นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 6

กระทู้สนทนา
เคลย์เกล็นตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มแม้น้ำขนาดใหญ่ซึ่งดินมีคุณภาพเหมาะสำหรับทำเครื่องปั้น แม่น้ำสายหลักทอดผ่านแบ่งเมืองเป็นสองส่วนโดยสร้างคูเมืองขนาดใหญ่เป็นกำแพงป้องกันชั้นนอกสุด เฟเรซิสจึงแบ่งกองกำลังป้องกันเป็นสองฝั่งทางเหนือและทางใต้ ท่ามกลางความตระหนกว่าจะโดนโจมตีเจ้าเมืองจึงสั่งอพยพผู้คนไปหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดทันทีแล้วให้เหล่าทหารตั้งค่ายรอ 
 
            ปัญหาใหญ่ของเฟเรซิสผู้คุมทัพคือไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้ามาอย่างไร และเป็นกองทัพแบบไหน นางจึงเข้าไปศึกษาข้อมูลเหล่าปิศาจที่โทนาชเคยควบคุมตัวเอาไว้ โชคดีของนางที่โทนาชเป็นคนชอบบันทึกทุกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจึงค้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไม่ยาก ปิศาจที่ถูกจับมีกลุ่มหนึ่งมีพลังสามารถควบคุมความคิดและพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ไม่แน่อดีตผู้บัญชาการกองทัพเทพอาจใช้พวกนี้ดึงเหล่าปิศาจในแดนปิศาจเข้ามาเป็นพวก จำนวนอาจมีเยอะกว่าที่คาดการณ์หลายเท่า 
 
            โทนาชเป็นคนเจ้าปัญญา หลายครั้งหลายหนที่กองทัพเทพเจอปัญหายุ่งยากก็ได้เขาเป็นคนช่วยแก้ปัญหาให้ เขาคือนักวางแผนที่มองเห็นทางออกได้ทุกครั้ง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับเขา คงดีกว่านี้หากได้แข่งขันกันต่อในหน้าที่การงาน ไม่ใช่การต่อสู้ไร้สาระอย่างนี้ เฟเรซิสเชื่อว่าเขาต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างมากกว่าที่ตะโกนออกมา แค่ยังไม่มีใครรู้เท่านั้น ในตอนที่เหล่ากองหน้าต้องออกมาปกป้องชาวแดนเทพก็มีกองหลังคอยสืบหาข้อมูลเบื้องลึกของเขาอยู่ เผื่อจะหาวิธีสงบศึกนี้ได้
 
            พอลไลน์ผู้มีความแค้นส่วนตัวกับโทนาชเสียเวลาเป็นชั่วโมงๆตรวจหากับดักทางเวทมนตร์ในเมืองแต่ไม่พบอะไร ทำให้เฟเรซิสที่สังหรณ์แปลกๆเกี่ยวกับในตัวเมืองอยากให้เขาสำรวจซ้ำ 
 
            “ไม่พบอะไรเลย ไม่ว่าเจ้าจะหาอะไร มันไม่อยู่ในเมือง” พอลไลน์ย้ำกับนางเป็นรอบที่ห้า แล้วไล่นางให้พักผ่อนบ้าง “ฝ่ายนั้นประกาศแบบนี้คงไม่ผิดคำพูดหรอก หากเกิดอะไรขึ้นคงวันที่ระบุนั่นละ”
 
            คำปลอบนั่นไม่ทำให้เฟเรซิสคลายกังวล นางบินร่อนเหนือเมืองอย่างเคร่งเครียดคอยมองหาอะไรสักอย่าง อาจเป็นปิศาจหรือแหล่งพลังเวท อะไรสักอย่างที่โทนาชอาจใช้ในการทำลายเมืองนี้ 
 
            “หรืออาจเป็นแม่น้ำ ฝ่ายนั้นอาจปล่อยพิษไหลตามน้ำมาก็ได้” 
 
