สัญญาอมตะ ตอนที่ 24

กระทู้คำถาม
หลังคำสาปแสดงอาการทุกครั้งท่านผู้นั้นมักช่วยพาเซธไปที่ปลอดภัยเสมอ ห้องพักในเขตรัฐสภาอาจจัดว่าดีแต่เขาควรหาสถานที่มั่นคงได้แล้ว ผู้เป็นอมตะลืมตาอย่างอ่อนล้า สับสนและสำนึกผิด หากแค่เดินผ่านเลยไปคงง่ายกว่านี้ การพบกันหลายครั้งทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนไป เสียงหนังสือปิดอย่างจงใจแสดงว่าท่านผู้นั้นนั่งอยู่ข้าง ๆ เช่นผ่านมา
 
            “คงไม่ใช่สิ่งที่ข้ากลัวใช่ไหม” ท่านผู้นั้นถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ อาการไม่สบายใจของเซธบอกทุกอย่างในครั้งเดียว “อย่างน้อยก็มาเป็นตอนถึงจุดสิ้นสุดของเรา แค่จัดการซูเปอร์เบียได้ก็จะหลุดจากพันธนาการ แล้วจะมั่นคงหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น!”
 
            “อย่างนั้นคำสัญญาของฝ่าบาทคง...” เซธอดห่วงท่านผู้นั้นไม่ได้ อย่างน้อยก็เดินทางด้วยกันมานาน
 
            “คิดว่าไม่ได้เป็นอมตะจะอยู่ได้อีกกี่ร้อยปีกัน ทำเหมือนจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนทุกครั้งที่เกิดใหม่อย่างนั้นล่ะ” 
 
            ผู้เป็นอมตะส่ายหน้าอย่างเหนื่อยล้า โซลาน่าเคยเป็นหลักดึงความคิดได้เสมอบัดนี้ถูกเปลี่ยนไปอย่างง่ายดาย ต่อไปคงต้องทำเพื่อถอนคำสาปถ่ายเดียวกระมัง ในเมื่อเรื่องง่ายเป็นเรื่องยากเสียแล้วก็ต้องให้เวลาช่วยหาทางออก เซธเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามสถานการณ์กับท่านผู้นั้น
 
            “ในความทรงจำของ ‘เขา’ บอกชัดเจนว่าหญิงนักท่องเวลานำเจ้าผ้าคลุมสกปรกกลับไปขอคำปรึกษาเรื่องปรับความเข้มของเวทมนตร์ ข้าเปรียบเทียบโดยการสร้างภาพความทรงจำอย่างละเอียดแล้วว่าเป็นตนเดียวกัน ส่วนพวกที่เหลือถูกสอบสวนโดยเจ้าโรคจิตผู้ชอบเข้าไปในหัวชาวบ้าน...เอาเถอะ ข้อมูลทุกอย่างถูกส่งต่อให้ลูกหลานของเผ่าเทพส่วนหนึ่งในเอนโวลา หากไม่มีสัญญาณพิเศษก็ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว”
 
            “แล้วพวกนางคือใครหรือฝ่าบาท ขลุ่ยนั่นอีก” เซธถามเรื่องหญิงสองคนตอนนั้น
 
            ท่านผู้นั้นหยุดคิดก่อนถามกลับว่าอยากได้คำตอบแง่มุมไหน
 
            “ความจริงข้าเล่นมุกสกปรกเกี่ยวกับ ‘เขา’ ได้แต่ต้องให้เกียรติกันหน่อย” ท่านผู้นั้นชอบใจเมื่อบรรยากาศเปลี่ยนมาทางผ่อนคลาย “หญิงผมเขียวของเจ้ามีลูกกับคนรัก นางอยากให้ ‘เขา’ เป็นพ่อทูนหัวตั้งชื่อและเป็นครูให้ลูก ลูกคนแรกไร้เวทมนตร์เหมือนแม่จึงละไว้ ลูกคนถัดมามีมนตราแก่กล้าเหมือนพ่อจึงให้ ‘เขา’ เป็นผู้ดูแลตามตั้งใจ...พลังจากพ่อ ความรู้จากพ่อทูนหัว ทักษะพิเศษจากป้า และอาวุธสืบทอดทรงอำนาจทำให้นางเปี่ยมด้วยความมั่นใจอย่างบ้าคลั่ง สิ่งนั้นเป็นอาวุธพี่น้องของพิณเทพพิรุณ เหมือนกันทั้งการสร้างอาวุธธาตุและเรียกสัตว์มนตรา อันนั้นมังกร อันนี้วิหค” 
 
