เซธลังเลเมื่อเห็นดวงตาที่เหมือนกับของท่านผู้นั้นอยู่บนใบหน้าของผู้บุกรุกที่ปิดซ่อนส่วนหนึ่งเอาไว้ พอมองข้างตัวจึงรู้ว่าควรทำสิ่งใดเป็นอันดับแรก เขาทิ้งอาวุธแล้วหันไปคว้าถังดับเพลิงมาฉีดใส่ผู้บุกรุกก่อน อย่างน้อยก็กันหนังสือแสนมีค่าจากดาบไฟนั่น!
กลางกลุ่มควันจากถังดับเพลิงผู้บุกรุกหัวเราะลั่นด้วยความขบขัน เมื่อควันสลายผู้เป็นอมตะไม่พบอะไรนอกจากประตูห้องเก็บสมบัติที่น่าจะมีระบบป้องกันอ้าค้างไว้ เซธนึกถึงกลุ่มคนที่มาแก้เหตุขัดข้องเมื่อตอนกลางวันทันที พวกนั้นคงมาจัดการเตรียมเข้ามาขโมยของไว้ก่อนแล้ว เหตุบุกที่อื่นคงมีเอาไว้เพื่อดึงความสนใจเท่านั้น! เซธฉวยดาบก้าวตามทว่าอีกฝ่ายโผล่พรวดออกมาเหมือนเงาผี ในมือหอบของบางสิ่งเอาไว้อย่างหวงแหน
ผู้บุกรุกได้ของที่ต้องการแล้วและกำลังจะหนี! เซธเกือบไล่ตามทันตรงประตูหน้าห้องหากอีกฝ่ายกระโดดขึ้นบนต้นไม้สูงลิ่วได้เหมือนลิง จากนั้นแสงของมนตร์เคลื่อนย้ายก็สว่างจ้าเหมือนดวงอาทิตย์แตก!
ท่านผู้นั้นในชุดเสื้อคอปกมาถึงอาคารที่มีห้องหนังสือทันแสงจากเวทมนตร์หลบหนีดับลง ฝ่าบาทของเซธร้องถามขึ้นทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
“หมอนั่นเข้ามาขโมยของ ข้าคิดว่าเขาเป็นผู้สืบเชื้อสายของฝ่าบาท ดวงตาของเขา...” เซธสำนึกผิดสุดหัวใจที่หลุดปากไปแบบนั้น ท่านผู้นั้นมองเหมือนหยั่งความคิดก่อนจะดำเนินการติดตามผู้บุกรุก
“เดี๋ยวมาคุยกันว่าได้ยินอะไรมาบ้างในความทรงจำนั่น” อาการนักเลงโตของท่านผู้นั้นแสดงออกมาทันควัน
นักรบเทพหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ชูมือขึ้นแล้วท่องกลอนสั้น ๆ กลุ่มแมลงสีทองเรือง ๆ บินรวมกลุ่มออกจากมือของท่านผู้นั้นราวกับถูกเรียกผ่านความว่างเปล่า ละอองสีทองดังกล่าวบินขึ้นไปบนต้นไม้เป็นสายแล้วหายไปเหมือนภาพลวงตา เซธรู้ผ่านการศึกษาในยามว่างว่านั่นคือวิชาเรียกสัตว์ปิศาจที่สาบสูญไปนานมากแล้ว
“เจ้าพวกนี้สามารถเดินทางผ่านกระแสเวทมนตร์ในอากาศได้เหมือนเราเดินตามกระแสน้ำ เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ใช้ติดตามผู้ใช้มนตร์เคลื่อนย้ายนอกจากการเข้าแทรกแซงตอนเวทมนตร์ทำงาน” ท่านผู้นั้นกระโจนพรวดเดียวก็ขึ้นมายืนข้างเซธที่อยู่ชั้นสองได้ “ไปคุยกันข้างในดีกว่าว่าเจ้ารู้อะไรมาบ้าง อีกสักสามนาทีพนักงานรักษาความปลอดภัยจะมาถึงที่นี่”
เซธโดนท่านผู้นั้นลากจูงมานั่งประจันหน้ากันที่มุมหนึ่งของห้องหนังสือ ผู้เป็นอมตะยอมเล่ารายละเอียดอย่างเสียไม่ได้เพราะรู้ว่าท่านผู้นั้นสามารถอ่านความทรงจำได้อยู่ดี เหล่าพนักงานเมื่อได้ยินว่ามีของถูกขโมยก็รีบดำเนินการตามลำดับโดยไม่สนใจทั้งคู่
“ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่เขาคือทายาทที่ถูกซ่อนในความมืด...เจ้าลองนึกภาพดู หากลูกหลานของผู้มีดวงตาสีพระจันทร์แดงอย่างข้าทุกคนต้องมีตาแบบเดียวกัน แล้วเวลาผ่านไปสักสองร้อยปีจะเป็นอย่างไร คนที่มีตาแบบข้าก็จะพบได้ทุกหัวระแหงเลยน่ะสิ”
ท่านผู้นั้นทำให้เซธฉุกใจคิด เขาเป็นอมตะมาหกร้อยกว่าปีไม่เคยพบใครที่มีดวงตาแบบนี้นอกจากท่านผู้นั้น การมีดวงตาสีแบบนี้อาจเป็นเพราะอย่างอื่นไม่ใช่สายเลือด ท่านผู้นั้นช่วยสร้างความกระจ่างให้ทันที
“เงื่อนไขของดวงตาสีพระจันทร์แดงนี่คือพลังอำนาจ! เดิมทีดวงตาข้าเป็นสีฟ้ากระทั่งได้รับพลังจนกลายเป็นนักรบเทพ มันคือพรจากหนึ่งในสี่เสาค้ำจุนที่ส่งผ่านทางสายเลือด พลังอำนาจที่ได้รับมาจะแสดงออกให้เห็นทางดวงตา หากไม่มีพลังมีแค่เชื้อสายก็อาจมีได้แต่น้อย เจ้าได้ยินจากในความฝันแล้วนี่ ลูกข้าไม่มีดวงตาสีนี้แต่หลานข้ามี”
เซธหน้าเสียเพราะคิดว่าอาจต้องพบกับมนตราโบราณที่แก่กล้าอีกครั้ง เขายังหนาวสะท้านเมื่อคิดถึงอานุภาพของเวทมนตร์ในตอนนั้น ท่านผู้นั้นรีบปลอบทันทีว่าคงไม่แข็งแกร่งขนาด ‘เขา’ ที่เป็นเหมือนต้นน้ำ
“ไปพักผ่อนก่อนอนาทอล ไม่รู้ว่าการติดตามของแมลงพวกนั้นจะหยุดลงเมื่อไรและจะหยุดที่ไหน เอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีตอนเช้า...เมื่อกลางวันก็มีคนถูกลักพาตัว ช่วงนี้วุ่นจริง ๆ”
ท่านผู้นั้นลุกเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ว่ามีของสิ่งใดถูกขโมยบ้าง เซธยอมไปนอนต่อโดยดุษณี เขานึกภาพว่าลูกหลานของท่านผู้นั้นจะเป็นอย่างไรและมีแผนอะไรซ่อนไว้...
รุ่งเช้าเซธพบว่าท่านผู้นั้นมีความวิตกกังวลเกาะกุมอยู่ ผู้เป็นอมตะนั่งลงบนเก้าอี้ของแขกระดับพลเมืองซอมซ่อรอรับคำสั่งจากฝ่าบาทของเขา อีกฝ่ายรีบส่งถ่ายข้อมูลที่ได้รับทันที
“คินาเลน ข้าเชื่อว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญที่มีฐานที่ตั้งของพวกก่อการร้ายทางเวทมนตร์” ท่านผู้นั้นเตือนว่ามันอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้จนเกือบสุดเขตแดนสหพันธรัฐ “ช่วยไปตรวจสอบให้ได้ไหม ข้าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้และไม่มีใครน่าไว้วางใจเท่ากับเจ้า ข้าจะมอบแมลงภูตส่วนหนึ่งให้ มันจะนำทางไปยังผลึกพวกนั้น มีแค่สองชิ้นที่เจ้านั่นได้ไป”
ท่านผู้นั้นมองอย่างคาดหวัง แมลงเล็ก ๆ สีทองบินมารวมกลุ่มที่ข้อมือซ้ายของเซธเหมือนสร้อยข้อมือเพื่อรอนำทาง
