นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 10

กระทู้สนทนา
การจัดวางกำลังพลตามแผนการของวิเรียนถูกปันส่วนตามความเหมาะสม หลายกลุ่มถูกส่งไปยังเลปาเรียกับอีฟอร์ มีตัวแทนสามคนไปประชุมที่อิลซานอร์ส่วนเฟเรซิสอยู่สั่งการเรื่องต่างๆที่ศูนย์กลาง นางโล่งใจอย่างมากเพราะการประชุมระหว่างศูนย์กลางกับเจ้าเมืองต่างๆมักจบลงด้วยความรุนแรงเสมอ แม้เหล่าเจ้าเมืองจะเป็นคนที่ศูนย์กลางเลือกมาทว่าพอได้รับตำแหน่งแล้วกลับไม่มีแก่ใจกระดิกหางให้ทางนี้เลย จนเป็นเรื่องเล่าลือว่าหากมีการประชุมใหญ่เมื่อใดก็เตรียมซ่อมอาคารกับซื้อพวกเครื่องใช้ใหม่ได้
 
            เฟเรซิสรับหน้าที่เป็นแนวหน้าปะทะกับโทนาชจึงต้องหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับคู่ต่อสู้ บางเรื่องนางสืบจนรู้ดีอยู่แล้วก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เพราะไม่อยากให้เรื่องที่นางตามสอดส่องอีกฝ่ายแดงขึ้นจนเป็นคำครหา พ่อกับแม่ของโทนาชเลิกกันนานแล้ว ฝ่ายแม่นั้นแยกไปมีครอบครัวใหม่ โทนาชเคยมีคนรักทว่านางตายเพราะโรคร้ายจากนั้นเขาก็ไม่มีคนอื่นอีก ไม่มีแม้แต่ข่าวลือไร้มูลเกี่ยวกับเรื่องนี้จนน่าสงสัย เรื่องส่วนตัวพวกนี้สามารถนำมาใช้เพื่อข่มขู่ได้หากมันเป็นการกระทำที่มีแค่มนุษย์กับปิศาจที่ทำกัน 
 
            ประวัติของโทนาชสมัยเรียนและเข้าทำงานใหม่ๆวางกองเป็นตั้งเหมือนภูเขาบนโต๊ะ ตามยุทธศาสตร์แล้วการรู้จักฝ่ายตรงข้ามมากเท่าไรยิ่งส่งผลดีเท่านั้น เพียงแค่พลิกดูเฟเรซิสก็รู้ว่าส่วนมากเป็นสิ่งที่นางรู้อยู่แล้วจากการขุดคุ้ยตลอดหลายปี นิสัยหลักๆของเขาคือรังเกียจความอยุติธรรมอย่างสุดโต่ง ยอมหักไม่ยอมงอ นั่นทำให้นางแปลกใจมากที่โทนาชคิดฆ่าผู้บริสุทธิ์และทำลายทวีปเทพอย่างไร้เหตุผล แถมยังยอมต่อรองอีก เรื่องนี้ต้องมีบางสิ่งอยู่เบื้องหลังแน่นอน
 
            บางทีเฟเรซิสอาจยอมจับมือกับวิเรียนเพื่อวางแผนใช้ความได้เปรียบน้อยนิดนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแม้ต้องทนขนลุกบ้างก็ตาม หลายปีมานี้คนที่ไม่ชอบเฟเรซิสและหาทางกลั่นแกล้งนางสารพัดถูกขยี้ทิ้งเหมือนหนอนใต้รองเท้าบูทด้วยฝีมือวิเรียน แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถสืบสาวไปถึงตัวนางจนเอาผิดได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าวิเรียนน่ากลัวกว่ามังกรในตำนานที่กล่าวกันว่าหลุดออกจากนรกทมิฬของเทพปิศาจอีก
 