            เซธครางเบา ๆ ว่าเหมือนทุกสิ่งหมุนรอบตัว ‘เขา’ ไม่มีผิด เขาถามลอย ๆ เกี่ยวกับคำพูดของนักท่องเวลา คราวนี้ท่านผู้นั้นตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน
 
            “ก่อนหน้าพบพวกเราสักสามปีนางต้องไปมิติอื่นเพื่อทำภารกิจของตน ดูเหมือนเป็นคนละจักรวาลโดยมีฉากบาง ๆ กั้นเอาไว้ โลกนั้นไร้เวทมนตร์แต่ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยวิทยาศาสตร์ เวทมนตร์แฝงในความเชื่อทางศาสนายิบย่อย ซีรีส์มันคล้ายละครทางโทรทัศน์ที่ลักซูเรียแสดง ในความทรงจำข้าเห็นนางเอามานั่งดูเวลาว่างด้วยสิ่งที่เหมือนแล็ปท็อปในสมัยนี้ของเรา นางเติมไฟให้คอมพิวเตอร์หลงยุคนั่นด้วยการถ่ายไฟฟ้าสู่เครื่องจักรแปลงไฟบางอย่าง เรื่องนี้กลบข่าวฉาวได้เหมือนดินปิดปากหลุม
 
            “ตอนข้าจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยนางเล่าว่าในซีรีส์เรื่องโปรดก็มีผู้เป็นอมตะเหมือนกัน เขาไม่ได้โดนเวทมนตร์แต่ได้รับพรจาก ‘วังวนกระแสเวลา’ ให้กลับมามีชีวิตได้ทุกครั้ง นางเล่าไม่หยุดว่ามันยอดเยี่ยมเหมือนเวทมนตร์ ทั้งขับเคลื่อนเครื่องเดินทางข้ามเวลา เลือกเวลาและสถานที่เหมาะสมให้ตัวเอก มอบความเป็นอมตะ เปลี่ยนภาษาในสถานที่ต่าง ๆ ที่ไปเยือน แม้แต่ย้อนเวลาตัวร้ายกลับไปเป็นไข่ก็ยังได้ เราคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันพักใหญ่ว่าเวทมนตร์ก็สามารถทำได้ทุกอย่างข้างต้น และสิ่งที่นางพล่ามเป็นเพียงเรื่องแต่งซึ่งในสถานที่นั้นทำไม่ได้จริง!”
 
            เวลาเกิดวิตกท่านผู้นั้นมักพูดมากเสมอ ส่วนหนึ่งคงอยากทำให้รอบข้างเชื่อว่าตนคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด ผู้เป็นอมตะฝืนยันตัวนั่ง เขาจะต้องหันหน้าเข้าหาความจริงให้เร็วที่สุด  ไม่ดีหากปล่อยความพยายามของท่านผู้นั้นสูญเปล่า!
 
            “ฝ่าบาท หากข้าไปสู้กับซูเปอร์เบียตอนนี้จะมีความไปได้มากแค่ไหน” เซธกัดฟัน เขาต้องการให้มันจบ! หากปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้นานไปคงพบทัณฑ์คำสาปทุกวันแน่!
 
