“อยากรู้ใช่ไหม ว่าทำไมสิ่งมีชีวิตชั้นสูงหลายอย่างจึงยังอยู่เอนโวลาไม่ได้ตามพวกเสาค้ำจุนไปแดนพันธสัญญาที่เราเรียกกัน”
ท่านผู้นั้นเห็นเซธรู้ตัวว่ากำลังโดนตะล่อมให้ทำงานใหญ่จึงยอมเล่าตั้งแต่ต้น เซธส่ายหัว เขาคิดว่าทุกชีวิตย่อมมีเหตุผลของตนเอง การอาศัยอยู่บ้านเกิดไม่น่ามีปัญหาอะไรสักนิด
“บางกลุ่มเคลือบแคลงสงสัยเรื่องการปล่อยมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์หลักครอบครองทุกอย่างในเอนโวลา...เมื่อก่อนมนุษย์เคยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเสาค้ำจุนเหมือนกลุ่มอื่น ๆ แถมก่อแต่เรื่องโน่นนี่ วันดีคืนดีก็รุกรานเผ่าอื่นและนำมาเป็นทาส ทำให้บางส่วนไม่เชื่อว่ามนุษย์เหมาะกับจุดสูงสุด”
เซธฟังเรื่องราวอย่างถี่ถ้วนตามประสาคนไม่ค่อยฉลาด ท่านผู้นั้นก็ใจดีค่อย ๆ อธิบายส่วนยากให้เข้าใจ
“พวกเขาอาจแค่ไม่อยากย้ายบ้านเท่านั้น แล้วฝ่าบาทก็เคยเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ เสาค้ำจุนสูงสุดก็มีส่วนของมนุษย์อยู่ด้วย มนุษย์สามารถพัฒนาได้ ทุกคนรู้!” เซธร้อง ท่านผู้นั้นส่ายหน้าบ้าง
“ไม่ใช่สายเลือดแท้ นักรบเทพเฟเรซิสทวดของข้าคือเผ่าเทพ เสาค้ำจุนก็มีเชื้อของมนุษย์แค่นิดเดียว” ท่านผู้นั้นชวนเซธนั่งเก้าอี้ยาวเพื่อให้คุยกันสบายขึ้น “ซาเรียเป็นตัวอย่างที่ดี เผ่าพันธุ์อื่นส่วนมากมีสติปัญญาเท่าเทียมหรือสูงกว่ามนุษย์ แถมเหนือกว่าด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ กันอย่างเช่นอายุขัย ร่างกาย ความรู้ หรือการเชื่อมต่อเวทมนตร์ การยกเอนโวลาให้มนุษย์เหมือนเสาค้ำจุนเอาใจลูกรักคนเดียว
“บางพวกไม่อยากย้ายถิ่นฐานอย่างเจ้าว่า อย่างวิญญาณป่า พวกนี้สร้างทายาทด้วยการขอกับผลึกแห่งป่าซึ่งเชื่อมกับชีพจรธรณีโดยตรง และมังกรมนตรา พวกเขาเชื่อว่าบรรพบุรุษเฝ้ามองจากท้องฟ้าของเอนโวลาเท่านั้น บางพวกต่อต้านและต้องการให้เทพปิศาจคืนชีพ บางพวกไม่ยอมรับความคิดนี้แต่ไม่กระทำการออกนอกหน้าเพราะเกรงบารมีของพวกเรา...พวกหลังสุดแม้จะยอมอยู่เงียบ ๆ แต่ก็จับตามองมนุษย์ทุกฝีก้าวย่าง พวกนั้นพร้อมเอาความผิดพลาดร้อยแปดพันเก้ามาพูดเพื่อยืนยันว่าพวกเจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งผู้อยู่สูงสุด”
ท่านผู้นั้นแสดงสีหน้าห่วงใยอย่างจริงใจเหมือนทุกครั้งที่พบเรื่องแย่ ๆ ของมนุษย์
