวิญญาณของข้าทั้งแบบนั้น หรือจะกลับไปรวบรวมกำลังพลมาดวลกันใหม่”
“ข้าจะเอาเจ้าไปนอนกอดที่ใจกลางดวงดาวน่ะสิ” เอริสหัวเราะแห้งๆ “แต่มันไม่จบแค่นั้นหรือกนะ ข้าจะแบ่งพลังของข้าเป็นสิบส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้ดูความเป็นไปของอิเดน ส่วนหนึ่งข้าจะดึงเจ้าเข้าสู่ผนึกแห่งการหลับใหลพร้อมข้า ระหว่างนั้นเจ้าจะทำอะไรไม่ได้จนกว่าอิเดนจะพร้อมสู้กับเจ้าอีก
“อีกแปดส่วนข้าจะเอาไปปลุกพลังแห่งธรณี และมอบมันให้กับนักรบเทพทั้งแปดในอนาคต แน่นอนนักรบเทพอาจเป็นใครก็ได้ เผ่าเทพ มนุษย์ สัตว์ หรือแม้แต่ปิศาจ”
“แปดรุมหนึ่ง ยังพูดได้อีกหรือว่าเป็นฝ่ายดี”
“ไม่มีคำว่าโกงในความรักและสงคราม และสิบสองต่างหาก พวกข้าผู้ปกครองทิศทั้งสี่ของอิเดนพร้อมสู้กับเจ้าอีกครั้ง อาจมีเพิ่มด้วยถ้าคนอื่นอยาก”
เทพปิศาจหัวเราะแล้วบอกว่ามันก็มีลูกน้องฝีมือดีอยู่เหมือนกัน และจะรอวันที่ตื่นขึ้นมาปะทะกับเอริสและนักรบเทพทั้งแปด จากนั้นเทพเอริสแห่งแดนเหนือและเทพปิศาจก็เข้าสู่การหลับใหลไปพร้อมกัน
อิเดนเข้าสู่ความสงบชั่วคราว เทพเจ้าองค์อื่นต่างขับไล่ปิศาจให้ไปอยู่หลังเทือกเขาทางเหนือ ส่วนพวกสายเลือดเทพที่มีปีกก็ไปอยู่ในทวีปย่อยที่เอริสแบ่งส่วนออกไป ส่วนเทพผู้พิทักษ์ทิศทั้งสามรวมถึงเสี้ยวหนึ่งของเอริสก็สถาปนาตนเป็นเสาค้ำจุนทั้งสี่ รอวันจุติของเหล่านักรบเทพ...
เด็กหญิงเผ่าเทพยอมหลับตาลงหลังจากแม่ของนางเล่าตำนานเก่าแก่เกี่ยวกับสงครามครั้งใหญ่ให้ฟัง ผู้เป็นมารดาลูบผมสีน้ำตาลของลูก นางมองปีกสีขาวบริสุทธิ์ของเด็กน้อยวัยห้าขวบอย่างครุ่นคิด ปกติผู้คนในแดนเทพจะมีปีกที่เป็นสีตามธาตุของตน เช่นของแม่เป็นสีแดงของธาตุไฟ หากเด็กน้อยคนนี้กลับมีปีกสีขาว หรือนี่อาจเป็นสัญลักษณ์ของผู้ถูกเลือกเป็นนักรบเทพ ผู้เป็นแม่มองลูกด้วยความกังวลแล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยเด็กน้อยหลับไปในค่ำคืนที่ปกติสุข...็
********************************************
เวลาผ่านไปสิบห้าปี จากเด็กน้อยปีกขาวก็กลายเป็นนักรบปีกขาว นางมีชื่อว่า เฟเรซิส เฟเรซิสมีความเชื่อเหมือนกับชนเผ่าเทพส่วนใหญ่ว่าชะตากรรมของเหล่าเทพคือต่อสู้กับปิศาจ แทนที่จะทำในส่วนที่ผู้หญิงทำได้ นางกลับจับดาบเพื่อต่อสู้เสมือนบุรุษเพศ แถมทำได้ดีกว่าผู้ชายส่วนมากด้วย จนอายุยี่สิบก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมแนวหน้าเพื่อไล่ล่าปิศาจที่หลงเหลืออยู่ในแดนมนุษย์
