เฟเรซิสบินตรวจการด้วยตนเองเหนือเมืองเลปาเรียที่เป็นเป้าการทำลายของโทนาช บัดนี้ทั่วทั้งบริเวณเมืองเลปาเรียและหมู่บ้านอีฟอร์ถูกปกคลุมด้วยหมอกมาหนึ่งคืนเต็ม มันคือหมอกที่กลายร่างจากสัตว์ปิศาจที่เลสลีย์เรียกออกมา หมอกนี้สามารถทำการเคลื่อนย้ายคนจำนวนมากไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้ เฟเรซิสบอกกับทุกคนว่านั่นคือความคิดของนางหากความจริงแล้วมันเกิดจากการนั่งถกกันทั้งคืนของพวกพอลไลน์
วิธีการนี้สะดวกสบายจริงทว่าเจ้าเมืองเลปาเรียไม่ค่อยให้ความร่วมมือด้วยเนื่องจากไม่ใคร่เชื่อใจวิธีของมนุษย์ เฟเรซิสต้องขู่เขาสารพัด กว่าจะยอมให้พวกพอลไลน์ใช้วิธีนี้อพยพชาวบ้านก็เกือบถึงวันโจมตีแล้ว พวกพอลไลน์กับทหารส่วนหนึ่งต้องทำงานกันทั้งคืน กระนั้นก็ยังขนย้ายชาวบ้านได้ไม่หมดเสียทีด้วยข้อจำกัดของการใช้หมอกเคลื่อนย้าย เหล่าบุคคลชั้นสูงก็บ้าหอบข้าวของตามไปด้วยทำให้ล่าช้ายิ่งขึ้น
เฟเรซิสจึงต้องเร่งความเร็วด้วยการเน้นเคลื่อนย้ายผู้คนจากเลปาเรียเป็นอันดับแรก แล้วก็ภาวนาให้ข่าวที่วิเรียนได้รับเป็นแค่ข่าวลวง โทนาชเล็งเมืองเท่านั้น หากต้องการเล็งหมู่บ้านจริงๆจะอยู่ที่ไหนคงมีค่าเท่ากัน
ด้วยความรู้สึกผิดที่โดนบังคับให้พักผ่อนเฟเรซิสจึงไปตรวจสอบพื้นที่ผิดปกติอีกครั้งก่อนรุ่งสาง การค้นหาของทหารค้นพบบางอย่างที่ผิดปกติ เนินดินปริศนางอกขึ้นมาจากพื้นเป็นทางยาวร่วมห้าร้อยเมตร ความสูงร่วมสามเมตรของเนินดินเหมือนเทือกเขาย่อส่วนกลางสวนผลไม้ ทหารส่วนหนึ่งไปตรึงกำลังที่นั่นเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ไม่ไกลกับเนินดินดังกล่าวมีเขตอาคมล่องหนอยู่หลายจุด เหล่าทหารเชื่อว่าหนึ่งในนั้นมีเครื่องมือปริศนาอยู่แต่ไม่แน่ชัดว่าที่ใดกันแน่
“อย่างนั้นก็น่าจะมีปิศาจหรือตัวอะไรสักอย่างอยู่ในเนินดินนี่” เฟเรซิสออกความเห็นเมื่อทหารรายงานว่าพวกเขาสัมผัสคลื่นที่เหมือนเสียงหัวใจเต้นได้
เฟเรซิสภาวนาต่อเสาค้ำจุนทั้งสี่อีกครั้งเมื่อคิดถึงจำนวนปิศาจที่โทนาชจับไว้ พอจะเอารายชื่อปิศาจขนาดใหญ่มาให้เหล่าทหารช่วยคิดทางเลปาเรียก็ส่งรายงานด่วนมา โทนาชผู้เต็มไปด้วยปริศนาปรากฏตัวเหนือเมืองพร้อมพระอาทิตย์ขึ้น เพียงแค่เขาสะบัดปีกไม่กี่ครั้งหมอกมนตราก็รวมตัวกลายเป็นมังกรขาวแล้วหายไปในอากาศ!
