“มีสัตว์พลัดถิ่นอยู่ที่นั่น แต่ท่านผู้ช่วยจับตัวไปปล่อยแหล่งอาศัยแล้ว สัตว์พลัดถิ่นนั่นล่ะที่กินสัตว์และมนุษย์ที่หลงเข้าไปในป่าดำ” เซ็ทส์ปดเรื่องที่ไปสำรวจที่ป่าดำให้ฟัง “เป็นมังกรชนิดหนึ่งที่มีเกล็ดและขนสีส้ม”
“ที่เขาเรียกว่าพันธุ์แปลกปลอมใช่ไหม” แบบนี้เองสัตว์ต่างๆถึงโดนกินจนหมด” รวิกานต์เคาะปากกากับสมุดจด
ระหว่างการสนทนาระหว่างเซ็ทส์และรวิกานต์แทบไม่มีช่องว่างให้ลักซูเรียแทรกเข้าไปได้เลย กระทั่งการสนทนามาหยุดตรงที่การแบ่งประเภทมังกรโบราณ
“ต้องนับมังกรครึ่งมนุษย์ด้วยสิ เรื่องนี้ฉันรู้เยอะมากเลยละ ตอนเรียนชอบมากจนเอามาเป็นหัวข้อสอบจบเลย”
มันก็แน่อยู่แล้ว เจ้าหล่อนนั่นแหละที่เป็นมังกรครึ่งมนุษย์ ย่อมรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ของตัวดีอยู่แล้ว เซ็ทส์คิด
ระหว่างที่เซ็ทส์ให้โอกาสลักซูเรียพูดบางเขาก็สัมผัสบางสิ่งได้ แรงสั่นสะเทือนทางเวทมนตร์ในอากาศ น้อยมากแต่ยังสัมผัสได้ เขามองลักซูเรียเหมือนจะถาม นางลอบพยักหน้าให้แสดงว่ารู้สึกเหมือนกัน
“เหมือนฝนจะตกนะ” เซ็ทส์พูดลอยๆ พอดีกับโทรศัพท์มือถือของรวิกานต์ดังขึ้น
“ต้องไปแล้ว พี่คุยธุระเสร็จแล้วล่ะ” รวิกานต์กดปิดมือถือหลังคุยเสร็จ “ของคุณนะเซ็ทส์ แล้ววันหลังฉันจะเอารูปคุณมาขอลายเซ็นด้วยโลเธีย”
เป็นเรื่องน่าทึ่งที่รวิกานต์สามารถถ่ายรูปลักซูเรียในอิริยาบถต่างๆไปด้วยพร้อมกับพูดคุยกับเขาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วหญิงสาวหน้าเหมือนก็จากไป
“ชอบเธอคนนั้นหรือ” ลักซูเรียเลิกคิ้ว เซ็ทส์ส่ายหน้า
“ตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญกว่า คลื่นเวทมนตร์เมื่อกี้เจ้ารู้จักไหม”
“ไม่ได้มาจากพรรคพวกของข้าแน่นอน” ลักซูเรียฟันธง “แล้วทำไมคุณอมยิ้มตลอดเวลาที่คุยกับเธอล่ะ”
“เธอคนนั้นเป็นคนหน้าเหมือนกับคนรักของข้า” เซ็ทส์ตอบปัดๆ “พูดถึงพรรคพวกของเจ้า เมื่อคืนซูเปอร์เบียมาเยี่ยมข้าในความฝัน...เจ้าคงไม่ได้บอกมันเรื่องข้าใช่ไหม”
เซ็ทส์แยกเขี้ยว ลักซูเรียส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ก็บอกแล้วว่าข้ารู้จักแต่อวาร์ริเทีย” นางตอบ
“ข้ายังไม่เชื่อเจ้าเต็มร้อยหรอกนะ ที่เชื่อเพราะท่านผู้นั้นบอกเท่านั้น”
“เข้าเรื่องดีกว่า” ลักซูเรียลากเข้าประเด็นจนได้ “คลื่นเวทมนตร์เมื่อครู่เบาบางแต่ทรงพลัง เป็นวิธีการของสมัยใหม่ แต่ขุมพลังลึกล้ำยากหยั่งถึง”
“หรืออาจเป็น...”