            “ดูจากพวกอวาร์ริเทียเจ้าคงพอชนะได้หากใช้อุบายหรือกลยุทธ์เข้ามาช่วย” ท่านผู้นั้นชั่งน้ำหนักในใจว่าเซธพร้อมปะทะกับตัวอันตรายอย่างซูเปอร์เบียหรือยัง “พวกมังกรบอกว่าต้องรออีกสักสามวันให้บรรยากาศเสถียรมากกว่านี้ ลืมบอกว่าเจ้าหลับไปหนึ่งคืนเต็ม ๆ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง หากไม่อยากกินอาหารแช่แข็งจะวานพนักงานหรือใครช่วยหาของง่าย ๆ ให้อย่างคราวก่อน”
 
            เซธปฏิเสธเรื่องอาหาร เขาต้องรีบจัดการภารกิจให้สมบูรณ์ เรื่องกินเอาไว้ทีหลังได้
            “แล้วถ้าข้าขอยืมความรู้ของ ‘เขา’ มาใช้ล่ะฝ่าบาท...แค่ขอยืม พอจบงานก็ส่งคืนฝ่าบาททุกสิ่ง เอาส่วนเวทมนตร์ในตัวข้าไปด้วยก็ได้”
 
            ท่านผู้นั้นคิดหนักจนความกดดันแผ่มาทางเซธ เพื่อชัยชนะอย่างสมบูรณ์เขาต้องการอาวุธมหาปะลัยอย่างบางส่วนของ ‘เขา’ ผู้เป็นส่วนหนึ่งของท่านผู้นั้น จะแค่ความรู้หรือเศษเสี้ยวก็ยังดี
 
            “ให้นึกภาพว่ามีงูยักษ์อยู่ในร่างเจ้า มันบ้าอำนาจ มุทะลุ และแทบไม่มีใครหยุดได้ ทั้งข้าและ ‘เขา’ สามารถกำราบมันไว้ใช้งานด้วย ‘สติ’ ในฐานะเจ้าของโดยชอบธรรมข้าให้ยืมใช้ได้ แต่เจ้าก็รู้ความน่าจะเป็นยามได้รับโอกาสเหยียบคนอื่นไว้แทบเท้า บ้างช่วยเหลือบ้างซ้ำเติม บางคนเก็บไว้แค่ครู่แต่บางคนไม่ยอมคืนโดยดีอย่างคนเรียกกันว่าหลงอำนาจ สายเลือดของข้าเป็นตัวอย่างได้ดี หากไม่มีคนนำสู่ทางถูกควรก็ไม่ต่างกับเด็กเล่นปืนพ่อ คนเจ็บอาจเป็นตัวเองหรือคนรอบข้าง”
 
            “อย่างนั้นข้าขอทำสัญญากับฝ่าบาทได้ไหม แค่อยากให้มีไพ่ตายเอาไว้ใช้งานเท่านั้น” เซธกังวลเพราะการปะทะกับเหล่ามังกรหลายครั้งจบไม่สวย นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายดังนั้นต้องตอกตะปูปิดฝาโลงให้เร็วที่สุด
 
            ท่านผู้นั้นถอนหายใจยาวเหยียดว่าตนไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำแบบนั้น สิ่งที่กลัวคือการลุแก่อำนาจจนถอยกลับไม่ได้ต่างหาก
 
            “อย่างนั้นก็ต้องมีเงื่อนไข ยอมให้ใช้ได้หากเจ้าซูเปอร์เบียหนักหนาเกินไปและข้าจะตัดคืนทันทีเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ไม่มีต่อเวลา ไม่เหลือให้เจ้าสานต่อเพิ่มแม้ส่วนเสี้ยวความทรงจำ รากของเจ้าคือสิ่งดีแต่รากของข้าก็ดีเหมือนกัน ดูสิว่าข้าชั่วร้ายแค่ไหน!” 
 
            เซธมองผู้ทรงอำนาจสูงสุดด้วยความรู้สึกคลุมเครือ จากความทรงจำของ ‘เขา’ ทำให้ปะติดปะต่อได้ว่าท่านผู้นั้นต้องการชื่อเสียงในทางร้ายจึงสร้างเรื่องว่าตนเป็นมารร้ายคอยเบียดเบียนผู้คน คล้ายเด็กต้องการเรียกร้องความสนใจแต่ไม่ใช่ เด็กไม่มีแผนการซับซ้อน เด็กไม่มีการคำนวณผลได้ผลเสีย เด็กไม่สามารถเลือกเหยียบแค่บางคนให้ตายคาส้นเท้าได้
 
