บาดแผลจากกระสุนปืนนั้นต่างจากบาดแผลจากอาวุธอื่นเล็กน้อย ด้วยการทะลวงของกระสุนผ่านลำกล้องทำให้เกิดทางยาวคมกริบสร้างบาดแผลฉกรรจ์ตรงจุดที่หัวกระสุนระเบิดเท่านั้น การถูกยิงหัวเป็นเรื่องเล็กสำหรับเซธแม้จะตัดผ่านสมอง ผู้เป็นอมตะรอการรักษาตัวซึ่งเร็วเมื่อเทียบกับการถูกตัดแขนขา
ความวุ่นวายทำให้ทุกคนไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของดาบสีดำ เซธได้ยินผู้คุ้มกันสบถอย่างโล่งใจที่เจ้านายไม่ได้รับบาดเจ็บ สติและร่างของเซธกลับมาสมบูรณ์เมื่อพวกนั้นเปลี่ยนทางมาสนใจมุงดูนักลอบสังหารฝึกหัด สัญญาณดังเมื่อมีคนหนึ่งทักเกี่ยวกับเครื่องดนตรีที่ไม่เคยมีอยู่ก่อนหน้า
เซธไม่รอจังหวะอื่นรีบกรีดนิ้วลงสายพิณทันที เขาเลือกวิหคธาตุดินเพราะทำได้ง่ายในที่แห่งนี้ ทุกคนตรงนั้นแสดงความแปลกใจเมื่อแผ่นดินสะเทือนไหวเป็นจังหวะสั้น ๆ ธาตุดินในอากาศและพื้นก่อตัวเป็นนกขนาดใหญ่ผลักทุกคนกระเด็นไปทุกทิศทาง ผู้เป็นอมตะลุกขึ้นพร้อมเล่นเครื่องดนตรีท่ามกลางความสับสนของรอบข้าง สายเลือดของท่านผู้นั้นขยับตัวแต่ไม่ทันเสียแล้ว พื้นดินใต้เท้าเซธยกตัวส่งร่างเขาไปนั่งบนหลังนกยักษ์อย่างทุลักทุเล อุ้งเล็บสีน้ำตาลดำคว้าร่างของเป้าหมายแล้วทะยานขึ้นบินในพริบตาเดียว!
ผู้เป็นอมตะหัวเราะอย่างยินดีเมื่อสถานการณ์พลิกกลับ หากสายเลือดของท่านผู้นั้นรู้ว่าปืนทำอะไรเขาไม่ได้คงสร้างพันธนาการกักขังจนไร้ช่องหนีแน่ ระหว่างบังคับให้นกธาตุบินพาเป้าหมายไปพิพากษาในที่เหมาะสมเขาก็พิจารณาวิหคธาตุดินรุ่นใหม่อย่างละเอียด ขนปีกดำมีสีแดงวาววับส่วนโคนเหมือนหินหลอมเหลว ส่วนหัวบัดนี้มีกลุ่มขนสีดำปลายแดงโผล่ออกมาเหมือนหงอนไก่ ทางหางก็มีประดับเป็นขนสีดำยาวออกไปเหมือนหางเครื่องบิน
พอมองสุดปลายหางสายตาก็เลื่อนพบร่างคนบินตามในระยะเห็นกันได้ สังหรณ์บางอย่างบอกว่านั่นคือสายเลือดของท่านผู้นั้น สำหรับผู้ใช้เวทมนตร์แล้วการบินบนท้องฟ้านั้นง่ายมากจนถือเป็นเรื่องปกติ!
