ระหว่างเฝ้ารอข้อมูลเกี่ยวไอราเซ็ทส์ก็เข้าสู่ความฝันอีกครั้ง มังกรทั้งสามตัวที่เคยเป็นเป้าหมายของเขามายืนล้อมเขาไว้ ทั้งอินวิเดีย กุลา และอาเซเดีย เป็นร่างทมึนดุจเงาผีที่เคยฟาดฟันกันมา
“เรามาคุยกันก่อนดีกว่าเจ้าหนุ่มผู้เป็นอมตะ” อินวิเดียเริ่มพูดขึ้นก่อน “พวกเรายอมให้เจ้าบรรลุจุดประสงค์แล้วทางเจ้าก็ต้องช่วยพวกเราด้วยเช่นกัน”
“แล้วพวกเจ้าต้องการอะไร” เซ็ทส์ถาม
“สังหารซูเปอร์เบีย!” อินวิเดียตอบ “มันคิดจะทำลายทุกสรรพชีวิตบนดาวดวงนี้ ข้ายอมให้ใครมาทำร้ายคู่ของข้าไม่ได้เด็ดขาด”
“เอาพลังของมันมาแบ่งคืนพวกเรา” กุลาพูดบ้าง
“เจ้าก็เห็นที่มันทำกับข้าแล้ว กับพรรคพวกแบบนี้ไม่ต้องไว้ชีวิตหรอก” อาเซเดียเสริม
“พวกเราจะบอกที่อยู่ของไอราให้ เจ้าจะได้พบหญิงสาวคนนั้นอีกเร็วๆ แต่ต้องแลกกับการสังหารซูเปอร์เบีย จะยอมไหม” อินวิเดียยื่นข้อเสนอ
“ตกลง ข้าจะไม่ไว้ชีวิตซูเปอร์เบีย จะเร่งตามหาและสังหารมันให้ได้”
แล้วความมืดกับร่างมังกรทั้งสามก็หายไปดุจปุยเมฆ เซ็ทส์อยู่บนท้องฟ้าเหนือทวีปใหญ่ ด้านล่างคือภูเขาไฟลูกใหญ่ปล่อยไอความร้อนสูงออกมาพร้อมเถ้าเบาบาง ข้างในนั่น กลางบ่อลาววามีมังกรแดงอยู่ตัวหนึ่ง มันกำลังต่อสู้กับปิศาจในชุดสกปรกศัตรูของท่านผู้นั้น!
เซ็ทส์ตระหนักในทันทีว่าเถ้าและหินหลอมเหลวที่ทะลักออกมาไม่ใช่เพราะภูเขาปะทุ แต่เป็นการต่อสู้กันด้านล่างต่างหากที่ทำให้ภูเขาไฟนี้ตื่นขึ้นจากการคุกรุ่นมาหลายสิบหลายร้อยปี!
“นี่มัน ภูเขาทางตะวันตกนี่...”
ทันทีที่เซ็ทส์จำสถานที่ได้ร่างของเขาก็หล่นวูบหลุดจากความฝันในทันใด ในห้องที่มีแสงเลือนรางจากหน้าต่างดูเงียบและหนาวเย็นสมเป็นกลางฤดูหนาว เงาร่างของท่านผู้นั้นยืนกอดอกมองเขาอย่างครุ่นคิด
“ฝ่าบาท” ปากของเซ็ทส์แห้งผาก ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่ด้วยความรู้สึกเสมือนถูกย้ายที่ไปที่ไกลมากๆ
“ข้ารู้แล้ว” ท่านผู้นั้นพยักหน้า “กุลากับอาเซเดียมาพบเจ้าเพื่อบอกที่อยู่ของไอร่า คงเป็นผีนั่นล่ะ” ท่านผู้นั้นทำให้เซ็ทส์ขมวดคิ้วด้วยความสับสน เขาเห็นร่างเหยียดยาวของอินวิเดียด้วยแน่ๆ
คราวแรกเซ็ทส์เห็นตรงกันว่าเป็นผีของกุลากับอาเซเดีย แล้วทำไมเขาจึงเห็นอินวิเดียที่ยังไม่ตายด้วยเล่า ชายผู้เป็นอมตะปล่อยคำถามชวนคิดทิ้งไปตามนิสัย
“ข้าให้เวลาห้านาที เราจะไปด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย” แล้วเซ็ทส์ก็วุ่นกับการล้างหน้าเตรียมตัวออกไปช่วยหญิงหน้าเหมือนคนนั้น...