“ความเครียดก่อตัวเมื่อเจ้าก่อเรื่อง ข้าลงมาช่วยเพื่อทำตามสัญญาทว่าพวกนั้นกลับเหมาว่ามนุษย์ไร้ความสามารถจนคนสุดท้ายต้องลงมาควบคุมแถมทำให้สัตว์ร้ายหนีสู่ภายนอกอีก พออวาร์ริเทียแสดงตนเป็นมิตรพวกนั้นก็อยากให้พวกอวาร์ริเทียปกครองเอนโวลาแทน ยัยนั่นมองมนุษย์อย่างเป็นกลางมาพักใหญ่จึงปฏิเสธคำขอนี้ มาถึงจุดนี้เราได้เจ้าช่วยเอาไว้โดยไม่รู้ตัว”
ท่านผู้นั้นยิ้มให้เซธเหมือนกล่าวขอบคุณ เซธนั่งบื้อเพราะไม่เข้าใจว่าตนช่วยอะไร
“ตอนสู้กับอินวิเดียหากเจ้าถ่วงเวลาไม่ได้เจ้านั่นอาจคึกคะนองทำลายทุกอย่างโดยไม่ฟังเหตุผลแท้จริง เจ้าเรียกสติของมันกลับมาทำให้ยอมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น มนุษย์อาจทำร้ายชีวิตอื่นแต่ก็เรียนรู้เพื่อปรับปรุงตัวและพยายามแก้ไขสิ่งผิดพลาด สิ่งมีชีวิตโบราณบางอย่างก็เที่ยวอาละวาดไม่มีความอ่อนโยนสักส่วนเสี้ยวของมนุษย์ พอเห็นเจ้ากับอินวิเดียร่วมมือกันต่อต้านข้าก็ยิ่งย้ำว่ามนุษย์สามารถละความมุ่งร้ายเพื่อเป้าหมายใหญ่ได้ พวกนั้นมองเจ้าเป็นตาเดียวเพื่อหาเรื่องจับผิดกลับได้เรียนรู้สิ่งสำคัญของมนุษย์เสียอย่างนั้น
“ตอนสายเลือดของข้าแสดงตัวพวกนั้นพนันว่าเขาจะเป็นตัวแทนเสาค้ำจุนขึ้นปกครองเอนโวลา ความสามารถของเขาคงมีสักหนึ่งในร้อยของข้าตอนนี้ทว่ามันเพียงพอจะทำให้ทุกชีวิตยอมจำนน แถมนั่นคือสายเลือดของข้าก็หมายถึงการหนุนหลังอีกต่อหนึ่ง แม้จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่เจ้าก็ทำให้ความเชื่อมั่นของเขาสั่นคลอนจนมีทีท่าเปลี่ยนไป ในอดีตมีมนุษย์ไปเข้ากับเทพปิศาจแต่มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่กล้ากลับมาหาเสาค้ำจุนอย่างแท้จริง เจ้าทำให้พวกมีอคติเห็นว่ามนุษย์สามารถกลับตัวได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่ลมปาก”
เซธได้ฟังพลันเกิดอาการคิดหาคำอธิบายเรื่องราวไม่ถูกอีกแล้ว อินวิเดียต้องการทดสอบบางอย่างจึงยื้อการต่อสู้ไม่เอาจริงแต่แรก แล้วเขาคิดว่าสายเลือดของท่านผู้นั้นควรแสดงเจตนารมณ์ให้ฝ่าบาทของเขาเห็นโดยตรงจึงชวนคุย ไม่ได้คิดลึกมองการณ์ไกลเลยเถิด เมื่อพูดถึงอินวิเดียก็นึกขึ้นได้ว่ามันยังเป็นอิสระอยู่ในทะเลเปิดจึงเอ่ยถามสั้น ๆ
“ปล่อยเจ้านั่นไว้แบบนั้นล่ะ ไม่สำคัญแล้ว” ท่านผู้นั้นพูดอย่างไม่ใยดี “อินวิเดียแสดงให้เราเห็นมุมมองต่อมนุษย์ของสิ่งมีชีวิตโบราณ อคติของมันถูกล้างเมื่อเห็นเนื้อแท้ของพวกเจ้า มนุษย์เหล่านั้นยอมรับผิดเรื่องการโจมตีใต้น้ำและถูกมนุษย์กลุ่มอื่นกดดันจนต้องเก็บร่างคู่ของมันมาพยายามรักษาอยู่เป็นสิบปี บางส่วนอาจโหดร้ายแต่บางส่วนดีงาม มันคือเสน่ห์ของมนุษย์...ให้อดีตมนุษย์พูดคงแปลกไปหน่อย...”