นกธาตุตัวใหญ่เกินกว่าจะหนีพ้นสายตาได้ง่าย ๆ เซธจึงหาทางสกัดให้ฝ่ายตรงข้างเสียสมาธิจนช้าลง เสียงเพลงเปลี่ยนไปหนึ่งช่องนกวิเศษรีบทำตามคำสั่งทันที ขนหางยาวดุจหางว่าวสีดำสะบัดย่นขมวดปมกลายเป็นนกขนาดย่อมลงมาสองตัวบินไปกั้นขวางผู้ก่อการร้าย
เซธรู้ว่าไม่มีทางต้านได้นาน เขาสั่งนกพาหนะให้บินไปทางเขตเหมืองแม้อากาศจะไม่เป็นใจ ตอนนี้ร่วมเที่ยงคืนแล้วอากาศยังเย็นลงแค่เล็กน้อยเท่านั้น สายลมเหมือนใบมีดกรีดทิ้งร่องความร้อนไว้บนตัวตอนวางแผนใช้ดาบแห่งดินรวบตัวฝ่ายตรงข้าม
เทือกเขาหัวโล้นอดีตเหมืองแร่มืดสนิทแม้แต่ดวงจันทร์ยังซ่อนในเมฆก้อนหนา ผู้เป็นอมตะสลายวิหคดำแล้วลงไปจับตัวเป้าหมายเอาไว้ เขาต้องรีบทดลองใช้ดาบก่อนฝ่ายไล่ตามจะมาทัน ดาบด้ามดำเหมือนหินชนวนแทบกลืนเข้ากับความมืด เซธเหยียบร่างเป้าหมายไว้พร้อมใช้สมาธิทุกหยาดหยดออกคำสั่งแสนละเอียดอ่อนกับดาบวิเศษ
ดาบปักลงพื้นหินและทำงานตามบัญชาของผู้มอบเวทมนตร์ให้ หินเรียวยาวเหมือนสายโซ่งอกขึ้นมามัดพันร่างเป้าหมายอย่างแน่นหนาไม่ให้ขยับแม้ปลายนิ้ว การทดลองของเซธได้ผล เหลือแค่เหยื่อเท่านั้น
ผู้เป็นอมตะได้พักเหนื่อยแค่ไม่กี่อึดใจสายเลือดของท่านผู้นั้นก็มาถึง เงาร่างเหมือนกาดำอันตรายลอยเหนือพื้นด้วยเวทมนตร์บางอย่าง กลิ่นเวทมนตร์ลอยเอื่อยเหมือนเครื่องแสดงตัวฉะนั้น เซธแอบสบถกับตัวเองเมื่ออีกฝ่ายลอยตัวคุมเชิงอยู่ด้านบนไม่ยอมลงมา
“ลงมาก็ได้ อย่างไรเสียข้าก็หนีท่านไม่พ้นหรอก” เซธแสร้งทำเป็นหมดหวังหนีต่อ
“คุณฟื้นกลับมาได้ยังไง ผมเห็นชัด ๆ ว่ากระสุนเข้าหน้าผากพอดี”
การหลบหนีของเขาสร้างความระแวงเอาไว้เหมือนแผลสด เซธเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมลงมาจึงเปิดหน้าผากเช็ดรอยเลือดให้เห็นจุดถูกยิงว่ามันหายดีแล้ว เขาพูดสั้น ๆ ว่าตนเป็นอมตะ
“ลงมาคุยกันดีกว่า ข้าใช้เวทมนตร์อย่างท่านไม่ได้หรอก” อีกครั้งที่เซธเลียนแบบท่านผู้นั้น เขาทำแบบผู้วิเศษทั่วไปไม่ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าตอบโต้ไม่ได้
“จะบอกว่าเมื่อกี้ไม่ใช่เวทมนตร์หรือ คิดว่าเล่นตลกกับใครอยู่” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจแบบนั้นคงไม่ยอมลงมาง่าย ๆ แน่ เซธคิด “บางทีคุณอาจไม่โกหก ผมสงสัยมานานว่าคุณพูดด้วยคำแปลก ๆ เหมือนคนโบราณ คุณอยู่มานานแค่ไหน เป็นอมตะได้อย่างไร และทำงานให้ใคร”
“647 ปี ส่วนสาเหตุขอไม่เล่า จริงใจพอจะยอมลงมาคุยด้วยได้หรือยัง ไม่เห็นหรือว่าข้าไม่เคยหันดาบเข้าหาท่านอย่างจริงจังเลย”
ถือเป็นโชคดีของเซธที่ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนใจอยากเจรจามากกว่าใช้กำลัง เมฆลอยพ้นจากดวงจันทร์ปล่อยให้แสงยามข้างขึ้นสาดลงมาหาคนทั้งสาม เซธมองเห็นความลังเลมากมายของคู่สนทนา
“จริงใจมากจนต้องใช้เวทมนตร์กับพื้นดินเลยหรือไง” สายเลือดของท่านผู้นั้นเสียดสี เซธยิ้มแห้ง ๆ คิดว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหลอกได้ “หากผมลงพื้นคงโดนจับกุมแบบนั้นกระมัง”
“ถ้าปลดการป้องกันจะยอมคุยดี ๆ ไหม ข้าไม่มีประโยชน์กับท่าน หากข้าเอาใจออกนอกภารกิจคำสาปร้ายจะแสดงตนขึ้นมา ทำได้แค่งานมอบหมายเล็กน้อยอย่างนี้เท่านั้น...สาบานต่อนักรบเทพอิกริด หากข้าเล่นลวดลายอีกให้เขามาตัดคอข้าได้”