ดาบคู่เฟเรซิส นี่คือฉายาของนาง
ลูกธนูจากคันศรพุ่งเข้าแป้นซ้อมยิงธนู แม้จะอยู่ในวงสีที่ป้ายไว้แต่ก็ไม่ถึงกับจุดกลางที่เป็นกากบาท หญิงสาวร่างอวบแน่นอย่างนักกีฬาสบถหยาบคายแล้วขยี้ผมสีน้ำตาลอย่างหงุดหงิด ปีกสีขาวขยับไปมาด้วยความหัวเสีย
“ดาบเจ้าแม่นอย่างจับวาง แล้วเหตุใดธนูจึงพลาดเป้าได้ขนาดนั้น นั่นมันไกลแค่ 5 คีลเองนะ” รูเนลเพื่อนคนหนึ่งของเฟเรซิสร้องทัก เขามีแผงปีกสีน้ำตาลเข้ม
“ข้าสายตาสั้นน่ะสิ พอใช้ดาบแล้วอยู่ในระยะมองเห็นได้” เฟเรซิสตอบเครียดๆ
“อย่างนั้นก็ใส่แว่นสิ เจ้าจะได้มีฉายาเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง” เพื่อนหนุ่มล้อ “เป็นยัยปีกขาวแว่น”
ในชั่วเสี้ยววินาทีของความสนุกนั้นเฟเรซิสทีไม่ขำด้วย นางคว้าดาบเล่มใหญ่ที่วางไว้ข้างๆขึ้นมาเหวี่ยงไปที่คอของเพื่อนหนุ่ม จากนั้นก็ดึงดาบอีกเล่มที่ซ่อนไว้ในเข็มขัดออกมาหมายทิ่มแทงจมูก ทว่าดาบทั้งสองเล่มก็หยุดห่างจากเป้าหมายแค่เส้นขน
“พูดเรื่องนี้อีกครั้งเดียว จะไม่มีการออกเที่ยวด้วยกันอีกแล้ว...” หญิงสาวแสดงความเชี่ยวชาญเพลงดาบแล้วเก็บดาบทั้งคู่ในทันที
ไม่ทันให้ฝ่ายชายขอโทษ หญิงสาวก็ได้ยินเพื่อนทหารร้องบอกว่าผู้บัญชาการโทนาชเรียกพบ เฟเรซิสจึงรีบไปหาตามคำสั่งเรียกไม่รอคำขอโทษของเพื่อนชาย...
ในห้องของผู้บัญชาการเต็มไปด้วยเอกสารมากมายและแผนที่ของอิเดน เฟเรซิสทะลึ่งเข้าห้องโดยไม่เคาะประตูเป็นครั้งที่เท่าไรไม่ทราบได้ แต่มันไม่ได้ทำให้ผู้บัญชาการอารมณ์เสียเนื่องจากรู้นิสัยกันดี หญิงสาวโค้งคำนับแสดงความเคารพต่อหน้าชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ ปีกสีแดงเพลิงใหญ่แทบกินเนื้อที่หนึ่งในสี่ของห้อง
“ข้าส่งเจ้าไปอบรมมารยาทขั้นพื้นฐานมาหลายรอบแล้วนะเฟเรซิส” ผู้บัญชาการโทนาชเอ็ด เฟเรซิสหัวเราะแห้งๆ “อยากพักผ่อนไหม ข้าจะให้เงินค่าเดินทางเอง ไปเที่ยวรอบทวีปเทพนี่เลย สักสองเดือนคงพอ”
“ข้าเพิ่งกลับมาจากพักร้อนนะคะท่าน” เฟเรซิสเลิกคิ้วที่ดกหนา
“ข้าจะให้เจ้าไปสืบอย่างลับๆ...สายของข้ารายงานมา มีแหล่งซ่อมสุมของเหล่าปิศาจจำนวนมากที่ชายแดนด้านเหนือ พวกมันวางแผนสร้างกองกำลังใต้จมูกของเรา ข้าไม่อยากประมาทจึงอยากให้เจ้าไปสืบตามชายแดนทุกด้านเลย เอาแค่เบื้องต้นก็พอ ข้าไว้ใจสายสืบได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