เซ็ทส์พูดไม่ทันจบก็เกิดกลุ่มแสงจ้าด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย ท่านผู้นั้นปรากฏตัวในชุดสูทสุดหรูพร้อมออกคำสั่ง จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสายเลือดของท่านผู้นั้นแน่นอน
“ข้ามีงานด่วนมาให้เจ้าเซ็ทส์...เจ้าจะไปไหนก็ไปลักซูเรีย” ท่านผู้นั้นพูดอย่างเฉียบขาด
อย่างไม่คาดคิด ลักซูเรียลุกพรวดขึ้นแล้วเดินเฉิบๆไปยังทางออกไม่เหลียวกลับมาเลย บางทีนางอาจไปรู้อะไรที่น่ากลัวของท่านผู้นั้นเข้า จึงกลัวจนออกอาการเหมือนเก้งได้กลิ่นเสือ
“ทางตะวันตกของทวีปนี้มีสถานที่ในตำนานอยู่ นั่นคือน้ำตกแห่งคำสัตย์ ใครอยากรู้อะไรก็จะได้รู้ทุกสิ่ง” ท่านผู้นั้นเกริ่น “ลูกหลานตัวดีของข้าดันไปค้นพบแล้วดื่มมันเข้า จนรู้วิธีควบคุมพลังอำนาจโบราณได้อย่างช่ำชอง”
“แล้วฝ่าบาท...”
“แม้จะบอกว่าช่ำชองแต่ไม่มากกว่าเดิมเท่าไรหรอก” ท่านผู้นั้นตัดบท “ตอนนี้ทวีปนี้ถูกปกคลุมด้วยวงเวทย์ขนาดใหญ่โดยมีเจ้านั่นเป็นศูนย์กลางพลังเวท ไม่น่าใช่สิ่งที่มนุษย์ทำได้แต่ก็ทำไปแล้ว...ไม่รู้จุดประสงค์ แต่รู้พิกัด อยากให้ช่วยไปดูหน่อย”
“ข้าคงทำได้แค่เกลี้ยกล่อมฝ่าบาท เรื่องทำร้ายหรือฆ่าคงยาก”
“ก็ไม่หวังอยู่แล้ว” ท่านผู้นั้นผิวปาก “สิ่งที่เจ้านั่นคิดทำย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งใหม่ที่ข้ากำลังสร้างแน่นอน ในฐานะนักรบเทพอยากให้หยุดเขา แต่ในฐานะบรรพชน...อย่าให้สังเวยเลือดข้าเลย”
“แล้วจุดหมายคือที่ใดกันแน่” เซ็ทส์มองขึ้นไปบนท้องฟ้า พยายามหรี่ตามองหาวี่แววของวงไสยเวทบนท้องฟ้า
“มองไม่เห็นหรอก ต้องมีพลังสูงจริงๆจึงจะมองเห็นเส้นสายเหล่านั้น ข้าจะทำให้เจ้าเห็นได้นะ” ท่านผู้นั้นดีดนิ้วเปาะ ท้องฟ้าพลันเกิดลวดลายสีเหลืองทองเหมือนใครเอาสีมาระบายเอาไว้ “ตรงกลางของวงไสยเวทนี่ล่ะ ตามไปแล้วหยุดเขาให้ได้ จะไปอย่างไรก็ตามใจ”
ด้วยเหตุนี้เซ็ทส์จึงได้ใช้วิหคธาตุบินอยู่เหนือน่านฟ้า แม้จะบินขึ้นไปจนเหนือเมฆก็ยังไม่อาจทะลุลวดลายละลานตาเหล่านั้นได้ เขาจึงต้องร่อนลงเกาะดาดฟ้าตึกสูงหลังหนึ่งเพื่อมองหาศูนย์กลางชัดๆ ภายในวงเวทเต็มไปด้วยเส้นโค้งต่างๆนานาหากเป็นโครงร่างดาวหกแฉกสัญลักษณ์เก่าแก่ของเวทมนตร์ยังคงอยู่อย่างชัดเจน ที่บริเวณมุมทั้งหกนั้นเกิดผลึกแก้วสีขุ่นอยู่หกจุด พลังเวทแปลกๆที่เขากับลักซูเรียสัมผัสได้มาจากผลึกเหล่านั้น มันเป็นเสมือนเครื่องหอมที่ปล่อยกลิ่นของพลังเวทไปไกลในทั่วทุกอณูอากาศ
“เขาคิดจะทำอะไร เป็นไปได้หรือที่จะอยู่ศูนย์กลางจริงๆ” เซ็ทส์พึมพำกับตัวเอง เขาจะต้องเดาล่วงหน้าให้ได้ว่าสายเลือดของท่านผู้นั้นคิดจะทำอะไร เหตุใดจึงสร้างผลึกแก้วเหล่านั้นขึ้นมา