ไม่กี่นาทีผู้รักษาการของศูนย์กลางก็บินไปถึงจุดที่มีรายงานว่ามีผู้บุกรุก ตรงนั้นมีชายเผ่าเทพกระพือปีกลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างผ่อนคลาย ลักษณะโดยรวมเกือบเหมือนกับโทนาชจนทหารทั่วไปไม่ผิดสังเกต เฟเรซิสที่ทำงานกับโทนาชประจำและเคยออกเที่ยวในแบบพ่อกับลูกจึงมองเห็นจุดน่าสงสัยได้ในทันที สีแดงของปีกนั้นดูอ่อนกว่าเคยและไม่มีรัศมีความร้อนที่เขาภูมิใจ ลักษณะภายนอกเกือบทุกอย่างเหมือนอดีตผู้บัญชาการแต่ผิดสัดส่วนเล็กน้อยเหมือนปลอมขึ้น รอยยิ้มเหมือนตัวตลกนั่นก็ไม่มีทางเห็นบนใบหน้าของโทนาชแน่นอน
“เจ้าเป็นใคร โทนาชอยู่ที่ไหน!” เฟเรซิสคำรามขึ้นอย่างท้าทาย
ผู้บุกรุกมีท่าทีแปลกใจอยู่วิบตาหนึ่งก่อนแสร้งว่าเฟเรซิสลืมตนเสียแล้ว
“ลืมหน้ากันแบบนี้ข้าเศร้านะ” โทนาชตัวปลอมชักดาบออกมาเตรียมปะทะ
เฟเรซิสมีความมั่นใจมากขึ้น หากนั่นไม่ใช่โทนาชก็อาจมีฝีมือด้อยกว่านาง เรื่องนี้หากไม่ลองก็ไม่รู้ หากจับตัวได้แบบเป็นๆคงมีโอกาสสอบสวนต่อ โดยไม่รออีกฝ่ายพูดต่อนางสะบัดปีกพุ่งตัวแล้วเงื้อดาบเข้าฟาดฟันทันที!
ทันทีที่ดาบใหญ่ของเฟเรซิสถูกกันเอาไว้นางก็ประเมินฝีมือเบื้องต้นของอีกฝ่ายได้ เจ้าตัวปลอมด้อยกว่านางไม่มากนัก เขาคงอยู่ระดับสูงของกลุ่มฝีมือปานกลาง หากจะล้มด้วยดาบนางคงทำได้แบบหืดขึ้นคอ หญิงสาวโบกปีกสีขาวให้ตัวเองถอยห่างจากคู่ต่อสู้แล้วใช้เวทมนตร์ทันที ปีกสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเงินของโลหะในพริบตา ขนปีกนับร้อยพันกลายเป็นใบมีดคมกริบที่ขอแค่วาดผ่านเบาๆก็สร้างบาดแผลได้แล้ว!
มีความจริงอยู่ว่าพวกทหารเทพไม่ถนัดเต้นรำกลางอากาศเท่าไรนักต่างกับพวกชาวบ้านทั่วไป พวกทหารเน้นไปที่การฝึกหลบหลีกเพื่อหาทางเข้าฟาดฟันเป้าหมายมากกว่าห่วงท่วงท่าการบิน เฟเรซิสผู้มีญาติอยู่ในกลุ่มนักเต้นรำกลางอากาศที่มักถูกจ้างไปแสดงในงานเลี้ยงจึงสนใจเรื่องนี้มากกว่าคนอื่นๆ แม้นางจะโดนครูฝึกบ่นเสมอเรื่องการใช้ท่าทางมากมายเวลาบินระยะสั้นก็ไม่ย่อท้อ
เมื่อเฟเรซิสขึ้นรับตำแหน่งต่ออย่างงุนงงนางก็เป็นมือหนึ่งในการร่ายรำบนอากาศแล้ว ไม่เพียงสามารถหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วยังสามารถพลิกแพลงหาโอกาสเล่นงานศัตรูได้มากกว่าคนอื่นด้วย
ดังนั้นการต่อสู้กับเฟเรซิสกลางอากาศก็ไม่ต่างกับพยายามจับหมอกควันที่ลอยอย่างอิสระ หากไม่มีความชำนาญระดับสูงอย่างโทนาชตัวจริงก็ยากจะจับนางได้!