“รับคำสั่งค่ะท่าน” เฟเรซิสโค้งทำความเคารพอีกครั้งเมื่อรับคำสั่ง “ข้าขออนุญาตออกความเห็นเรื่องปิศาจที่จับตัวมาได้ค่ะ...ท่านไม่จำเป็นต้องนำตัวเชลยไปส่งที่เขตแดนเหนือด้วยตัวเองเลย หากไม่ลำบากขอให้เป็นหน้าที่ข้า”
ผู้บัญชาการขยับแว่นมองลูกน้องสาวอย่างเข้าอกเข้าใจว่าเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเขา
“มันเป็นความรับผิดชอบของข้าเอง พวกเจ้าแค่เก็บกวาดและรวบรวมเหล่าปิศาจหลงฝูงในดินแดนเทพและเขตมนุษย์ให้ก็พอ” ผู้บัญชาการพูดอย่างมั่นใจ แล้วหยิบถุงทองอ้วนพีกับบัตรผ่านทางออกมาวางไว้ตรงหน้าเฟเรซิส “สืบให้ลับที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าจะหาข้ออ้างดีๆให้เจ้าเอง”
“รับทราบค่ะท่าน” หญิงสาวหยิบถุงเงินกับบัตรผ่านทางเตรียมทำงานชิ้นต่อไป...
ทันทีที่เฟเรซิสออกมาจากสำนักงานก็พบว่าผู้คนกำลังมุมดูอะไรสักอย่าง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแต่สายตาสั้น แทนที่จะบินขึ้นหลังคาเหมือนคนอื่นๆเธอกลับแทรกผู้คนเข้าไปอย่างยากเย็นเพราะปีกที่ติดหลัง
“ท่านเนอร์วาน่าไง อดีตเทพพิทักษ์ทิศตะวันตกเฉียงใต้อย่างไรล่ะ” เพื่อนคนหนึ่งของเฟเรซิสบอก
แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแต่ทุกอย่างยังคงเดิม นางคือเทพพยากรณ์ผู้มีใบหน้าขาวนวลกับเส้นผมสีม่วงคราม พระนางเคยเป็นหนึ่งในแปดเทพที่คอยค้ำจุนดินแดนนี้ แต่พอสงครามครั้งใหญ่จบลงพระนางก็ข้ามมิติไปลงหลักปักฐานในอีกดินแดนหนึ่ง และจะออกมาพบปะผู้คนเวลาสำคัญเท่านั้น
“เหล่าสายเลือดเทพทั้งหลาย” อดีตเทพเจ้าพูดขึ้น “นักรบเทพคนที่หนึ่งในคำทำนายอยู่ในหมู่พวกเจ้า หายนะของแดนมนุษย์และแดนเทพเกิดขึ้นแล้ว ขอให้ทุกคนตื่นตัวไม่ว่าจะใช่นักรบเทพหรือไม่ก็ตาม”
“บอกเราได้ไหมฝ่าบาท ว่าที่นักรบเทพคือใคร และเขาควรทำอย่างไร” มีคนหนึ่งร้องถาม อดีตเทพเจ้านิ่งไปพักหนึ่งเพื่อเลือกคำตอบ
“เขาหรือนางจะได้พบกับผู้กล้าคนแรก เมื่อนั้นภารกิจของเขาหรือนางจะเริ่มต้น”
แล้วร่างของอดีตเทพเจ้าก็จางหายไปราวหมอกควัน ทิ้งปริศนาให้เผ่าเทพทั้งหลายว่าใครกันที่จะได้เป็นนักรบเทพ และภารกิจที่ยิ่งใหญ่คืออะไร