เมื่อแสงของมนตร์เคลื่อนย้ายดับลง เซ็ทส์พบว่าตนอยู่กลางท้องฟ้ามืดขมุกขมัว ด้านล่างเป็นปากปล่องภูเขาไฟเดียวกับที่เห็นในความฝันแต่บัดนี้ทุกอย่างสงบราบเรียบ บนฟ้ามีเมฆกระจัดกระจาย กลิ่นเหม็นหินหลอมเหลวกระจายตัวอย่างสันติ ผิดตรงที่มีเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่ดังก้องขุนเขายามรัตติกาลเป็นระยะๆ
“จะลงล่ะนะ” ท่านผู้นั้นที่มาด้วยกันโดยไม่ล่องหนพูด แล้วพวกเขาก็ถูกปล่อยเป็นอิสระจากเวทควบคุมแรงโน้มถ่วงลงไปยังบ่อดินเพลิงที่ส่องแสงเหมือนอัญมณี
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือปิศาจในผ้าคลุมสกปรกกำลังใช้เวทมนตร์แยกส่วนมังกรแดงเป็นชิ้นๆทั้งที่มันยังเป็นๆอยู่ เสียงร้องที่เซ็ทส์ได้ยินคือเสียงของไอร่านั่นเอง ส่วนรวิกานต์นอนสลบสไลอยู่มุมหนึ่งของโพรงถ้ำ
“ถ้าไม่ตอบตกลงข้าจะทำมากกว่านี้!” ปิศาจในผ้าคลุมสกปรกพูดอย่างคะนองปาก แขนอีกข้างที่เหมือนหมีถูกมือที่มองไม่เห็นดึงออกจากร่างอย่างง่ายดาย ไอราร้องพลางสบถสาบานด้วยความเจ็บปวดอย่างใหญ่หลวง น่าแปลกใจที่รวิกานต์ยังสามารถหลับลงได้อีก
“แอบหนีมารังแกสัตว์อยู่ตรงนี้เองหรือ” ท่านผู้นั้นทัก
ในวินาทีนั้นปิศาจในผ้าคลุมสกปรกขยับมือมาทางเซ็ทส์ เกิดฟองอากาศทั้งหนาและเหนียวห่อหุ้มร่างของเซ็ทส์เอาไว้ เขารู้สึกเหมือนบางสิ่งถูกดูดออกไปจากร่างกายอย่างรีบเร่ง ราวกับกำลังถูกดูดเลือดที่มองไม่เห็นออกไป เมื่อท่านผู้นั้นไหวตัวฟองอากาศก็ถอนตัวออกจากเขาทันที
“มาเร็วดีนี่อิกริด” ปิศาจในผ้าคลุมสกปรกทักกลับ “ข้ากำลังทำสัญญาร่วมมือกับไอร่าอยู่ เจ้าก็โผล่ออกมาพร้อมตัวทดลอง วิเศษจริงๆ”
“เรารู้จักกันมากว่าห้าพันปี ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ารักความรุนแรงขนาดนี้ แม้แต่กับพวกปิศาจยังถือว่าผิดปกติ...แล้วเมื่อกี้เจ้าทำอะไรกับเซ็ทส์!”
