นิทานก่อนนอน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ยังมีเมืองลับแลซึ่งไม่ปรากฏ ณ ที่แห่งหนตำบลใดบนแผนที่โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล
ด้วยคำสาปกล้าแกร่งทรงพลังเหลือประมาณ ซึ่งถูกร่ายออกมาจากใจอันระอุร้อนไปด้วยไฟแห่งโทสะ ความอาฆาตเคียดแค้นของนางแม่มดร้าย ก็ได้บดบังซ่อนเร้นเมืองทั้งเมือง ให้หลุดพ้นออกจากการรับรู้ของใครต่อใครบนโลกใบนี้
ไม่มีบุคคลจากภายนอกกำแพงที่มองเห็น และสามารถเหยียบย่างผ่านพ้นเข้ามาสู่ภายในเมืองลับแลแห่งนี้ได้ ไม่อาจมีชาวเมืองผู้ใดที่สามารถกางปีกแห่งอิสระเสรี และถลาร่อนโบยบินเพื่อออกไปสู่โลกภายนอกดังใจปรารถนาได้เช่นกัน
“ข้าขอสาปแช่งเมืองแห่งนี้ ขอสาปแช่งพวกเจ้าทุก ๆ คน นับจากวินาทีที่คำของข้าได้สิ้นสุดลง พวกเจ้าจงมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวต่อไป โดยไร้ซึ่งการสัมผัสโอบกอดจากความรักที่เที่ยงแท้ อย่าได้พานพบกับความสงบสุขอันยั่งยืนเป็นนิรันดร์ จงดำรงอยู่อย่างทุกข์ทรมานและใช้ชีวิตที่มีอย่างไร้ความหวังไปตลอดกาล”
เส้นผมสีดำยาวแผ่สยายโบกสะบัดพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต ยามเมื่อสายลมกระโชกเกรี้ยวกราด เมฆหมอกปกคลุมจนบรรยากาศหม่นมัวอึมครึม เส้นแสงแปลบปลาบวิ่งแล่นไปทั่วผืนฟ้าซึ่งถูกอาบย้อมไปด้วยสีแดงฉานดั่งเลือด คล้ายกับว่าเหล่าปีศาจร้ายได้รับรู้และตอบรับแรงปรารถนาอันแรงกล้านั้นเอาไว้แล้ว
ฉับพลันที่ร่างระหงในชุดเดรสยาวเข้ารูปสีดำสนิทเลือนหายไป หอคอยสีดำที่ดำสนิทเสียจนราวกับมันดูดกลืนได้ทุกสิ่งแม้กระทั่งแสง ก็ปรากฏขึ้นมาให้ได้เห็นที่ตรงชายป่าท้ายเมือง
สูงขึ้น...และยังคงสูงขึ้นไปอีก ไม่ต่างจากมือที่กำลังเหยียดยืดเอื้อมไต่ไปยังชั้นฟ้า เพื่อท้าทายอำนาจของใครก็ตามที่เฝ้ามองอยู่เบื้องบน
ตั้งแต่พยางค์สุดท้ายแห่งคำสาปซึ่งหลุดออกจากปากของนางแม่มดได้สิ้นสุดลง นับจากวินาทีนั้น...เมืองลับแลก็กลับกลายเป็นคล้ายดั่งเมืองแห่งฝัน ทว่ามันคือฝันที่ไม่อาจหลบหนี เป็นฝันร้ายที่ไม่สามารถลืมตาให้ตื่นจากห้วงนิทราได้อีกเลย
ชั่วความรู้สึกแรกของเหล่าชาวเมือง ทุกคนต่างก็หวั่นไหวผวาหวาดไปกับถ้อยคำแห่งคำสาป ทว่าหลังจากนั้นกลับไม่ได้มีเรื่องราวร้ายแรงใหญ่โตใด ๆ เกิดขึ้นเลยสักครั้งดังที่ใครหวาดกลัวหรือคาดการณ์ไว้
ทุกอย่างในเมืองลับแลแห่งนี้ยังคงเป็นปกติดังเช่นวันเก่าก่อน ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นี่ยังคงต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนทำมาหากิน ต่างคนต่างก็ยังต้องใช้และดำเนินชีวิตไปตามแต่วิถีทางของตนต่อไปอย่างเคย
