สัญญาอมตะ ตอนที่ 19

กระทู้คำถาม
หากถามเซธว่าชอบฝันแบบใดมากกว่ากันระหว่างความทรงจำของตัวเองกับความทรงจำของคนอื่นเขาคงตอบว่าชอบอย่างแรก ผู้เป็นอมตะชอบมองดูเรื่องราวของตนผ่านความฝันเสมือนกลับไปในเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง ไม่เหมือนความทรงจำของคนอื่นซึ่งมีเรื่องราวต่างไปเหมือนฝันแต่มันเกิดขึ้นจริง แถมเขายังรู้ตัวตลอดเหมือนไม่ได้พักจริงจัง คืนนี้เป็นการฝันเห็นความทรงจำของคนอื่นครั้งที่สอง 
 
            ผู้เป็นอมตะหลับตาไม่นานรอบด้านกลับกลายเป็นห้องนั่งเล่นสว่างโล่ง ท่านผู้นั้นครั้งยังหนุ่มพูดพล่ามบางอย่างเกี่ยวกับการเก็บรักษาของสำคัญ นี่อาจเป็นความทรงจำของ ‘เขา’ กระมัง เซธคิด เขาจำใจฟังท่านผู้นั้นพูดเพื่อฆ่าเวลา
 
            “...นั่นทำให้ข้าคิดว่าควรย้ายแหล่งเก็บข้อมูลบันทึกไปไว้ปราการเหนือแทน ปลอดภัยกว่า ขอเวลาเรียนรู้ระบบป้องกันกับทำความสะอาดสักนิด” ท่านผู้นั้นนั่งโบกไม้โบกมือตรงหน้า ‘เขา’ ผู้เป็นเหมือนสิ่งจำกัดมุมมองของเซธ
 
            “มีคนเริ่มเรียกเจ้าว่าเด็กอวดดีหรือยัง” เสียงของ ‘เขา’ ฟังดูสงบและน่าเคารพ 
 
            “ท่านจะเป็นคนแรก” ท่านผู้นั้นวัยหนุ่มหัวเราะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่อยากคุยเรื่องนี้ก็เปลี่ยนบทสนทนาทันที ท่านผู้นั้นในอดีตตบกองกระดาษเปล่าฟอกสีอย่างเป็นทางการบนโต๊ะรับแขกตรงหน้า “หลังจากนี้ท่านจะเป็นเงาของข้า ดังนั้นมาจัดการเรื่องของเราเสียให้เสร็จดีกว่า ข้อตกลงระหว่างพวกเรา รักของท่านแลกกับอำนาจของข้า ท่านต้องการอะไรบ้าง” 
 
            ท่านผู้นั้นในอดีตเลื่อนกระดาษกับแผ่นรองเขียนออกมาอย่างจริงจัง
 
            “อย่างแรกเจ้าคงเห็นในความฝันที่ฉายให้ดูแล้ว ดนตรี หมอนั่งเล่นดนตรีเก่งแต่ข้าไม่”  
 
            “จะให้หาขลุ่ยเทพวายุมาด้วยไหม เวลาผ่านมาไม่นานคงตามได้ไม่ยาก” ท่านผู้นั้นขีดเขียนแท่งถ่านโดยไม่ยิ้มเลย ‘เขา’ คงส่ายหน้าปฏิเสธเพราะท่านผู้นั้นบอกว่าลดงานได้อย่างหนึ่ง
 
            “อย่างที่สองฐานะ เพราะหมอนั่นมีเชื้อสายของเจ้าหญิงเก่าแก่จึงสามารถแต่งกับนางได้ ถ้าข้าไม่ได้เป็นคนธรรมดาคงสามารถขอนางแต่งงานได้เช่นกัน”
 
            ท่านผู้นั้นกลั้นยิ้มน้อย ๆ ขณะเขียนมันลงบนกระดาษ
 
            “สองคนนั้นไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหมท่านจึงรอดได้จนมีลูกมีหลาน ท่านเมรีเซียกับเลสลีย์ คนหลังเป็นเพื่อนท่านพี่ด้วย” ท่านผู้นั้นวัยหนุ่มยิ้มให้ ‘เขา’ นั่นทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างท่านผู้นั้นในปัจจุบันกับอดีต “หากท่านต้องการจริง ๆ ข้าจะคุยกับเสาค้ำจุนขอเลือกสายเลือดจากเจ้าเมืองสักแห่ง หากข้าทำการทดสอบทั้งหมดสำเร็จจะได้งานดูแลเขตมนุษย์ จะต้องหาครอบครัวที่ดีให้ท่านได้แน่นอน”
 