“ทดลองแย่งชิงความเป็นอมตะอย่างไรล่ะ” แล้วฟองอากาศดังกล่าวก็เลื่อนมาครอบร่างของปิศาจในผ้าคลุมสกปรกเอาไว้ ร่างนั้นส่องแสงม่วงเรืองแล้วแล้วดับลงไปพร้อมฟองอากาศ
ไม่ทันสิ้นเสียงเซ็ทส์ก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ท่านผู้นั้นรีบเข้ามาแย่งพิณเทพวารีไปทันทีเพราะมันดูดพลังชีวิตจากผู้ถือ ท่านผู้นั้นมองพิณเทพสลับกับเซ็ทส์อย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“เข้าใจถูกแล้วอิกริด ทาสของเจ้าไม่ได้เป็นอมตะอีกต่อไปแล้ว ข้าแย่งชิงความเป็นอมตะมาเป็นของตัวเองแล้ว!” ปิศาจในผ้าคลุมสกปรกหยิบดาบขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วฟันแขนซ้ายตัวเองทิ้ง ไม่ทันให้เลือดนองพื้นหินมือที่ขาดร่วงก็กลับไปต่อติดกับต้นร่างดังเดิม เหมือนคำสาปที่เซ็ทส์ได้รับทุกประการ!
“ทำได้จริงหรือฝ่าบาท” เซ็ทส์ถามทันผู้นั้นที่วางหน้านิ่งทำอะไรไม่ถูก
ในระหว่างที่ปิศาจในผ้าคลุมสกปรกกำลังเริงร่ากับชัยชนะอยู่นั้นก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น ผลึกแก้วสีม่วงร่วงหล่นจากท้องฟ้าที่ไม่มีอะไรเลย มันถึงพื้นแล้วก็ทำงาน ร่างของปิศาจในผ้าคลุมสกปรกถูกบิดตัวเป็นเกลียวดูดเข้าไปอยู่ในผลึกแก้วอันเท่าลูกบอล
เซ็ทส์กับท่านผู้นั้นหยุดนิ่งอย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์ข้างต้นว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งมีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวตัวในชุดโบราณที่เก่าแก่กว่ายุคนี้หลายพันปี นางมีดวงตาสีอำพันและเส้นผมสีเหลืองซีด นางก้มตัวหยิบแก้วผลึกที่มีปิศาจในผ้าคลุมสกปรกหมุนเหวี่ยงอยู่ภายในขึ้นมาแล้วส่งยิ้มให้กับพวกเขา
(มีต่อ)
จอมเวทอมตะ ตอนที่ 14
“เรามาคุยกันก่อนดีกว่าเจ้าหนุ่มผู้เป็นอมตะ” อินวิเดียเริ่มพูดขึ้นก่อน “พวกเรายอมให้เจ้าบรรลุจุดประสงค์แล้วทางเจ้าก็ต้องช่วยพวกเราด้วยเช่นกัน”
“แล้วพวกเจ้าต้องการอะไร” เซ็ทส์ถาม
“สังหารซูเปอร์เบีย!” อินวิเดียตอบ “มันคิดจะทำลายทุกสรรพชีวิตบนดาวดวงนี้ ข้ายอมให้ใครมาทำร้ายคู่ของข้าไม่ได้เด็ดขาด”
“เอาพลังของมันมาแบ่งคืนพวกเรา” กุลาพูดบ้าง
“เจ้าก็เห็นที่มันทำกับข้าแล้ว กับพรรคพวกแบบนี้ไม่ต้องไว้ชีวิตหรอก” อาเซเดียเสริม
“พวกเราจะบอกที่อยู่ของไอราให้ เจ้าจะได้พบหญิงสาวคนนั้นอีกเร็วๆ แต่ต้องแลกกับการสังหารซูเปอร์เบีย จะยอมไหม” อินวิเดียยื่นข้อเสนอ
“ตกลง ข้าจะไม่ไว้ชีวิตซูเปอร์เบีย จะเร่งตามหาและสังหารมันให้ได้”
แล้วความมืดกับร่างมังกรทั้งสามก็หายไปดุจปุยเมฆ เซ็ทส์อยู่บนท้องฟ้าเหนือทวีปใหญ่ ด้านล่างคือภูเขาไฟลูกใหญ่ปล่อยไอความร้อนสูงออกมาพร้อมเถ้าเบาบาง ข้างในนั่น กลางบ่อลาววามีมังกรแดงอยู่ตัวหนึ่ง มันกำลังต่อสู้กับปิศาจในชุดสกปรกศัตรูของท่านผู้นั้น!