แม้จะอยู่ในอาการประหลาดใจประสาทการรับรู้การบิดเบือนเตือนเซธเบา ๆ เกี่ยวกับคำพูดของอีกฝ่าย บางอย่างดูไม่ชอบมาพากล ไม่ใช่เรื่องทัศนคติของอินวิเดียหากเป็นความคิดของท่านผู้นั้น มังกรโบราณดุร้ายหลุดการควบคุม หากเป็นมิตรก็ยังจำเป็นต้องจับตาดู ฟังไม่เหมือนท่านผู้นั้นเลย
“จากนี้เราก็ตามหาพวกมังกรเหมือนเดิม เหลืออาเซเดียกับไอร่า” ท่านผู้นั้นกล่าวอย่างไร้ความรับผิดชอบ “ข้าดีใจที่เจ้าใช้พิณเทพพิรุณได้ดีขึ้นและหัดใช้เวทมนตร์ผ่านอากาศ ฝึกหนักเข้าไว้ นั่นคือหนทางพิสูจน์ว่ามนุษย์หมั่นก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ”
เมื่อพูดถึงการใช้เวทมนตร์เซธก็มีคำถามเกี่ยวกับตอนสู้กับกูล่า เขามั่นใจว่าอินวิเดียช่วยเขาออกจากท้องของมัน ท่านผู้นั้นยิ้มแล้วตอบเหมือนปูทางสู่บางอย่าง
“ในเมื่อพูดดี ๆ ไม่ฟังก็ต้องใช้กำลัง” ท่านผู้นั้นตัดสินใจเล่าบางส่วนให้ฟัง แค่เสี้ยวเดียวของเรื่องทั้งหมดเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล “กูล่าไม่ยอมเล่นตามพวกอวาร์ริเทีย พอสบช่องอินวิเดียจึงเข้ามาบังคับให้จำนน คงกัดกันเกือบตายแล้วกระมังอวาร์ริเทียจึงต้องคอยห้ามทัพจนมาทางนี้ไม่ได้”
“ผู้มาอยู่แทนฝ่าบาทบอกว่ามีแผนเบื้องหลังเรื่องนี้”
“หมากทุกตัวพร้อมเรียบร้อย สิ่งที่ต้องทำคือยกระดับฝีมือเจ้าให้สูงขึ้นอีก...ส่วนตัวละครอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องก็รอเวลาให้คลี่คลายเอง สายเลือดของข้าผู้แปลกแยกกับเจ้าผ้าคลุมสกปรก ข้าแอบหวังให้ใครสักคนช่วยบั่นคอเจ้านั่นให้ ตอนแรกคิดว่าเอาไว้คุยแก้เหงาแต่กลายเป็นหอกข้างแคร่แบบนี้เอาไว้ไม่ได้”
คำบ่นถึงศัตรูเก่าแก่ทำให้ผู้เป็นอมตะร้องด้วยความสงสัย เขาคิดว่ากลุ่มรื้อฟื้นเทพอสูรจะเป็นศัตรูสุดท้ายเสียอีก เมื่อถามขึ้นทิศทางการพูดคุยก็ถูกบังคับเปลี่ยนเหมือนหางเสือเรือ
“ข้าดูอยู่ตลอด เจ้าบอกว่าอยากขอบคุณนางผู้นั้น” ท่านผู้นั้นย้ายเรื่องคุยทำให้เซธต้องตามอย่างเสียไม่ได้ เขาอยากขอบคุณทุกคนข้างหลังม่านตั้งแต่รู้เรื่องทั้งหมด “ข้าขอบคุณนางแทนแล้วด้วยของทะเลแบบสดและตากแห้งสองลังใหญ่แถมด้วยของหวานกับเนื้อชั้นดี อย่างหลังเพราะนางเป็นวิญญาณป่าจึงหมกมุ่นเรื่องรูปร่างว่าต้องผอมเหมือนไม้เสียบผี ตอนเราอยู่ด้วยกันบางครั้งข้าก็ขุนนางด้วยของที่ว่านี่ล่ะ”
เซธนึกถึงตอนพบกับซาเรีย เหล่าวิญญาณป่ามีอำนาจสร้างภาพมายา นักรบเทพผู้เป็นเหมือนคนรักของท่านผู้นั้นอาจมีความสามารถคล้ายกันก็ได้