            ท่ามกลางความวิตกกังวลเลสลีย์ก็เริ่มโผล่หางออกมา พอเฟเรซิสถามความเห็นนางก็พูดจ้อเกี่ยวกับการบุกแบบต่างๆที่เป็นไปได้จนเฟเรซิสหัวหมุน สุดท้ายต้องพึ่งพอลไลน์มาหยุดเลสลีย์และเตือนนางไม่ให้ปั่นหัวชาวบ้านเล่น
 
            “มันก็มาได้แค่สามทางนั่นแหละ พื้นดิน ท้องฟ้า กับแม่น้ำนั่น จะเป็นแบบไหนได้อีก” พอลไลน์เกือบระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อเลสลีย์พยายามอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีของนาง เกี่ยวกับเหล่าปิศาจที่ทำให้ฝนตกลงมาเป็นพิษได้
 
            เฟเรซิสถอนหายใจเฮือกเมื่อเข้าวันที่สองของการรอคอยที่มีความกดดันมหาศาล เพียงแค่ได้เค้าเงื่อนบ้างว่าโทนาชจะกระทำการอย่างไรคงรับมือง่ายกว่านี้ คนอย่างโทนาชคงไม่ขนพรรคพวกเดินดุ่มๆเข้ามาอย่างในนิยายหรือละครหรอก 
 
            บ่ายวันนั้นก็มีรายงานเกี่ยวกับโทนาชเข้ามาว่าพ่อของเขาตายไปเมื่อครึ่งปีก่อน นั่นคือสิ่งที่เฟเรซิสรู้อยู่แล้ว สิ่งที่นางยังไม่รู้คือพ่อของโทนาชเป็นอดีตทหารปลดประจำการ ก่อนตายเขาเข้ากับองค์กรที่ต้องการนำเผ่าเทพกับเหล่าปิศาจมาจับมือกัน และได้พบพ่อของพอลไลน์กับพีเตอร์ระหว่างการเข้าร่วมกับองค์กรนั้น เฟเรซิสรู้จักองค์กรที่ว่าเพียงผิวเผินเท่านั้น เพียงมองดูจากภายนอกและฟังข่าวเล็กๆน้อยๆจนเชื่อว่าทำเพื่อแดนเทพก็ไม่ได้สนใจขุดคุ้ย 
 
            “อย่างนั้นให้ใครช่วยไปหาข้อมูลเกี่ยวกับบุคลากรในองค์กรนั้นให้ได้ไหม ข้าเริ่มมีลางสังหรณ์แปลกๆกับองค์กรนี้แล้ว” เฟเรซิสสั่งงานลูกน้องคนสนิท พอลไลน์ที่นั่งฟังอยู่ด้วยจึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับนาง
 
            “องค์กรนี้พยายามเพื่อสันติจริงๆเฟเรซิส ข้าเอาหัวเป็นประกันเลย” พอลไลน์แทรกขึ้น “สำนักงานใหญ่อยู่ที่อิลซานอร์ ข้าบอกที่เก็บเอกสารลับให้ได้แต่พวกเจ้าต้องหาทางเข้าไปดูเอง” 
 
            “ขอบคุณ ต้องกลับไปค้นระเบียบเอกสารว่าเหล่าทัพของตรวจสอบองค์กรนี้ได้ไหม” เฟเรซิสบันทึกเพิ่มในสมุดเตือนความจำเล่มเล็กๆ “มีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม พรุ่งนี้แล้วที่เป็นกำหนดบุกของโทนาช” 
 
 
            วันต่อมาจึงครบวันทำการบุกที่โทนาชกำหนดไว้ เหล่าทหารเทพแตกตื่นเพราะมีลูกแก้วขนาดสักครึ่งของลูกบอลที่ใช้ขว้างเล่นลอยอยู่กลางอากาศ มันใสเหมือนหยดน้ำกลางท้องฟ้าสว่างจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็น เฟเรซิสฝากเรื่องการตรวจสอบลูกแก้วสี่ลูกนั้นให้พอลไลน์และเลสลีย์ ส่วนตัวนางนั้นง่วนอยู่กับการควบคุมกองทหารเทพที่ประจำอยู่บนพื้นดินกับในตัวเมือง 
 