            ผู้รักษาการแทนผู้บัญชาการสูงสุดวางแฟ้มเอกสารอย่างครุ่นคิด บางทีการคิดในอีกมุมก็เป็นสิ่งน่าสนใจ เป็นไปได้ว่ามีบางคนมาหาโทนาชเพื่อหยิบยื่นสิ่งที่เขาต้องการให้โดยแลกกับชีวิตของผู้คนในทวีปเทพทั้งหมด ทว่ามันไม่มีการตายที่เกินจำเป็นเลยทั้งที่เขาทำได้ สิ่งที่เข้าเค้าคือพวกที่อยู่เบื้องหลังกำลังสร้างและสะสมความกลัวของผู้คนผ่านเครื่องจักรนั่นเพื่ออะไรสักอย่าง พวกนั้นใช้บารมีของโทนาชสร้างความกลัวขึ้นมา 
 
            เรื่องดังกล่าวสร้างข้อย้อนแย้งอย่างใหญ่หลวงว่าโทนาชอาจไม่เต็มใจร่วมแผนการทำลายทวีปเทพ แต่ใครหรืออะไรจะมีอิทธิพลเหนือผู้บัญชาการที่เป็นหมายเลขสองของทวีปเทพได้อีกเล่า และถ้าจะมีของที่โทนาชต้องการถึงขนาดยอมเป็นเครื่องมือทำสิ่งฝืนความเชื่อและศีลธรรมที่สี่เสาหลักบัญญัติไว้มันจะเป็นสิ่งใดได้ เฟเรซิสขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด
 
            ในเมื่อเรื่องนี้มันน่าปวดหัวก็ต้องเปลี่ยนเรื่อง เฟเรซิสยกกองเอกสารไปไว้ข้างๆแล้วเอาแผนที่ทวีปมากางดู เป้าหมายต่อไปอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป ห่างไปทางเหนือคือภูเขาสูงเป็นทิวแถว ทางทิศตะวันออกติดทะเล และมีที่ราบเป็นสวนผลไม้กว้างใหญ่ทางทิศตะวันตก 
 
            เจ้าเครื่องนั่นหายไปที่ช่องแคบก่อนถึงหมู่บ้านคาร์เล็ม ก็หมายความว่าคนร้ายจะต้องเตรียมเครื่องจักรที่ว่าเอาไว้บริเวณสวนผลไม้ที่สะดวกที่สุดแน่ เฟเรซิสผิวปากเบาๆแล้วใช้เวทมนตร์ ไอน้ำในอากาศก่อตัวเป็นกระจกน้ำแข็งข้างๆสำหรับการติดต่อสื่อสาร อีกด้านเป็นทหารนายหนึ่งที่กำลังง่วนกับเอกสารเช่นกัน
 
            “ข้าขอกำลังสองกองพลค้นสวนผลไม้ทางตะวันตกของเลปาเรีย แม้แต่หญ้าสักต้นก็ห้ามหลุดรอดสายตาเด็ดขาด มองหาแล้วรายงานถึงสิ่งผิดปกติที่ไม่ควรอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นพืชแปลกถิ่น สัตว์หายาก วัตถุสิ่งของแปลกที่ อาจเป็นใครสักคนที่กำลังออกท่องเที่ยวหรือสิ่งปลูกสร้างที่ให้ความรู้สึกแปลกๆ ส่งรายงานให้ข้าภายในเช้าพรุ่งนี้” เฟเรซิสสั่งการอย่างฉับไว
 
            “แต่พื้นที่กว้างมากนายท่าน ข้าเกรงว่าแค่สองกองพลในเวลาวันเดียวคงไม่ไหว...”
 
            คำตอบที่ได้รับทำให้เฟเรซิสฉุนกึก 
 
            “ข้าให้ใช้เวทมนตร์ในการตรวจสอบพื้นที่!” เฟเรซิสกัดฟันกรอด นางอยากสบถใส่แต่เกือบลืมว่านางก็เคยงี่เง่าแบบนี้เหมือนกันตอนเป็นทหารใหม่ “หากใช้การค้นหาอย่างละเอียดด้วยเวทมนตร์ คนจำนวนสองกองพลนั่นมากพอจะนับจำนวนใบไม้ในป่าได้แล้ว!” 
 