“นักรบเทพต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากแน่ๆ” เฟเรซิสพูดกับเพื่อนข้างๆ “แม่ข้าเล่าตำนานเรื่องเทพเก่าแก่สมัยที่ทวีปของเรายังติดกับแผ่นดินใหญ่บ่อยๆ”
“แล้วเจ้าไปเอาถุงเงินกับบัตรผ่านทางมาจากไหน เห็นว่าท่านโทนาชเรียกพบไม่ใช่หรือ” เพื่อนของเฟเรซิสเอ่ยถาม
“ท่านบอกว่าข้าควรกลับไปพักผ่อนต่อ ส่วนนี้เป็นค่าแรงล่วงหน้า ข้าขอเบิกไปเที่ยวน่ะ” เฟเรซิสปด
“ข้าอยากไปบ้างจัง มีแผนหรือยังว่าจะไปไหน เผื่อข้าขอลาหยุดได้จะได้ไปด้วยกัน”
“ไม่รู้สิ พอออกจากอาคารได้ก็เจอคนมุงดูอดีตเทพนี่แหละ ไม่ทันคิดเลย”
“อย่างนั้นขอโชคของเทพีไวน์อยู่กับเจ้านะ”
“โชคของเทพดิคลาที่ ความรักของเทพีไวน์ จำสับกันแล้ว” เฟเรซิสที่ถูกอบรมเรื่องเทพเก่าแก่แทรกขึ้น
“เอาน่า ขอให้โชคดีติดปีก แล้วเจอกันเฟเรซิส”
เฟเรซิสเดินทางกลับบ้านไปลาพ่อกับแม่เพื่อออกเดินทางอีกครั้ง หญิงสาวชอบทำงานแต่นางชอบงานของผู้ชายเป็นพิเศษ และปฏิบัติการลับก็เป็นงานของผู้ชายเสียส่วนใหญ่ ด้วยความที่เป็นคนรับผิดชอบ เธอแวะบริษัทเดินทางเพื่อจองตั๋วในฐานะนักท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวทวีปเทพส่วนมากเป็นมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็น รองลงมาก็มีเหล่าเทพที่อยากเปิดหูเปิดตา แล้วก็เผ่าพันธุ์อื่นที่รักสงบและสามารถติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้ การเดินทางในแดนเทพทำได้โดยรถเทียมมังกรคันใหญ่นั่งได้สิบคนและลากรถโดยใช้มังกรสองตัว ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฟเรซิสเดินทางโดยใช้รถลากมังกร เพียงนางรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าบินโดยใช้ปีกของตัวเองเท่านั้น เสมือนกับได้ลองฝากชะตากรรมการเดินทางไว้กับสัตว์สี่เท้าฉะนั้น
รถเทียมมังกรคันนี้จะไปส่งคนที่เมืองเอสคอร์ที่เป็นท่าเรือรองรับนักท่องเที่ยวจริงๆ ไม่ใช่ศูนย์ใหญ่อย่างเมืองเกรียดัลที่เป็นนครหลวงของดินแดนเทพที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบริษัทท่องเที่ยว
เฟเรซิสมองไปยังทะเลเวิ้งว้างตรงหน้า เธอมาถึงเอสคอร์ได้สิบนาทีแล้ว กำลังตัดสินใจว่าจะไปพักที่ใดดี กลิ่นทะเลทำให้อารมณ์ของหญิงสาวเคลิบเคลิ้มไปพักใหญ่ๆ
(มีต่อ)
นางฟ้าเปื้อนเลือด(แฟนตาซี) ตอนที่ 1