            เฟเรซิสบินว่อนไปทั่วเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ บินไปพลางนางก็หันไปมองทางพอลไลน์ที่ทดลองบางอย่างเกี่ยวกับลูกแก้วบนท้องฟ้าไปด้วย นางแบ่งกองทัพหลักเป็นสองส่วนเผื่อการกระจายกำลังไปด้านข้าง แล้วสายตาของนางก็สังเกตแม่น้ำที่ไหลผ่านตัวเมือง มันหยุดไหล ไม่มีพรายฟองจากกระแสน้ำกระทบตลิ่งอย่างเคย ปกติแม่น้ำสายนี้ไหลผ่านต้นน้ำที่เป็นเทือกเขาสูงทางตะวันตก มันไม่เคยหยุดไหลมาก่อนแม้ยามหน้าแล้งหรือหน้าหนาวที่ผิวแม่น้ำเกือบกลายเป็นน้ำแข็ง
 
            หญิงสาวปีกขาวร่อนลงสู่พื้นข้างแม่น้ำใกล้กำแพงเมืองเพื่อมองให้ชัดๆเพราะนางสายตาสั้น แม่น้ำหยุดไหลจริงๆ! มันทำให้เฟเรซิสสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรืออาจเป็นแผนของโทนาช นอกจากการหยุดไหลของน้ำแล้วยังมีอีกสิ่งที่นางเพิ่งมองเห็นหลังจากลงมาดูใกล้ๆ หมอกควันคล้ายไอน้ำกลุ่มบางๆลอยตัวขึ้นจากผิวน้ำเหมือนมันกำลังเดือดอยู่ฉะนั้น 
 
            ราวกับผู้ที่กำลังปฏิบัติการดังกล่าวจะรู้ว่าเฟเรซิสรู้ตัว ไม่ทันให้หญิงสาวร้องเรียกหรือทำการตรวจสอบอื่นใด จากไอน้ำบางเบาก็แปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำนับร้อยพันลอยขึ้นไปยังท้องฟ้า และไปรวมตัวกันที่ลูกแก้วทั้งสี่เป็นเมฆฝนปกคลุมเมืองเอาไว้เหมือนผ้าน้ำมันผืนโตลอยเป็นแพกลางอากาศ เฟเรซิสโผบินด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อไปเตือนทุกคนให้ระวังตัว แผนของโทนาชเริ่มขึ้นแล้ว! ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรมันต้องเกี่ยวกับน้ำที่โดนดูดขึ้นไปบนอากาศแน่
 
            ถึงเฟเรซิสจะบินเร็วแต่ไหนแต่การดึงน้ำไปยังท้องฟ้านั้นเร็วกว่าหลายเท่า เมื่อนางลงจอดข้างหมู่ทหารแม่น้ำช่วงสั้นๆที่ไหนผ่านเมืองก็แห้งผากไปแล้ว หญิงสาวเงยหน้ามองพอลไลน์ เขากับเลสลีย์บนหลังมังกรกำลังกระจายเมฆฝนที่ก่อตัวกันด้วยแผนการร้ายแต่ไม่สำเร็จ มันกลับมารวมตัวกันที่ลูกแก้วได้ทุกครั้ง เฟเรซิสบอกได้ว่าพอลไลน์กำลังพยายามทำลายลูกแก้วเพราะมีแสงและการระเบิดเกิดขึ้นข้างบนนั่น
 
            “โจมตีด้วยพายุสายฟ้ากระมัง” เฟเรซิสรีบคิดอย่างหนักหน่วงว่าอีกฝ่ายวางแผนอย่างไรกันแน่ 
 
            แล้วฝนก็เริ่มตกลงมาจากหมู่เมฆที่รวมตัวกันเหนือเมือง จากสัมผัส สี และกลิ่น เฟเรซิสตัดสินได้ทันทีว่ามันคือน้ำธรรมดา แต่โทนาชจะดูดน้ำขึ้นไปแล้วสั่งให้ตกลงมาทำไมกันเล่า มันต้องมีเหตุผลแน่นอน
 