เซธจงใจเอ่ยชื่อท่านผู้นั้น หากเจ้าตัวได้ยินคงด่าสวนว่าเซธต้องการให้เขาโดนสั่งพักงานอีกครั้ง นั่นทำให้อีกฝ่ายซึ่งยึดถือยึดมั่นกับสายเลือดยอมอ่อนข้อแล้วร่อนลงจอดอย่างไม่ไว้ใจ เปลวไฟลุกในอากาศให้พวกเขามองเห็นกันว่ามีลูกไม้หมกเม็ดหรือไม่
“มาคุยกันด้วยเหตุและผลดีกว่า ทำไมท่านจึงอยากให้เวทมนตร์กลับมานัก” เซธนั่งกับพื้นหินเพราะความเหนื่อยล้า เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกดูดเลือดออกไปทีละน้อย ๆ คงดีหากหยุดใช้เวทมนตร์กับดาบสักพัก “ถ้าไม่ว่าอะไรขอข้าจัดการหมอนี่ก่อน จะได้จบเป็นเรื่อง ๆ”
สายเลือดของท่านผู้นั้นไม่ลดการป้องกันหากพยักหน้ายอมให้เขาจัดการงานให้เสร็จก่อน เซธขอบคุณแล้วดึงร่างหมอบคู้ขึ้นมาข่มขู่
“ละทิ้งบริษัทและอำนาจมืดเบื้องหลัง ไม่อย่างนั้นข้าต้องฆ่าเจ้า” เซธลดมารยาทลงเพราะความล้าสะสม ชายวัยกลางคนเป้าหมายพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว นั่นทำให้ทุกอย่างจบลงอย่างง่ายดาย “นับจากวันนี้จะมีคนเฝ้าดูเจ้า หากลับไปทำธุรกิจมืดหรือติดต่อกับเพื่อนชั่วร้ายอีกจะไม่มีครั้งที่สอง!”
เซธดึงดาบวิเศษขึ้นทำให้โซ่ตรวนกลายเป็นฝุ่นผง เป้าหมายมองสายเลือดของท่านผู้นั้นราวขอความช่วยเหลือแต่เมื่อไม่มีการตอบรับจึงรีบหนีไปในความมืด ท่ามกลางแสงสลัวจากลูกไฟเหลือเพียงผู้เป็นอมตะกับสายเลือดของท่านผู้นั้น
“เราต้องคุยกันเพราะข้าไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็น จนกว่าจะเลยสัปดาห์หน้าหากท่านก่อเรื่องโดนสั่งเก็บแน่ บางทีคนทำหน้าที่นั้นอาจเป็นข้า” เซธเชื่อว่าท่านผู้นั้นตัวปลอมไม่อยากเก็บผู้ก่อการร้ายที่จ้องปฏิวัติเอนโวลาไว้แน่
“คุณมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือว่าทำได้ แล้วเจ้านายคุณคือใครกันแน่” สายเลือดของท่านผู้นั้นถามด้วยน้ำเสียงบางเบาเหมือนสายลม เซธไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมรีบเข้าเรื่องทันที
“ข้าเชื่อเรื่องการใช้เหตุผลมากกว่าการใช้กำลังโดยไม่จำเป็น หากมันฟังดูดีอาจโน้มน้าวผู้มีอำนาจให้ช่วยเหลือได้” เซธไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพบอะไรมาจึงมีความเชื่อแบบนี้ สิ่งเดียวที่เขารู้คือท่านผู้นั้นช่วยชี้ทางออกได้เสมอเหมือนแสงตะวันนำทางยามมืดมน
หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายมองเซธอย่างประเมินค่า ตอนแรกเขาเอ่ยถามเซธว่าท่านผู้นั้นที่ว่าคือใครกัน พอไม่ได้รับคำตอบจึงบอกเล่าความหลังและความเชื่อของตนเองออกมา
“ผมโตมากับเหล่าผู้นับถือที่ยังศรัทธาเสาค้ำจุนอยู่ พวกเขาอ้างว่าได้รับโองการจากนักรบเทพเพื่อปกป้องเอนโวลา”
“ขอเดานะ นักรบเทพอิกริดใช่ไหม” เซธเริ่มมองเห็นอะไรลาง ๆ เกี่ยวกับความหลงตัวเองแบบนี้ เขาจะนับเป็นหนึ่งในปัญหาที่ท่านผู้นั้นก่อไว้เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ
“แม่ของผมเป็นผู้นับถือเช่นกัน ท่านกับพวกสาวกตื่นเต้นมากเมื่อเห็นสีตาของผม มันเหมือนกับในบันทึกไม่มีผิด นักรบเทพอิกริดเป็นคนเดียวที่มีดวงตาแบบเดียวกับผม ผู้รักษาบันทึกบอกว่าผมมีเชื้อสายของเขาอยู่ทั้งที่ตอนแม่ผมเข้าร่วมไม่เคยมีใครพูดอะไรเลย พ่อของผมไม่ได้เป็นผู้นับถือถามหาเหตุผลอื่นมาสนับสนุนทว่าไม่มีใครสนใจฟัง
“หลังจากนั้นทุกคนก็ตั้งความหวังกับผมว่าจะกู้ความเชื่อต่อเสาค้ำจุนกลับมา พวกเขาบอกว่านักรบเทพผู้นั้นส่งผมที่เป็นเลือดเนื้อมาเพื่อชี้นำเหล่ามนุษย์ ผมคิดว่ามันเกินจริงกระทั่งทดลองฝึกใช้เวทมนตร์ ความสามารถของผมเหนือกว่าคนอื่น ๆ จนเทียบไม่ติด”
เซธเป็นผู้ฟังที่ดีเช่นเคย เขาสรุปตามที่ท่านผู้นั้นเคยพูด ยามมนุษย์พบสิ่งทรงอำนาจมักยกชูเหนือตนเอง และหากท่านผู้นั้นส่งคนมาปกครองแทนคงไม่อวดเรื่องมอบวิทยาศาสตร์ให้มนุษย์หรอก เขาพยักหน้าว่าให้เล่าต่อ
“ระหว่างการเรียนผมอ่านพบบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับยุคสมัยที่ยังมีเวทมนตร์อยู่ มันฟังดูเจิดจ้า ยอดเยี่ยม ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติโดยมีเวทมนตร์เป็นสิ่งเชื่อมต่อกันและกัน เหล่าผู้เชื่อกล่าวว่าเทคโนโลยีทำให้ความเป็นมนุษย์ด้อยลงกว่าเดิม แทนที่มนุษย์จะเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติกลับแยกตัวออกมาเป็นเอกเทศ...”
สายเลือดของท่านผู้นั้นขมวดคิ้วเพราะเซธแสดงความขบขันทางดวงตามากเกินไป ผู้เป็นอมตะกลืนเสียงหัวเราะลงคอพลางกล่าวขอโทษที่เสียมารยาท
“คนเราชอบจดจำเฉพาะสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ท่านบอกเมื่อครู่ย้ำเรื่องนี้ได้ดี ข้างในหนังสือพวกนั้นคือเรื่องที่คนสมัยก่อนอยากบอกเล่า เหมือนกับยกมาแค่ด้านดีอย่างเดียว” เซธเท้าสะเอวพยายามเลือกใช้คำให้ดีที่สุด โชคดีที่มันผุดมาเองตอนได้ยินอีกฝ่ายพูด “ข้าเกิดหลังยุคมืดบอดสักร้อยปี ตอนนั้นเวทมนตร์ยังมีมากกว่าตอนนี้ ผู้วิเศษทรงอำนาจกดขี่ผู้อ่อนด้อยกว่า ผู้ปกครองสูงสุดไม่อยู่ทุกคนจึงแก่งแย่งเป็นผู้นำฝูงของเอนโวลา พอมีสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ก็พยายามบั่นทอนทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจ ผู้ต่อต้านถูกสังหารหรือขู่บังคับให้ล้มเลิกความเชื่อในระหว่างที่องค์ความรู้ต่าง ๆ ก่อตัวเป็นรูปร่าง ใช้เวลาหลายร้อยปีทุกคนจึงยอมรับแนวทางของเทคโนโลยีได้ในที่สุด”
สายเลือดของท่านผู้นั้นใคร่ครวญอย่างหนักก่อนถามขึ้น
“คุณพูดเหมือนตอนนี้พวกเสาค้ำจุนไม่อยู่กับเอนโวลาอย่างนั้นล่ะ พวกเราเชื่อเสมอว่าท่านเหล่านั้นคงอยู่ทุกที่ คอยเฝ้ามองมนุษย์ผ่านทางเวทมนตร์ในธรรมชาติ”
เซธเป็นฝ่ายครุ่นคิดบ้างว่าควรบอกความจริงดีหรือไม่ สาเหตุที่มนุษย์เชื่อแบบนั้นเพราะเหล่านักรบเทพตัดความเชื่อมต่อทุกอย่างไปแล้วจนเกิดช่วงมืดบอดขึ้น เขาก็เชื่ออย่างนั้นกระทั่งโดนสาป
“หากข้าบอกว่าเสาค้ำจุนทิ้งวิทยาศาสตร์ให้เหล่ามนุษย์ล่ะ ความจริงแล้วพวกนั้นไม่ได้เป็นนามธรรมขนาดนั้นหรอก...คนที่สาปข้าคือเสาค้ำจุนสูงสุด มันคือหลักฐานอย่างดี”
“คงมีคุณคนเดียวที่คิดว่าอมตะคือคำสาปไม่ใช่พร” สายเลือดของท่านผู้นั้นย่นคิ้วอย่างมีข้อกังขา เซธหัวเราะเบา ๆ “อย่างนั้นสมัยนักรบเทพอาจดีกว่าก็ได้ บางทีพวกท่านอาจต้องการทดสอบมนุษย์ว่าคู่ควรกับเอนโวลาหรือไม่”