แม้จะอ่อนแรงแต่ยังมีอีกสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อจบปัญหาเรื่องระหว่างมนุษย์กับปิศาจฝ่ายมืด สติเลือนรางพยายามใช้พลังจากอดีตกาลเพื่อเปลี่ยนบางอย่างบนผิวของดวงดาว เทือกเขาทางเหนือยืดตัวขึ้นกั้นพรมแดนระหว่างมนุษย์กับฝ่ายมืด ส่วนตะวันออกของทวีปใหญ่แยกตัวออกไปเพื่อจัดสรรให้เป็นดินแดนของพวกเทพ สายเลือดจากบรรพกาลเท่านั้น
“พอกันทียุคของเทพเจ้า ตอนนี้สมควรเข้าสู่ยุคของมนุษย์ได้แล้ว” เอริสสบถถ่มน้ำลายลงพื้น
“ยุคของมนุษย์ ทั้งที่ยังมีเทพเจ้าอย่างพวกเจ้าอยู่น่ะหรือ!” เสียงแหบพร่าของเทพปิศาจคอลลอฟลอยมาตามสายลม
“ยัง ยังไม่ใช่ตอนนี้...เมื่อถึงเวลาตัดสินของดาวดวงนี้มาถึงเท่านั้น ไม่ว่ามนุษย์จะมีค่าให้มีชีวิตต่อหรือไม่ พวกเราจะไปจากดาวดวงนี้” เอริสพูดอย่างเหนื่อยล้า “ฝ่ายเจ้าก็อึดเหมือนกัน ข้ากับเทพมังกรร่วมมือกับกองพันเทพและมนุษย์ยังทำได้แค่เสมอ ต้องแลกปีกข้ากับร่างเนื้อของเจ้า”
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ เจ้าจะสู้กับวิญญาณของข้าทั้งแบบนั้น หรือจะกลับไปรวบรวมกำลังพลมาดวลกันใหม่”
“ข้าจะเอาเจ้าไปนอนกอดที่ใจกลางดวงดาวน่ะสิ” เอริสหัวเราะแห้งๆ “แต่มันไม่จบแค่นั้นหรือกนะ ข้าจะแบ่งพลังของข้าเป็นสิบส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้ดูความเป็นไปของอิเดน ส่วนหนึ่งข้าจะดึงเจ้าเข้าสู่ผนึกแห่งการหลับใหลพร้อมข้า ระหว่างนั้นเจ้าจะทำอะไรไม่ได้จนกว่าอิเดนจะพร้อมสู้กับเจ้าอีก
“อีกแปดส่วนข้าจะเอาไปปลุกพลังแห่งธรณี และมอบมันให้กับนักรบเทพทั้งแปดในอนาคต แน่นอนนักรบเทพอาจเป็นใครก็ได้ เผ่าเทพ มนุษย์ สัตว์ หรือแม้แต่ปิศาจ”
“แปดรุมหนึ่ง ยังพูดได้อีกหรือว่าเป็นฝ่ายดี”
“ไม่มีคำว่าโกงในความรักและสงคราม และสิบสองต่างหาก พวกข้าผู้ปกครองทิศทั้งสี่ของอิเดนพร้อมสู้กับเจ้าอีกครั้ง อาจมีเพิ่มด้วยถ้าคนอื่นอยาก”
เทพปิศาจหัวเราะแล้วบอกว่ามันก็มีลูกน้องฝีมือดีอยู่เหมือนกัน และจะรอวันที่ตื่นขึ้นมาปะทะกับเอริสและนักรบเทพทั้งแปด จากนั้นเทพเอริสแห่งแดนเหนือและเทพปิศาจก็เข้าสู่การหลับใหลไปพร้อมกัน
อิเดนเข้าสู่ความสงบชั่วคราว เทพเจ้าองค์อื่นต่างขับไล่ปิศาจให้ไปอยู่หลังเทือกเขาทางเหนือ ส่วนพวกสายเลือดเทพที่มีปีกก็ไปอยู่ในทวีปย่อยที่เอริสแบ่งส่วนออกไป ส่วนเทพผู้พิทักษ์ทิศทั้งสามรวมถึงเสี้ยวหนึ่งของเอริสก็สถาปนาตนเป็นเสาค้ำจุนทั้งสี่ รอวันจุติของเหล่านักรบเทพ...