            “ฝ่าบาทจำได้ไหมว่าข้าเคยเข้าไปในความทรงจำของ ‘เขา’ ฝ่าบาทเคยบอกว่าเห็นตัวเองในผู้คนอ่อนแอจึงทำร้ายไม่ลง ทั้งหมดเป็นเพียงละครฉากใหญ่หลอกคนอื่นเท่านั้น” เซธทำให้ท่านผู้นั้นสะดุ้งโหยง
 
            “ข้าอยู่มาหลายพันปีจำคำพูดตัวเองไม่ได้ทุกคำหรอก” ท่านผู้นั้นลนลานเพราะโดนจี้ใจดำ “ระหว่างนักบุญกับทรราชคิดว่าชาวบ้านทั่วไปอยากจำใครมากกว่ากัน ข้าอยากเป็นที่จดจำ ไม่ต้องการเสียงชื่นชมหรือสร้างบุญคุณกับใคร สิ่งประเสริฐผู้คนพูดถึงเป็นคราว ๆ แต่สิ่งเลวร้ายผู้คนสอนกันเป็นบทเรียนว่าห้ามกระทำ!” 
 
            ความพยายามของท่านผู้นั้นล้มเหลวไม่เป็นท่าโดยเจ้าตัวไม่รู้หรืออาจไม่สนใจ เซธเคยอ่านหนังสือซึ่งเชื่อว่ามีข้อมูลมากที่สุด ในนั้นกล่าวถึงฝ่าบาทของเขาในฐานะกูรูด้านเวทมนตร์ผู้ชื่นชอบการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้วิเศษหลากเผ่าพันธุ์และการศึกษาทดลองเวทมนตร์แนวใหม่ คราวแรกทุกคนสงสัยว่านั่นคือใคร เมื่อเห็นเวทมนตร์ของนักรบเทพตนที่สองจึงรู้ว่าคนเดียวกัน 
 
            “นั่นหมายความว่าฝ่าบาทร้ายได้แต่ไม่ทำไม่ใช่หรือ ท่านต้องเชื่อถือมนุษย์บ้าง ข้าไม่มีวันเดินผิดทางเด็ดขาด!” 
 
            “เจ้าพูดเหมือนยัยนั่นไม่มีผิด! อะไรนะ ‘รอบตัวไม่ได้โหดร้ายอย่างเจ้าคิดหรอก’ คำพูดสุดแสนน้ำเน่าสมเป็นผู้กล้า!” ท่านผู้นั้นส่งเสียงประท้วงอย่างเจ็บปวด “คงต้องยอมรับว่ามันถูกต้อง หลายเรื่องข้าเห็นผ่านเวลาว่าจริงโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แม้แต่เรื่องนั้น...ข้าจะให้ยืมความรู้ทางเวทมนตร์ของ ‘เขา’ ก็แล้วกัน ความทรงจำเรื่องเวทมนตร์จากชาติก่อนของเจ้า แค่ให้ยืม จะริบคืนทันทีเมื่อทุกสิ่งยุติหรือเจ้าถลำลึกเกินไป!”
 
            ท่านผู้นั้นถอนหายใจว่าไม่อยากส่งอาวุธร้ายกาจแบบนี้ให้ เซธถูกเรียกให้แบมือข้างหนึ่งเอาไว้ตรงหน้าราวรอรับบางสิ่ง เขาอยากรู้เหมือนกันว่าการถ่ายความรู้นั้นทำกันอย่างไร ฝ่าบาทของเซธยื่นมือขวามาสัมผัสมือของเขาอย่างแผ่วเบาส่งบางสิ่งที่มองไม่เห็นมาให้ตามเจตนา
 
            หากให้เซธอธิบาย ของดังกล่าวเหมือนแผ่นหนังโปร่งใสผนึกลงบนมือของเขาดั่งส่วนหนึ่งของผิวเนื้อ สัมผัสร้อนผ่าวแผ่จากกลางฝ่ามือต่อเนื่อง ทันใดนั้นหัวของเขาก็ปวดตุบ ๆ เหมือนรับความเครียดมากเกินไป ภาพในหัวตีกันมั่วระหว่างปัจจุบัน อดีต และอดีตอันเก่ายิ่งกว่า!
 