เซ็ทส์ตระหนักในทันทีว่าเถ้าและหินหลอมเหลวที่ทะลักออกมาไม่ใช่เพราะภูเขาปะทุ แต่เป็นการต่อสู้กันด้านล่างต่างหากที่ทำให้ภูเขาไฟนี้ตื่นขึ้นจากการคุกรุ่นมาหลายสิบหลายร้อยปี!
“นี่มัน ภูเขาทางตะวันตกนี่...”
ทันทีที่เซ็ทส์จำสถานที่ได้ร่างของเขาก็หล่นวูบหลุดจากความฝันในทันใด ในห้องที่มีแสงเลือนรางจากหน้าต่างดูเงียบและหนาวเย็นสมเป็นกลางฤดูหนาว เงาร่างของท่านผู้นั้นยืนกอดอกมองเขาอย่างครุ่นคิด
“ฝ่าบาท” ปากของเซ็ทส์แห้งผาก ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่ด้วยความรู้สึกเสมือนถูกย้ายที่ไปที่ไกลมากๆ
“ข้ารู้แล้ว” ท่านผู้นั้นพยักหน้า “กุลากับอาเซเดียมาพบเจ้าเพื่อบอกที่อยู่ของไอร่า คงเป็นผีนั่นล่ะ” ท่านผู้นั้นทำให้เซ็ทส์ขมวดคิ้วด้วยความสับสน เขาเห็นร่างเหยียดยาวของอินวิเดียด้วยแน่ๆ
คราวแรกเซ็ทส์เห็นตรงกันว่าเป็นผีของกุลากับอาเซเดีย แล้วทำไมเขาจึงเห็นอินวิเดียที่ยังไม่ตายด้วยเล่า ชายผู้เป็นอมตะปล่อยคำถามชวนคิดทิ้งไปตามนิสัย
“ข้าให้เวลาห้านาที เราจะไปด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย” แล้วเซ็ทส์ก็วุ่นกับการล้างหน้าเตรียมตัวออกไปช่วยหญิงหน้าเหมือนคนนั้น...
เมื่อแสงของมนตร์เคลื่อนย้ายดับลง เซ็ทส์พบว่าตนอยู่กลางท้องฟ้ามืดขมุกขมัว ด้านล่างเป็นปากปล่องภูเขาไฟเดียวกับที่เห็นในความฝันแต่บัดนี้ทุกอย่างสงบราบเรียบ บนฟ้ามีเมฆกระจัดกระจาย กลิ่นเหม็นหินหลอมเหลวกระจายตัวอย่างสันติ ผิดตรงที่มีเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่ดังก้องขุนเขายามรัตติกาลเป็นระยะๆ
“จะลงล่ะนะ” ท่านผู้นั้นที่มาด้วยกันโดยไม่ล่องหนพูด แล้วพวกเขาก็ถูกปล่อยเป็นอิสระจากเวทควบคุมแรงโน้มถ่วงลงไปยังบ่อดินเพลิงที่ส่องแสงเหมือนอัญมณี
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือปิศาจในผ้าคลุมสกปรกกำลังใช้เวทมนตร์แยกส่วนมังกรแดงเป็นชิ้นๆทั้งที่มันยังเป็นๆอยู่ เสียงร้องที่เซ็ทส์ได้ยินคือเสียงของไอร่านั่นเอง ส่วนรวิกานต์นอนสลบสไลอยู่มุมหนึ่งของโพรงถ้ำ
“ถ้าไม่ตอบตกลงข้าจะทำมากกว่านี้!” ปิศาจในผ้าคลุมสกปรกพูดอย่างคะนองปาก แขนอีกข้างที่เหมือนหมีถูกมือที่มองไม่เห็นดึงออกจากร่างอย่างง่ายดาย ไอราร้องพลางสบถสาบานด้วยความเจ็บปวดอย่างใหญ่หลวง น่าแปลกใจที่รวิกานต์ยังสามารถหลับลงได้อีก
“แอบหนีมารังแกสัตว์อยู่ตรงนี้เองหรือ” ท่านผู้นั้นทัก