ไม่กี่อึดใจโทนาชตัวปลอมก็เต็มไปด้วยเลือดทั่วตัว เวทมนตร์จำแลงกายบางส่วนแตกออกให้เห็นร่างจริงสีดำคล้ำภายใน
“ลืมอะไรไปหรือเปล่าท่านผู้รักษาการ” ฝ่ายตรงข้ามเลิกเล่นละครว่าเป็นโทนาชแล้ว “ป่านนี้คงตื่นจากการจำศีลแล้วกระมัง”
เฟเรซิสหันไปทางเนินดินปริศนาด้วยความสงสัยจึงรู้ว่านางหลงไปกับการต่อสู้จนไม่สังเกตรอบด้าน ทหารเทพกลุ่มหนึ่งกำลังบินวนรอบพื้นที่นั้นเพื่อต่อสู้กับบางอย่างที่ดูเป็นสีเงินใต้ยอดสวนไม้ผลรกครึ้มของชาวบ้าน นางเห็นสัตว์วิเศษกับเวทมนตร์บางอย่างของพวกพอลไลน์จึงโล่งใจที่พวกทหารไม่ต้องสู้อย่างโดดเดียว
แต่แล้วนางพลันนึกขึ้นได้ว่าในระหว่างการประดาบห้ามหันไปทางอื่น คู่ต่อสู้ที่รอโอกาสพุ่งเข้าหาเฟเรซิสที่มองทางอื่นจนลืมป้องกัน! เลือดสีแดงจางๆของเผ่าเทพไหลทะลักออกมาจากสีข้างที่ไร้เกราะป้องกัน เฟเรซิสครางอย่างเจ็บปวดพลางค่อยๆพยุงตัวลงไปตั้งหลักบนยอดอาคารหลังหนึ่ง
“โชคดีที่ข้าไม่ใช่เผ่าเทพจึงไม่ต้องพะวงเรื่องศักดิ์ศรีมากมาย” ผู้บุกรุกเย้ยหยันแล้วโบกมือเพื่อใช้เวทมนตร์บ้าง
เฟเรซิสยังอยู่ในอาการตระหนกกับการเล่นงานทีเผลอจึงไม่ทันสังเกตเห็นเวทมนตร์จากพื้นที่ยืน แค่เสี้ยววินาทีเข็มดินเรียวแหลมเหมือนปล้องไผ่ราวห้าอันก็งอกขึ้นมาเสียบร่างของเฟเรซิสไปพร้อมชุดเกราะ!