“ก่อนเรากลับสู่มิติภายนอกข้าขอย้ำคำเดิม” ท่านผู้นั้นลุกขึ้นบิดขี้เกียจเหมือนแมวเพิ่งตื่นนอน “ของรางวัลสำหรับการช่วยเหลือเสาค้ำจุนคือบ้านหลังนี้ หากเจ้าทำให้ทุกอย่างจบด้วยดีข้าจะขายให้ด้วยราคาปัจจุบัน ไม่แพงอย่างที่คิดหรอก เราสองคนชอบทำเรื่องวุ่นวายหากทุกอย่างสงบเกินไป พวกของใช้จึงเต็มไปด้วยตำหนิเล็ก ๆ น้อย ๆ เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากตกลง”
“หากข้าปฏิเสธล่ะฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรเสาค้ำจุนก็เป็นคนสาปข้า” เซธลองใจท่านผู้นั้น นักรบเทพของเอนโวลาหัวเราะเบา ๆ
“เจ้าไม่อยากพูดแบบนั้นหรอกนอกจากมีแผนทรมานตัวเองด้วยคำสาปไปตลอดกาล จุดสิ้นสุดการเดินทางนอกจากทำให้เจ้ากับคนรักพบกันอีกครั้งยังพิสูจน์คำของเสาค้ำจุนด้วยว่ามนุษย์ขับเคลื่อนตัวเองด้วยความรักไม่ใช่ความเกลียดชัง การแก้เงื่อนผูกตัวมีทางเดียวคือการไม่ก้าวไปข้างหน้าเพื่อคลายคำสาป เจ้าคงไม่อยากให้หกร้อยปีที่ผ่านมาสูญเปล่าหรอกใช่ไหม” ท่านผู้นั้นทำให้เซธสะอึก เขาไม่คิดว่าเรื่องราวจะโยงกันแบบนี้ “ที่บอกว่าจะให้รางวัลเพิ่มเพราะอยากให้ทุกอย่างโปร่งใสไม่มีนอกมีในลับหลัง เราได้เจ้าช่วยก็ต้องบอกขอบคุณอย่างเป็นทางการไม่ให้ติดค้าง”
“รับบัญชาฝ่าบาท” เซธลุกขึ้นโค้งรับคำสั่งเหมือนทุกครั้ง อย่างน้อยเขาก็มีแรงใจต่อสู้กับพวกมังกรเพิ่มขึ้น...
เซธกับท่านผู้นั้นกลับถึงที่พักตอนพลบค่ำ ท่านผู้นั้นอยากกินอาหารกับเขาอย่างเป็นทางการบ้างจึงสั่งพนักงานจัดเตรียมมื้อเย็นเอาไว้ในห้องรับรอง เมื่อพวกเขาเดินถึงประตูตึกรับรองลักซูเรียก็ออกมาหาด้วยอาการดีใจ คำพูดของท่านผู้นั้นตัวปลอมกับตัวจริงผุดขึ้นในหัวของเขาเกือบพร้อมกัน
“...จากนั้นก็ไปมีรักข้างเดียวกับนางมังกรครึ่งมนุษย์”
“ห้ามบอกลักซูเรียว่าพวกอวาร์ริเทียทำงานเบื้องหลังอยู่กับข้า นางไม่มีความจำเป็นต่อแผนการ ปล่อยให้ใช้ชีวิตอย่างอิสระจะได้เปรียบกว่าด้านกลยุทธ์”
การบอกเล่าและคำสั่งแบบหลวม ๆ สร้างความกระอักกระอ่วนให้เซธ เขาควรทำดีกับนางเพราะความสงสารใช่หรือไม่ และควรบอกอย่างไรเรื่องกูล่า ดังนั้นเรื่องแรกจากปากเซธคือทักว่านางกลับมาจากการถ่ายภาพยนต์เร็วเกินคาด
“ฉันไปเป็นนักแสดงสมทบเท่านั้นจึงกลับได้หลังเสร็จส่วนของตัวเอง ฉันออกกล้องแค่สองฉากแต่มีบทพูดจึงต้องอยู่กองจนมั่นใจว่าไม่ต้องถ่ายซ่อม หากต้องการถ่ายเพิ่มหรือแก้ไขเขาจะเรียกเอง” นางมังกรครึ่งมนุษย์จับมือเซธแน่นเหมือนคนรักจริง ๆ เขามองนางอย่างลำบากใจ ลักซูเรียถอดหมวกปล่อยผมสีน้ำเงินออกมาแล้วพูดอย่างจริงจัง “ฉันรู้เรื่องกูล่าแล้ว ซูเปอร์เบียบอกฉันว่าพวกคุณหาทางไม่ให้พวกเรารับพลังจากตัวที่ตายแล้ว จากนั้นคุณก็ฆ่ามันอย่างทารุณ”