และเพียงไม่นาน...ความรู้สึกของเหล่าชาวเมืองที่เคยมีต่อคำสาปร้ายก็เลือนรางจางหาย ความอาฆาตแค้นของนางแม่มดซึ่งเคยสร้างความอกสั่นขวัญแขวนมาอย่างยาวนานก็ถูกลืมเลือนไป
ตื่นเช้าเพื่อหุงหาอาหารเติมพลังงานให้ร่างกาย พออิ่มท้องก็ออกไปดิ้นรนสู้ชีวิตเพื่อให้มีกินในมื้อในวันถัดไป กลับถึงบ้านยามเมื่อดวงตะวันใกล้ตกดิน ล้อมวงพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารค่ำ แล้วต่างแยกย้ายกันเข้านอนยามเมื่อราตรีกาลมาเยือน
จากความมสงบสุขก็เปลี่ยนเป็นความเคยชิน ความเคยชินอันไร้ซึ่งสิ่งใดที่ตื่นเต้นน่าสนใจทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ความน่าเบื่อหน่ายทำให้ชีวิตชีวาเหือดหาย และแล้วภายในเมืองซึ่งวันเวลาแห่งความเป็นปกติหมุนเวียนเปลี่ยนวนไปแบบนั้น ก็ค่อย ๆ เงียบลงทีละน้อย จนสุดท้ายเมืองทั้งเมืองก็เหลือเพียงความเงียบเชียบไปในที่สุด
จนกระทั่งมีสตรีนางหนึ่งเริ่มสังเกตเห็นว่า หอคอยดำตรงชายป่าสูงขึ้นกว่าเมื่อวันเก่าก่อน หลังจากนั้นนางจึงมองเห็นความผิดปกติอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย
จากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด
และแล้ว ความจริงจากข่าวลือซึ่งแพร่สะพัดออกไปอย่างหนาหูเป็นวงกว้าง ก็ทำให้ชาวเมืองทุกคนได้รับรู้ว่า คำสาปร้ายที่พวกเขาหลงลืมไปนั้นไม่เคยเสื่อมสลายลงไปสักนิด ความอาฆาตแค้นของนางแม่มดดำไม่เคยจางหายไปไหนเลยสักวินาทีเดียว
มันยังคงอยู่ที่นี่ แทรกซึมคู่เคียงอยู่กับเมืองแห่งนี้ คอยเล่นงานบั่นทอนกัดกิน ทำหน้าที่แห่งคำสาปแช่งของมันอย่างแข็งแกร่งทรงพลัง โดยไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอดระยะเวลานานแสนนาน
เหล่าบุรุษที่เดินทางออกจากเมืองลับแลไป ไม่เคยมีสักคนได้หวนคืนกลับมายังดินแดนถิ่นเดิมแห่งนี้อีกเป็นหนที่สอง สาบสูญและถูกหลงลืมไปราวกับว่าพวกเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่ แม้ในห้วงแห่งความทรงจำของบุคคลอันเป็นที่รักหรือแม้แค่ใครสักคน
ส่วนผู้ชายที่ยังอยู่ในเมืองต่างก็แก่ชรา และทยอยล้มหายตายจากไปตามอายุขัย ซึ่งสั้นแสนสั้นกว่าช่วงชีวิตตามปกติอย่างน่าเหลือเชื่อ
ทารกที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกในช่วงเวลานี้ ทุกคนล้วนเป็นทารกเพศหญิงทั้งสิ้น
เมื่อเหล่าบุรุษลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในขณะที่สตรีเพศเพิ่มจำนวนขึ้นทุกขณะ ในท้ายที่สุดเมื่อเหลือเพียงมนุษย์เพศหญิง เมืองทั้งเมืองจึงไร้การเกิด ไม่มีสมาชิกใหม่ลืมตาขึ้นมาดูโลกอีก
และเมื่อสตรีคนสุดท้ายจบชีวิตลง เมืองอันสงบสุขมั่งคั่งแห่งนี้ก็จะกลายเป็นเมืองร้าง ที่หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยแห่งความรุ่งโรจน์จากอดีตเท่านั้น...
