ประวัติศาสตร์โลก ราชันย์เร้นลับ LoTM

ยุคก่อนยุคแรก

นี่คือยุคที่โจวหมิงรุ่ยเคยอาศัยอยู่เช่นเดียวกันกับผู้เดินทางข้ามเวลาคนอื่น ๆ มันเหมือนกับโลกของเรา เมื่อพระผู้สร้างดั้งเดิมทรงสร้างจักรวาลแล้วพระองค์ก็ทรงหลับใหลลง หากแต่ตัวตนอื่น ๆ ของพระองค์ ดังเช่น Lord of mysteries และ Almighty God ก็ยังคงสามารถแทรกแทรงเรื่องทางโลกเพื่อเริ่มแผนการบางอย่างก่อนการตื่นขึ้นครั้งต่อไปของพระผู้สร้างได้ ยุคนี้สิ้นสุดลงเมื่อพระผู้สร้างทรงตื่นขึ้นอีกครั้ง และพระองค์ทรงแยกตนเองออกใหม่ พลังและอำนาจของพระองค์กระจัดกระจายไปทั่วจักรวาล บ้างก็กลายเป็นเทพภายนอก ตัวตนของพระองค์ก็ถูกแยกออกกลายมาเป็น Lord of mysteries และ Almighty God ซึ่งเป็น 2 ตัวตน ในสามเสาหลัก

เช่นเดียวกันกับการถือกำเนิดของ Son of chaos , Mother Goddess of Depravity และ Mother Tree of Desire ซึ่งทั้งสามตัวตนนี้ถือเป็นบุตรของผู้สร้าง

ร่างกายของพระผู้สร้างทรงกลายเป็นแก่นแท้ทั้ง 9 
พลังที่เหลืออยู่ของพระองค์ทรงกลายเป็นเกราะกั้นกำบังครอบคลุมโลกทั้งใบ

ยุคแรก : ยุคแห่งความโกลาหล / The Sprouting Era (Elf Chronicle)
ไม่ทราบถึงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของยุคนี้

7 แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกวิญญาณ สันนิษฐานว่า Great Old One บางคนที่ดำรงอยู่ในยุคแรกนั้นเป็นเทพภายนอกที่ถูกดึงดูดมายังโลกโดยตรงผ่านแก่นแท้

และพวกเขายังบ่งบอกเป็นนัยว่ามีการต่อสู้ระหว่าง Great Old One ต่างๆ บนโลก ตัวอย่างเช่น Son of chaos ซึ่งเป็นเทพภายนอกที่ถูกดึงดูดมายังโลก ได้เผชิญหน้าและถูกผนึกโดย Lord of mysteries

ในช่วงต้น ไปจนถึง กลาง ของยุคแรก Lotm(lord of the mysteries) และ AG(Almighty God) ได้ใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อครอบครองแก่นแท้ อื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนืออำนาจของพวกเขา และพยายามรองรับพวกมัน สิ่งที่พวกเขาทำนั้นเกินขีดจำกัดของเสาหลัก - ระดับความมั่นคงสูงสุดที่สามารถบรรลุได้ - และทำให้พวกเขา มีความโน้มเอียงที่จะมาบรรจบกันรุนแรงมากขึ้น ทำให้พวกเขาไม่สามารถควบคุม ตัวเองได้ และเริ่มการต่อสู้กัน. ไม่มีใครรู้แม้แต่แสงทั้งเจ็ดแห่งโลกแห่งวิญญาณ ที่ทราบสถานการณ์อันแน่นอนในการต่อสู้ หลังจากการต่อสู้ เสาหลักทั้งสองก็พินาศ AG ได้ฉีกเอกลักษณ์ของเส้นทางข้อผิดพลาด จาก Lotmไป และศพของ AG ก็ได้ก่อตัวเป็นศิลาแห่งการดูหมิ่นหลักแรก ใน ‘ทะเลแห่งความโกลาหล’ โดยมีตะกอนพลังของเส้นทางข้อผิดพลาด และเอกลักษณ์ จาก Lotm อยู่ใกล้ ๆ กัน
ในขณะที่ Lotm ได้ผนึก แก่นแท้ที่เหลือทั้งหมดไว้ในทวีปตะวันตก ยกเว้นปราสาทต้นกำเนิดและทะเลแห่งความโกลาหล
ก่อนที่ทวีปตะวันตกจะถูกผนึก พวกเอลฟ์ออกจากทวีปตะวันตกและไม่สามารถกลับมาได้อีก