            “หลังจากนั้นต้องพึ่งเจ้าให้ข้าคนใหม่พบกับนางและแต่งงานมีครอบครัวกัน” 
 
            ท่านผู้นั้นพยักหน้าพลางนึกว่าขาดสิ่งใดอีกบ้าง
 
            “เรื่องสำคัญคือพลังของท่าน มันฝังอยู่ในวิญญาณและมีการสะสมพลังเวทตลอดเวลา ข้าตัดมาเป็นของตัวเองได้แต่ต้องอาศัยความยินยอม” ท่านผู้นั้นชี้แท่งถ่านมาทางเซธ น่าจะเป็นจุดที่ ‘เขา’ นั่งอยู่นั่นเอง 
 
            “เอาไปสิ ข้าลำบากอยู่นานเพราะพลังอำนาจพวกนี้ การดำรงอยู่ในกลุ่มคนธรรมดาจะมีของพรรค์นั้นเพื่ออะไร หากต้องป้องกันตัวก็จะขอทำอย่างคนธรรมดาไม่พึ่งพลังเหนือมนุษย์
 
            ท่านผู้นั้นเคาะแท่งถ่านกับกระดาษจนเป็นจุดดำ เซธคิดว่าท่านผู้นั้นจะกระโจนเข้าหาข้อตกลงนี้เสียอีก
 
            “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากได้พลังอำนาจของท่านทั้งหมด ข้าได้รับการเตือนจากผู้มีเนตรแห่งเทพพยากรณ์ พระนางบอกข้าว่าอย่าด่วนตัดสินใจทำเรื่องสำคัญ ลางสังหรณ์บางอย่างบอกข้าว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้...ดังนั้น เมื่อข้าส่งท่านไปเกิดใหม่จะทำการปิดผนึกส่วนหนึ่งของวิญญาณท่านเอาไว้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีเหตุร้ายจึงจะตัดมันออกมา เวลาปกติข้าจะคอยกันการสะสมพลังเวทในวิญญาณให้จะได้ไม่มีปัญหาเพิ่ม อาจมีปัญหาร่างไม่สะสมพลังเวทแต่ผู้มีอาการแบบนี้ตามธรรมชาติก็มี ท่านยอมไหม”
 
            เซธยอมรับว่าเข้าใจท่านผู้นั้นผิดอยู่มากโขตลอดหกร้อยปี ท่านผู้นั้นเหมือนพ่อที่ทำเพื่อเขาเสมอ ขนาดเรื่องการขโมยพลังเวทยังผ่านการตกลงกันมาก่อนหน้า พอจะให้คืนก็แนะนำวิธีปรับตัวให้เข้ากับเวทมนตร์ไม่ใช่ปล่อยทิ้งตามยถากรรม 
 
            “แล้วจะให้ข้าแยกวิญญาณของพวกนางออกจากกันด้วยไหม สองคนนั่นรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ถ้าข้าค้นหรือศึกษาจากจุดเริ่มอาจหาทางได้ ท่านคงอยากได้ไลลัคมากกว่ายัยอัศวินมังกรนั่น” ท่านผู้นั้นชี้แท่งถ่านไปทางลูกแก้วกักวิญญาณ
 
            “ข้าดีใจที่เจ้ากระตือรือร้นอยากให้ถูกต้องและครบถ้วน” เสียงของ ‘เขา’ ฟังดูผ่อนคลายเกินกว่ากำลังพูดเรื่องสำคัญ “บางเรื่องเกินมือก็ไม่ต้อง ดั้งเดิมข้าก็ถูกส่งไปรวมกับเจ้าอยู่แล้ว แม้แต่ร่างนี่ก็ถูกแยกมาจากส่วนหนึ่งของเจ้า เรื่องนี้ย่อมขึ้นกับเจ้าเป็นสำคัญ”
 