หากว่านี่คือผลลัพธ์ของคำสาปร้ายแล้วละก็ นั่นย่อมดีกว่าที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้มาก เพราะอันที่จริงแล้วสิ่งที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความอาฆาตแค้นเท่านั้น
สำหรับนางแม่มดแล้ว การทำร้ายทำลายทุกสิ่งมันไม่ได้สาสมกับความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของนางเลย
เมื่อไม่หลงเหลือบุรุษเพศในเมืองแล้ว เหล่าสตรีที่มีอายุยืนยาวจนราวกับว่าพวกนางจะไม่แก่ไม่ตาย ทำให้ชีวิตของพวกนางนั้นดั่งถูกหยุดเวลาไว้ การไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย อาจเป็นความฝันหรือเป็นสิ่งที่ใครหลายคนใฝ่หา
ทว่าสำหรับเหล่าสตรีในเมืองลับแล ที่ต้องอยู่กับความเป็นอมตะอย่างนี้มานานแสนนาน พวกนางกลับได้เห็นความจริงอันโหดร้าย ได้สัมผัสกับความโหดเหี้ยมอำมหิตของคำสาปนี้อย่างถ่องแท้
แม้ไม่เกิด ไม่แก่ และไม่ตาย ทว่าท้องยังคงหิว ร่างกายยังมีความเจ็บปวด จิตใจยังคงเปลี่ยวเหงา ยังคงปวดร้าว และต้องการสัมผัสโอบกอดอันอบอุ่นอยู่เสมอ
เช่นนั้น...ชีวิตราวอมตะของพวกนาง จึงยังคงต้องดิ้นรนทำมาหากิน ทำงานหนักเพื่อเติมเต็มความหิวไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ว่าจะจบสิ้นลงเมื่อใด ในขณะที่หัวใจดวงน้อยที่ทบทวีความโหยหา ก็จะยังคงไขว่คว้าความรักไปเรื่อย ๆ ทั้งที่รู้ว่ามันจะไม่มีวันมาถึงและไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้
เมื่อตระหนักในความจริงที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังได้รับรู้ว่าสายเกินไปกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้แล้ว คำสาปร้ายก็ยิ่งทบทวีอานุภาพขึ้นไปอีกหลายเท่า
ทุกชีวิตหมดอาลัยตายอยากลงไปอย่างฉับพลัน สายตาอันเลื่อนลอยลงทุกขณะจับจ้องได้อยู่แค่กับภาพตรงหน้าของตนเอง ดิ้นรนเติมเต็มอยู่แต่กับภาพในฝันที่อยากให้เกิดและอยากให้เป็น
เมืองที่เคยเงียบอยู่แล้วก็กลับยิ่งไร้การเคลื่อนไหวและเงียบเชียบมากขึ้นไปอีก เรื่องราวของเพื่อน ญาติพี่น้อง คนรู้จักรอบกาย ถูกลืมเลือนไปทีละน้อย จนสุดท้ายภาพของเมืองทั้งเมืองก็ถูกลบออกจากมโนสำนึกไป
เมื่อไม่หลงเหลืออะไรในเมืองแห่งนี้ ไม่มีกระทั่งความฝัน ความหวัง และวัตถุดิบใด ๆ ให้ดูดกลืนอีก หอคอยสีดำอันชั่วร้ายซึ่งบัดนี้มีขนาดใหญ่โต และเสียดฟ้าเสียจนไม่อาจประเมินความสูงได้ก็หยุดการเจริญเติบโต
พลังอำนาจที่แผ่ขยายปกคลุมค่อย ๆ อ่อนแรงเสื่อมฤทธิ์ลงทีละน้อย ทรุดโทรมและสูญสิ้นมนตร์ขลังไปตามกาลเวลา