เสียงกรีดร้องของเฟเรซิสเรียกความสนใจของทหารที่อยู่ใกล้เคียงให้มาช่วย หญิงสาวทรุดนั่งกับพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดของตน ปากก็ก่นด่าอีกฝ่ายที่จ้องหาช่องว่างเหมือนคนขี้ขลาด ตอนนี้นางทำได้แค่ประคองสติทนรับความเจ็บปวดเท่านั้น ไม่ว่าผู้บุกรุกจะทำอะไรเหล่าทหารคงยากจะขัดขวาง
ราวกับเสาค้ำจุนทั้งสี่มองเห็นคำสวดอ้อนวอนของเฟเรซิส เงาๆหนึ่งเคลื่อนย้ายมาหยุดหลังผู้บุกรุกแล้วจับคอเขาไว้อย่างแน่นหนาเหมือนคีมเหล็ก โทนาชตัวจริงกระพือปีกสีแดงเพลิงอย่างไม่สบอารมณ์ มือข้างหนึ่งจับคอของเจ้าตัวปลอมแน่นเหมือนมีความแค้นฝังลึก ผู้บุกรุกเป็นฝ่ายขวัญเสียบ้างที่ตัวจริงเข้ามาขวางเอาไว้
“โทนาช! คิดจะทรยศนายท่านหรือ” ผู้บุกรุกรายแรกร้อง โทนาชถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ข้าไม่ใช่ลูกน้อง แต่เป็นหุ้นส่วนของนายเจ้าต่างหาก” โทนาชทำให้เฟเรซิสมั่นใจว่านั่นคือตัวจริงแน่นอน “งานที่เจ้าอยากให้ข้าไปทำมันน่าเบื่อจึงมาทางนี้แทน...ลืมเตือนเจ้าไปว่าข้าไม่ชอบการผิดสัญญา ผู้ที่มีหน้าที่ทำลายเมืองในทวีปเทพต้องเป็นข้าเพียงผู้เดียว หากเจ้าเล่นละครดีกว่านี้คงยอมปล่อยได้สักครั้ง”
เมื่อสิ้นเสียงโทนาชก็จัดการสังหารตัวปลอมทันที! ร่างที่เคยเลียนแบบอดีตผู้บัญชาการขาดเป็นท่อนๆอย่างน่าอนาถ เลือดสีคล้ำเหมือนของปิศาจตกลงพื้นเป็นก้อนๆพร้อมชิ้นส่วนร่างกายที่ถูกตัดเฉือนอย่างไร้ปรานี โทนาชมองเฟเรซิสโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิด
“เจ็บหนักขนาดนั้นไม่ลองไปนอนหนุนตักวิเรียนสักคืนล่ะเผื่อจะดีขึ้น” ในคำล้อเลียนของโทนาชเฟเรซิสมองเห็นบางอย่างผิดสังเกต
โทนาชคือผู้ที่คอยช่วยนางให้รอดจากแผนการบ้าบอของวิเรียน เขาบอกเฟเรซิสเสมอว่าเจ้านายกับลูกน้องไม่ควรคบหากันอย่างชู้สาวเพราะจะลำบากในการสั่งการ หลายครั้งที่โทนาชรายงานเรื่องพฤติกรรมของวิเรียนต่อผู้บัญชาการสูงสุดแต่ต้องตกไปเพราะหลักฐานไม่หนาแน่นพอ และมันไม่บังเอิญไปหน่อยหรือที่โทนาชทักขึ้นแบบนี้หลังการแจ้งเตือนจากวิเรียน
“การทำลายเมืองนี้ปล่อยให้งูสองตัวนั้นจัดการไปก็แล้วกัน ป่านนี้ตัวเมียคงขยี้อีฟอร์แหลกไปแล้ว เจ้าคงไม่ใช้ลูกไม้เดิมด้วยการพาชาวเมืองไปหลบที่นั่นใช่ไหม” คำพูดนั้นทำให้เฟเรซิสแทบร้องอย่างบ้าคลั่ง ที่อีฟอร์ยังคงมีชาวบ้านรอการขนย้ายอยู่! “พวกเจ้าก่อเรื่องมากไปแล้วเฟเรซิส ต่อไปข้าจะจัดการพวกเจ้าที่ศูนย์กลางก็แล้วกัน งานของข้าจะได้ง่ายขึ้น”
เมื่อหมดเรื่องพูดปีกของโทนาชก็เปลี่ยนเป็นเปลวไฟพาร่างกำยำอย่างทหารหายไปเหมือนเคย เฟเรซิสได้ยินว่ามีปิศาจอีกตัวอยู่ที่อีฟอร์ก็พยายามลุกไปช่วยผู้รอดชีวิต
“เจ้าต้องพักเฟเรซิส หน้าที่ของเจ้ายังไม่หมดแค่นี้” เสียงที่เฟเรซิสมั่นใจว่าเป็นเสียงของโทนาชแว่วเข้าหูเหมือนเป็นเสียงของสายลม ดวงตาของหญิงสาวเริ่มปิดลงด้วยอำนาจบางอย่าง แล้วผู้รักษาการสาวก็สลบไปในกลุ่มทหารที่เข้ามาช่วยเหลือ...