เซธขมวดคิ้วนิ่ง ท่านผู้นั้นตัวปลอมเคยหลุดชื่อมังกรตัวนี้ บางทีนี่อาจเป็นศัตรูสุดท้ายของเขา การอยู่ในห้วงความคิดทำให้ลักซูเรียเข้าใจผิดตามประสา
(มีต่อ)
สัญญาอมตะ ตอนที่ 17
ท่านผู้นั้นเห็นเซธรู้ตัวว่ากำลังโดนตะล่อมให้ทำงานใหญ่จึงยอมเล่าตั้งแต่ต้น เซธส่ายหัว เขาคิดว่าทุกชีวิตย่อมมีเหตุผลของตนเอง การอาศัยอยู่บ้านเกิดไม่น่ามีปัญหาอะไรสักนิด
“บางกลุ่มเคลือบแคลงสงสัยเรื่องการปล่อยมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์หลักครอบครองทุกอย่างในเอนโวลา...เมื่อก่อนมนุษย์เคยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเสาค้ำจุนเหมือนกลุ่มอื่น ๆ แถมก่อแต่เรื่องโน่นนี่ วันดีคืนดีก็รุกรานเผ่าอื่นและนำมาเป็นทาส ทำให้บางส่วนไม่เชื่อว่ามนุษย์เหมาะกับจุดสูงสุด”
เซธฟังเรื่องราวอย่างถี่ถ้วนตามประสาคนไม่ค่อยฉลาด ท่านผู้นั้นก็ใจดีค่อย ๆ อธิบายส่วนยากให้เข้าใจ
“พวกเขาอาจแค่ไม่อยากย้ายบ้านเท่านั้น แล้วฝ่าบาทก็เคยเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ เสาค้ำจุนสูงสุดก็มีส่วนของมนุษย์อยู่ด้วย มนุษย์สามารถพัฒนาได้ ทุกคนรู้!” เซธร้อง ท่านผู้นั้นส่ายหน้าบ้าง
“ไม่ใช่สายเลือดแท้ นักรบเทพเฟเรซิสทวดของข้าคือเผ่าเทพ เสาค้ำจุนก็มีเชื้อของมนุษย์แค่นิดเดียว” ท่านผู้นั้นชวนเซธนั่งเก้าอี้ยาวเพื่อให้คุยกันสบายขึ้น “ซาเรียเป็นตัวอย่างที่ดี เผ่าพันธุ์อื่นส่วนมากมีสติปัญญาเท่าเทียมหรือสูงกว่ามนุษย์ แถมเหนือกว่าด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ กันอย่างเช่นอายุขัย ร่างกาย ความรู้ หรือการเชื่อมต่อเวทมนตร์ การยกเอนโวลาให้มนุษย์เหมือนเสาค้ำจุนเอาใจลูกรักคนเดียว
“บางพวกไม่อยากย้ายถิ่นฐานอย่างเจ้าว่า อย่างวิญญาณป่า พวกนี้สร้างทายาทด้วยการขอกับผลึกแห่งป่าซึ่งเชื่อมกับชีพจรธรณีโดยตรง และมังกรมนตรา พวกเขาเชื่อว่าบรรพบุรุษเฝ้ามองจากท้องฟ้าของเอนโวลาเท่านั้น บางพวกต่อต้านและต้องการให้เทพปิศาจคืนชีพ บางพวกไม่ยอมรับความคิดนี้แต่ไม่กระทำการออกนอกหน้าเพราะเกรงบารมีของพวกเรา...พวกหลังสุดแม้จะยอมอยู่เงียบ ๆ แต่ก็จับตามองมนุษย์ทุกฝีก้าวย่าง พวกนั้นพร้อมเอาความผิดพลาดร้อยแปดพันเก้ามาพูดเพื่อยืนยันว่าพวกเจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งผู้อยู่สูงสุด”
ท่านผู้นั้นแสดงสีหน้าห่วงใยอย่างจริงใจเหมือนทุกครั้งที่พบเรื่องแย่ ๆ ของมนุษย์