            ท่านผู้นั้นคงรู้สาเหตุของอาการดังกล่าวจึงเข้าช่วยเหลือ คลื่นแห่งความเงียบราวลมฤดูหนาวขับไล่ความสับสนในหัวของผู้เป็นอมตะจนสงบลง
 
            “ข้าสามารถอธิบายสาเหตุของเรื่องนี้ได้ไม่รู้จบแต่ไม่ใช่เวลา พยายามอย่าสัมผัส ‘เขา’ มากเกินไป ความทรงจำหรือความรู้ก็ไม่ยกเว้น!” ท่านผู้นั้นละขั้นตอนว่าด้วยเหตุและผลจนหมดสิ้น “ตั้งสมาธิของตัวเองไว้ที่มือข้างนั้น มันตอบสนองเจตจำนงของเจ้าได้ทันทีว่าอยากรู้เรื่องใด...มันเป็นความรู้ของ ‘เขา’ สมัยยังมีชีวิตอยู่ ทำการตัดส่วนที่สามารถใช้แว้งกัดหรือนำภัยมาสู่ข้าไปแล้วเผื่อพลาดไปอยู่กับคนอื่น ต้องการให้ย้ำเรื่องสำคัญอีกครั้งไหม”
 
            “ข้าจะใช้เท่าที่จำเป็นและยอมให้นำกลับไปหากต้องการ ขอบคุณฝ่าบาท” 
 
            “เมื่อจัดการซูเปอร์เบียเสร็จ เกิดอาการผิดปกติไม่พึงประสงค์มากเกินไป หรือเจ้าเริ่มหลงอำนาจต่างหาก!” ท่านผู้นั้นแก้ข้อความให้ถูกต้องครบถ้วนไม่ยอมให้ดิ้นหนี “ไม่ต้องห่วงเรื่องรวิกานต์ ตราบใดที่ไม่เดินร่อนไปทั่วก็ไม่เจอกันง่าย ๆ หรอก แค่ต้องตั้งสติเอาไว้กับงานเท่านั้น อย่าทำแบบพวกผู้หญิงที่หมกตัวกับความรักอย่างเดียว” ท่านผู้นั้นบ่นว่าตนอาจกดดันพวกมังกรให้ทำงานเร็วขึ้นได้
 
            ท่านผู้นั้นตั้งใจว่าจะไปคุยกับอวาร์ริเทียอีกรอบ ส่วนเซธขอหยุดงานห้องหนังสือชั่วคราว
 
            “ยังคิดทำงานพิเศษนั่นต่ออีกรึไง เคยมีหัวหน้างานมาคุยว่าอยากให้เจ้าเป็นพนักงานเต็มเวลา งานกับทางรัฐออกจะหนักและเงินน้อยกว่าที่คิด อยากให้ลองศึกษางานข้างนอกก่อนตัดสินใจ...เรื่องตัวตนใหม่มีคนรับปากว่าจะมาช่วยจัดการ ตอนนี้เราต้องจัดการซูเปอร์เบียก่อน ต้องทำเร็วที่สุด!”
 
            ความเอาการเอางานของท่านผู้นั้นทำให้เจ้าตัวเหมือนหุ่นยนต์ไร้จิตใจมากกว่าสิ่งมีชีวิต เซธพูดความรู้สึกแท้จริงออกไปโดยไม่กลัวบารมีของคู่สนทนา
 
            “ข้าคิดมานานแล้ว หากฝ่าบาทเข้าใจความรักมากขึ้นคงสมบูรณ์แบบ...” เซธรอระเบิดลง มันเป็นได้ทุกอย่างทั้งคำค่อนขอดหรือน้ำเสียงเหยียดหยาม ท่านผู้นั้นเพียงแค่ยิ้มอย่างขบขันละจากภาพปกติชั่วคราว
 
            “มีคนพยายามอย่างหนัก นางบอกว่าสามารถทนความโง่งมของข้าได้ตลอดกาล ดูพูดเข้าสิ” เหมือนเหตุการณ์พิเศษทั้งปวง ท่านผู้นั้นรีบกลับสู่รูปแบบคนบ้างานทันที “ผู้ชายเรื่องภาระหน้าที่ต้องมาก่อนส่วนอย่างอื่นรองลงไป ใครว่าตกยุคก็ช่าง ข้าคิดของข้าอย่างนี้”
 
(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่