(มีต่อ)
นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 11
วิธีการนี้สะดวกสบายจริงทว่าเจ้าเมืองเลปาเรียไม่ค่อยให้ความร่วมมือด้วยเนื่องจากไม่ใคร่เชื่อใจวิธีของมนุษย์ เฟเรซิสต้องขู่เขาสารพัด กว่าจะยอมให้พวกพอลไลน์ใช้วิธีนี้อพยพชาวบ้านก็เกือบถึงวันโจมตีแล้ว พวกพอลไลน์กับทหารส่วนหนึ่งต้องทำงานกันทั้งคืน กระนั้นก็ยังขนย้ายชาวบ้านได้ไม่หมดเสียทีด้วยข้อจำกัดของการใช้หมอกเคลื่อนย้าย เหล่าบุคคลชั้นสูงก็บ้าหอบข้าวของตามไปด้วยทำให้ล่าช้ายิ่งขึ้น
เฟเรซิสจึงต้องเร่งความเร็วด้วยการเน้นเคลื่อนย้ายผู้คนจากเลปาเรียเป็นอันดับแรก แล้วก็ภาวนาให้ข่าวที่วิเรียนได้รับเป็นแค่ข่าวลวง โทนาชเล็งเมืองเท่านั้น หากต้องการเล็งหมู่บ้านจริงๆจะอยู่ที่ไหนคงมีค่าเท่ากัน
ด้วยความรู้สึกผิดที่โดนบังคับให้พักผ่อนเฟเรซิสจึงไปตรวจสอบพื้นที่ผิดปกติอีกครั้งก่อนรุ่งสาง การค้นหาของทหารค้นพบบางอย่างที่ผิดปกติ เนินดินปริศนางอกขึ้นมาจากพื้นเป็นทางยาวร่วมห้าร้อยเมตร ความสูงร่วมสามเมตรของเนินดินเหมือนเทือกเขาย่อส่วนกลางสวนผลไม้ ทหารส่วนหนึ่งไปตรึงกำลังที่นั่นเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ไม่ไกลกับเนินดินดังกล่าวมีเขตอาคมล่องหนอยู่หลายจุด เหล่าทหารเชื่อว่าหนึ่งในนั้นมีเครื่องมือปริศนาอยู่แต่ไม่แน่ชัดว่าที่ใดกันแน่
“อย่างนั้นก็น่าจะมีปิศาจหรือตัวอะไรสักอย่างอยู่ในเนินดินนี่” เฟเรซิสออกความเห็นเมื่อทหารรายงานว่าพวกเขาสัมผัสคลื่นที่เหมือนเสียงหัวใจเต้นได้
เฟเรซิสภาวนาต่อเสาค้ำจุนทั้งสี่อีกครั้งเมื่อคิดถึงจำนวนปิศาจที่โทนาชจับไว้ พอจะเอารายชื่อปิศาจขนาดใหญ่มาให้เหล่าทหารช่วยคิดทางเลปาเรียก็ส่งรายงานด่วนมา โทนาชผู้เต็มไปด้วยปริศนาปรากฏตัวเหนือเมืองพร้อมพระอาทิตย์ขึ้น เพียงแค่เขาสะบัดปีกไม่กี่ครั้งหมอกมนตราก็รวมตัวกลายเป็นมังกรขาวแล้วหายไปในอากาศ!