“สิ่งที่เขาขโมยไปคือผลึกกระจายพลังเวท ป้ายบอกแค่ว่ามันคือผลึกเวทมนตร์โบราณแต่ข้ารู้จักมันดีและไม่คิดว่าจะมีผู้รู้คนอื่นหลงเหลืออยู่อีก มันสามารถใช้ผลิตและสร้างกระแสเวทมนตร์ได้คล้ายแห่งก่อกำเนิดพลังเวท มันทำหน้าที่แหล่งก่อกำเนิดเทียมได้หากได้รับการกระตุ้นจากเวทมนตร์ขั้นสูง ทีนี้เจ้าลองคิดถึงผลลัพธ์ พลังจากบรรพกาลบวกกับเครื่องมือที่สร้างพลังอำนาจทางเวทมนตร์ได้ หากลูกหลานข้ามีมันไว้กับตัวรังแต่จะเกิดหายนะ”
“อย่างนั้นเวทมนตร์จะกลับสู่เอนโวลาได้ ไม่ดีหรือฝ่าบาท” เซธทำให้ท่านผู้นั้นโคลงหัว
“ผลึกพวกนั้นไม่เหมือนแหล่งก่อกำเนิดจริง ๆ มันทำได้แค่ส่งผ่านให้เป้าหมายได้เท่านั้น เหมือนผู้ครอบครองมีกระสุนเต็มรังเพลิงตลอดเวลาแค่กลุ่มเดียว ในขณะที่แหล่งกำเนิดจริงให้ทุกชีวิตอย่างเท่าเทียมและรักษาสมดุลอยู่ตลอดอย่างเสาค้ำจุน ข้าลงแรงเพื่อทำให้มนุษย์สร้างเทคโนโลยีมาหลายร้อยปี คงไม่สนุกหากสายเลือดของข้าสร้างกองทัพนักเวทขึ้นมาล้มล้างสิ่งที่ข้าสร้าง ดังนั้นจึงต้องฝากเจ้าไปดูว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ เจ้าเป็นอมตะ ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะทำอะไรข้าก็เชื่อว่ารอดกลับมาได้”
เซธแย้งขึ้นทันที อมตะไช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน ยิ่งตรงข้ามเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ยิ่งหาทางจัดการเขาให้หุบปากได้อย่างง่ายดาย
“ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเป็นอมตะคงไม่มีการเตรียมการก่อนหรอก เจ้าจัดการได้อยู่แล้ว” ท่านผู้นั้นบอกอย่างไม่ใยดี “ขั้นแรกคือตรวจสอบว่าเขาต้องการเอาผลึกนั่นไปใช้ทำอะไร หากเห็นว่าเป็นภัยก็ยึดคืนหรือทำลายทิ้งเลยก็ได้ ผลึกพวกนั้นอ่อนไหวกับของบางจำพวก อย่างเช่นสัมผัสจากสัตว์ที่ถูกสร้างด้วยเวทมนตร์แบบเดียวกับวิหคพิณของเจ้า”
พอพูดจบท่านผู้นั้นก็สร้างอักขระเคลื่อนย้ายบนพื้นห้องเตรียมส่งเซธไปยังเมืองดังกล่าวทันที
“ข้าจะส่งไปแล้วให้ซาเรียช่วยใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายพากลับ อย่างน้อยเจ้าก็รู้ว่าที่นั่นอยู่ตรงไหนของแผนที่เผื่อเกิดอะไรขึ้น” ท่านผู้นั้นสร้างกลุ่มหมอกความมืดขึ้นด้านหลังเหมือนม่านขนาดพอดีตัวคน “ข้าต้องไปคุยกับเสาค้ำจุนเรื่องนี้ พวกเราจะคอยดูความพยายามของเจ้า แล้วเจอกัน”
ท่านผู้นั้นก้าวเข้าไปในเส้นทางสีดำที่ตนสร้างขึ้น ส่วนเซธใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อเตรียมพร้อมแล้วเดินเข้าสู่อักขระเคลื่อนย้ายทันที แสงสีเหลืองทองปกคลุมร่างของเขาเหมือนกล่องขนาดใหญ่ ทั่วตัวสั่นด้วยความเร็วสูงในระหว่างการเคลื่อนย้าย...