วันหนึ่งเจ้าชายรูปงามท่าทางสูงสง่าในชุดขาวบนหลังม้าสีเดียวกัน ก็ได้ผ่านทางมายังเมืองลับแลซึ่งรกร้างเสื่อมสภาพแห่งนี้ ด้วยสัมผัสได้ถึงมนตร์ดำบางเบาจากภายในอาณาเขต ซึ่งวัชพืชหนาทึบเลื้อยพันปิดซ่อนปกป้องทางเข้าออกอยู่ จึงรับรู้ได้ทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้
ไม่ต่างจากทุกเรื่องราว ทุกตำนานที่ผ่าน ๆ มา ใช้พลังแห่งธรรมะปราบแม่มด ลบล้างอำนาจชั่วร้ายให้แหลกสลายหมดไป คืนความสงบสุขให้แก่ประชาชนและดินแดนทั่วหล้าภายใต้ท้องฟ้าสีคราม
เจ้าชายฟันฝ่าเหล่าไม้เลื้อยซึ่งทำหน้าที่เสมือนปราการแกร่งเพื่อผ่านเข้าไป แล้วจึงควบม้าคู่บุญบารมีให้ตะบึงสู่ชายป่า สถานที่ตรงท้ายเมืองอันเป็นที่ตั้งของหอคอยดำที่โดดเดี่ยว ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแห่งอำนาจมืดทั้งปวงอย่างร้อนใจ
“นางแม่มดร้าย การกระทำอันเลวร้ายของเจ้าจะต้องจบลงในวันนี้ จงชดใช้บาปที่ก่อไว้ด้วยชีวิต สูญสลายและกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ด้วยดาบแห่งคุณธรรมเล่มนี้เสียเถิด”
สตรีในชุดดำซึ่งถูกขนานนามว่าแม่มดร้ายที่กำลังยืนรออยู่คลี่ยิ้มบางเบา รอยยิ้มเย็นที่ได้เห็นสร้างความประหลาดใจให้แก่เจ้าชาย เพราะนอกจากความปวดร้าวที่แฝงอยู่แล้ว เขาไม่ได้เห็นแววแห่งความชั่วร้ายในนั้นเลย
“ถ้าเช่นนั้นจะรอช้าอยู่ไย ใช้พลังอำนาจที่อยู่ในมือฝังคมดาบไว้ในร่างข้า และจบทุกอย่างด้วยตัวของท่านเองเสียสิ”
เจ้าชายสลัดความลังเลที่ทำให้รู้สึกกังวลทั้งหมดทิ้งไป ทำสมาธิสงบสติอารมณ์เพื่อจดจ่อกับศึกตรงหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งทะยานเข้าหากัน เปิดฉากห้ำหั่นปะทะฝีมือประลองความแกร่งกล้าอย่างที่ไม่มีคนใดนึกกลัวเกรง ไม่มีสักคนยอมลดราวาศอกให้แก่กันเลย
อาวุธฟาดฟันอาวุธ พลังอำนาจปะทะพลังอำนาจ
สิ่งซึ่งยึดถือว่าคือความถูกต้องที่เรียกว่าธรรมะ กำลังกำลังห้ำหั่นสิ่งซึ่งถูกขนานนามว่าความชั่วร้ายที่เรียกว่าอธรรม
จากวันเป็นคืน จากคืนผ่านพ้นมาถึงอีกวัน...จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์ผ่านไปเป็นเดือน การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งวันเวลาล่วงผ่านไปหลายเดือน
ดวงตาจับจ้องเพียงอีกฝ่าย ทุกอากัปกิริยาการเคลื่อนไหว ต่างสังเกต คาดการณ์ และปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือช่วงชิงความได้เปรียบ เนิ่นนานจนจังหวะการหายใจเริ่มผสานเข้าหากันทีละน้อย ท่วงท่าซึ่งเคยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงผสมกลมกลืน
พลิ้วไหวดุจสายลมและอ่อนช้อยดั่งสายน้ำ...ท่ามกลางวันคืนและสภาพแวดล้อมซึ่งหมุนเวียนเปลี่ยนผันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ราวกับทั้งคู่ที่ได้รู้สึกและลึกซึ้งกันมาเนิ่นนาน กำลังร่ายรำร่วมกันอย่างเข้าจังหวะรู้ใจ
และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ไปแล้ว
ฉับพลันนั้นแม่มดร้ายหยุดมือผ่อนจังหวะร่ายรำของตนเองลง นางเผยรอยยิ้มซึ่งดูงดงามยิ่งกว่ารอยยิ้มใดที่เจ้าชายเคยได้เห็นออกมา เสี้ยววินาทีนั้น...การกระทำอันคาดไม่ถึงของนางก็ส่งผลให้เจ้าชายที่กำลังเหวี่ยงดาบเข้าใส่ ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อฉุดดึงเบี่ยงทิศทางคมอาวุธของตนเอง ไม่ให้ทำร้ายนางไว้ได้ทันแบบฉิวเฉียด
เขารู้สึกใจหายจนหัวใจเต้นรัวแรง อย่างที่ตนเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“ดับลมหายใจของข้าแล้วคืนทุกสิ่งให้แก่ชาวเมือง ทำตามหน้าที่และเจตจำนงของท่านเสียเถิด เจ้าชาย”
ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน พอแล้ว ช่วยปลดปล่อยข้าเสียที...แม้นางแม่มดจะพูดด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำตาที่รินไหลออกมาจากดวงตาเศร้าคู่นั้น ก็บ่งบอกทุกสิ่งที่เก็บไว้ข้างในมานานแสนนานนั้นได้ทั้งหมด
อาจเพราะทั้งสองได้ประมือต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน ที่ทำให้ประสาทสัมผัสของทั้งคู่ผสานกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างไม่รู้ตัว หรือบางที...ก็อาจเป็นเพียงแค่เหตุผลที่ธรรมดาและง่ายดายกว่านั้นมาก อย่างเช่นความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกัน
เมื่อมีผู้หนึ่งยอมลดอาวุธเพื่อหยุดมือและถอย นั่นจึงกลับทำให้ประตูแห่งการรับรู้และความเข้าใจของอีกฝ่ายเปิดแง้มออก
และแล้ว...ภาพเรื่องราวแห่งความเป็นมาทั้งหมดของแม่มดร้าย ก็หลั่งไหลพรั่งพรูเข้าสู่ทุกประสาทสัมผัส ทุกอณูแห่งการรับรู้ของเจ้าชาย
นิทานก่อนนอน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ยังมีเมืองลับแลซึ่งไม่ปรากฏ ณ ที่แห่งหนตำบลใดบนแผนที่โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล
ด้วยคำสาปกล้าแกร่งทรงพลังเหลือประมาณ ซึ่งถูกร่ายออกมาจากใจอันระอุร้อนไปด้วยไฟแห่งโทสะ ความอาฆาตเคียดแค้นของนางแม่มดร้าย ก็ได้บดบังซ่อนเร้นเมืองทั้งเมือง ให้หลุดพ้นออกจากการรับรู้ของใครต่อใครบนโลกใบนี้
ไม่มีบุคคลจากภายนอกกำแพงที่มองเห็น และสามารถเหยียบย่างผ่านพ้นเข้ามาสู่ภายในเมืองลับแลแห่งนี้ได้ ไม่อาจมีชาวเมืองผู้ใดที่สามารถกางปีกแห่งอิสระเสรี และถลาร่อนโบยบินเพื่อออกไปสู่โลกภายนอกดังใจปรารถนาได้เช่นกัน
“ข้าขอสาปแช่งเมืองแห่งนี้ ขอสาปแช่งพวกเจ้าทุก ๆ คน นับจากวินาทีที่คำของข้าได้สิ้นสุดลง พวกเจ้าจงมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวต่อไป โดยไร้ซึ่งการสัมผัสโอบกอดจากความรักที่เที่ยงแท้ อย่าได้พานพบกับความสงบสุขอันยั่งยืนเป็นนิรันดร์ จงดำรงอยู่อย่างทุกข์ทรมานและใช้ชีวิตที่มีอย่างไร้ความหวังไปตลอดกาล”