เด็กหญิงเผ่าเทพยอมหลับตาลงหลังจากแม่ของนางเล่าตำนานเก่าแก่เกี่ยวกับสงครามครั้งใหญ่ให้ฟัง ผู้เป็นมารดาลูบผมสีน้ำตาลของลูก นางมองปีกสีขาวบริสุทธิ์ของเด็กน้อยวัยห้าขวบอย่างครุ่นคิด ปกติผู้คนในแดนเทพจะมีปีกที่เป็นสีตามธาตุของตน เช่นของแม่เป็นสีแดงของธาตุไฟ หากเด็กน้อยคนนี้กลับมีปีกสีขาว หรือนี่อาจเป็นสัญลักษณ์ของผู้ถูกเลือกเป็นนักรบเทพ ผู้เป็นแม่มองลูกด้วยความกังวลแล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยเด็กน้อยหลับไปในค่ำคืนที่ปกติสุข...็
********************************************
เวลาผ่านไปสิบห้าปี จากเด็กน้อยปีกขาวก็กลายเป็นนักรบปีกขาว นางมีชื่อว่า เฟเรซิส เฟเรซิสมีความเชื่อเหมือนกับชนเผ่าเทพส่วนใหญ่ว่าชะตากรรมของเหล่าเทพคือต่อสู้กับปิศาจ แทนที่จะทำในส่วนที่ผู้หญิงทำได้ นางกลับจับดาบเพื่อต่อสู้เสมือนบุรุษเพศ แถมทำได้ดีกว่าผู้ชายส่วนมากด้วย จนอายุยี่สิบก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมแนวหน้าเพื่อไล่ล่าปิศาจที่หลงเหลืออยู่ในแดนมนุษย์
ดาบคู่เฟเรซิส นี่คือฉายาของนาง
ลูกธนูจากคันศรพุ่งเข้าแป้นซ้อมยิงธนู แม้จะอยู่ในวงสีที่ป้ายไว้แต่ก็ไม่ถึงกับจุดกลางที่เป็นกากบาท หญิงสาวร่างอวบแน่นอย่างนักกีฬาสบถหยาบคายแล้วขยี้ผมสีน้ำตาลอย่างหงุดหงิด ปีกสีขาวขยับไปมาด้วยความหัวเสีย
“ดาบเจ้าแม่นอย่างจับวาง แล้วเหตุใดธนูจึงพลาดเป้าได้ขนาดนั้น นั่นมันไกลแค่ 5 คีลเองนะ” รูเนลเพื่อนคนหนึ่งของเฟเรซิสร้องทัก เขามีแผงปีกสีน้ำตาลเข้ม
“ข้าสายตาสั้นน่ะสิ พอใช้ดาบแล้วอยู่ในระยะมองเห็นได้” เฟเรซิสตอบเครียดๆ
“อย่างนั้นก็ใส่แว่นสิ เจ้าจะได้มีฉายาเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง” เพื่อนหนุ่มล้อ “เป็นยัยปีกขาวแว่น”
ในชั่วเสี้ยววินาทีของความสนุกนั้นเฟเรซิสทีไม่ขำด้วย นางคว้าดาบเล่มใหญ่ที่วางไว้ข้างๆขึ้นมาเหวี่ยงไปที่คอของเพื่อนหนุ่ม จากนั้นก็ดึงดาบอีกเล่มที่ซ่อนไว้ในเข็มขัดออกมาหมายทิ่มแทงจมูก ทว่าดาบทั้งสองเล่มก็หยุดห่างจากเป้าหมายแค่เส้นขน
“พูดเรื่องนี้อีกครั้งเดียว จะไม่มีการออกเที่ยวด้วยกันอีกแล้ว...” หญิงสาวแสดงความเชี่ยวชาญเพลงดาบแล้วเก็บดาบทั้งคู่ในทันที
ไม่ทันให้ฝ่ายชายขอโทษ หญิงสาวก็ได้ยินเพื่อนทหารร้องบอกว่าผู้บัญชาการโทนาชเรียกพบ เฟเรซิสจึงรีบไปหาตามคำสั่งเรียกไม่รอคำขอโทษของเพื่อนชาย...