            เฟเรซิสถลึงตาใส่ลูกน้องผ่านกระจกน้ำแข็งที่กำลังแตกสลาย พอหญิงสาวคิดจะผ่อนคลายสักนิดประตูห้องก็มีเสียงเคาะ ทหารหน้าประตูร้องบอกว่าวิเรียนหรือว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดต้องการเข้าพบ นางจำต้องให้เข้ามาอย่างช่วยไม่ได้แล้วเชิญแขกนั่งบนเก้าอี้ที่ดีที่สุดในห้อง 

 
            “ไม่ต้องพิธีรีตองและกลัวใครแอบฟัง พวกทหารข้างนอกเชื่อกันหมดว่าข้ามาเกี้ยวเจ้าเหมือนที่ทำประจำเดือนละครั้ง” วิเรียนปฏิเสธน้ำชาจากเฟเรซิส ผมสีเงินของนางมัดอย่างลวกๆแสร้งว่าละจากหน้าที่การงานชั่วคราว “แต่ตอนนี้ออกจะต่างไปสักหน่อย”
 
            “คราวนี้มีแผนอะไร” เฟเรซิสเผลอพูดเสียงเรียบตามนิสัย
 
            “อีฟอร์อันตราย อพยพคนด่วน ให้คนในเมืองเลปาเรียกับอีฟอร์ไปอยู่ที่ใกล้ที่สุดอย่างเวร็น และต้องทำอย่างลับๆด้วย” วิเรียนพูดอย่างเป็นงานเป็นการ เฟเรซิสนิ่งแล้วนึกภาพตำแหน่งของหมู่บ้านดังกล่าว หมู่บ้านเวร็นอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอีฟอร์ 
 
            “เป้าหมายของโทนาชคือเมืองไม่ใช่หมู่บ้าน” เฟเรซิสแย้ง “และเรามีแผนจะส่งชาวเมืองไปอยู่กับพวกที่เมืองถูกทำลายไปแล้วด้วย”
 
            “แผนซ่อนไม้ในป่าต้องใช้เวลาเตรียม อย่างไรก็ไม่มีทางทันสองวันอยู่แล้ว คิดแล้ว ป่านนี้อาคารประชุมคงเสียหายไปสักครึ่งหลังแล้วกระมัง...ส่วนเรื่องอีฟอร์ ตอนนี้ข้าอยากให้เป็นแค่การเตือนเท่านั้น แม้ข้าจะเป็นผู้รอรับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดแต่ในสถานการณ์นี้คนตัดสินใจคือเจ้า 
 
            “ข้ายังไม่ได้เข้าพิธีรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เรื่องข้อมูลต่างๆข้ามีสิทธิ์รู้และออกความเห็น ข้าต้องรับรู้และเขียนยืนยันรับรองเรื่องการส่งทหารธรรมดาไปทำงานต่างๆ รวมถึงขอความร่วมมืออ้อมๆจากเจ้าอย่างคราวก่อน แต่ข้าไม่มีสิทธิ์สั่งการ ต่อให้ทำเบื้องหลังก็ไม่ได้ เกียรติของข้าและเจ้าจะเสื่อมเพราะเหตุนี้”
 
            เฟเรซิสใคร่ครวญยาวนาน ในตอนนี้อำนาจตัดสินใจทุกอย่างตกอยู่กับนางซึ่งมีตำแหน่งในปัจจุบัน วิเรียนทั้งฉลาดและมีความสามารถมากกว่าเฟเรซิสหลายเท่าย่อมต้องมีเหตุผลแน่ การเชื่อคำเตือนเป็นสิ่งที่ถูกต้องทว่ามีเวลาเหลือแค่สองวันโทนาชจะทำการบุกอีกครั้ง นางไม่มีทางอพยพคนทั้งหมดไปเวร็นพร้อมกับสร้างตัวแทนให้ทั้งสองที่ทัน
 
            “ต้องช่วยคนที่เลปาเรียเป็นอันดับแรก นอกเสียจากท่านมีหลักฐานว่าอีฟอร์จะโดนโจมตีด้วยจริงๆ” 
 
            คราวนี้วิเรียนนั่งนิ่งประสานนิ้วมือไว้ตรงหน้าราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางอย่างอยู่ แล้วนางก็ส่ายหน้าว่าตอนนี้ไม่สามารถบอกที่มาของข้อมูลลับดังกล่าวได้ 
 