เซธส่ายหน้าพร้อมเค้นความทรงจำที่ท่านผู้นั้นเคยบอกเล่าอยู่เนือย ๆ เกี่ยวกับสมัยเหล่านักรบเทพยังอยู่
(มีต่อ)
สัญญาอมตะ ตอนที่ 14
ความวุ่นวายทำให้ทุกคนไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของดาบสีดำ เซธได้ยินผู้คุ้มกันสบถอย่างโล่งใจที่เจ้านายไม่ได้รับบาดเจ็บ สติและร่างของเซธกลับมาสมบูรณ์เมื่อพวกนั้นเปลี่ยนทางมาสนใจมุงดูนักลอบสังหารฝึกหัด สัญญาณดังเมื่อมีคนหนึ่งทักเกี่ยวกับเครื่องดนตรีที่ไม่เคยมีอยู่ก่อนหน้า
เซธไม่รอจังหวะอื่นรีบกรีดนิ้วลงสายพิณทันที เขาเลือกวิหคธาตุดินเพราะทำได้ง่ายในที่แห่งนี้ ทุกคนตรงนั้นแสดงความแปลกใจเมื่อแผ่นดินสะเทือนไหวเป็นจังหวะสั้น ๆ ธาตุดินในอากาศและพื้นก่อตัวเป็นนกขนาดใหญ่ผลักทุกคนกระเด็นไปทุกทิศทาง ผู้เป็นอมตะลุกขึ้นพร้อมเล่นเครื่องดนตรีท่ามกลางความสับสนของรอบข้าง สายเลือดของท่านผู้นั้นขยับตัวแต่ไม่ทันเสียแล้ว พื้นดินใต้เท้าเซธยกตัวส่งร่างเขาไปนั่งบนหลังนกยักษ์อย่างทุลักทุเล อุ้งเล็บสีน้ำตาลดำคว้าร่างของเป้าหมายแล้วทะยานขึ้นบินในพริบตาเดียว!
ผู้เป็นอมตะหัวเราะอย่างยินดีเมื่อสถานการณ์พลิกกลับ หากสายเลือดของท่านผู้นั้นรู้ว่าปืนทำอะไรเขาไม่ได้คงสร้างพันธนาการกักขังจนไร้ช่องหนีแน่ ระหว่างบังคับให้นกธาตุบินพาเป้าหมายไปพิพากษาในที่เหมาะสมเขาก็พิจารณาวิหคธาตุดินรุ่นใหม่อย่างละเอียด ขนปีกดำมีสีแดงวาววับส่วนโคนเหมือนหินหลอมเหลว ส่วนหัวบัดนี้มีกลุ่มขนสีดำปลายแดงโผล่ออกมาเหมือนหงอนไก่ ทางหางก็มีประดับเป็นขนสีดำยาวออกไปเหมือนหางเครื่องบิน
พอมองสุดปลายหางสายตาก็เลื่อนพบร่างคนบินตามในระยะเห็นกันได้ สังหรณ์บางอย่างบอกว่านั่นคือสายเลือดของท่านผู้นั้น สำหรับผู้ใช้เวทมนตร์แล้วการบินบนท้องฟ้านั้นง่ายมากจนถือเป็นเรื่องปกติ!
นกธาตุตัวใหญ่เกินกว่าจะหนีพ้นสายตาได้ง่าย ๆ เซธจึงหาทางสกัดให้ฝ่ายตรงข้างเสียสมาธิจนช้าลง เสียงเพลงเปลี่ยนไปหนึ่งช่องนกวิเศษรีบทำตามคำสั่งทันที ขนหางยาวดุจหางว่าวสีดำสะบัดย่นขมวดปมกลายเป็นนกขนาดย่อมลงมาสองตัวบินไปกั้นขวางผู้ก่อการร้าย
เซธรู้ว่าไม่มีทางต้านได้นาน เขาสั่งนกพาหนะให้บินไปทางเขตเหมืองแม้อากาศจะไม่เป็นใจ ตอนนี้ร่วมเที่ยงคืนแล้วอากาศยังเย็นลงแค่เล็กน้อยเท่านั้น สายลมเหมือนใบมีดกรีดทิ้งร่องความร้อนไว้บนตัวตอนวางแผนใช้ดาบแห่งดินรวบตัวฝ่ายตรงข้าม
เทือกเขาหัวโล้นอดีตเหมืองแร่มืดสนิทแม้แต่ดวงจันทร์ยังซ่อนในเมฆก้อนหนา ผู้เป็นอมตะสลายวิหคดำแล้วลงไปจับตัวเป้าหมายเอาไว้ เขาต้องรีบทดลองใช้ดาบก่อนฝ่ายไล่ตามจะมาทัน ดาบด้ามดำเหมือนหินชนวนแทบกลืนเข้ากับความมืด เซธเหยียบร่างเป้าหมายไว้พร้อมใช้สมาธิทุกหยาดหยดออกคำสั่งแสนละเอียดอ่อนกับดาบวิเศษ
ดาบปักลงพื้นหินและทำงานตามบัญชาของผู้มอบเวทมนตร์ให้ หินเรียวยาวเหมือนสายโซ่งอกขึ้นมามัดพันร่างเป้าหมายอย่างแน่นหนาไม่ให้ขยับแม้ปลายนิ้ว การทดลองของเซธได้ผล เหลือแค่เหยื่อเท่านั้น