เส้นผมสีดำยาวแผ่สยายโบกสะบัดพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต ยามเมื่อสายลมกระโชกเกรี้ยวกราด เมฆหมอกปกคลุมจนบรรยากาศหม่นมัวอึมครึม เส้นแสงแปลบปลาบวิ่งแล่นไปทั่วผืนฟ้าซึ่งถูกอาบย้อมไปด้วยสีแดงฉานดั่งเลือด คล้ายกับว่าเหล่าปีศาจร้ายได้รับรู้และตอบรับแรงปรารถนาอันแรงกล้านั้นเอาไว้แล้ว
ฉับพลันที่ร่างระหงในชุดเดรสยาวเข้ารูปสีดำสนิทเลือนหายไป หอคอยสีดำที่ดำสนิทเสียจนราวกับมันดูดกลืนได้ทุกสิ่งแม้กระทั่งแสง ก็ปรากฏขึ้นมาให้ได้เห็นที่ตรงชายป่าท้ายเมือง
สูงขึ้น...และยังคงสูงขึ้นไปอีก ไม่ต่างจากมือที่กำลังเหยียดยืดเอื้อมไต่ไปยังชั้นฟ้า เพื่อท้าทายอำนาจของใครก็ตามที่เฝ้ามองอยู่เบื้องบน
ตั้งแต่พยางค์สุดท้ายแห่งคำสาปซึ่งหลุดออกจากปากของนางแม่มดได้สิ้นสุดลง นับจากวินาทีนั้น...เมืองลับแลก็กลับกลายเป็นคล้ายดั่งเมืองแห่งฝัน ทว่ามันคือฝันที่ไม่อาจหลบหนี เป็นฝันร้ายที่ไม่สามารถลืมตาให้ตื่นจากห้วงนิทราได้อีกเลย
ชั่วความรู้สึกแรกของเหล่าชาวเมือง ทุกคนต่างก็หวั่นไหวผวาหวาดไปกับถ้อยคำแห่งคำสาป ทว่าหลังจากนั้นกลับไม่ได้มีเรื่องราวร้ายแรงใหญ่โตใด ๆ เกิดขึ้นเลยสักครั้งดังที่ใครหวาดกลัวหรือคาดการณ์ไว้
ทุกอย่างในเมืองลับแลแห่งนี้ยังคงเป็นปกติดังเช่นวันเก่าก่อน ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นี่ยังคงต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนทำมาหากิน ต่างคนต่างก็ยังต้องใช้และดำเนินชีวิตไปตามแต่วิถีทางของตนต่อไปอย่างเคย
และเพียงไม่นาน...ความรู้สึกของเหล่าชาวเมืองที่เคยมีต่อคำสาปร้ายก็เลือนรางจางหาย ความอาฆาตแค้นของนางแม่มดซึ่งเคยสร้างความอกสั่นขวัญแขวนมาอย่างยาวนานก็ถูกลืมเลือนไป
ตื่นเช้าเพื่อหุงหาอาหารเติมพลังงานให้ร่างกาย พออิ่มท้องก็ออกไปดิ้นรนสู้ชีวิตเพื่อให้มีกินในมื้อในวันถัดไป กลับถึงบ้านยามเมื่อดวงตะวันใกล้ตกดิน ล้อมวงพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารค่ำ แล้วต่างแยกย้ายกันเข้านอนยามเมื่อราตรีกาลมาเยือน
จากความมสงบสุขก็เปลี่ยนเป็นความเคยชิน ความเคยชินอันไร้ซึ่งสิ่งใดที่ตื่นเต้นน่าสนใจทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ความน่าเบื่อหน่ายทำให้ชีวิตชีวาเหือดหาย และแล้วภายในเมืองซึ่งวันเวลาแห่งความเป็นปกติหมุนเวียนเปลี่ยนวนไปแบบนั้น ก็ค่อย ๆ เงียบลงทีละน้อย จนสุดท้ายเมืองทั้งเมืองก็เหลือเพียงความเงียบเชียบไปในที่สุด
จนกระทั่งมีสตรีนางหนึ่งเริ่มสังเกตเห็นว่า หอคอยดำตรงชายป่าสูงขึ้นกว่าเมื่อวันเก่าก่อน หลังจากนั้นนางจึงมองเห็นความผิดปกติอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย
จากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด
และแล้ว ความจริงจากข่าวลือซึ่งแพร่สะพัดออกไปอย่างหนาหูเป็นวงกว้าง ก็ทำให้ชาวเมืองทุกคนได้รับรู้ว่า คำสาปร้ายที่พวกเขาหลงลืมไปนั้นไม่เคยเสื่อมสลายลงไปสักนิด ความอาฆาตแค้นของนางแม่มดดำไม่เคยจางหายไปไหนเลยสักวินาทีเดียว
มันยังคงอยู่ที่นี่ แทรกซึมคู่เคียงอยู่กับเมืองแห่งนี้ คอยเล่นงานบั่นทอนกัดกิน ทำหน้าที่แห่งคำสาปแช่งของมันอย่างแข็งแกร่งทรงพลัง โดยไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอดระยะเวลานานแสนนาน
เหล่าบุรุษที่เดินทางออกจากเมืองลับแลไป ไม่เคยมีสักคนได้หวนคืนกลับมายังดินแดนถิ่นเดิมแห่งนี้อีกเป็นหนที่สอง สาบสูญและถูกหลงลืมไปราวกับว่าพวกเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่ แม้ในห้วงแห่งความทรงจำของบุคคลอันเป็นที่รักหรือแม้แค่ใครสักคน
ส่วนผู้ชายที่ยังอยู่ในเมืองต่างก็แก่ชรา และทยอยล้มหายตายจากไปตามอายุขัย ซึ่งสั้นแสนสั้นกว่าช่วงชีวิตตามปกติอย่างน่าเหลือเชื่อ
ทารกที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกในช่วงเวลานี้ ทุกคนล้วนเป็นทารกเพศหญิงทั้งสิ้น
เมื่อเหล่าบุรุษลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในขณะที่สตรีเพศเพิ่มจำนวนขึ้นทุกขณะ ในท้ายที่สุดเมื่อเหลือเพียงมนุษย์เพศหญิง เมืองทั้งเมืองจึงไร้การเกิด ไม่มีสมาชิกใหม่ลืมตาขึ้นมาดูโลกอีก
และเมื่อสตรีคนสุดท้ายจบชีวิตลง เมืองอันสงบสุขมั่งคั่งแห่งนี้ก็จะกลายเป็นเมืองร้าง ที่หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยแห่งความรุ่งโรจน์จากอดีตเท่านั้น...
หากว่านี่คือผลลัพธ์ของคำสาปร้ายแล้วละก็ นั่นย่อมดีกว่าที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้มาก เพราะอันที่จริงแล้วสิ่งที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความอาฆาตแค้นเท่านั้น
สำหรับนางแม่มดแล้ว การทำร้ายทำลายทุกสิ่งมันไม่ได้สาสมกับความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของนางเลย
เมื่อไม่หลงเหลือบุรุษเพศในเมืองแล้ว เหล่าสตรีที่มีอายุยืนยาวจนราวกับว่าพวกนางจะไม่แก่ไม่ตาย ทำให้ชีวิตของพวกนางนั้นดั่งถูกหยุดเวลาไว้ การไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย อาจเป็นความฝันหรือเป็นสิ่งที่ใครหลายคนใฝ่หา
ทว่าสำหรับเหล่าสตรีในเมืองลับแล ที่ต้องอยู่กับความเป็นอมตะอย่างนี้มานานแสนนาน พวกนางกลับได้เห็นความจริงอันโหดร้าย ได้สัมผัสกับความโหดเหี้ยมอำมหิตของคำสาปนี้อย่างถ่องแท้