อนิจจา ด้วยความที่อายุกว่าสองพันปีทำให้สมองของเขาทำงานช้าลง
“อย่างนั้นก็ต้องทำลายแก้วผลึกทั้งหมดนั่น ล่อให้ออกมาเอง” ผู้เป็นอมตะปีนป่ายขึ้นหลังวิหคเวทอีกครั้งอย่างยากเย็นแล้วออกบินอีกครั้งมุ่งไปทางผลึกแก้วอันแรกเพื่อทำลาย ดวงตาของเขาเพ่งมองผลึกแก้วอันนั้นเพื่อบังคับทิศทางวิหคธาตุ หางตากลับมองเห็นสิ่งหนึ่งอยู่บนพื้นดิน
ป่าดำที่น่าจะกลายเป็นป่าแห่งความตายไปแล้วกลับเขียวชอุ่มอีกครั้ง! เซ็ทส์เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วปล่อยผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กุลาถูกกำจัดไปแล้วท่านผู้นั้นอาจเสกให้ป่ากลับคืนสภาพเดิม
จากความรู้โบราณที่เซ็ทส์มีอยู่ วงไสย์เวทที่มีหลักมุมแบบนี้ต้องทำลายสิ่งที่ขึงตั้งวงเวทนั้นเอาไว้เพื่อทำให้มันหายไป อาจเป็นสิ่งวิเศษสักอย่าง เลือด ต้นไม้ เสาหิน หรือตัวคน ในที่นี้คือผลึกแก้วขนาดใหญ่ทั้งหกชิ้นที่อยู่รอบทวีปนี้ แม้จะอยู่ห่างไกลกันหลายร้อยกิโลเมตรหากยังมองเห็นกันได้ด้วยขนาดที่ใหญ่โต
วิหคเวทมนตร์สามารถบินได้เร็วกว่าลมพัด เซ็ทส์จึงสามารถบินไปลงจอดบนเนินหญ้าใต้แก้วผลึกที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป ที่เขาลงสู่พื้นดินนั้นเนื่องจากกลัวว่าจะมีผู้คุ้มกันเสาเวทมนตร์ มันงอกร่างคริสตัลออกมาจากแก้วผลึกเป็นรูปของมนุษย์ที่มีหนามแหลมทั่วตัวท่าทางจะพูดกันไม่รู้เรื่อง
เซ็ทส์เปลี่ยนพิณเทพเป็นมีดสั้นแห่งเปลวเพลิงทันที มีดสั้นปักฉึกลงบนร่างผู้คุ้มกันแล้วระเบิดเมื่อเขาออกคำสั่งอย่างง่ายๆ พอมีดสั้นชุดที่สองพุ่งลงบนแก้วผลึกใหญ่ยักษ์ตัวการก็ปรากฏตัวออกมาทันที สายเลือดของท่านผู้นั้นปรากฏตัวด้วยมนตร์เคลื่อนย้ายที่ส่องแสงจ้าเหมือนดวงตะวัน ดวงตาสีตะวันแดงดูทรงพลังขึ้นกว่าคราวก่อนที่เจอกัน รัศมีของผู้เปี่ยมอาคมแทบไหลทะลักจากร่างนั้น
”ผมถูกส่งมาให้หยุดคุณ กรุณาถอยกลับไปเสีย” เซ็ทส์พูดอย่างเยือกเย็นกับสายเลือดของท่านผู้นั้น เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังมากแค่ไหน แต่ท่านผู้นั้นมีคำบัญชาลงมาว่าให้หยุดยั้งการใช้เวทมนตร์ครั้งใหญ่นี่ “ถอยกลับไปแล้วคิดว่าอิเดนก้าวไปไกลแค่ไหนแล้ว การจมอยู่กับอดีตไม่ช่วยอะไร” ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว เซ็ทส์คิด
สายเลือดของท่านผู้นั้นสะบัดหน้าราวกับคุยกันคนละเรื่อง
“ผมก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายสักหน่อย แค่อยากให้เวทมนตร์ในมนุษย์กลับมาอีกครั้ง” สายเลือดของท่านผู้นั้นตอบอย่างมั่นคง
“ด้วยการทำลายอารยธรรมสมัยใหม่หรือ!” เซ็ทส์อุทาน คู่สนทนาส่ายหัว