คินาเลนไม่ได้อยู่ในรายชื่อสถานที่ที่เซธอยากเที่ยว ความแห้งแล้งราวทะเลทรายปกคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมด ภูเขาสูงชันเต็มไปด้วยแร่ล้ำค่าที่นายทุนบุกเข้ามาฉกชิงราวนกแร้ง ชาวบ้านทำงานหนักแต่กลับยากจนเพราะถูกเอาเปรียบ ผู้เข้ามาเปิดบริษัททำเหมืองต่างมีคนใหญ่คนโตหนุนหลังจึงหากำไรกันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ในอดีตเมืองนี้เคยมีสงครามกลางเมืองระหว่างผู้ถูกกดขี่กับผู้กดขี่ น่าเศร้าที่ฝ่ายหลังเป็นผู้ชนะ
พอมนตร์เคลื่อนย้ายจบลงสิ่งแรกที่สัมผัสตัวผู้เป็นอมตะคือความเศร้าหมองลอยในอากาศ แทบทุกอย่างดูหดหู่อย่างหาสาเหตุไม่ได้แม้จะอยู่ในเขตทำเหมืองซึ่งเปิดโล่ง ภูเขาหินไร้ต้นไม้เป็นฉากหลังไกล ๆ แบบไร้ชีวิตชีวา บ้านเรือนดูรกร้างแม้จะเห็นคนอยู่อาศัย อากาศร้อนแห้งสากผิวทวีความรู้สึกไม่สบายตัว สิ่งที่เริงร่าได้ตลอดเวลาในเมืองนี้คือเหล่าคนรวยและแสงตะวันที่แผดเผาทุกสรรพสิ่ง ท้องฟ้ายามกลางวันเป็นสีเลือดด้วยฝุ่นผงจนเป็นเหมือนขุมนรกก็ไม่ปาน
เซธมองไปรอบตัว บ้านเรือนเก่าทรุดโทรมคนชั้นกรรมกรหิวโซเหมือนผีดิบ ผู้เป็นอมตะเคยมาที่นี่เมื่อสี่ร้อยปีก่อนและรู้ดีเรื่องความเชื่อเก่าแก่ในพื้นที่เกี่ยวกับการเรียกแร่ในหุบเขา ความเคียดแค้นของเหยื่อสังเวยส่งผลร้ายได้มากกว่าเรื่องเล่าใด ๆ ที่มีมา หากท่านผู้นั้นรู้ว่าสิ่งชั่วร้ายยังคงอยู่จะต้องเข้ามาจัดการทุกอย่างให้ดีขึ้นแน่นอน
“ไวร่าหรือ” เซธนึกถึงชื่อหนึ่งออก นั่นคือปิศาจในตำนานที่ชาวบ้านในเมืองนี้บูชาเพื่อให้ได้ทรัพยากรแร่มาทำสงครามอย่างไม่มีวันหมดสิ้น หรือนี่อาจเป็นการออกเสียงเพี้ยนมาจากไอร่าหนึ่งในมังกรทั้งเจ็ด ที่น่าสนใจคือนั่นเป็นร่างอวตารของท่านผู้นั้น แค่อาจจะนะ
เซธเหนื่อยหน่ายความหัวช้าของตัวเองในการเชื่อมโยงเรื่องต่าง ๆ อย่างไรเสียเหล่าแมลงที่ผูกติดกับข้อมือเริ่มทำงานแล้ว มันเหมือนเส้นเชือกสั้น ๆ สีทองชี้ทางไปยังภูเขาไกลออกไป ความแร้นแค้นทุกข์ยากของเมืองนี้ทำให้เขาปวดใจหากต้องเดินฝ่ามันไปทีละก้าว ๆ ถ้าเขาเรียกวิหคพิณมาเป็นพาหนะจะต้องช่วยย่นระยะทางได้แน่นอน
เสียงดนตรีที่เซธเล่นออกมานั้นทุ้มต่ำเกินกว่าจะออกมาจากเครื่องสาย เสียงเพลงเป็นดังรหัสส่งตรงถึงธาตุดินในอากาศที่มีมากมายในเมืองนี้ นกสีดำสนิทเหมือนหินชนวนก่อร่างจากฝุ่นผงเล็ก ๆ นับพัน ร่างใหญ่โตกว่าบ้านสองชั้นบินเล่นลมอยู่ครึ่งอึดใจก่อนร่อนลงตรงหน้าผู้เรียกมันออกมาผ่านพิณแห่งเทพพิรุณ ผู้เป็นอมตะไม่สามารถขยับได้มากมายเวลาใช้พิณเพื่อสร้างและบังคับวิหคมนตราแต่มันสามารถเอาเขาขึ้นไปนั่งข้างบนได้เสมอ ดินที่ฝ่าเท้าของเซธค่อย ๆ ยกตัวขึ้นให้เขาเดินไปนั่งบนหลังเพื่อเตรียมออกบิน