หลังจากนั้นโลกก็เต็มไปด้วยความมืดมน ความวุ่นวาย และเปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่ง จนกระทั่งในที่สุดเผ่าพันธุ์สัตว์วิเศษและสัตว์ในตำนานก็เริ่มปรากฏขึ้น ทั้ง ท้องฟ้า ผืนดิน ทะเล และใต้ภิภพ ก็เริ่มเป็นระเบียบ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กินเวลานานจนไม่อาจนับได้ และไม่มีบันทึกใด ๆ เหลืออยู่
ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ที่คล้ายมนุษย์: ยักษ์ เผ่าพันธุ์โลหิต(แวมไพร์) และเอลฟ์ ซึ่งเป็นมนุษย์ที่รอดจากหายนะวันโลกาวินาศในยุคก่อนยุคแรกได้บริโภคตะกอนพลังสด ๆ โดยตรง และเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ก็ปรากฏตัวขึ้นในยุคนี้
แสงทั้งเจ็ดในปัจจุบันถือกำเนิดมาจากโลกแห่งวิญญาณในยุคนี้เช่นกัน



ยุคที่สอง : ยุคมืด 

แบ่งออกเป็นหลายช่วงดังนี้

1.ยุคต้นแห่งไฟ (Elf Chronicle) ตามพงศาวดารของเอลฟ์

โลกถูกปกครองโดยเทพเจ้าโบราณทั้งแปด: ราชายักษ์ Aurmir , มังกรแห่งจินตนาการ Ankewelt , ราชาเอลฟ์ Soniathrym , บรรพบุรุษโลหิต Lilith , ราชาปีศาจ Farbauti , บรรพบุรุษฟีนิกซ์ Gregrace , ราชาสัตว์ประหลาด Kvastir และหมาป่าปีศาจ Flegrea

เทพเจ้าทั้งแปดเหล่านี้แยกอำนาจที่เหลืออยู่ของพระผู้สร้างดั้งเดิม ออกและกลายเป็นเจ้าแห่งท้องฟ้า ผืนดิน และมหาสมุทร "พวกเขา" ปกครองโลกวิญญาณ โลกดารา และเผ่าพันธุ์ต่างๆ "พวกเขา" ต่างมีเทพในเครือ(ทูตสวรรค์) อยู่เคียงข้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลำดับที่ 2 (ของเส้นทางของพวกเขา) และลำดับที่ 1 (ของเส้นทางอื่น ๆ) 
และเนื่องจากเทพเจ้าในยุคแรกบางองค์มี เส้นทาง ที่ไม่บริสุทธิ์ซึ่งประกอบด้วยสองหรือสามเส้นทางที่รวมกันไม่ได้ เช่น หมาป่าปีศาจ Flegrea ที่ครอบครองลำดับ 0 ความมืด และลำดับ 1 The Fool

ตามพงศาวดารของเอลฟ์ในยุคนี้ แบ่งออกเป็นสามค่าย 1.เผ่าพันธุ์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ 2.เผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ 3.เผ่าพันธุ์ที่แยกตนไม่เข้าร่วมฝ่ายใด นั่นคือ 
ราชายักษ์ Aurmir , , บรรพบุรุษโลหิต Lilith , ราชาเอลฟ์ Soniathrym ต่อสู้กับ มังกรแห่งจินตนาการ Ankewelt  , บรรพบุรุษฟีนิกซ์ Gregrace , ราชาสัตว์ประหลาด Kvastir 