“ความเครียดก่อตัวเมื่อเจ้าก่อเรื่อง ข้าลงมาช่วยเพื่อทำตามสัญญาทว่าพวกนั้นกลับเหมาว่ามนุษย์ไร้ความสามารถจนคนสุดท้ายต้องลงมาควบคุมแถมทำให้สัตว์ร้ายหนีสู่ภายนอกอีก พออวาร์ริเทียแสดงตนเป็นมิตรพวกนั้นก็อยากให้พวกอวาร์ริเทียปกครองเอนโวลาแทน ยัยนั่นมองมนุษย์อย่างเป็นกลางมาพักใหญ่จึงปฏิเสธคำขอนี้ มาถึงจุดนี้เราได้เจ้าช่วยเอาไว้โดยไม่รู้ตัว”
ท่านผู้นั้นยิ้มให้เซธเหมือนกล่าวขอบคุณ เซธนั่งบื้อเพราะไม่เข้าใจว่าตนช่วยอะไร
“ตอนสู้กับอินวิเดียหากเจ้าถ่วงเวลาไม่ได้เจ้านั่นอาจคึกคะนองทำลายทุกอย่างโดยไม่ฟังเหตุผลแท้จริง เจ้าเรียกสติของมันกลับมาทำให้ยอมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น มนุษย์อาจทำร้ายชีวิตอื่นแต่ก็เรียนรู้เพื่อปรับปรุงตัวและพยายามแก้ไขสิ่งผิดพลาด สิ่งมีชีวิตโบราณบางอย่างก็เที่ยวอาละวาดไม่มีความอ่อนโยนสักส่วนเสี้ยวของมนุษย์ พอเห็นเจ้ากับอินวิเดียร่วมมือกันต่อต้านข้าก็ยิ่งย้ำว่ามนุษย์สามารถละความมุ่งร้ายเพื่อเป้าหมายใหญ่ได้ พวกนั้นมองเจ้าเป็นตาเดียวเพื่อหาเรื่องจับผิดกลับได้เรียนรู้สิ่งสำคัญของมนุษย์เสียอย่างนั้น
“ตอนสายเลือดของข้าแสดงตัวพวกนั้นพนันว่าเขาจะเป็นตัวแทนเสาค้ำจุนขึ้นปกครองเอนโวลา ความสามารถของเขาคงมีสักหนึ่งในร้อยของข้าตอนนี้ทว่ามันเพียงพอจะทำให้ทุกชีวิตยอมจำนน แถมนั่นคือสายเลือดของข้าก็หมายถึงการหนุนหลังอีกต่อหนึ่ง แม้จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่เจ้าก็ทำให้ความเชื่อมั่นของเขาสั่นคลอนจนมีทีท่าเปลี่ยนไป ในอดีตมีมนุษย์ไปเข้ากับเทพปิศาจแต่มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่กล้ากลับมาหาเสาค้ำจุนอย่างแท้จริง เจ้าทำให้พวกมีอคติเห็นว่ามนุษย์สามารถกลับตัวได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่ลมปาก”
เซธได้ฟังพลันเกิดอาการคิดหาคำอธิบายเรื่องราวไม่ถูกอีกแล้ว อินวิเดียต้องการทดสอบบางอย่างจึงยื้อการต่อสู้ไม่เอาจริงแต่แรก แล้วเขาคิดว่าสายเลือดของท่านผู้นั้นควรแสดงเจตนารมณ์ให้ฝ่าบาทของเขาเห็นโดยตรงจึงชวนคุย ไม่ได้คิดลึกมองการณ์ไกลเลยเถิด เมื่อพูดถึงอินวิเดียก็นึกขึ้นได้ว่ามันยังเป็นอิสระอยู่ในทะเลเปิดจึงเอ่ยถามสั้น ๆ
“ปล่อยเจ้านั่นไว้แบบนั้นล่ะ ไม่สำคัญแล้ว” ท่านผู้นั้นพูดอย่างไม่ใยดี “อินวิเดียแสดงให้เราเห็นมุมมองต่อมนุษย์ของสิ่งมีชีวิตโบราณ อคติของมันถูกล้างเมื่อเห็นเนื้อแท้ของพวกเจ้า มนุษย์เหล่านั้นยอมรับผิดเรื่องการโจมตีใต้น้ำและถูกมนุษย์กลุ่มอื่นกดดันจนต้องเก็บร่างคู่ของมันมาพยายามรักษาอยู่เป็นสิบปี บางส่วนอาจโหดร้ายแต่บางส่วนดีงาม มันคือเสน่ห์ของมนุษย์...ให้อดีตมนุษย์พูดคงแปลกไปหน่อย...”