การบินช่วยผ่อนคลายได้เสมอแม้จะอยู่ในนรก เซธจดจ่อกับการบังคับทิศการบินของวิหคยักษ์มากเป็นพิเศษเพราะไม่รู้แน่นอนว่าจุดหมายคือที่ใดกันแน่ ที่สำคัญคือทิวทัศน์ในเมืองทำให้ความชั่วร้ายของมนุษย์กลับมาในภาพจำอีกครั้ง สู้ไม่มองเสียดีกว่าจะได้สบายใจขึ้น
ผู้เป็นอมตะรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ปลายทางอยู่ใกล้แค่ข้ามเขาลูกเดียว ส่วนปลายสีทองเล็ก ๆ บนข้อมือลดองศาเซธจึงรีบลดเพดานบิน กระทั่งเหล่าแมลงชี้ลงข้างล่างแทบเป็นเส้นตรงดิ่งเขาจึงลงจอดเพื่อให้ใกล้เป้าหมายที่สุด
(มีต่อ)
สัญญาอมตะ ตอนที่ 5
กลางกลุ่มควันจากถังดับเพลิงผู้บุกรุกหัวเราะลั่นด้วยความขบขัน เมื่อควันสลายผู้เป็นอมตะไม่พบอะไรนอกจากประตูห้องเก็บสมบัติที่น่าจะมีระบบป้องกันอ้าค้างไว้ เซธนึกถึงกลุ่มคนที่มาแก้เหตุขัดข้องเมื่อตอนกลางวันทันที พวกนั้นคงมาจัดการเตรียมเข้ามาขโมยของไว้ก่อนแล้ว เหตุบุกที่อื่นคงมีเอาไว้เพื่อดึงความสนใจเท่านั้น! เซธฉวยดาบก้าวตามทว่าอีกฝ่ายโผล่พรวดออกมาเหมือนเงาผี ในมือหอบของบางสิ่งเอาไว้อย่างหวงแหน
ผู้บุกรุกได้ของที่ต้องการแล้วและกำลังจะหนี! เซธเกือบไล่ตามทันตรงประตูหน้าห้องหากอีกฝ่ายกระโดดขึ้นบนต้นไม้สูงลิ่วได้เหมือนลิง จากนั้นแสงของมนตร์เคลื่อนย้ายก็สว่างจ้าเหมือนดวงอาทิตย์แตก!
ท่านผู้นั้นในชุดเสื้อคอปกมาถึงอาคารที่มีห้องหนังสือทันแสงจากเวทมนตร์หลบหนีดับลง ฝ่าบาทของเซธร้องถามขึ้นทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
“หมอนั่นเข้ามาขโมยของ ข้าคิดว่าเขาเป็นผู้สืบเชื้อสายของฝ่าบาท ดวงตาของเขา...” เซธสำนึกผิดสุดหัวใจที่หลุดปากไปแบบนั้น ท่านผู้นั้นมองเหมือนหยั่งความคิดก่อนจะดำเนินการติดตามผู้บุกรุก
“เดี๋ยวมาคุยกันว่าได้ยินอะไรมาบ้างในความทรงจำนั่น” อาการนักเลงโตของท่านผู้นั้นแสดงออกมาทันควัน
นักรบเทพหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ชูมือขึ้นแล้วท่องกลอนสั้น ๆ กลุ่มแมลงสีทองเรือง ๆ บินรวมกลุ่มออกจากมือของท่านผู้นั้นราวกับถูกเรียกผ่านความว่างเปล่า ละอองสีทองดังกล่าวบินขึ้นไปบนต้นไม้เป็นสายแล้วหายไปเหมือนภาพลวงตา เซธรู้ผ่านการศึกษาในยามว่างว่านั่นคือวิชาเรียกสัตว์ปิศาจที่สาบสูญไปนานมากแล้ว
“เจ้าพวกนี้สามารถเดินทางผ่านกระแสเวทมนตร์ในอากาศได้เหมือนเราเดินตามกระแสน้ำ เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ใช้ติดตามผู้ใช้มนตร์เคลื่อนย้ายนอกจากการเข้าแทรกแซงตอนเวทมนตร์ทำงาน” ท่านผู้นั้นกระโจนพรวดเดียวก็ขึ้นมายืนข้างเซธที่อยู่ชั้นสองได้ “ไปคุยกันข้างในดีกว่าว่าเจ้ารู้อะไรมาบ้าง อีกสักสามนาทีพนักงานรักษาความปลอดภัยจะมาถึงที่นี่”