            “เฟเรซิส ก่อนท่านจะบินลงมาเมืองเกิดแผ่นดินไหวเล็กน้อยจากทางภูเขาโน่น คิดว่ามันเกี่ยวกันไหม” เพื่อนร่วมรบคนหนึ่งของเฟเรซิสร้องบอกความเปลี่ยนแปลง 
 
            หัวสมองของเฟเรซิสหมุนด้วยความเร็วเหลือเชื่อเพื่อนำทุกสิ่งมาประกอบกัน เคลย์เกล็นเป็นเมืองส่งออกเครื่องปั้นเพราะในดินมีแร่บางอย่างอยู่ทำให้มีความทนทานสูง แร่ชนิดนี้มีความแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง หากเป็นแร่ดิบที่ยังไม่ได้รับความร้อนมันจะไหลเข้าหาความชื้นราวกับเป็นของเหลวที่เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ ในเมืองนี้มีแร่ดิบนั่นอยู่เต็มไปหมด และท้องฟ้าตอนนี้ก็เป็นแหล่งรวมความชื้นเอาไว้แทนที่จะเป็นแม่น้ำ
 
            การใช้เวทมนตร์งอกดินขึ้นมาทำลายทั้งเมืองเป็นเรื่องที่ยากมากและสามารถจับทางได้ง่ายๆ หากเปลี่ยนเป็นแร่บางอย่างที่ต้องใช้วิธีพิเศษในการควบคุมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยเวทมนตร์พื้นฐาน เฟเรซิสก้มลงแตะผืนดิน บัดนี้มันแห้งร่วนราวกับถูกดูดความชื้นออกไปทั้งหมด!
 
            “ส่งสัญญาณขึ้นบิน! อย่าอยู่ใต้เมฆนั่น” เฟเรซิสรีบออกคำสั่งเร่งด่วน ทั้งนางและหมู่ทหารเหล่าบินออกจากเมืองด้วยความเร็วสูง!
 
            ไม่ทันให้ปีกของเฟเรซิสกินลมดีก็เกิดเสียงคำรามครืนครัน เหล่าแร่ที่อยู่ในดินรวมตัวกันแล้วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับมีแรงดึงดูดประหลาด เมืองทั้งเมืองพังยับเพราะฐานรากของเมืองลอยขึ้นไปหาความชื้นเบื้องบนด้วยวิธีการบางอย่าง โทนาชคงใช้ปิศาจที่มีความสามารถด้วยการควบคุมธาตุพิเศษบังคับให้มันสามารถลอยสวนแรงดึงดูดของอิเดนขึ้นไปบนท้องฟ้าได้
 
            เบื้องล่างที่เคยเป็นเมืองกลายเป็นหลุมตื้นๆเต็มไปด้วยซากหักพังของบ้านเรือนและไร่นา แต่การทำลายล้างในแผนของโทนาชยังไม่จบ หินหลายหมื่นลูนที่ค้างอยู่บนอากาศพลันหล่นลงมาพร้อมกันเหมือนภูเขาทลายสร้างความเสียหายร้ายแรงอีกครั้ง เฟเรซิสกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นความสามารถของโทนาช เขาแทบไม่ต้องใช้ปิศาจที่จับตัวไปเลยเพื่อสร้างหายนะให้กับเมืองขนาดกลางเมืองหนึ่ง
 
            “ลูกแก้วนั่นคงเป็นตัวส่งสัญญาณที่ใช้ควบคุมหินแร่พวกนั้นอีกทีหนึ่ง” เฟเรซิสพูดอย่างนับถือศัตรูของนาง
 
            เมื่อเมฆฝนที่ล้อมรอบลูกแก้วจางลงจึงพบตัวต้นเรื่อง อดีตผู้บัญชาการทหารเทพโทนาชลอยอยู่บนท้องฟ้าโดยมีลูกแก้วที่สี่ลอยหมุนรอบตัวเขาราวกับเป็นรัศมี!
 