ส่วน ราชาปีศาจ Farbauti   และหมาป่าปีศาจ Flegrea ก็ร่วมต่อสู้ด้วย เพราะพวกเขาต้องการทำลายและทำให้ทุกสรรพสิ่งสูญสิ้นไป มนุษย์เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหรือแม้แต่ทาสของยักษ์ เอลฟ์ และเผ่าโลหิต ยุคนี้กินเวลาไม่เกินพันปี และแต่ละเผ่าพันธุ์เหล่านี้ก็ยังคงเย็นชา โหดร้าย และกระหายเลือด

เมื่อถึงจุดหนึ่ง Aurmir ได้ทรยศต่อ Lilith และทำให้ "เธอ" พินาศ ในขณะที่ Lilith ทำให้ Kvastir และFlegrea ตายพร้อมกับ "เธอ" หลังจากการตาย "ของพวกเขา" เหล่าเทพในเครือ "ของพวกเขา" ก็ถูกฆ่า หรือหันไปหาเทพเจ้าองค์อื่น หรือไม่ก็หายไปและซ่อนตัวอยู่ในความมืด 
ซึ่งรวมถึงเทพในเครือของ Flegrea เช่น เทพเจ้าแห่งความตาย Salinger (ต่อมารู้จักกันในชื่อDeath ) ซึ่งหันไปหา Gregrace และ เทพธีแห่งความโชคร้าย Amanises (ต่อมารู้จักกันในชื่อEvernight Goddess ) ที่หายตัวไป เทพเจ้าในเครือของ Lilith เทพีแห่งความงาม Auernia (ต่อมากลายเป็นภรรยาของจักรพรรดิราตรี ) ซึ่งหันไปหา Soniathrym แม้ในความเป็นจริง Lilith ยังไม่ตายจริง ๆ และในที่สุดเธอก็แทนที่ เทพีแห่งการเก็บเกี่ยว Omebella ด้วยความช่วยเหลือจากเทพธิดาแห่งราตรีและเทพสุริยันบรรพกาล

ยุคนี้สิ้นสุดลงไม่ต่ำกว่า 3,722 ปี ก่อนเริ่มเรื่อง
และกว่า 1,130 ปี ก่อนการสิ้นพระชนม์ของเทพสุริยันบรรกาล

2. ยุคคู่ ในพงศาวดารของเอลฟ์
หลังการล่มสลาย(พินาศ) ของ Lilith, Kvastir, และ Flegrea เทพโบราณที่เหลืออยู่ก็ยังคงทำสงครามต่อไป ใช้เวลาประมาณ 100 ปี ในช่วงเวลานี้มีสองเผ่าพันธุ์ที่โดดเด่นนั่นคือ ยักษ์ และมังกร จึงได้ชื่อว่า ยุคคู่

3. หลังยุคคู่ ในพงศาวดารของเอลฟ์
เมื่อสมดุลใหม่ระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งห้าเกิดขึ้น ความสงบสุข (ค่อนข้างมาก) กลับคืนมา ในเวลานี้ เอลฟ์แรกเกิดและยักษ์เริ่มมีอารมณ์และความรู้สึกมากขึ้น ในช่วงเวลานี้ Aurmir ได้เสาะแสวงหาพันธมิตรกับองค์กรลับของมนุษย์โดยการนำของ Badheil ลูกชาย "ของเขา" และ Omebella ภรรยา "ของเขา" เพื่อจัดการกับ Soniathrym  (องค์กรลับนั้นถูกสันนิษฐานว่าเป็นองค์กรที่ศรัทธาในเทพสุริยันบรรพกาล)

4. การปรากฏตัวของเทพสุริยันบรรพกาล
ตามตำนานออร์โธดอกซ์ของศาสนจักรทั้งเจ็ดนั้น เทพสุริยันเจิดจรัสชั่วนิรันดร์ เจ้าแห่งพายุ และเทพเจ้าแห่งความรู้และสติปัญญา ได้นำมวลมนุษยชาติออกมาโค่นล่มผู้ที่กดขี่พวกเขามาเป็นเวลาหลายพันปี ครั้งนี้เหล่ามวลมนุษยชาติประสบความสำเร็จและสามารถเอาชนะเผ่าพันธุ์สัตว์วิเศษและสัตว์ในตำนานได้ ทั้งยังสามารถผลักดันให้พวกเขาเหล่านั้นไปสู่การใกล้สูญพันธุ์