ผู้เป็นอมตะได้พักเหนื่อยแค่ไม่กี่อึดใจสายเลือดของท่านผู้นั้นก็มาถึง เงาร่างเหมือนกาดำอันตรายลอยเหนือพื้นด้วยเวทมนตร์บางอย่าง กลิ่นเวทมนตร์ลอยเอื่อยเหมือนเครื่องแสดงตัวฉะนั้น เซธแอบสบถกับตัวเองเมื่ออีกฝ่ายลอยตัวคุมเชิงอยู่ด้านบนไม่ยอมลงมา
“ลงมาก็ได้ อย่างไรเสียข้าก็หนีท่านไม่พ้นหรอก” เซธแสร้งทำเป็นหมดหวังหนีต่อ
“คุณฟื้นกลับมาได้ยังไง ผมเห็นชัด ๆ ว่ากระสุนเข้าหน้าผากพอดี”
การหลบหนีของเขาสร้างความระแวงเอาไว้เหมือนแผลสด เซธเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมลงมาจึงเปิดหน้าผากเช็ดรอยเลือดให้เห็นจุดถูกยิงว่ามันหายดีแล้ว เขาพูดสั้น ๆ ว่าตนเป็นอมตะ
“ลงมาคุยกันดีกว่า ข้าใช้เวทมนตร์อย่างท่านไม่ได้หรอก” อีกครั้งที่เซธเลียนแบบท่านผู้นั้น เขาทำแบบผู้วิเศษทั่วไปไม่ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าตอบโต้ไม่ได้
“จะบอกว่าเมื่อกี้ไม่ใช่เวทมนตร์หรือ คิดว่าเล่นตลกกับใครอยู่” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจแบบนั้นคงไม่ยอมลงมาง่าย ๆ แน่ เซธคิด “บางทีคุณอาจไม่โกหก ผมสงสัยมานานว่าคุณพูดด้วยคำแปลก ๆ เหมือนคนโบราณ คุณอยู่มานานแค่ไหน เป็นอมตะได้อย่างไร และทำงานให้ใคร”
“647 ปี ส่วนสาเหตุขอไม่เล่า จริงใจพอจะยอมลงมาคุยด้วยได้หรือยัง ไม่เห็นหรือว่าข้าไม่เคยหันดาบเข้าหาท่านอย่างจริงจังเลย”
ถือเป็นโชคดีของเซธที่ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนใจอยากเจรจามากกว่าใช้กำลัง เมฆลอยพ้นจากดวงจันทร์ปล่อยให้แสงยามข้างขึ้นสาดลงมาหาคนทั้งสาม เซธมองเห็นความลังเลมากมายของคู่สนทนา
“จริงใจมากจนต้องใช้เวทมนตร์กับพื้นดินเลยหรือไง” สายเลือดของท่านผู้นั้นเสียดสี เซธยิ้มแห้ง ๆ คิดว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหลอกได้ “หากผมลงพื้นคงโดนจับกุมแบบนั้นกระมัง”
“ถ้าปลดการป้องกันจะยอมคุยดี ๆ ไหม ข้าไม่มีประโยชน์กับท่าน หากข้าเอาใจออกนอกภารกิจคำสาปร้ายจะแสดงตนขึ้นมา ทำได้แค่งานมอบหมายเล็กน้อยอย่างนี้เท่านั้น...สาบานต่อนักรบเทพอิกริด หากข้าเล่นลวดลายอีกให้เขามาตัดคอข้าได้”
เซธจงใจเอ่ยชื่อท่านผู้นั้น หากเจ้าตัวได้ยินคงด่าสวนว่าเซธต้องการให้เขาโดนสั่งพักงานอีกครั้ง นั่นทำให้อีกฝ่ายซึ่งยึดถือยึดมั่นกับสายเลือดยอมอ่อนข้อแล้วร่อนลงจอดอย่างไม่ไว้ใจ เปลวไฟลุกในอากาศให้พวกเขามองเห็นกันว่ามีลูกไม้หมกเม็ดหรือไม่
“มาคุยกันด้วยเหตุและผลดีกว่า ทำไมท่านจึงอยากให้เวทมนตร์กลับมานัก” เซธนั่งกับพื้นหินเพราะความเหนื่อยล้า เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกดูดเลือดออกไปทีละน้อย ๆ คงดีหากหยุดใช้เวทมนตร์กับดาบสักพัก “ถ้าไม่ว่าอะไรขอข้าจัดการหมอนี่ก่อน จะได้จบเป็นเรื่อง ๆ”
สายเลือดของท่านผู้นั้นไม่ลดการป้องกันหากพยักหน้ายอมให้เขาจัดการงานให้เสร็จก่อน เซธขอบคุณแล้วดึงร่างหมอบคู้ขึ้นมาข่มขู่
“ละทิ้งบริษัทและอำนาจมืดเบื้องหลัง ไม่อย่างนั้นข้าต้องฆ่าเจ้า” เซธลดมารยาทลงเพราะความล้าสะสม ชายวัยกลางคนเป้าหมายพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว นั่นทำให้ทุกอย่างจบลงอย่างง่ายดาย “นับจากวันนี้จะมีคนเฝ้าดูเจ้า หากลับไปทำธุรกิจมืดหรือติดต่อกับเพื่อนชั่วร้ายอีกจะไม่มีครั้งที่สอง!”