เซธโดนท่านผู้นั้นลากจูงมานั่งประจันหน้ากันที่มุมหนึ่งของห้องหนังสือ ผู้เป็นอมตะยอมเล่ารายละเอียดอย่างเสียไม่ได้เพราะรู้ว่าท่านผู้นั้นสามารถอ่านความทรงจำได้อยู่ดี เหล่าพนักงานเมื่อได้ยินว่ามีของถูกขโมยก็รีบดำเนินการตามลำดับโดยไม่สนใจทั้งคู่
“ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่เขาคือทายาทที่ถูกซ่อนในความมืด...เจ้าลองนึกภาพดู หากลูกหลานของผู้มีดวงตาสีพระจันทร์แดงอย่างข้าทุกคนต้องมีตาแบบเดียวกัน แล้วเวลาผ่านไปสักสองร้อยปีจะเป็นอย่างไร คนที่มีตาแบบข้าก็จะพบได้ทุกหัวระแหงเลยน่ะสิ”
ท่านผู้นั้นทำให้เซธฉุกใจคิด เขาเป็นอมตะมาหกร้อยกว่าปีไม่เคยพบใครที่มีดวงตาแบบนี้นอกจากท่านผู้นั้น การมีดวงตาสีแบบนี้อาจเป็นเพราะอย่างอื่นไม่ใช่สายเลือด ท่านผู้นั้นช่วยสร้างความกระจ่างให้ทันที
“เงื่อนไขของดวงตาสีพระจันทร์แดงนี่คือพลังอำนาจ! เดิมทีดวงตาข้าเป็นสีฟ้ากระทั่งได้รับพลังจนกลายเป็นนักรบเทพ มันคือพรจากหนึ่งในสี่เสาค้ำจุนที่ส่งผ่านทางสายเลือด พลังอำนาจที่ได้รับมาจะแสดงออกให้เห็นทางดวงตา หากไม่มีพลังมีแค่เชื้อสายก็อาจมีได้แต่น้อย เจ้าได้ยินจากในความฝันแล้วนี่ ลูกข้าไม่มีดวงตาสีนี้แต่หลานข้ามี”
เซธหน้าเสียเพราะคิดว่าอาจต้องพบกับมนตราโบราณที่แก่กล้าอีกครั้ง เขายังหนาวสะท้านเมื่อคิดถึงอานุภาพของเวทมนตร์ในตอนนั้น ท่านผู้นั้นรีบปลอบทันทีว่าคงไม่แข็งแกร่งขนาด ‘เขา’ ที่เป็นเหมือนต้นน้ำ
“ไปพักผ่อนก่อนอนาทอล ไม่รู้ว่าการติดตามของแมลงพวกนั้นจะหยุดลงเมื่อไรและจะหยุดที่ไหน เอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีตอนเช้า...เมื่อกลางวันก็มีคนถูกลักพาตัว ช่วงนี้วุ่นจริง ๆ”
ท่านผู้นั้นลุกเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ว่ามีของสิ่งใดถูกขโมยบ้าง เซธยอมไปนอนต่อโดยดุษณี เขานึกภาพว่าลูกหลานของท่านผู้นั้นจะเป็นอย่างไรและมีแผนอะไรซ่อนไว้...
รุ่งเช้าเซธพบว่าท่านผู้นั้นมีความวิตกกังวลเกาะกุมอยู่ ผู้เป็นอมตะนั่งลงบนเก้าอี้ของแขกระดับพลเมืองซอมซ่อรอรับคำสั่งจากฝ่าบาทของเขา อีกฝ่ายรีบส่งถ่ายข้อมูลที่ได้รับทันที
“คินาเลน ข้าเชื่อว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญที่มีฐานที่ตั้งของพวกก่อการร้ายทางเวทมนตร์” ท่านผู้นั้นเตือนว่ามันอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้จนเกือบสุดเขตแดนสหพันธรัฐ “ช่วยไปตรวจสอบให้ได้ไหม ข้าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้และไม่มีใครน่าไว้วางใจเท่ากับเจ้า ข้าจะมอบแมลงภูตส่วนหนึ่งให้ มันจะนำทางไปยังผลึกพวกนั้น มีแค่สองชิ้นที่เจ้านั่นได้ไป”
ท่านผู้นั้นมองอย่างคาดหวัง แมลงเล็ก ๆ สีทองบินมารวมกลุ่มที่ข้อมือซ้ายของเซธเหมือนสร้อยข้อมือเพื่อรอนำทาง