แม้จะอยู่ในอาการประหลาดใจประสาทการรับรู้การบิดเบือนเตือนเซธเบา ๆ เกี่ยวกับคำพูดของอีกฝ่าย บางอย่างดูไม่ชอบมาพากล ไม่ใช่เรื่องทัศนคติของอินวิเดียหากเป็นความคิดของท่านผู้นั้น มังกรโบราณดุร้ายหลุดการควบคุม หากเป็นมิตรก็ยังจำเป็นต้องจับตาดู ฟังไม่เหมือนท่านผู้นั้นเลย
“จากนี้เราก็ตามหาพวกมังกรเหมือนเดิม เหลืออาเซเดียกับไอร่า” ท่านผู้นั้นกล่าวอย่างไร้ความรับผิดชอบ “ข้าดีใจที่เจ้าใช้พิณเทพพิรุณได้ดีขึ้นและหัดใช้เวทมนตร์ผ่านอากาศ ฝึกหนักเข้าไว้ นั่นคือหนทางพิสูจน์ว่ามนุษย์หมั่นก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ”
เมื่อพูดถึงการใช้เวทมนตร์เซธก็มีคำถามเกี่ยวกับตอนสู้กับกูล่า เขามั่นใจว่าอินวิเดียช่วยเขาออกจากท้องของมัน ท่านผู้นั้นยิ้มแล้วตอบเหมือนปูทางสู่บางอย่าง
“ในเมื่อพูดดี ๆ ไม่ฟังก็ต้องใช้กำลัง” ท่านผู้นั้นตัดสินใจเล่าบางส่วนให้ฟัง แค่เสี้ยวเดียวของเรื่องทั้งหมดเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล “กูล่าไม่ยอมเล่นตามพวกอวาร์ริเทีย พอสบช่องอินวิเดียจึงเข้ามาบังคับให้จำนน คงกัดกันเกือบตายแล้วกระมังอวาร์ริเทียจึงต้องคอยห้ามทัพจนมาทางนี้ไม่ได้”
“ผู้มาอยู่แทนฝ่าบาทบอกว่ามีแผนเบื้องหลังเรื่องนี้”
“หมากทุกตัวพร้อมเรียบร้อย สิ่งที่ต้องทำคือยกระดับฝีมือเจ้าให้สูงขึ้นอีก...ส่วนตัวละครอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องก็รอเวลาให้คลี่คลายเอง สายเลือดของข้าผู้แปลกแยกกับเจ้าผ้าคลุมสกปรก ข้าแอบหวังให้ใครสักคนช่วยบั่นคอเจ้านั่นให้ ตอนแรกคิดว่าเอาไว้คุยแก้เหงาแต่กลายเป็นหอกข้างแคร่แบบนี้เอาไว้ไม่ได้”
คำบ่นถึงศัตรูเก่าแก่ทำให้ผู้เป็นอมตะร้องด้วยความสงสัย เขาคิดว่ากลุ่มรื้อฟื้นเทพอสูรจะเป็นศัตรูสุดท้ายเสียอีก เมื่อถามขึ้นทิศทางการพูดคุยก็ถูกบังคับเปลี่ยนเหมือนหางเสือเรือ
“ข้าดูอยู่ตลอด เจ้าบอกว่าอยากขอบคุณนางผู้นั้น” ท่านผู้นั้นย้ายเรื่องคุยทำให้เซธต้องตามอย่างเสียไม่ได้ เขาอยากขอบคุณทุกคนข้างหลังม่านตั้งแต่รู้เรื่องทั้งหมด “ข้าขอบคุณนางแทนแล้วด้วยของทะเลแบบสดและตากแห้งสองลังใหญ่แถมด้วยของหวานกับเนื้อชั้นดี อย่างหลังเพราะนางเป็นวิญญาณป่าจึงหมกมุ่นเรื่องรูปร่างว่าต้องผอมเหมือนไม้เสียบผี ตอนเราอยู่ด้วยกันบางครั้งข้าก็ขุนนางด้วยของที่ว่านี่ล่ะ”
เซธนึกถึงตอนพบกับซาเรีย เหล่าวิญญาณป่ามีอำนาจสร้างภาพมายา นักรบเทพผู้เป็นเหมือนคนรักของท่านผู้นั้นอาจมีความสามารถคล้ายกันก็ได้