“แค่เทคโนโลยีเท่านั้นที่จะถูกทำลาย วงเวทย์นี้จะปลุกเวทมนตร์ที่หลับใหลอยู่ในสายเลือดของมนุษย์ทุกคนให้ตื่นขึ้น เครื่องจักรจะด้อยอำนาจ แล้วเวทมนตร์จะกลับมาผงาดอีกครั้ง”
“คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร มนุษย์ในยุคนี้เคยชินกับเทคโนโลยีสมัยใหม่แล้ว บางคนถึงกับฝากชีวิตไว้กับเครื่องจักรในร่างกาย แล้วคุณจะบอกให้พวกเขาหยุดด้วยเหตุผลอะไรกัน”
“ผมถูกเลี้ยงมากับนักบวชที่บอกเล่าตำนานแต่กาลก่อน ในยุคสมัยนั้นที่เวทมนตร์ยังมีบทบาทมากกว่านี้ ทุกอย่างสงบสุข มนุษย์เท่าเทียมกันทุกชนชั้น ผู้คนถกเถียงกันด้วยเหตุและผลมากกว่ายุคนี้ ทุกอย่างมันเสื่อมลงไปหมด จริยธรรม มโนธรรมของคนรุ่นเก่ายังน่านับถือกว่า ผมจึงคิดฟื้นฟูเวทมนตร์อีกครั้ง เพื่ออิเดนที่สงบสุขเมื่อหลายร้อยปีก่อนจะได้กลับมา”
“คุณก็แค่เด็กฝันหวาน” เซ็ทส์ผู้ผ่านกาลเวลากว่าสองพันปีบอกอย่างผู้รู้ “อิเดนสมัยก่อนกับสมัยนี้ก็เหมือนๆกันนั่นล่ะ มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเหมือนน้ำในทะเลสาบ เก่าไปใหม่มาแต่ยังปนเปื้อนบาปอยู่ทุกตัวตน รัก โลภ โกรธ หลง ยังคงมีอยู่ไม่ว่าจะยุคไหน สิ่งที่คุณอยากให้เปลี่ยนแท้จริงมันไม่เคยเปลี่ยน คำพูดแสนหวานต่างหากที่ทำให้มันเปลี่ยนไป ที่คุณฟังมาก็แค่นิทานก่อนนอนที่บอกเล่าแต่ด้านดีเท่านั้น”
เหมือนกับโยนฟืนเข้าไปในกองไฟที่ลุกไหม้ ดวงตาสีพระจันทร์แดงฉายแสงแห่งพลังแล้วตอบกลับ
“พูดเหมือนเคยผ่านช่วงนั้นมาจริงๆเลยนะ อยากรู้จริงว่าความลับของคุณคืออะไรกันแน่ และใครกันที่ส่งคุณมาหยุดผม”
“ตัวตนจากอดีต ผมพูดได้แค่นี้” เซ็ทส์ตอบแล้วเท้าเอวอย่างเหนื่อยใจ “คุณฆ่าผมไม่ได้เท่าๆกับที่ผมชนะคุณไม่ได้ เหตุใดเราไม่มาคุยกันก่อนล่ะ”
“มั่นใจจริงนะ” สายเลือดของท่านผู้นั้นถากถางแล้วเอ่ยคำ เข็มผลึกงอกออกมาจากแก้วผลึกใหญ่หลายสิบชิ้น ทั้งหมดพุ่งลงมาปักลงบนร่างของเซ็ทส์ผู้เป็นอมตะ
เขารู้ว่าสายเลือดของท่านผู้นั้นจะต้องทำแบบนี้ เซ็ทส์คงต้องทนเป็นกระสอบทรายไปเรื่อยๆจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมเลิกล้มความตั้งใจ เพื่อแสดงให้เห็นความมั่นคงของเขา ผู้เป็นอมตะกัดฟันดึงเข็มแข็งๆออกจากตัวแท่งแล้วแท่งเล่า เลือดสีแดงไหลลงทั่วตัวเหมือนกำลังอาบเลือดอยู่กระนั้น
“เป็นอะไรทำไมไม่ล้มล่ะ” สายเลือดของท่านผู้นั้นเบิกตาโพลงด้วยความสงสัย ในขณะเดียวกันแผลน้อยใหญ่ของเซ็ทส์ก็สมานปิดลงตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ผมเป็นอมตะ” เซ็ทส์ใช้เสื้อส่วนที่สะอาดอยู่เช็ดเลือดออกจากตา “ผมมีชีวิตอยู่มาร่วมยี่สิบศตวรรษแล้ว คราวนี้จะฟังผมได้หรือยัง จะโจมตีต่อผมก็ทนรับได้ไม่ว่าอะไร”