เซธดึงดาบวิเศษขึ้นทำให้โซ่ตรวนกลายเป็นฝุ่นผง เป้าหมายมองสายเลือดของท่านผู้นั้นราวขอความช่วยเหลือแต่เมื่อไม่มีการตอบรับจึงรีบหนีไปในความมืด ท่ามกลางแสงสลัวจากลูกไฟเหลือเพียงผู้เป็นอมตะกับสายเลือดของท่านผู้นั้น
“เราต้องคุยกันเพราะข้าไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็น จนกว่าจะเลยสัปดาห์หน้าหากท่านก่อเรื่องโดนสั่งเก็บแน่ บางทีคนทำหน้าที่นั้นอาจเป็นข้า” เซธเชื่อว่าท่านผู้นั้นตัวปลอมไม่อยากเก็บผู้ก่อการร้ายที่จ้องปฏิวัติเอนโวลาไว้แน่
“คุณมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือว่าทำได้ แล้วเจ้านายคุณคือใครกันแน่” สายเลือดของท่านผู้นั้นถามด้วยน้ำเสียงบางเบาเหมือนสายลม เซธไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมรีบเข้าเรื่องทันที
“ข้าเชื่อเรื่องการใช้เหตุผลมากกว่าการใช้กำลังโดยไม่จำเป็น หากมันฟังดูดีอาจโน้มน้าวผู้มีอำนาจให้ช่วยเหลือได้” เซธไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพบอะไรมาจึงมีความเชื่อแบบนี้ สิ่งเดียวที่เขารู้คือท่านผู้นั้นช่วยชี้ทางออกได้เสมอเหมือนแสงตะวันนำทางยามมืดมน
หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายมองเซธอย่างประเมินค่า ตอนแรกเขาเอ่ยถามเซธว่าท่านผู้นั้นที่ว่าคือใครกัน พอไม่ได้รับคำตอบจึงบอกเล่าความหลังและความเชื่อของตนเองออกมา
“ผมโตมากับเหล่าผู้นับถือที่ยังศรัทธาเสาค้ำจุนอยู่ พวกเขาอ้างว่าได้รับโองการจากนักรบเทพเพื่อปกป้องเอนโวลา”
“ขอเดานะ นักรบเทพอิกริดใช่ไหม” เซธเริ่มมองเห็นอะไรลาง ๆ เกี่ยวกับความหลงตัวเองแบบนี้ เขาจะนับเป็นหนึ่งในปัญหาที่ท่านผู้นั้นก่อไว้เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ
“แม่ของผมเป็นผู้นับถือเช่นกัน ท่านกับพวกสาวกตื่นเต้นมากเมื่อเห็นสีตาของผม มันเหมือนกับในบันทึกไม่มีผิด นักรบเทพอิกริดเป็นคนเดียวที่มีดวงตาแบบเดียวกับผม ผู้รักษาบันทึกบอกว่าผมมีเชื้อสายของเขาอยู่ทั้งที่ตอนแม่ผมเข้าร่วมไม่เคยมีใครพูดอะไรเลย พ่อของผมไม่ได้เป็นผู้นับถือถามหาเหตุผลอื่นมาสนับสนุนทว่าไม่มีใครสนใจฟัง
“หลังจากนั้นทุกคนก็ตั้งความหวังกับผมว่าจะกู้ความเชื่อต่อเสาค้ำจุนกลับมา พวกเขาบอกว่านักรบเทพผู้นั้นส่งผมที่เป็นเลือดเนื้อมาเพื่อชี้นำเหล่ามนุษย์ ผมคิดว่ามันเกินจริงกระทั่งทดลองฝึกใช้เวทมนตร์ ความสามารถของผมเหนือกว่าคนอื่น ๆ จนเทียบไม่ติด”
เซธเป็นผู้ฟังที่ดีเช่นเคย เขาสรุปตามที่ท่านผู้นั้นเคยพูด ยามมนุษย์พบสิ่งทรงอำนาจมักยกชูเหนือตนเอง และหากท่านผู้นั้นส่งคนมาปกครองแทนคงไม่อวดเรื่องมอบวิทยาศาสตร์ให้มนุษย์หรอก เขาพยักหน้าว่าให้เล่าต่อ
“ระหว่างการเรียนผมอ่านพบบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับยุคสมัยที่ยังมีเวทมนตร์อยู่ มันฟังดูเจิดจ้า ยอดเยี่ยม ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติโดยมีเวทมนตร์เป็นสิ่งเชื่อมต่อกันและกัน เหล่าผู้เชื่อกล่าวว่าเทคโนโลยีทำให้ความเป็นมนุษย์ด้อยลงกว่าเดิม แทนที่มนุษย์จะเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติกลับแยกตัวออกมาเป็นเอกเทศ...”