            “ข้าไปเอง!” เฟเรซิสร้องบอกเหล่าทหารเทพแล้วบินเข้าหาอดีตหัวหน้าที่บัดนี้กลายเป็นตัวร้ายไปแล้ว “หยุดได้แล้วโทนาช บอกข้ามาว่าท่านต้องการสิ่งใดกันแน่”
 
            “ทำลายแดนเทพ ไม่มากไม่น้อยกว่านั้น...รวมไปถึงชาวเมืองเคลย์เกล็นที่เจ้าพาไปซ่อนตัวที่หมู่บ้านคริสตัลด้วย”
 
            เฟเรซิสขบกราม ทุกอย่างอยู่ใต้การสังเกตการณ์ของโทนาชอย่างนั้นหรือ
 
            “ข้าไม่เชื่อว่าท่าจะทำตามตรรกะบ้าบอนั่นจริงๆ ลงมาคุยกันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่างท่านไม่มีทางแปรพักตร์ง่ายๆหรอก”
 
            “ทางเจ้าต่างหากที่พูดไม่รู้เรื่อง ไร้มารยาทที่กล่าวหาว่าอุดมการณ์ของคนอื่นเป็นเรื่องบ้าบอ” 
 
            “อย่างนั้นก็ต้องจับมาสอบสวน เตรียมรับมือ!” 
 
            หญิงสาวสะบัดปีกชักดาบออกจากฝักขึ้นมาหมายพุ่งเข้าฟาดฟันอดีตหัวหน้า ทว่าคมดาบของนางถูกหยุดโดยลูกแก้วสองลูกที่โทนาชใช้ในการถล่มเมืองจนราบ! เฟเรซิสกัดฟันอย่างไม่สบอารมณ์ นางถอนดาบแล้วเบี่ยงทิศการบินไปหาเป้าหมายโดยอ้อมไปอีกทางหนึ่ง แต่ดาบก็โดนหยุดโดยลูกแก้วเหมือนเดิม
 
            ส่วนโทนาชมองเฟเรซิสด้วยท่าทางสงบนิ่ง ลูกแก้วอีกสองลูกลอยวนป้องกันตัวเขาเหมือนรัศมีของดวงดาว ราวกับกำลังรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรให้เข้าถึงตัว 
 
            ในขณะเดียวกันพอลไลน์ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เขาสร้างเข็มน้ำแข็งและสายฟ้าโจมตีใส่โทนาชเช่นกันแต่ไม่สำเร็จเพราะลูกแก้วอีกสองลูกคอยป้องกันเอาไว้ได้ มันสามารถส่งเวทมนตร์สะท้อนกลับไปหาพอลไลน์ได้ด้วย
 
            “ข้างล่างคงเบื่อกันสินะ ข้าไม่ใช่พวกชอบทำอะไรเอิกเกริกอย่างขนปิศาจมาเป็นกองทัพเสียด้วย”  โทนาชพูดอย่างครุ่นคิดแล้วชูมือขวาขึ้นเพื่อใช้เวทมนตร์
 
            พื้นดินที่เคยเป็นเมืองเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงแล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ขึ้นๆ ในไม่กี่วินาทีมันก็แปรสภาพเป็นอสูรแห่งธาตุดิน หัวเหมือนแรดขนาดมหึมาร้องคำราม ร่างเหมือนควายป่าหนาสูงกว่าร้อยคีลยาวไม่น้อยกว่าสองร้อยคีล มันเหมือนแรดผิดส่วนขนาดยักษ์ที่พร้อมถล่มทุกสรรพสิ่งที่ขวางหน้า!
 
            “อสูรดินตัวนี้จะวิ่งไปเหยียบหมู่บ้านคริสตัลที่พวกเจ้าขนเอาชาวเมืองเคลย์เกล็นไปซ่อนอยู่ หยุดมันให้ได้ แล้วข้าจะทำเป็นไม่เห็นหมู่บ้านนั้นกับพวกชาวเมืองที่อพยพไปอยู่ด้วย”
 
            “ผิดคำพูดนี่โทนาช ไหนบอกว่าครั้งละแห่งไงล่ะ!” เฟเรซิสอุทธรณ์
 
            “พวกเขาคือชาวเมืองเคลย์เกล็น รากของพวกเขาอยู่ที่นี่ ข้าทำลายรากไปแล้ว ตามไปเผากิ่งใบด้วยมันผิดตรงไหน” 
 

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่