“เป็นอมตะได้อย่างไร...ถือว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่นเพราะเป็นอมตะสินะจึงมาหยุดผมแบบนี้!” สายเลือดของท่านผู้นั้นชี้หน้าอย่างเดือดดาล เซ็ทส์ส่ายหน้าน้อยๆ
“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น แค่เพราะทำสิ่งผิดต่อเหล่าเทพและสี่เสาหลักจึงต้องถูกสาปให้เป็นอมตะแบบนี้ จึงรู้ดีว่าสิ่งใดควรไม่ควร”
(มีต่อ)
จอมเวทอมตะ ตอนที่ 12
“ที่เขาเรียกว่าพันธุ์แปลกปลอมใช่ไหม” แบบนี้เองสัตว์ต่างๆถึงโดนกินจนหมด” รวิกานต์เคาะปากกากับสมุดจด
ระหว่างการสนทนาระหว่างเซ็ทส์และรวิกานต์แทบไม่มีช่องว่างให้ลักซูเรียแทรกเข้าไปได้เลย กระทั่งการสนทนามาหยุดตรงที่การแบ่งประเภทมังกรโบราณ
“ต้องนับมังกรครึ่งมนุษย์ด้วยสิ เรื่องนี้ฉันรู้เยอะมากเลยละ ตอนเรียนชอบมากจนเอามาเป็นหัวข้อสอบจบเลย”
มันก็แน่อยู่แล้ว เจ้าหล่อนนั่นแหละที่เป็นมังกรครึ่งมนุษย์ ย่อมรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ของตัวดีอยู่แล้ว เซ็ทส์คิด
ระหว่างที่เซ็ทส์ให้โอกาสลักซูเรียพูดบางเขาก็สัมผัสบางสิ่งได้ แรงสั่นสะเทือนทางเวทมนตร์ในอากาศ น้อยมากแต่ยังสัมผัสได้ เขามองลักซูเรียเหมือนจะถาม นางลอบพยักหน้าให้แสดงว่ารู้สึกเหมือนกัน
“เหมือนฝนจะตกนะ” เซ็ทส์พูดลอยๆ พอดีกับโทรศัพท์มือถือของรวิกานต์ดังขึ้น
“ต้องไปแล้ว พี่คุยธุระเสร็จแล้วล่ะ” รวิกานต์กดปิดมือถือหลังคุยเสร็จ “ของคุณนะเซ็ทส์ แล้ววันหลังฉันจะเอารูปคุณมาขอลายเซ็นด้วยโลเธีย”
เป็นเรื่องน่าทึ่งที่รวิกานต์สามารถถ่ายรูปลักซูเรียในอิริยาบถต่างๆไปด้วยพร้อมกับพูดคุยกับเขาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วหญิงสาวหน้าเหมือนก็จากไป
“ชอบเธอคนนั้นหรือ” ลักซูเรียเลิกคิ้ว เซ็ทส์ส่ายหน้า
“ตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญกว่า คลื่นเวทมนตร์เมื่อกี้เจ้ารู้จักไหม”
“ไม่ได้มาจากพรรคพวกของข้าแน่นอน” ลักซูเรียฟันธง “แล้วทำไมคุณอมยิ้มตลอดเวลาที่คุยกับเธอล่ะ”
“เธอคนนั้นเป็นคนหน้าเหมือนกับคนรักของข้า” เซ็ทส์ตอบปัดๆ “พูดถึงพรรคพวกของเจ้า เมื่อคืนซูเปอร์เบียมาเยี่ยมข้าในความฝัน...เจ้าคงไม่ได้บอกมันเรื่องข้าใช่ไหม”
เซ็ทส์แยกเขี้ยว ลักซูเรียส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ก็บอกแล้วว่าข้ารู้จักแต่อวาร์ริเทีย” นางตอบ
“ข้ายังไม่เชื่อเจ้าเต็มร้อยหรอกนะ ที่เชื่อเพราะท่านผู้นั้นบอกเท่านั้น”
“เข้าเรื่องดีกว่า” ลักซูเรียลากเข้าประเด็นจนได้ “คลื่นเวทมนตร์เมื่อครู่เบาบางแต่ทรงพลัง เป็นวิธีการของสมัยใหม่ แต่ขุมพลังลึกล้ำยากหยั่งถึง”
“หรืออาจเป็น...”