            “อย่างนั้นหลัก ๆ ก็แค่นี้” ท่านผู้นั้นขีดเส้นยาวจบบรรทัดอย่างโล่งใจ “แล้วก็ชื่อ หมอนั่นได้ฉายาผู้กล้าแสงตะวันนี่”
 
            เซธได้ยินคำสบถอย่างดูถูกจาก ‘เขา’ 
 
            “ข้าอ่านตำราโบราณมากมายมีชื่อหนึ่งแปลว่าดวงตะวัน ‘อนาทอล’ ท่านชอบไหม” ท่านผู้นั้นเพ่งสมาธิขีดวาดลายเส้นบนอากาศด้วยไฟจนเป็นชื่อดังกล่าว “หากท่านชอบข้าจะให้ชื่อชีวิตใหม่ของท่านว่าอนาทอล ตอนนี้ท่านอาจเป็น#### แต่เมื่อเกิดใหม่ท่านจะเป็นอนาทอลของข้า มันจะไม่มีวันเปลี่ยนเหมือนสัญญาของเรา”
 
            เซธแสดงอาการหงุดหงิดเมื่อมีพลังอำนาจบางอย่างปิดกั้นชื่อของ ‘เขา’ ให้หลุดจากการรับรู้ หากรู้ชื่อเขาอาจหาประวัติอ่านได้ ผู้เป็นอมตะกำลังซาบซึ้งเพราะเจตนาดีของท่านผู้นั้นรอบด้านก็บิดเบี้ยวและมืดลง เขากำลังหลุดจากความฝัน!...
 
 
            เซธลืมตาโพลงเพราะเสียงครืนดังสนั่นต่อเนื่องเหมือนเกิดภัยพิบัติ! นอกหน้าต่างห้องนอนมีแสงเรื่อเรืองบนท้องฟ้าเหมือนยานบินลำใหญ่ลอยเหนือเมืองหลวงของสหพันธรัฐ เส้นแสงตรงตัดผ่านกันคล้ายสัญลักษณ์ของพวกปิศาจในผ้าคลุมสกปรกแต่ไม่ใช่ เขาพุ่งไปที่หน้าต่างพบว่ามีลมพายุใหญ่พัดต้นไม้กับสิ่งของเล็ก ๆ พังวินาศราวฟ้าถล่ม กระทั่งรถยนต์บนถนนกับบ้านเรือนนอกกำแพงยังพากันเลื่อนไปกองรวมเหมือนโดนมือยักษ์กวาด อาจเพราะการป้องกันของท่านผู้นั้นทำให้พื้นที่ในเขตรั้วรัฐสภาไม่มีผลกระทบใด ๆ นอกจากแสงและเสียง
 
            ลมวูบหนึ่งพัดผ่านหน้าต่างนำกลิ่นดอกไม้ป่าและเวทมนตร์คุ้นเคยเข้าหาเซธ คนทำสิ่งนี้คือสายเลือดของท่านผู้นั้น!
 
            สีหน้าของเซธเปลี่ยนเป็นตระหนก เขาคิดไปหาท่านผู้นั้นแต่ประตูห้องเหวี่ยงเปิดทันที ท่านผู้นั้นในเวลาปัจจุบันเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ตอนนี้ดึกมากแล้วแต่ท่านผู้นั้นยังใส่เสื้อคอปกกางเกงขายาวเหมือนเวลาทำงาน
 
            “อย่ามัวแต่หลับอุตุอยู่อนาทอล คนข้างนอกโน่นจะตายกันหมดแล้ว!” ท่านผู้นั้นร้องอย่างหัวเสีย เซธต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะแยกท่านผู้นั้นในอดีตกับตอนนี้ได้ “ข้าให้พวกพนักงานออกไปช่วยพาคนเข้ามาหลบภัยในนี้ ระหว่างนั้นรบกวนเจ้าขี่นกขึ้นไปดูวงเวทย์บนฟ้าที ศูนย์กลางแทบอยู่เหนือหัวเราพอดี!”
 