ไม่กี่นาทีผู้รักษาการของศูนย์กลางก็บินไปถึงจุดที่มีรายงานว่ามีผู้บุกรุก ตรงนั้นมีชายเผ่าเทพกระพือปีกลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างผ่อนคลาย ลักษณะโดยรวมเกือบเหมือนกับโทนาชจนทหารทั่วไปไม่ผิดสังเกต เฟเรซิสที่ทำงานกับโทนาชประจำและเคยออกเที่ยวในแบบพ่อกับลูกจึงมองเห็นจุดน่าสงสัยได้ในทันที สีแดงของปีกนั้นดูอ่อนกว่าเคยและไม่มีรัศมีความร้อนที่เขาภูมิใจ ลักษณะภายนอกเกือบทุกอย่างเหมือนอดีตผู้บัญชาการแต่ผิดสัดส่วนเล็กน้อยเหมือนปลอมขึ้น รอยยิ้มเหมือนตัวตลกนั่นก็ไม่มีทางเห็นบนใบหน้าของโทนาชแน่นอน
“เจ้าเป็นใคร โทนาชอยู่ที่ไหน!” เฟเรซิสคำรามขึ้นอย่างท้าทาย
ผู้บุกรุกมีท่าทีแปลกใจอยู่วิบตาหนึ่งก่อนแสร้งว่าเฟเรซิสลืมตนเสียแล้ว
“ลืมหน้ากันแบบนี้ข้าเศร้านะ” โทนาชตัวปลอมชักดาบออกมาเตรียมปะทะ
เฟเรซิสมีความมั่นใจมากขึ้น หากนั่นไม่ใช่โทนาชก็อาจมีฝีมือด้อยกว่านาง เรื่องนี้หากไม่ลองก็ไม่รู้ หากจับตัวได้แบบเป็นๆคงมีโอกาสสอบสวนต่อ โดยไม่รออีกฝ่ายพูดต่อนางสะบัดปีกพุ่งตัวแล้วเงื้อดาบเข้าฟาดฟันทันที!
ทันทีที่ดาบใหญ่ของเฟเรซิสถูกกันเอาไว้นางก็ประเมินฝีมือเบื้องต้นของอีกฝ่ายได้ เจ้าตัวปลอมด้อยกว่านางไม่มากนัก เขาคงอยู่ระดับสูงของกลุ่มฝีมือปานกลาง หากจะล้มด้วยดาบนางคงทำได้แบบหืดขึ้นคอ หญิงสาวโบกปีกสีขาวให้ตัวเองถอยห่างจากคู่ต่อสู้แล้วใช้เวทมนตร์ทันที ปีกสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเงินของโลหะในพริบตา ขนปีกนับร้อยพันกลายเป็นใบมีดคมกริบที่ขอแค่วาดผ่านเบาๆก็สร้างบาดแผลได้แล้ว!
มีความจริงอยู่ว่าพวกทหารเทพไม่ถนัดเต้นรำกลางอากาศเท่าไรนักต่างกับพวกชาวบ้านทั่วไป พวกทหารเน้นไปที่การฝึกหลบหลีกเพื่อหาทางเข้าฟาดฟันเป้าหมายมากกว่าห่วงท่วงท่าการบิน เฟเรซิสผู้มีญาติอยู่ในกลุ่มนักเต้นรำกลางอากาศที่มักถูกจ้างไปแสดงในงานเลี้ยงจึงสนใจเรื่องนี้มากกว่าคนอื่นๆ แม้นางจะโดนครูฝึกบ่นเสมอเรื่องการใช้ท่าทางมากมายเวลาบินระยะสั้นก็ไม่ย่อท้อ
เมื่อเฟเรซิสขึ้นรับตำแหน่งต่ออย่างงุนงงนางก็เป็นมือหนึ่งในการร่ายรำบนอากาศแล้ว ไม่เพียงสามารถหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วยังสามารถพลิกแพลงหาโอกาสเล่นงานศัตรูได้มากกว่าคนอื่นด้วย
ดังนั้นการต่อสู้กับเฟเรซิสกลางอากาศก็ไม่ต่างกับพยายามจับหมอกควันที่ลอยอย่างอิสระ หากไม่มีความชำนาญระดับสูงอย่างโทนาชตัวจริงก็ยากจะจับนางได้!