เซ็ทส์พูดไม่ทันจบก็เกิดกลุ่มแสงจ้าด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย ท่านผู้นั้นปรากฏตัวในชุดสูทสุดหรูพร้อมออกคำสั่ง จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสายเลือดของท่านผู้นั้นแน่นอน
“ข้ามีงานด่วนมาให้เจ้าเซ็ทส์...เจ้าจะไปไหนก็ไปลักซูเรีย” ท่านผู้นั้นพูดอย่างเฉียบขาด
อย่างไม่คาดคิด ลักซูเรียลุกพรวดขึ้นแล้วเดินเฉิบๆไปยังทางออกไม่เหลียวกลับมาเลย บางทีนางอาจไปรู้อะไรที่น่ากลัวของท่านผู้นั้นเข้า จึงกลัวจนออกอาการเหมือนเก้งได้กลิ่นเสือ
“ทางตะวันตกของทวีปนี้มีสถานที่ในตำนานอยู่ นั่นคือน้ำตกแห่งคำสัตย์ ใครอยากรู้อะไรก็จะได้รู้ทุกสิ่ง” ท่านผู้นั้นเกริ่น “ลูกหลานตัวดีของข้าดันไปค้นพบแล้วดื่มมันเข้า จนรู้วิธีควบคุมพลังอำนาจโบราณได้อย่างช่ำชอง”
“แล้วฝ่าบาท...”
“แม้จะบอกว่าช่ำชองแต่ไม่มากกว่าเดิมเท่าไรหรอก” ท่านผู้นั้นตัดบท “ตอนนี้ทวีปนี้ถูกปกคลุมด้วยวงเวทย์ขนาดใหญ่โดยมีเจ้านั่นเป็นศูนย์กลางพลังเวท ไม่น่าใช่สิ่งที่มนุษย์ทำได้แต่ก็ทำไปแล้ว...ไม่รู้จุดประสงค์ แต่รู้พิกัด อยากให้ช่วยไปดูหน่อย”
“ข้าคงทำได้แค่เกลี้ยกล่อมฝ่าบาท เรื่องทำร้ายหรือฆ่าคงยาก”
“ก็ไม่หวังอยู่แล้ว” ท่านผู้นั้นผิวปาก “สิ่งที่เจ้านั่นคิดทำย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งใหม่ที่ข้ากำลังสร้างแน่นอน ในฐานะนักรบเทพอยากให้หยุดเขา แต่ในฐานะบรรพชน...อย่าให้สังเวยเลือดข้าเลย”
“แล้วจุดหมายคือที่ใดกันแน่” เซ็ทส์มองขึ้นไปบนท้องฟ้า พยายามหรี่ตามองหาวี่แววของวงไสยเวทบนท้องฟ้า
“มองไม่เห็นหรอก ต้องมีพลังสูงจริงๆจึงจะมองเห็นเส้นสายเหล่านั้น ข้าจะทำให้เจ้าเห็นได้นะ” ท่านผู้นั้นดีดนิ้วเปาะ ท้องฟ้าพลันเกิดลวดลายสีเหลืองทองเหมือนใครเอาสีมาระบายเอาไว้ “ตรงกลางของวงไสยเวทนี่ล่ะ ตามไปแล้วหยุดเขาให้ได้ จะไปอย่างไรก็ตามใจ”
ด้วยเหตุนี้เซ็ทส์จึงได้ใช้วิหคธาตุบินอยู่เหนือน่านฟ้า แม้จะบินขึ้นไปจนเหนือเมฆก็ยังไม่อาจทะลุลวดลายละลานตาเหล่านั้นได้ เขาจึงต้องร่อนลงเกาะดาดฟ้าตึกสูงหลังหนึ่งเพื่อมองหาศูนย์กลางชัดๆ ภายในวงเวทเต็มไปด้วยเส้นโค้งต่างๆนานาหากเป็นโครงร่างดาวหกแฉกสัญลักษณ์เก่าแก่ของเวทมนตร์ยังคงอยู่อย่างชัดเจน ที่บริเวณมุมทั้งหกนั้นเกิดผลึกแก้วสีขุ่นอยู่หกจุด พลังเวทแปลกๆที่เขากับลักซูเรียสัมผัสได้มาจากผลึกเหล่านั้น มันเป็นเสมือนเครื่องหอมที่ปล่อยกลิ่นของพลังเวทไปไกลในทั่วทุกอณูอากาศ
“เขาคิดจะทำอะไร เป็นไปได้หรือที่จะอยู่ศูนย์กลางจริงๆ” เซ็ทส์พึมพำกับตัวเอง เขาจะต้องเดาล่วงหน้าให้ได้ว่าสายเลือดของท่านผู้นั้นคิดจะทำอะไร เหตุใดจึงสร้างผลึกแก้วเหล่านั้นขึ้นมา
อนิจจา ด้วยความที่อายุกว่าสองพันปีทำให้สมองของเขาทำงานช้าลง