            “สายเลือดของฝ่าบาท ข้าไม่รู้ว่าเขามีแผนอะไร คิดว่าคุยรู้เรื่องแล้วเสียอีก” เซธรีบขอให้ซาเรียเรียกพิณเทพพิรุณออกมาจากห้วงมิติ ท่านผู้นั้นแทบข่มความฉุนเฉียวไม่ได้
 
            “พวกเจ้าได้คุยกันแค่สองสามนาทีจะหลงประเด็นก็ไม่แปลกหรอก เพราะฉะนั้นรีบไปทำให้จบเรื่องไม่ก็จัดการให้หยุดเวทมนตร์พวกนี้ด้วยกำลัง อนุญาตให้ทำร้ายร่างกายตามสบายแค่อย่าให้ถึงตายก็พอ แล้วห้ามพามาเพราะถ้าเขารู้ว่าข้ายังอยู่เรื่องจะเลยเถิด!” 
 
            เซธสัมผัสจากน้ำเสียงว่ามีการกล่าวโทษแม้จะไม่ชัดเจนทางคำพูด เขารับคำทันทีเพราะรู้ว่าเป็นความรับผิดชอบของตัวที่จุดประกายให้สายเลือดของท่านผู้นั้นทำเรื่องบ้าระห่ำ โชคยังเข้าข้างที่เขาใส่ชุดลำลองนอนเป็นปกติวิสัย แค่ก้าวไปคว้ารองเท้าข้างประตูห้องก็ออกไปข้างนอกทางหน้าต่างได้เลย ท่ามกลางความมืดไม่มีสิ่งใดสื่อสารว่ามาอย่างสันติได้ดีกว่าแสงสว่าง เขาเลื่อนเก้าอี้ข้างโต๊ะเขียนหนังสือมาวางข้างหน้าต่างสำหรับเหยียบยืนขึ้นไปนั่งบนหลังพาหนะ
 
            ผู้เป็นอมตะสงบความเร่งร้อนบรรจงถ่ายทอดคำสั่งผ่านการกรีดสายพิณ ดวงไฟก่อตัวนอกหน้าต่างแข่งกับแสงไฟหรี่ ๆ ดับ ๆ ข้างถนน ร่างนกธาตุไฟหยุดการสร้างร่างเพราะผู้เรียกไม่สามารถหายใจได้ตามปกติเสียอย่างนั้น ปอดและเครื่องในของเซธบีบตัวจนเล่นเพลงต่อไม่ได้ เขาหายใจเข้าออกยาวเหยียดบังคับร่างกายให้คืนสภาพปกติจึงสามารถเรียกวิหคพิณต่อได้อย่างทุลักทุเล จากแค่โครงร่างไฟจึงเริ่มขยายขนาดต่อ
 
            “ธาตุไฟยังไม่เสถียร เปลี่ยนเป็นตัวอื่นยังทันนะ” ท่านผู้นั้นส่งแนะนำมาด้วยน้ำเสียงขบขัน นั่นทำให้เซธมีมานะอยากสร้างวิหคไฟให้สมบูรณ์
 
            เซธเชื่อเสมอว่าความพยายามนำความสำเร็จที่งดงาม วิหคเพลิงจากการรวบรวมพลังกายและพลังเวทสวยงามและทรงพลังขึ้น ขนสีส้มสดเหมือนเปลวไฟ หางยาวเป็นเส้นสายแต่งแต้มด้วยดวงไฟสีเขียว ดวงตาคือลูกไฟสีน้ำเงินเข้ม เขาสู้แสงเจิดจ้าพร้อมกับก้าวขึ้นเก้าอี้อย่างยากลำบากกระทั่งหย่อนตัวบนหลังของนกไฟได้ในที่สุด 
 
            ผู้เป็นอมตะจำครั้งแรกที่ลองเรียกวิหคธาตุไฟได้ดี เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้เพราะกลัวโดนเผา สุดท้ายท่านผู้นั้นต้องยันตัวเขาไปหามันพร้อมบอกว่าถ้าถ่ายคำสั่งผ่านเสียงดนตรีจะควบคุมความร้อนได้ดั่งใจ เซธยังหายใจขัดจนถ่ายทอดคำสั่งไม่ถนัดนักทำให้ร้อนเหมือนนั่งหน้าเตาหลอมเหล็ก
 
            “เปลี่ยนดีกว่าน่า ถ้าโดนเผาจะไม่คุ้มเวลาที่เสียไป!” 
 