แต่ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ของ Silver City พระผู้สร้างดั้งเดิม (ซึ่งแท้จริงแล้วคือเทพสุริยันบรรพกาล) ได้ทรงตื่นขึ้น พร้อมกับราชันย์เทวทูตใต้บัลลังก์ทั้ง 8 ของพระองค์ ได้ทรงกอบกู้มนุษย์ชาติ พระองค์ทรง ‘ทวงคืน’ อำนาจของพระองค์จากเทพโบราณที่เหลืออยู่ ซึ่งอ้างว่าถูกแย่งชิงไปคืนกลับมา

แท้จริงแล้ว
เทพสุริยันบรรพกาลได้เดินออกจากเชอร์โนบิล เขาได้สืบทอดมรดกจากซากศพของ AG ที่ทิ้งไว้ใน ทะเลแห่งความโกลาหล จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เลื่อนลำดัลไปสู่ระดับกึ่งเสาหลัก โดยการควบคุมศิลาแห่งการดูหมิ่นหลักแรก ที่ปรากฏในทะเลแห่งความโกลาหล Arrodes เรียกเทพสุริยันบรรพกาลว่าเป็น "พระผู้สร้างองค์ที่สอง"

เทพสุริยันบรรพกาลได้รับผู้ศรัทธาจำนวนมาก รวมถึงราชันย์เทวทูต ทั้ง 8 องค์ที่อยู่เคียงข้าง "พระองค์" และอ้างว่า "พระองค์เอง" เป็นผู้สร้างดั้งเดิม ทรงได้ต่อสู้กับเทพเจ้าโบราณส่วนที่เหลือและรับพลัง ของพระองค์คืน
ราชาปีศาจ Farbauti หนีไปยัง หุบเหว (Abyss) และซ่อนตัวอยู่ที่นั่นนับแต่นี้เป็นต้นมา

มนุษย์เริ่มศึกษาโลกแห่งเวทย์มนต์ พวกเขาสร้าง ระบบ เส้นทางด้วยสูตรยาและพิธีกรรม 

เฮอร์มีสยังได้สร้างภาษาเฮอร์มีสขึ้นในเวลานี้

เทพธิดาแห่งราตรีกลายเป็นลำดับที่ 0 ในช่วงสิ้นสุดยุคนี้ 

ยุคนี้เกิดขึ้นเมื่อสองถึงสามพันปีก่อน เริ่มเนื้อเรื่อง



ยุคที่ 3 : ยุคแห่งความหายนะ
แบ่งออกเป็น

ยุครุ่งโรจน์
หลังจากการล่มสลายและพินาศของเทพเจ้าโบราณทั้งหมด เทพแห่งสุริยันบรรพกาลก็กลายเป็นผู้ปกครองโลกโดยสมบูรณ์และเป็นเทพเจ้าดั้งเดิมองค์เดียวเท่านั้น มนุษย์เดินออกมาจากเงามืดของเผ่าพันธุ์อื่นและกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่โดดเด่นของแผ่นดิน

ผู้ศรัทธาของเทพธิดาแห่งราตรีได้ก่อตั้งองค์กรลับขึ้น
 
พระแม่ธรณีและเทพแห่งการต่อสู้ก็กลายเป็นลำดับที่ 0 ในช่วงเวลานี้

2.ยุคหายนะ
เทวทูตแห่งความมืด Sasrir ร่วมมือกับ เทพธิดาแห่งราตรี เพื่อสร้าง Rose Redemption สิ่งนี้ทำภายใต้เจตจำนงของเทพสุริยันโบราณตามแผนการที่จะทรงใช้ในต่อสู้กับ การตื่นขึ้น ของ AG ภายใน "ตัวเขาเอง" สมาชิกประกอบด้วยราชันย์เทวทูตของเขาเอง 6 พระองค์ ไม่รวมอาดัมและอามุนด์ 
และอดีตเทพในเครือของเทพโบราณ 5 พระองค์ ซึ่งในเวลานี้ได้กลายเป็นเทพเจ้าหรือราชันย์เทวทูตไปแล้ว คือ เทพธิดาแห่งราตรี , พระแม่ธรณี , เทพแห่งการต่อสู้ , เทพแห่งความตาย และ เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ "พวกเขา" มักจะรวมตัวกันในราชสำนักของราชายักษ์เพื่อวางแผนต่อต้านเทพสุริยันบรรพกาล