            “เจ้าต้องฟังข้าเฟเรซิส พวกที่อยู่เบื้องหลังต้องการความกลัวของผู้คนเพื่ออะไรสักอย่าง เจ้ากับพวกเราคือที่พึ่งให้คนเหล่านั้นละความกลัวทิ้งไป ไม่ว่าคนที่ควบคุมโทนาชจะเป็นใครพวกนั้นต้องการให้เราพลาด การกระทำของเจ้าคาดเดาได้ง่ายว่าจะอพยพคนไปอยู่ที่ปลอดภัยก่อนการโจมตี ซึ่งรอบๆเลปาเรียไม่มีที่ซ่อนอื่นนอกจากอีฟอร์ หากจะสร้างความปั่นป่วนต้องลงมือที่หมู่บ้านนี้ด้วยแน่นอน” 
 
            “อย่างนั้นข้าจะสร้างที่หลบภัยในภูเขาทางเหนือของเลปาเรีย ส่วนอีฟอร์ก็ให้ชาวบ้านไปหลบในสวนผลไม้รอบหมู่บ้านเอา” เฟเรซิสดึงดัน
 
            “ไม่ได้!” วิเรียนตวาดลั่นแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบลอดไรฟัน “การบุกรอบนี้จะกระจายวงกว้างและจะทำโดยใช้ปิศาจ” 
 
            เฟเรซิสมองคู่สนทนาอย่างมีข้อกังขา เหตุใดนางจึงรู้ขนาดนั้น 
 
            “มีอะไรอีกไหมที่ท่านรู้ และรู้ได้อย่างไร”
 
            ด้วยความเผลอตัวของวิเรียนทำให้ทหารที่ยืนยามหน้าห้องเปิดประตูทันทีด้วยเข้าใจว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น การพูดคุยจึงถูกคั่นกลางและหยุดลง
 
            “ไม่มีอะไร” วิเรียนแก้ตัว “ข้าขอนัดนางไปนั่งพักร้านเหล้าสักคืนเผื่อจะได้ความคิดดีๆแต่ถูกปฏิเสธจึงเผลอปล่อยอารมณ์นิดหน่อย เอาเป็นว่ารอให้เรื่องนี้จบก่อนก็ได้เฟเรซิส เก็บเรื่องที่ข้าพูดไปคิดด้วยล่ะ” ว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดปด จากนั้นวิเรียนและเหล่าองครักษ์ก็เดินออกจากห้องไป
 
            ผู้รักษาการผู้บัญชาการมองประตูห้องอย่างมีคำถาม สิ่งที่วิเรียนเตือนเป็นความจริงหรือไม่และนางต้องการอะไรกันแน่ 
 
            เฟเรซิสกระแทกตัวลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง การเตือนนั้นมีค่าควรเชื่อถือทว่าตอนนี้ไม่มีเวลามากพอทำหุ่นปลอมเยอะขนาดนั้น พอลองคิดอีกครั้งเวลากระชั้นคิดแค่นี้ใช้ภาพเสมือนเอาคงพอกระมัง คงไม่มีเวลาให้ทางโทนาชตรวจสอบหรอกว่าเป็นหุ่นหรือแค่ภาพลวงตา
 
            กระนั้นการส่งคนนับร้อยพันไปยังหมู่บ้านๆเดียวก็เป็นงานใหญ่อยู่ดี แล้วเฟเรซิสก็คิดบางอย่างได้ แต่ไหนแต่ไรพวกมนุษย์ก็มีความคิดสร้างสรรค์และความยืดหยุ่นมากกว่าเผ่าเทพอยู่แล้ว นางจึงใช้เวทมนตร์สร้างกระจกน้ำแข็งออกมาอีกครั้งเพื่อถามหาและคุยกับพวกพอลไลน์เผื่อจะได้ความคิดดีๆเพิ่มเติม...
 