ในวินาทีนั้นปิศาจในผ้าคลุมสกปรกขยับมือมาทางเซ็ทส์ เกิดฟองอากาศทั้งหนาและเหนียวห่อหุ้มร่างของเซ็ทส์เอาไว้ เขารู้สึกเหมือนบางสิ่งถูกดูดออกไปจากร่างกายอย่างรีบเร่ง ราวกับกำลังถูกดูดเลือดที่มองไม่เห็นออกไป เมื่อท่านผู้นั้นไหวตัวฟองอากาศก็ถอนตัวออกจากเขาทันที
“มาเร็วดีนี่อิกริด” ปิศาจในผ้าคลุมสกปรกทักกลับ “ข้ากำลังทำสัญญาร่วมมือกับไอร่าอยู่ เจ้าก็โผล่ออกมาพร้อมตัวทดลอง วิเศษจริงๆ”
“เรารู้จักกันมากว่าห้าพันปี ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ารักความรุนแรงขนาดนี้ แม้แต่กับพวกปิศาจยังถือว่าผิดปกติ...แล้วเมื่อกี้เจ้าทำอะไรกับเซ็ทส์!”
“ทดลองแย่งชิงความเป็นอมตะอย่างไรล่ะ” แล้วฟองอากาศดังกล่าวก็เลื่อนมาครอบร่างของปิศาจในผ้าคลุมสกปรกเอาไว้ ร่างนั้นส่องแสงม่วงเรืองแล้วแล้วดับลงไปพร้อมฟองอากาศ
ไม่ทันสิ้นเสียงเซ็ทส์ก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ท่านผู้นั้นรีบเข้ามาแย่งพิณเทพวารีไปทันทีเพราะมันดูดพลังชีวิตจากผู้ถือ ท่านผู้นั้นมองพิณเทพสลับกับเซ็ทส์อย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“เข้าใจถูกแล้วอิกริด ทาสของเจ้าไม่ได้เป็นอมตะอีกต่อไปแล้ว ข้าแย่งชิงความเป็นอมตะมาเป็นของตัวเองแล้ว!” ปิศาจในผ้าคลุมสกปรกหยิบดาบขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วฟันแขนซ้ายตัวเองทิ้ง ไม่ทันให้เลือดนองพื้นหินมือที่ขาดร่วงก็กลับไปต่อติดกับต้นร่างดังเดิม เหมือนคำสาปที่เซ็ทส์ได้รับทุกประการ!
“ทำได้จริงหรือฝ่าบาท” เซ็ทส์ถามทันผู้นั้นที่วางหน้านิ่งทำอะไรไม่ถูก
ในระหว่างที่ปิศาจในผ้าคลุมสกปรกกำลังเริงร่ากับชัยชนะอยู่นั้นก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น ผลึกแก้วสีม่วงร่วงหล่นจากท้องฟ้าที่ไม่มีอะไรเลย มันถึงพื้นแล้วก็ทำงาน ร่างของปิศาจในผ้าคลุมสกปรกถูกบิดตัวเป็นเกลียวดูดเข้าไปอยู่ในผลึกแก้วอันเท่าลูกบอล
เซ็ทส์กับท่านผู้นั้นหยุดนิ่งอย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์ข้างต้นว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งมีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวตัวในชุดโบราณที่เก่าแก่กว่ายุคนี้หลายพันปี นางมีดวงตาสีอำพันและเส้นผมสีเหลืองซีด นางก้มตัวหยิบแก้วผลึกที่มีปิศาจในผ้าคลุมสกปรกหมุนเหวี่ยงอยู่ภายในขึ้นมาแล้วส่งยิ้มให้กับพวกเขา
(มีต่อ)