“ก่อนเรากลับสู่มิติภายนอกข้าขอย้ำคำเดิม” ท่านผู้นั้นลุกขึ้นบิดขี้เกียจเหมือนแมวเพิ่งตื่นนอน “ของรางวัลสำหรับการช่วยเหลือเสาค้ำจุนคือบ้านหลังนี้ หากเจ้าทำให้ทุกอย่างจบด้วยดีข้าจะขายให้ด้วยราคาปัจจุบัน ไม่แพงอย่างที่คิดหรอก เราสองคนชอบทำเรื่องวุ่นวายหากทุกอย่างสงบเกินไป พวกของใช้จึงเต็มไปด้วยตำหนิเล็ก ๆ น้อย ๆ เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากตกลง”
“หากข้าปฏิเสธล่ะฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรเสาค้ำจุนก็เป็นคนสาปข้า” เซธลองใจท่านผู้นั้น นักรบเทพของเอนโวลาหัวเราะเบา ๆ
“เจ้าไม่อยากพูดแบบนั้นหรอกนอกจากมีแผนทรมานตัวเองด้วยคำสาปไปตลอดกาล จุดสิ้นสุดการเดินทางนอกจากทำให้เจ้ากับคนรักพบกันอีกครั้งยังพิสูจน์คำของเสาค้ำจุนด้วยว่ามนุษย์ขับเคลื่อนตัวเองด้วยความรักไม่ใช่ความเกลียดชัง การแก้เงื่อนผูกตัวมีทางเดียวคือการไม่ก้าวไปข้างหน้าเพื่อคลายคำสาป เจ้าคงไม่อยากให้หกร้อยปีที่ผ่านมาสูญเปล่าหรอกใช่ไหม” ท่านผู้นั้นทำให้เซธสะอึก เขาไม่คิดว่าเรื่องราวจะโยงกันแบบนี้ “ที่บอกว่าจะให้รางวัลเพิ่มเพราะอยากให้ทุกอย่างโปร่งใสไม่มีนอกมีในลับหลัง เราได้เจ้าช่วยก็ต้องบอกขอบคุณอย่างเป็นทางการไม่ให้ติดค้าง”
“รับบัญชาฝ่าบาท” เซธลุกขึ้นโค้งรับคำสั่งเหมือนทุกครั้ง อย่างน้อยเขาก็มีแรงใจต่อสู้กับพวกมังกรเพิ่มขึ้น...
เซธกับท่านผู้นั้นกลับถึงที่พักตอนพลบค่ำ ท่านผู้นั้นอยากกินอาหารกับเขาอย่างเป็นทางการบ้างจึงสั่งพนักงานจัดเตรียมมื้อเย็นเอาไว้ในห้องรับรอง เมื่อพวกเขาเดินถึงประตูตึกรับรองลักซูเรียก็ออกมาหาด้วยอาการดีใจ คำพูดของท่านผู้นั้นตัวปลอมกับตัวจริงผุดขึ้นในหัวของเขาเกือบพร้อมกัน
“...จากนั้นก็ไปมีรักข้างเดียวกับนางมังกรครึ่งมนุษย์”
“ห้ามบอกลักซูเรียว่าพวกอวาร์ริเทียทำงานเบื้องหลังอยู่กับข้า นางไม่มีความจำเป็นต่อแผนการ ปล่อยให้ใช้ชีวิตอย่างอิสระจะได้เปรียบกว่าด้านกลยุทธ์”
การบอกเล่าและคำสั่งแบบหลวม ๆ สร้างความกระอักกระอ่วนให้เซธ เขาควรทำดีกับนางเพราะความสงสารใช่หรือไม่ และควรบอกอย่างไรเรื่องกูล่า ดังนั้นเรื่องแรกจากปากเซธคือทักว่านางกลับมาจากการถ่ายภาพยนต์เร็วเกินคาด
“ฉันไปเป็นนักแสดงสมทบเท่านั้นจึงกลับได้หลังเสร็จส่วนของตัวเอง ฉันออกกล้องแค่สองฉากแต่มีบทพูดจึงต้องอยู่กองจนมั่นใจว่าไม่ต้องถ่ายซ่อม หากต้องการถ่ายเพิ่มหรือแก้ไขเขาจะเรียกเอง” นางมังกรครึ่งมนุษย์จับมือเซธแน่นเหมือนคนรักจริง ๆ เขามองนางอย่างลำบากใจ ลักซูเรียถอดหมวกปล่อยผมสีน้ำเงินออกมาแล้วพูดอย่างจริงจัง “ฉันรู้เรื่องกูล่าแล้ว ซูเปอร์เบียบอกฉันว่าพวกคุณหาทางไม่ให้พวกเรารับพลังจากตัวที่ตายแล้ว จากนั้นคุณก็ฆ่ามันอย่างทารุณ”
เซธขมวดคิ้วนิ่ง ท่านผู้นั้นตัวปลอมเคยหลุดชื่อมังกรตัวนี้ บางทีนี่อาจเป็นศัตรูสุดท้ายของเขา การอยู่ในห้วงความคิดทำให้ลักซูเรียเข้าใจผิดตามประสา
(มีต่อ)