 
            หลังพวกพอลไลน์ได้ฟังเรื่องคร่าวๆก็เตือนเฟเรซิสว่าโทนาชรวบรวมเหล่าปิศาจด้วยซึ่งนางเป็นคนสืบจนรู้เอง จึงไม่แปลกเลยหากทางนั้นจะใช้ปิศาจช่วยทำการเรื่องนี้ด้วย จากมุมมองของมนุษย์อย่างพอลไลน์กับพีเตอร์ ดูจากรูปการแล้วราวกับโทนาชกำลังลังเลว่าควรดำเนินแผนทำลายทวีปเทพจริงหรือไม่ 
 
            “อย่างนั้นข้าก็คิดถูกสินะ โทนาชถูกล่อโดยใช้สิ่งมีค่า แต่จะเป็นอะไรได้” เฟเรซิสกลับมาใช้ความคิดอีกครั้ง
 
            ว่าแล้วพอลไลน์ก็พูดทฤษฎีของเขาออกมา
 
            “เป็นไปได้ไหมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือองค์กรนั่นแหละ พวกนั้นเอาชีวิตพ่อของโทนาชมาต่อรองเพื่อความต้องการบางอย่าง พ่อของโทนาชเคยทำงานกับพวกนี้นี่ และเครื่องจักรนั่นอีก ทีนี้ถ้าเป็นเจ้าจะทำอย่างไรเฟเรซิส จะลดเกียรติของตนด้วยการฆ่าคนบริสุทธิ์ หรือทิ้งพ่อของตัวเองไว้แล้วกลายเป็นลูกอกตัญญู”  
 
            “แต่พ่อของโทนาชตายไปแล้วนี่นา มีทั้งบันทึกการชันสูตรและการฝังศพเป็นหลักฐาน พยานตอนเกิดเหตุกับตอนชันสูตรก็มี แล้วเราก็ไม่สามารถคืนชีพคนตายได้ หนึ่งในสี่เสาหลักที่เป็นผู้ควบคุมความตายระบุไว้ชัดว่าความตายคือจุดจบของชีวิต เหลือแต่ดวงวิญญาณกับความดีงามเท่านั้น” เฟเรซิสค้าน 
 
            “นั่นคือความต่างระหว่างเผ่าเทพกับมนุษย์ละ เผ่าเทพเชื่อฟังเสาหลักโดยดุษณีแต่มนุษย์ไม่” พอลไลน์ชี้ประเด็น “อย่างเมืองเกียนที่ข้าเกิด เจ้าคงรู้ว่ามีตำนานเชื่อมต่อระหว่างเมืองนั้นกับผู้อยู่สูงสุดของสี่เสาหลัก มีกระทั่งกำแพงหมอกลวงตาของหนึ่งในสี่เสาหลักคอยปกป้องไว้ด้วย กระนั้นก็ยังคงมีบางเรื่องที่ขัดกับคำสอนและความเชื่อของสี่เสาหลัก...ข้าไม่พูดก็แล้วกัน” พอลไลน์เบือนหน้าหนีเหมือนรู้สึกแย่ที่พูดเรื่องไม่ดีออกมา
 
            พีเตอร์กับเลสลีย์ที่มาจากเมืองเดียวกันนึกอยากพูดเรื่องนี้ในที่ไกลหูไกลตาผู้ใหญ่ในเมือง พอลไลน์ปรามพวกเขาไว้ทันหากนั่นทำให้เฟเรซิสเริ่มอยากรู้ขึ้นมา ทว่าหน้าที่ในการปกป้องผู้คนต้องมาก่อน นางต้องการรู้ความเป็นไปได้ทุกอย่างของโทนาชมากกว่าเรื่องซุบซิบนินทาแบบนี้
 
            “ประเดี๋ยวเรื่องนั้นข้าจะเก็บเอาไว้ถามตอนพวกท่านเมา...จากการสังเกตครั้งก่อนโทนาชไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับเขากำลังเล่นละครบางอย่างอยู่” เฟเรซิสเปลี่ยนเรื่อง
 
            “ข้าก็คิดว่าเขาเล่นละครเหมือนกัน” เลสลีย์พูด “แม่ข้าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ทำให้ข้ารู้จักพวกผู้ใช้เวทมนตร์มากโข ระดับเวทมนตร์ของโทนาชสูงมาก หากจะทำลายเมืองเขาทำได้อยู่แล้ว รวมถึงฆ่าพวกเราด้วย”
 
(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่