ไม่กี่อึดใจโทนาชตัวปลอมก็เต็มไปด้วยเลือดทั่วตัว เวทมนตร์จำแลงกายบางส่วนแตกออกให้เห็นร่างจริงสีดำคล้ำภายใน
“ลืมอะไรไปหรือเปล่าท่านผู้รักษาการ” ฝ่ายตรงข้ามเลิกเล่นละครว่าเป็นโทนาชแล้ว “ป่านนี้คงตื่นจากการจำศีลแล้วกระมัง”
เฟเรซิสหันไปทางเนินดินปริศนาด้วยความสงสัยจึงรู้ว่านางหลงไปกับการต่อสู้จนไม่สังเกตรอบด้าน ทหารเทพกลุ่มหนึ่งกำลังบินวนรอบพื้นที่นั้นเพื่อต่อสู้กับบางอย่างที่ดูเป็นสีเงินใต้ยอดสวนไม้ผลรกครึ้มของชาวบ้าน นางเห็นสัตว์วิเศษกับเวทมนตร์บางอย่างของพวกพอลไลน์จึงโล่งใจที่พวกทหารไม่ต้องสู้อย่างโดดเดียว
แต่แล้วนางพลันนึกขึ้นได้ว่าในระหว่างการประดาบห้ามหันไปทางอื่น คู่ต่อสู้ที่รอโอกาสพุ่งเข้าหาเฟเรซิสที่มองทางอื่นจนลืมป้องกัน! เลือดสีแดงจางๆของเผ่าเทพไหลทะลักออกมาจากสีข้างที่ไร้เกราะป้องกัน เฟเรซิสครางอย่างเจ็บปวดพลางค่อยๆพยุงตัวลงไปตั้งหลักบนยอดอาคารหลังหนึ่ง
“โชคดีที่ข้าไม่ใช่เผ่าเทพจึงไม่ต้องพะวงเรื่องศักดิ์ศรีมากมาย” ผู้บุกรุกเย้ยหยันแล้วโบกมือเพื่อใช้เวทมนตร์บ้าง
เฟเรซิสยังอยู่ในอาการตระหนกกับการเล่นงานทีเผลอจึงไม่ทันสังเกตเห็นเวทมนตร์จากพื้นที่ยืน แค่เสี้ยววินาทีเข็มดินเรียวแหลมเหมือนปล้องไผ่ราวห้าอันก็งอกขึ้นมาเสียบร่างของเฟเรซิสไปพร้อมชุดเกราะ!
เสียงกรีดร้องของเฟเรซิสเรียกความสนใจของทหารที่อยู่ใกล้เคียงให้มาช่วย หญิงสาวทรุดนั่งกับพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดของตน ปากก็ก่นด่าอีกฝ่ายที่จ้องหาช่องว่างเหมือนคนขี้ขลาด ตอนนี้นางทำได้แค่ประคองสติทนรับความเจ็บปวดเท่านั้น ไม่ว่าผู้บุกรุกจะทำอะไรเหล่าทหารคงยากจะขัดขวาง
ราวกับเสาค้ำจุนทั้งสี่มองเห็นคำสวดอ้อนวอนของเฟเรซิส เงาๆหนึ่งเคลื่อนย้ายมาหยุดหลังผู้บุกรุกแล้วจับคอเขาไว้อย่างแน่นหนาเหมือนคีมเหล็ก โทนาชตัวจริงกระพือปีกสีแดงเพลิงอย่างไม่สบอารมณ์ มือข้างหนึ่งจับคอของเจ้าตัวปลอมแน่นเหมือนมีความแค้นฝังลึก ผู้บุกรุกเป็นฝ่ายขวัญเสียบ้างที่ตัวจริงเข้ามาขวางเอาไว้