“สิ่งที่เขาขโมยไปคือผลึกกระจายพลังเวท ป้ายบอกแค่ว่ามันคือผลึกเวทมนตร์โบราณแต่ข้ารู้จักมันดีและไม่คิดว่าจะมีผู้รู้คนอื่นหลงเหลืออยู่อีก มันสามารถใช้ผลิตและสร้างกระแสเวทมนตร์ได้คล้ายแห่งก่อกำเนิดพลังเวท มันทำหน้าที่แหล่งก่อกำเนิดเทียมได้หากได้รับการกระตุ้นจากเวทมนตร์ขั้นสูง ทีนี้เจ้าลองคิดถึงผลลัพธ์ พลังจากบรรพกาลบวกกับเครื่องมือที่สร้างพลังอำนาจทางเวทมนตร์ได้ หากลูกหลานข้ามีมันไว้กับตัวรังแต่จะเกิดหายนะ”
“อย่างนั้นเวทมนตร์จะกลับสู่เอนโวลาได้ ไม่ดีหรือฝ่าบาท” เซธทำให้ท่านผู้นั้นโคลงหัว
“ผลึกพวกนั้นไม่เหมือนแหล่งก่อกำเนิดจริง ๆ มันทำได้แค่ส่งผ่านให้เป้าหมายได้เท่านั้น เหมือนผู้ครอบครองมีกระสุนเต็มรังเพลิงตลอดเวลาแค่กลุ่มเดียว ในขณะที่แหล่งกำเนิดจริงให้ทุกชีวิตอย่างเท่าเทียมและรักษาสมดุลอยู่ตลอดอย่างเสาค้ำจุน ข้าลงแรงเพื่อทำให้มนุษย์สร้างเทคโนโลยีมาหลายร้อยปี คงไม่สนุกหากสายเลือดของข้าสร้างกองทัพนักเวทขึ้นมาล้มล้างสิ่งที่ข้าสร้าง ดังนั้นจึงต้องฝากเจ้าไปดูว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ เจ้าเป็นอมตะ ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะทำอะไรข้าก็เชื่อว่ารอดกลับมาได้”
เซธแย้งขึ้นทันที อมตะไช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน ยิ่งตรงข้ามเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ยิ่งหาทางจัดการเขาให้หุบปากได้อย่างง่ายดาย
“ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเป็นอมตะคงไม่มีการเตรียมการก่อนหรอก เจ้าจัดการได้อยู่แล้ว” ท่านผู้นั้นบอกอย่างไม่ใยดี “ขั้นแรกคือตรวจสอบว่าเขาต้องการเอาผลึกนั่นไปใช้ทำอะไร หากเห็นว่าเป็นภัยก็ยึดคืนหรือทำลายทิ้งเลยก็ได้ ผลึกพวกนั้นอ่อนไหวกับของบางจำพวก อย่างเช่นสัมผัสจากสัตว์ที่ถูกสร้างด้วยเวทมนตร์แบบเดียวกับวิหคพิณของเจ้า”
พอพูดจบท่านผู้นั้นก็สร้างอักขระเคลื่อนย้ายบนพื้นห้องเตรียมส่งเซธไปยังเมืองดังกล่าวทันที
“ข้าจะส่งไปแล้วให้ซาเรียช่วยใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายพากลับ อย่างน้อยเจ้าก็รู้ว่าที่นั่นอยู่ตรงไหนของแผนที่เผื่อเกิดอะไรขึ้น” ท่านผู้นั้นสร้างกลุ่มหมอกความมืดขึ้นด้านหลังเหมือนม่านขนาดพอดีตัวคน “ข้าต้องไปคุยกับเสาค้ำจุนเรื่องนี้ พวกเราจะคอยดูความพยายามของเจ้า แล้วเจอกัน”
ท่านผู้นั้นก้าวเข้าไปในเส้นทางสีดำที่ตนสร้างขึ้น ส่วนเซธใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อเตรียมพร้อมแล้วเดินเข้าสู่อักขระเคลื่อนย้ายทันที แสงสีเหลืองทองปกคลุมร่างของเขาเหมือนกล่องขนาดใหญ่ ทั่วตัวสั่นด้วยความเร็วสูงในระหว่างการเคลื่อนย้าย...