ต่อมา Sasrir ก็ได้หลับใหลไปภายในราชสำนักของราชายักษ์ และจิตสำนึก "ของเขา" กลับคืนสู่ร่างของเทพสุริยันบรรพกาล จิตสำนึกของพระองค์และ AG ได้ต่อสู้กันในขณะที่เทสุริยันบรรพกาลถูกโจมตีโดยสมาชิกที่เหลือของ Rose Redemption ในสนามรบแห่งเทพเจ้า (ปัจจุบันคือทะเลแห่งซากปรักหักพัง ) แผนการของ Rose Redemption ก็ประสบความสำเร็จ และ เทพสุริยันบรรพกาลก็ถูกสังหาร พระองค์ทรงวางแผนที่จะฟื้นคืนชีพในร่างของ Sasrir ในราชสำนักของราชายักษ์ และรองรับให้เข้ากับเอกลักษณ์และตะกอนด้วยวิธีการที่ถูกต้อง 
แต่อย่างไรก็ตามพระองค์ถูกทรยศโดย เทวทูตสีขาว(เทพสุริยันเจิดจรัสชั่วนิรันดร์) , เทวทูตแห่งสายลม (เจ้าแห่งพายุ) และ เทวทูตแห่งปัญญา ( เทพเจ้าแห่งความรู้และปัญญา ) ผู้ซึ่งแย่งชิงตะกอนพลังและเอกลักษณ์ของ ตามเส้นทางของพวกเขาแล้วหนีไป ด้วยการหลอมรวมอารมณ์และความรู้สึกสุดขีดของการล่มสลายและการถูกทรยศ ความเป็นมนุษย์ที่บ้าคลั่งของพระองค์ทรงจุติสใหม่บนซากศพของตน และทำได้เพียงนำ ตะกอนพลังของเส้นทางแฮงแมนและเอกลักษณ์กลับคืนมา ด้วยอำนาจของ ความเสื่อมทราม ทรงกลายเป็นพระผู้สร้างที่แท้จริง และความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ก็ทรงตื่นขึ้นมาในตัวของอดัมซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งที่ 'จินตนาการ' ไว้

หลังจากการล่มสลายของเทพสุริยันบรรพกาล ทวีปตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งของ Silver City ก็ได้ถูกแยกออกจากส่วนอื่นๆ ของโลก และกลายเป็นที่รู้จักในนาม " ดินแดนที่ถูกทวยเทพทอดทิ้ง " จนกระทั่งถึงต้นเรื่องของนิยาย ดินแดนแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ในความมืดมิดมาเป็นเวลา 2,583 ปี

ศิลาแห่งการดูหมิ่นหลักที่สอง ซึ่งบันทึกองค์ความรู้ในเส้นทางทั้ง 22 ทั้งหมดเอาไว้นั้น ก่อตัวขึ้นจากซากศพของเทพสุริยันบรรพกาล เช่นเดียวกันกับที่ศิลาแห่งการดูหมิ่นหลักแรกก่อตัวขึ้นจากซากศพของ AG 

ตามตำนานของศาสนจักรดั้งเดิมทั้ง 7 ในยุคที่ 5 เทพธิดาแห่งราตรี พระแม่ธรณี และเทพเจ้าแห่งการต่อสู้ได้เสด็จลงมายังโลกและได้ปกป้องมนุษย์จากหายนะพร้อมกับเจ้าแห่งพายุ เทพสุริยันเจิดจรัสชั่วนิรันดร์และเทพเจ้าแห่งความรู้และภูมิปัญญา

มีต่อในความคิดเห็น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่