“โทนาช! คิดจะทรยศนายท่านหรือ” ผู้บุกรุกรายแรกร้อง โทนาชถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ข้าไม่ใช่ลูกน้อง แต่เป็นหุ้นส่วนของนายเจ้าต่างหาก” โทนาชทำให้เฟเรซิสมั่นใจว่านั่นคือตัวจริงแน่นอน “งานที่เจ้าอยากให้ข้าไปทำมันน่าเบื่อจึงมาทางนี้แทน...ลืมเตือนเจ้าไปว่าข้าไม่ชอบการผิดสัญญา ผู้ที่มีหน้าที่ทำลายเมืองในทวีปเทพต้องเป็นข้าเพียงผู้เดียว หากเจ้าเล่นละครดีกว่านี้คงยอมปล่อยได้สักครั้ง”
เมื่อสิ้นเสียงโทนาชก็จัดการสังหารตัวปลอมทันที! ร่างที่เคยเลียนแบบอดีตผู้บัญชาการขาดเป็นท่อนๆอย่างน่าอนาถ เลือดสีคล้ำเหมือนของปิศาจตกลงพื้นเป็นก้อนๆพร้อมชิ้นส่วนร่างกายที่ถูกตัดเฉือนอย่างไร้ปรานี โทนาชมองเฟเรซิสโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิด
“เจ็บหนักขนาดนั้นไม่ลองไปนอนหนุนตักวิเรียนสักคืนล่ะเผื่อจะดีขึ้น” ในคำล้อเลียนของโทนาชเฟเรซิสมองเห็นบางอย่างผิดสังเกต
โทนาชคือผู้ที่คอยช่วยนางให้รอดจากแผนการบ้าบอของวิเรียน เขาบอกเฟเรซิสเสมอว่าเจ้านายกับลูกน้องไม่ควรคบหากันอย่างชู้สาวเพราะจะลำบากในการสั่งการ หลายครั้งที่โทนาชรายงานเรื่องพฤติกรรมของวิเรียนต่อผู้บัญชาการสูงสุดแต่ต้องตกไปเพราะหลักฐานไม่หนาแน่นพอ และมันไม่บังเอิญไปหน่อยหรือที่โทนาชทักขึ้นแบบนี้หลังการแจ้งเตือนจากวิเรียน
“การทำลายเมืองนี้ปล่อยให้งูสองตัวนั้นจัดการไปก็แล้วกัน ป่านนี้ตัวเมียคงขยี้อีฟอร์แหลกไปแล้ว เจ้าคงไม่ใช้ลูกไม้เดิมด้วยการพาชาวเมืองไปหลบที่นั่นใช่ไหม” คำพูดนั้นทำให้เฟเรซิสแทบร้องอย่างบ้าคลั่ง ที่อีฟอร์ยังคงมีชาวบ้านรอการขนย้ายอยู่! “พวกเจ้าก่อเรื่องมากไปแล้วเฟเรซิส ต่อไปข้าจะจัดการพวกเจ้าที่ศูนย์กลางก็แล้วกัน งานของข้าจะได้ง่ายขึ้น”
เมื่อหมดเรื่องพูดปีกของโทนาชก็เปลี่ยนเป็นเปลวไฟพาร่างกำยำอย่างทหารหายไปเหมือนเคย เฟเรซิสได้ยินว่ามีปิศาจอีกตัวอยู่ที่อีฟอร์ก็พยายามลุกไปช่วยผู้รอดชีวิต
“เจ้าต้องพักเฟเรซิส หน้าที่ของเจ้ายังไม่หมดแค่นี้” เสียงที่เฟเรซิสมั่นใจว่าเป็นเสียงของโทนาชแว่วเข้าหูเหมือนเป็นเสียงของสายลม ดวงตาของหญิงสาวเริ่มปิดลงด้วยอำนาจบางอย่าง แล้วผู้รักษาการสาวก็สลบไปในกลุ่มทหารที่เข้ามาช่วยเหลือ...
(มีต่อ)