คินาเลนไม่ได้อยู่ในรายชื่อสถานที่ที่เซธอยากเที่ยว ความแห้งแล้งราวทะเลทรายปกคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมด ภูเขาสูงชันเต็มไปด้วยแร่ล้ำค่าที่นายทุนบุกเข้ามาฉกชิงราวนกแร้ง ชาวบ้านทำงานหนักแต่กลับยากจนเพราะถูกเอาเปรียบ ผู้เข้ามาเปิดบริษัททำเหมืองต่างมีคนใหญ่คนโตหนุนหลังจึงหากำไรกันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ในอดีตเมืองนี้เคยมีสงครามกลางเมืองระหว่างผู้ถูกกดขี่กับผู้กดขี่ น่าเศร้าที่ฝ่ายหลังเป็นผู้ชนะ
พอมนตร์เคลื่อนย้ายจบลงสิ่งแรกที่สัมผัสตัวผู้เป็นอมตะคือความเศร้าหมองลอยในอากาศ แทบทุกอย่างดูหดหู่อย่างหาสาเหตุไม่ได้แม้จะอยู่ในเขตทำเหมืองซึ่งเปิดโล่ง ภูเขาหินไร้ต้นไม้เป็นฉากหลังไกล ๆ แบบไร้ชีวิตชีวา บ้านเรือนดูรกร้างแม้จะเห็นคนอยู่อาศัย อากาศร้อนแห้งสากผิวทวีความรู้สึกไม่สบายตัว สิ่งที่เริงร่าได้ตลอดเวลาในเมืองนี้คือเหล่าคนรวยและแสงตะวันที่แผดเผาทุกสรรพสิ่ง ท้องฟ้ายามกลางวันเป็นสีเลือดด้วยฝุ่นผงจนเป็นเหมือนขุมนรกก็ไม่ปาน
เซธมองไปรอบตัว บ้านเรือนเก่าทรุดโทรมคนชั้นกรรมกรหิวโซเหมือนผีดิบ ผู้เป็นอมตะเคยมาที่นี่เมื่อสี่ร้อยปีก่อนและรู้ดีเรื่องความเชื่อเก่าแก่ในพื้นที่เกี่ยวกับการเรียกแร่ในหุบเขา ความเคียดแค้นของเหยื่อสังเวยส่งผลร้ายได้มากกว่าเรื่องเล่าใด ๆ ที่มีมา หากท่านผู้นั้นรู้ว่าสิ่งชั่วร้ายยังคงอยู่จะต้องเข้ามาจัดการทุกอย่างให้ดีขึ้นแน่นอน
“ไวร่าหรือ” เซธนึกถึงชื่อหนึ่งออก นั่นคือปิศาจในตำนานที่ชาวบ้านในเมืองนี้บูชาเพื่อให้ได้ทรัพยากรแร่มาทำสงครามอย่างไม่มีวันหมดสิ้น หรือนี่อาจเป็นการออกเสียงเพี้ยนมาจากไอร่าหนึ่งในมังกรทั้งเจ็ด ที่น่าสนใจคือนั่นเป็นร่างอวตารของท่านผู้นั้น แค่อาจจะนะ
เซธเหนื่อยหน่ายความหัวช้าของตัวเองในการเชื่อมโยงเรื่องต่าง ๆ อย่างไรเสียเหล่าแมลงที่ผูกติดกับข้อมือเริ่มทำงานแล้ว มันเหมือนเส้นเชือกสั้น ๆ สีทองชี้ทางไปยังภูเขาไกลออกไป ความแร้นแค้นทุกข์ยากของเมืองนี้ทำให้เขาปวดใจหากต้องเดินฝ่ามันไปทีละก้าว ๆ ถ้าเขาเรียกวิหคพิณมาเป็นพาหนะจะต้องช่วยย่นระยะทางได้แน่นอน
เสียงดนตรีที่เซธเล่นออกมานั้นทุ้มต่ำเกินกว่าจะออกมาจากเครื่องสาย เสียงเพลงเป็นดังรหัสส่งตรงถึงธาตุดินในอากาศที่มีมากมายในเมืองนี้ นกสีดำสนิทเหมือนหินชนวนก่อร่างจากฝุ่นผงเล็ก ๆ นับพัน ร่างใหญ่โตกว่าบ้านสองชั้นบินเล่นลมอยู่ครึ่งอึดใจก่อนร่อนลงตรงหน้าผู้เรียกมันออกมาผ่านพิณแห่งเทพพิรุณ ผู้เป็นอมตะไม่สามารถขยับได้มากมายเวลาใช้พิณเพื่อสร้างและบังคับวิหคมนตราแต่มันสามารถเอาเขาขึ้นไปนั่งข้างบนได้เสมอ ดินที่ฝ่าเท้าของเซธค่อย ๆ ยกตัวขึ้นให้เขาเดินไปนั่งบนหลังเพื่อเตรียมออกบิน
การบินช่วยผ่อนคลายได้เสมอแม้จะอยู่ในนรก เซธจดจ่อกับการบังคับทิศการบินของวิหคยักษ์มากเป็นพิเศษเพราะไม่รู้แน่นอนว่าจุดหมายคือที่ใดกันแน่ ที่สำคัญคือทิวทัศน์ในเมืองทำให้ความชั่วร้ายของมนุษย์กลับมาในภาพจำอีกครั้ง สู้ไม่มองเสียดีกว่าจะได้สบายใจขึ้น
ผู้เป็นอมตะรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ปลายทางอยู่ใกล้แค่ข้ามเขาลูกเดียว ส่วนปลายสีทองเล็ก ๆ บนข้อมือลดองศาเซธจึงรีบลดเพดานบิน กระทั่งเหล่าแมลงชี้ลงข้างล่างแทบเป็นเส้นตรงดิ่งเขาจึงลงจอดเพื่อให้ใกล้เป้าหมายที่สุด
(มีต่อ)