“อย่างนั้นก็ต้องทำลายแก้วผลึกทั้งหมดนั่น ล่อให้ออกมาเอง” ผู้เป็นอมตะปีนป่ายขึ้นหลังวิหคเวทอีกครั้งอย่างยากเย็นแล้วออกบินอีกครั้งมุ่งไปทางผลึกแก้วอันแรกเพื่อทำลาย ดวงตาของเขาเพ่งมองผลึกแก้วอันนั้นเพื่อบังคับทิศทางวิหคธาตุ หางตากลับมองเห็นสิ่งหนึ่งอยู่บนพื้นดิน
ป่าดำที่น่าจะกลายเป็นป่าแห่งความตายไปแล้วกลับเขียวชอุ่มอีกครั้ง! เซ็ทส์เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วปล่อยผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กุลาถูกกำจัดไปแล้วท่านผู้นั้นอาจเสกให้ป่ากลับคืนสภาพเดิม
จากความรู้โบราณที่เซ็ทส์มีอยู่ วงไสย์เวทที่มีหลักมุมแบบนี้ต้องทำลายสิ่งที่ขึงตั้งวงเวทนั้นเอาไว้เพื่อทำให้มันหายไป อาจเป็นสิ่งวิเศษสักอย่าง เลือด ต้นไม้ เสาหิน หรือตัวคน ในที่นี้คือผลึกแก้วขนาดใหญ่ทั้งหกชิ้นที่อยู่รอบทวีปนี้ แม้จะอยู่ห่างไกลกันหลายร้อยกิโลเมตรหากยังมองเห็นกันได้ด้วยขนาดที่ใหญ่โต
วิหคเวทมนตร์สามารถบินได้เร็วกว่าลมพัด เซ็ทส์จึงสามารถบินไปลงจอดบนเนินหญ้าใต้แก้วผลึกที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป ที่เขาลงสู่พื้นดินนั้นเนื่องจากกลัวว่าจะมีผู้คุ้มกันเสาเวทมนตร์ มันงอกร่างคริสตัลออกมาจากแก้วผลึกเป็นรูปของมนุษย์ที่มีหนามแหลมทั่วตัวท่าทางจะพูดกันไม่รู้เรื่อง
เซ็ทส์เปลี่ยนพิณเทพเป็นมีดสั้นแห่งเปลวเพลิงทันที มีดสั้นปักฉึกลงบนร่างผู้คุ้มกันแล้วระเบิดเมื่อเขาออกคำสั่งอย่างง่ายๆ พอมีดสั้นชุดที่สองพุ่งลงบนแก้วผลึกใหญ่ยักษ์ตัวการก็ปรากฏตัวออกมาทันที สายเลือดของท่านผู้นั้นปรากฏตัวด้วยมนตร์เคลื่อนย้ายที่ส่องแสงจ้าเหมือนดวงตะวัน ดวงตาสีตะวันแดงดูทรงพลังขึ้นกว่าคราวก่อนที่เจอกัน รัศมีของผู้เปี่ยมอาคมแทบไหลทะลักจากร่างนั้น
”ผมถูกส่งมาให้หยุดคุณ กรุณาถอยกลับไปเสีย” เซ็ทส์พูดอย่างเยือกเย็นกับสายเลือดของท่านผู้นั้น เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังมากแค่ไหน แต่ท่านผู้นั้นมีคำบัญชาลงมาว่าให้หยุดยั้งการใช้เวทมนตร์ครั้งใหญ่นี่ “ถอยกลับไปแล้วคิดว่าอิเดนก้าวไปไกลแค่ไหนแล้ว การจมอยู่กับอดีตไม่ช่วยอะไร” ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว เซ็ทส์คิด
สายเลือดของท่านผู้นั้นสะบัดหน้าราวกับคุยกันคนละเรื่อง
“ผมก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายสักหน่อย แค่อยากให้เวทมนตร์ในมนุษย์กลับมาอีกครั้ง” สายเลือดของท่านผู้นั้นตอบอย่างมั่นคง
“ด้วยการทำลายอารยธรรมสมัยใหม่หรือ!” เซ็ทส์อุทาน คู่สนทนาส่ายหัว
“แค่เทคโนโลยีเท่านั้นที่จะถูกทำลาย วงเวทย์นี้จะปลุกเวทมนตร์ที่หลับใหลอยู่ในสายเลือดของมนุษย์ทุกคนให้ตื่นขึ้น เครื่องจักรจะด้อยอำนาจ แล้วเวทมนตร์จะกลับมาผงาดอีกครั้ง”
“คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร มนุษย์ในยุคนี้เคยชินกับเทคโนโลยีสมัยใหม่แล้ว บางคนถึงกับฝากชีวิตไว้กับเครื่องจักรในร่างกาย แล้วคุณจะบอกให้พวกเขาหยุดด้วยเหตุผลอะไรกัน”
“ผมถูกเลี้ยงมากับนักบวชที่บอกเล่าตำนานแต่กาลก่อน ในยุคสมัยนั้นที่เวทมนตร์ยังมีบทบาทมากกว่านี้ ทุกอย่างสงบสุข มนุษย์เท่าเทียมกันทุกชนชั้น ผู้คนถกเถียงกันด้วยเหตุและผลมากกว่ายุคนี้ ทุกอย่างมันเสื่อมลงไปหมด จริยธรรม มโนธรรมของคนรุ่นเก่ายังน่านับถือกว่า ผมจึงคิดฟื้นฟูเวทมนตร์อีกครั้ง เพื่ออิเดนที่สงบสุขเมื่อหลายร้อยปีก่อนจะได้กลับมา”
“คุณก็แค่เด็กฝันหวาน” เซ็ทส์ผู้ผ่านกาลเวลากว่าสองพันปีบอกอย่างผู้รู้ “อิเดนสมัยก่อนกับสมัยนี้ก็เหมือนๆกันนั่นล่ะ มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเหมือนน้ำในทะเลสาบ เก่าไปใหม่มาแต่ยังปนเปื้อนบาปอยู่ทุกตัวตน รัก โลภ โกรธ หลง ยังคงมีอยู่ไม่ว่าจะยุคไหน สิ่งที่คุณอยากให้เปลี่ยนแท้จริงมันไม่เคยเปลี่ยน คำพูดแสนหวานต่างหากที่ทำให้มันเปลี่ยนไป ที่คุณฟังมาก็แค่นิทานก่อนนอนที่บอกเล่าแต่ด้านดีเท่านั้น”
เหมือนกับโยนฟืนเข้าไปในกองไฟที่ลุกไหม้ ดวงตาสีพระจันทร์แดงฉายแสงแห่งพลังแล้วตอบกลับ
“พูดเหมือนเคยผ่านช่วงนั้นมาจริงๆเลยนะ อยากรู้จริงว่าความลับของคุณคืออะไรกันแน่ และใครกันที่ส่งคุณมาหยุดผม”
“ตัวตนจากอดีต ผมพูดได้แค่นี้” เซ็ทส์ตอบแล้วเท้าเอวอย่างเหนื่อยใจ “คุณฆ่าผมไม่ได้เท่าๆกับที่ผมชนะคุณไม่ได้ เหตุใดเราไม่มาคุยกันก่อนล่ะ”
“มั่นใจจริงนะ” สายเลือดของท่านผู้นั้นถากถางแล้วเอ่ยคำ เข็มผลึกงอกออกมาจากแก้วผลึกใหญ่หลายสิบชิ้น ทั้งหมดพุ่งลงมาปักลงบนร่างของเซ็ทส์ผู้เป็นอมตะ
เขารู้ว่าสายเลือดของท่านผู้นั้นจะต้องทำแบบนี้ เซ็ทส์คงต้องทนเป็นกระสอบทรายไปเรื่อยๆจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมเลิกล้มความตั้งใจ เพื่อแสดงให้เห็นความมั่นคงของเขา ผู้เป็นอมตะกัดฟันดึงเข็มแข็งๆออกจากตัวแท่งแล้วแท่งเล่า เลือดสีแดงไหลลงทั่วตัวเหมือนกำลังอาบเลือดอยู่กระนั้น
“เป็นอะไรทำไมไม่ล้มล่ะ” สายเลือดของท่านผู้นั้นเบิกตาโพลงด้วยความสงสัย ในขณะเดียวกันแผลน้อยใหญ่ของเซ็ทส์ก็สมานปิดลงตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ผมเป็นอมตะ” เซ็ทส์ใช้เสื้อส่วนที่สะอาดอยู่เช็ดเลือดออกจากตา “ผมมีชีวิตอยู่มาร่วมยี่สิบศตวรรษแล้ว คราวนี้จะฟังผมได้หรือยัง จะโจมตีต่อผมก็ทนรับได้ไม่ว่าอะไร”
“เป็นอมตะได้อย่างไร...ถือว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่นเพราะเป็นอมตะสินะจึงมาหยุดผมแบบนี้!” สายเลือดของท่านผู้นั้นชี้หน้าอย่างเดือดดาล เซ็ทส์ส่ายหน้าน้อยๆ
“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น แค่เพราะทำสิ่งผิดต่อเหล่าเทพและสี่เสาหลักจึงต้องถูกสาปให้เป็นอมตะแบบนี้ จึงรู้ดีว่าสิ่งใดควรไม่ควร”
(มีต่อ)