สายเลือดของท่านผู้นั้นขมวดคิ้วเพราะเซธแสดงความขบขันทางดวงตามากเกินไป ผู้เป็นอมตะกลืนเสียงหัวเราะลงคอพลางกล่าวขอโทษที่เสียมารยาท
“คนเราชอบจดจำเฉพาะสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ท่านบอกเมื่อครู่ย้ำเรื่องนี้ได้ดี ข้างในหนังสือพวกนั้นคือเรื่องที่คนสมัยก่อนอยากบอกเล่า เหมือนกับยกมาแค่ด้านดีอย่างเดียว” เซธเท้าสะเอวพยายามเลือกใช้คำให้ดีที่สุด โชคดีที่มันผุดมาเองตอนได้ยินอีกฝ่ายพูด “ข้าเกิดหลังยุคมืดบอดสักร้อยปี ตอนนั้นเวทมนตร์ยังมีมากกว่าตอนนี้ ผู้วิเศษทรงอำนาจกดขี่ผู้อ่อนด้อยกว่า ผู้ปกครองสูงสุดไม่อยู่ทุกคนจึงแก่งแย่งเป็นผู้นำฝูงของเอนโวลา พอมีสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ก็พยายามบั่นทอนทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจ ผู้ต่อต้านถูกสังหารหรือขู่บังคับให้ล้มเลิกความเชื่อในระหว่างที่องค์ความรู้ต่าง ๆ ก่อตัวเป็นรูปร่าง ใช้เวลาหลายร้อยปีทุกคนจึงยอมรับแนวทางของเทคโนโลยีได้ในที่สุด”
สายเลือดของท่านผู้นั้นใคร่ครวญอย่างหนักก่อนถามขึ้น
“คุณพูดเหมือนตอนนี้พวกเสาค้ำจุนไม่อยู่กับเอนโวลาอย่างนั้นล่ะ พวกเราเชื่อเสมอว่าท่านเหล่านั้นคงอยู่ทุกที่ คอยเฝ้ามองมนุษย์ผ่านทางเวทมนตร์ในธรรมชาติ”
เซธเป็นฝ่ายครุ่นคิดบ้างว่าควรบอกความจริงดีหรือไม่ สาเหตุที่มนุษย์เชื่อแบบนั้นเพราะเหล่านักรบเทพตัดความเชื่อมต่อทุกอย่างไปแล้วจนเกิดช่วงมืดบอดขึ้น เขาก็เชื่ออย่างนั้นกระทั่งโดนสาป
“หากข้าบอกว่าเสาค้ำจุนทิ้งวิทยาศาสตร์ให้เหล่ามนุษย์ล่ะ ความจริงแล้วพวกนั้นไม่ได้เป็นนามธรรมขนาดนั้นหรอก...คนที่สาปข้าคือเสาค้ำจุนสูงสุด มันคือหลักฐานอย่างดี”
“คงมีคุณคนเดียวที่คิดว่าอมตะคือคำสาปไม่ใช่พร” สายเลือดของท่านผู้นั้นย่นคิ้วอย่างมีข้อกังขา เซธหัวเราะเบา ๆ “อย่างนั้นสมัยนักรบเทพอาจดีกว่าก็ได้ บางทีพวกท่านอาจต้องการทดสอบมนุษย์ว่าคู่ควรกับเอนโวลาหรือไม่”
เซธส่ายหน้าพร้อมเค้นความทรงจำที่ท่านผู้นั้นเคยบอกเล่าอยู่เนือย ๆ เกี่ยวกับสมัยเหล่านักรบเทพยังอยู่
(มีต่อ)