            การพูดคุยกับท่านผู้นั้นตัวปลอมไม่แค่ปลุกความอยากรู้อยากเห็นของเซธ มันปลุกความหัวรั้นด้วยเช่นกัน ความรู้สึกต่อต้านเรียกให้เขาบินขึ้นไปหาตาพายุเหนือเขตรัฐสภาด้วยพาหนะตัวนี้
 
            สัญลักษณ์บนท้องฟ้าส่องแสงเป็นกลุ่มวงกลมเหมือนดาวสีแดงเรื่อ ๆ เมฆรอบด้านหมุนวนล้อมมันเหมือนต้นกำเนิดพายุใหญ่ เซธสัมผัสม่านเวทมนตร์บาง ๆ เมื่อบินขึ้นเหนือหลังคา กลุ่มเมฆบางส่วนไหลแยกเข้ามาในส่วนตาพายุแล้วรวมตัวเป็นลูกแก้วสีขุ่น เซธกลืนน้ำลายเพราะมันเหมือนคราวอินวิเดียไม่มีผิด!
 
            กระสุนน้ำแรงสูงยิงทะลุแขนของผู้เป็นอมตะตัดกระดูกแขนก่อนหลบหรือทำลายระบบป้องกันได้ ความเจ็บปวดและอาการหายใจไม่ทันทำให้เขาไม่สามารถคงสภาพวิหคมนตราได้อีกต่อไป รู้ตัวอีกทีสิ่งรองนั่งก็หายไปจนร่วงหล่นกระแทกหลังคาอาคารอย่างไร้การป้องกัน! 
 
            เซธนอนร้องกลางกองเลือดตัวเองบนหลังคาอาคารหลังหนึ่ง โชคดีที่ตรงนั้นต่ำกว่าม่านตรวจจับจึงไม่โดนกระสุนน้ำอีก เขาฝืนความเจ็บปวดลุกขึ้นอย่างยากเย็น สายเลือดของท่านผู้นั้นคงเห็นแล้วจึงลงมายืนตรงหน้าเหมือนกำลังนำเสนอผลงาน
 
            “ไม่คิดว่าคุณจะขึ้นมาเองแบบนี้ ขอโทษที่ระบบป้องกันทำงานเอง” สายเลือดของท่านผู้นั้นพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวท่ามกลางเสียงสายลมบดขยี้ทุกอย่างนอกเขตรั้ว “ว่าแต่ใครสร้างอาณาเขตป้องกันรัฐสภาเอาไว้ ถ้าไม่มีช่องว่างที่คุณหล่นลงมาผมคงเข้ามาไม่ได้”
 
            ผู้เป็นอมตะยังประคองสติจากการกระแทกพื้นไม่ไหว เขายืนนิ่งอดทนรอให้ร่างกายฟื้นตัวทั้งที่กำอาวุธหนึ่งเดียวของตนไว้
 
            “หยุดได้ไหม” เซธรวบรวมแรงน้อยนิดพูดอย่างชัดเจนว่าเรื่องตรงหน้าไม่ถูกต้อง
 
            สายเลือดของท่านผู้นั้นมองอย่างตั้งคำถามว่าตนทำสิ่งใดผิด
 
            “คุณบอกว่าจะต้องแสดงความตั้งใจจริง ผมจึงอยากทำทุกอย่างด้วยการทุ่มสุดตัว เริ่มจากหัวใจของสหพันธรัฐก่อนแล้วค่อยขยายพื้นที่ออกไป ผมคิดว่าคงมีการตอบโต้แต่ไม่คิดว่าคุณจะมาเอง”
 
            เซธก่นด่าตัวเองที่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปคนละทาง เขาต้องการให้มานั่งคุยกันอย่างจริงจังว่าควรทำอย่างไรให้เวทมนตร์กับวิทยาศาสตร์เกิดสมดุล ไม่ใช่ปฏิวัติแบบบ้าเลือดอย่างนี้! เขาคิดว่าคราวนี้การฟื้นตัวช้ากว่าปกติ แขนขาขยับแรง ๆ ได้แล้วทว่าความเจ็บปวดจากภายในยังอยู่ คงต้องใช้เวลาสักอึดใจหากต้องใช้กำลังเข้าขวาง
 
(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่