ในห้องของผู้บัญชาการเต็มไปด้วยเอกสารมากมายและแผนที่ของอิเดน เฟเรซิสทะลึ่งเข้าห้องโดยไม่เคาะประตูเป็นครั้งที่เท่าไรไม่ทราบได้ แต่มันไม่ได้ทำให้ผู้บัญชาการอารมณ์เสียเนื่องจากรู้นิสัยกันดี หญิงสาวโค้งคำนับแสดงความเคารพต่อหน้าชายร่างสูงใหญ่ที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ ปีกสีแดงเพลิงใหญ่แทบกินเนื้อที่หนึ่งในสี่ของห้อง
“ข้าส่งเจ้าไปอบรมมารยาทขั้นพื้นฐานมาหลายรอบแล้วนะเฟเรซิส” ผู้บัญชาการโทนาชเอ็ด เฟเรซิสหัวเราะแห้งๆ “อยากพักผ่อนไหม ข้าจะให้เงินค่าเดินทางเอง ไปเที่ยวรอบทวีปเทพนี่เลย สักสองเดือนคงพอ”
“ข้าเพิ่งกลับมาจากพักร้อนนะคะท่าน” เฟเรซิสเลิกคิ้วที่ดกหนา
“ข้าจะให้เจ้าไปสืบอย่างลับๆ...สายของข้ารายงานมา มีแหล่งซ่อมสุมของเหล่าปิศาจจำนวนมากที่ชายแดนด้านเหนือ พวกมันวางแผนสร้างกองกำลังใต้จมูกของเรา ข้าไม่อยากประมาทจึงอยากให้เจ้าไปสืบตามชายแดนทุกด้านเลย เอาแค่เบื้องต้นก็พอ ข้าไว้ใจสายสืบได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
“รับคำสั่งค่ะท่าน” เฟเรซิสโค้งทำความเคารพอีกครั้งเมื่อรับคำสั่ง “ข้าขออนุญาตออกความเห็นเรื่องปิศาจที่จับตัวมาได้ค่ะ...ท่านไม่จำเป็นต้องนำตัวเชลยไปส่งที่เขตแดนเหนือด้วยตัวเองเลย หากไม่ลำบากขอให้เป็นหน้าที่ข้า”
ผู้บัญชาการขยับแว่นมองลูกน้องสาวอย่างเข้าอกเข้าใจว่าเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเขา
“มันเป็นความรับผิดชอบของข้าเอง พวกเจ้าแค่เก็บกวาดและรวบรวมเหล่าปิศาจหลงฝูงในดินแดนเทพและเขตมนุษย์ให้ก็พอ” ผู้บัญชาการพูดอย่างมั่นใจ แล้วหยิบถุงทองอ้วนพีกับบัตรผ่านทางออกมาวางไว้ตรงหน้าเฟเรซิส “สืบให้ลับที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าจะหาข้ออ้างดีๆให้เจ้าเอง”
“รับทราบค่ะท่าน” หญิงสาวหยิบถุงเงินกับบัตรผ่านทางเตรียมทำงานชิ้นต่อไป...
ทันทีที่เฟเรซิสออกมาจากสำนักงานก็พบว่าผู้คนกำลังมุมดูอะไรสักอย่าง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแต่สายตาสั้น แทนที่จะบินขึ้นหลังคาเหมือนคนอื่นๆเธอกลับแทรกผู้คนเข้าไปอย่างยากเย็นเพราะปีกที่ติดหลัง
“ท่านเนอร์วาน่าไง อดีตเทพพิทักษ์ทิศตะวันตกเฉียงใต้อย่างไรล่ะ” เพื่อนคนหนึ่งของเฟเรซิสบอก
แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแต่ทุกอย่างยังคงเดิม นางคือเทพพยากรณ์ผู้มีใบหน้าขาวนวลกับเส้นผมสีม่วงคราม พระนางเคยเป็นหนึ่งในแปดเทพที่คอยค้ำจุนดินแดนนี้ แต่พอสงครามครั้งใหญ่จบลงพระนางก็ข้ามมิติไปลงหลักปักฐานในอีกดินแดนหนึ่ง และจะออกมาพบปะผู้คนเวลาสำคัญเท่านั้น
“เหล่าสายเลือดเทพทั้งหลาย” อดีตเทพเจ้าพูดขึ้น “นักรบเทพคนที่หนึ่งในคำทำนายอยู่ในหมู่พวกเจ้า หายนะของแดนมนุษย์และแดนเทพเกิดขึ้นแล้ว ขอให้ทุกคนตื่นตัวไม่ว่าจะใช่นักรบเทพหรือไม่ก็ตาม”
“บอกเราได้ไหมฝ่าบาท ว่าที่นักรบเทพคือใคร และเขาควรทำอย่างไร” มีคนหนึ่งร้องถาม อดีตเทพเจ้านิ่งไปพักหนึ่งเพื่อเลือกคำตอบ
“เขาหรือนางจะได้พบกับผู้กล้าคนแรก เมื่อนั้นภารกิจของเขาหรือนางจะเริ่มต้น”
แล้วร่างของอดีตเทพเจ้าก็จางหายไปราวหมอกควัน ทิ้งปริศนาให้เผ่าเทพทั้งหลายว่าใครกันที่จะได้เป็นนักรบเทพ และภารกิจที่ยิ่งใหญ่คืออะไร
“นักรบเทพต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากแน่ๆ” เฟเรซิสพูดกับเพื่อนข้างๆ “แม่ข้าเล่าตำนานเรื่องเทพเก่าแก่สมัยที่ทวีปของเรายังติดกับแผ่นดินใหญ่บ่อยๆ”
“แล้วเจ้าไปเอาถุงเงินกับบัตรผ่านทางมาจากไหน เห็นว่าท่านโทนาชเรียกพบไม่ใช่หรือ” เพื่อนของเฟเรซิสเอ่ยถาม
“ท่านบอกว่าข้าควรกลับไปพักผ่อนต่อ ส่วนนี้เป็นค่าแรงล่วงหน้า ข้าขอเบิกไปเที่ยวน่ะ” เฟเรซิสปด
“ข้าอยากไปบ้างจัง มีแผนหรือยังว่าจะไปไหน เผื่อข้าขอลาหยุดได้จะได้ไปด้วยกัน”
“ไม่รู้สิ พอออกจากอาคารได้ก็เจอคนมุงดูอดีตเทพนี่แหละ ไม่ทันคิดเลย”
“อย่างนั้นขอโชคของเทพีไวน์อยู่กับเจ้านะ”
“โชคของเทพดิคลาที่ ความรักของเทพีไวน์ จำสับกันแล้ว” เฟเรซิสที่ถูกอบรมเรื่องเทพเก่าแก่แทรกขึ้น
“เอาน่า ขอให้โชคดีติดปีก แล้วเจอกันเฟเรซิส”
เฟเรซิสเดินทางกลับบ้านไปลาพ่อกับแม่เพื่อออกเดินทางอีกครั้ง หญิงสาวชอบทำงานแต่นางชอบงานของผู้ชายเป็นพิเศษ และปฏิบัติการลับก็เป็นงานของผู้ชายเสียส่วนใหญ่ ด้วยความที่เป็นคนรับผิดชอบ เธอแวะบริษัทเดินทางเพื่อจองตั๋วในฐานะนักท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวทวีปเทพส่วนมากเป็นมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็น รองลงมาก็มีเหล่าเทพที่อยากเปิดหูเปิดตา แล้วก็เผ่าพันธุ์อื่นที่รักสงบและสามารถติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้ การเดินทางในแดนเทพทำได้โดยรถเทียมมังกรคันใหญ่นั่งได้สิบคนและลากรถโดยใช้มังกรสองตัว ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฟเรซิสเดินทางโดยใช้รถลากมังกร เพียงนางรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าบินโดยใช้ปีกของตัวเองเท่านั้น เสมือนกับได้ลองฝากชะตากรรมการเดินทางไว้กับสัตว์สี่เท้าฉะนั้น
รถเทียมมังกรคันนี้จะไปส่งคนที่เมืองเอสคอร์ที่เป็นท่าเรือรองรับนักท่องเที่ยวจริงๆ ไม่ใช่ศูนย์ใหญ่อย่างเมืองเกรียดัลที่เป็นนครหลวงของดินแดนเทพที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบริษัทท่องเที่ยว
เฟเรซิสมองไปยังทะเลเวิ้งว้างตรงหน้า เธอมาถึงเอสคอร์ได้สิบนาทีแล้ว กำลังตัดสินใจว่าจะไปพักที่ใดดี กลิ่นทะเลทำให้อารมณ์ของหญิงสาวเคลิบเคลิ้มไปพักใหญ่ๆ
(มีต่อ)