แม้ไม่เกิด ไม่แก่ และไม่ตาย ทว่าท้องยังคงหิว ร่างกายยังมีความเจ็บปวด จิตใจยังคงเปลี่ยวเหงา ยังคงปวดร้าว และต้องการสัมผัสโอบกอดอันอบอุ่นอยู่เสมอ
เช่นนั้น...ชีวิตราวอมตะของพวกนาง จึงยังคงต้องดิ้นรนทำมาหากิน ทำงานหนักเพื่อเติมเต็มความหิวไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ว่าจะจบสิ้นลงเมื่อใด ในขณะที่หัวใจดวงน้อยที่ทบทวีความโหยหา ก็จะยังคงไขว่คว้าความรักไปเรื่อย ๆ ทั้งที่รู้ว่ามันจะไม่มีวันมาถึงและไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้
เมื่อตระหนักในความจริงที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังได้รับรู้ว่าสายเกินไปกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้แล้ว คำสาปร้ายก็ยิ่งทบทวีอานุภาพขึ้นไปอีกหลายเท่า
ทุกชีวิตหมดอาลัยตายอยากลงไปอย่างฉับพลัน สายตาอันเลื่อนลอยลงทุกขณะจับจ้องได้อยู่แค่กับภาพตรงหน้าของตนเอง ดิ้นรนเติมเต็มอยู่แต่กับภาพในฝันที่อยากให้เกิดและอยากให้เป็น
เมืองที่เคยเงียบอยู่แล้วก็กลับยิ่งไร้การเคลื่อนไหวและเงียบเชียบมากขึ้นไปอีก เรื่องราวของเพื่อน ญาติพี่น้อง คนรู้จักรอบกาย ถูกลืมเลือนไปทีละน้อย จนสุดท้ายภาพของเมืองทั้งเมืองก็ถูกลบออกจากมโนสำนึกไป
เมื่อไม่หลงเหลืออะไรในเมืองแห่งนี้ ไม่มีกระทั่งความฝัน ความหวัง และวัตถุดิบใด ๆ ให้ดูดกลืนอีก หอคอยสีดำอันชั่วร้ายซึ่งบัดนี้มีขนาดใหญ่โต และเสียดฟ้าเสียจนไม่อาจประเมินความสูงได้ก็หยุดการเจริญเติบโต
พลังอำนาจที่แผ่ขยายปกคลุมค่อย ๆ อ่อนแรงเสื่อมฤทธิ์ลงทีละน้อย ทรุดโทรมและสูญสิ้นมนตร์ขลังไปตามกาลเวลา
วันหนึ่งเจ้าชายรูปงามท่าทางสูงสง่าในชุดขาวบนหลังม้าสีเดียวกัน ก็ได้ผ่านทางมายังเมืองลับแลซึ่งรกร้างเสื่อมสภาพแห่งนี้ ด้วยสัมผัสได้ถึงมนตร์ดำบางเบาจากภายในอาณาเขต ซึ่งวัชพืชหนาทึบเลื้อยพันปิดซ่อนปกป้องทางเข้าออกอยู่ จึงรับรู้ได้ทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้
ไม่ต่างจากทุกเรื่องราว ทุกตำนานที่ผ่าน ๆ มา ใช้พลังแห่งธรรมะปราบแม่มด ลบล้างอำนาจชั่วร้ายให้แหลกสลายหมดไป คืนความสงบสุขให้แก่ประชาชนและดินแดนทั่วหล้าภายใต้ท้องฟ้าสีคราม
เจ้าชายฟันฝ่าเหล่าไม้เลื้อยซึ่งทำหน้าที่เสมือนปราการแกร่งเพื่อผ่านเข้าไป แล้วจึงควบม้าคู่บุญบารมีให้ตะบึงสู่ชายป่า สถานที่ตรงท้ายเมืองอันเป็นที่ตั้งของหอคอยดำที่โดดเดี่ยว ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแห่งอำนาจมืดทั้งปวงอย่างร้อนใจ
“นางแม่มดร้าย การกระทำอันเลวร้ายของเจ้าจะต้องจบลงในวันนี้ จงชดใช้บาปที่ก่อไว้ด้วยชีวิต สูญสลายและกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ด้วยดาบแห่งคุณธรรมเล่มนี้เสียเถิด”
สตรีในชุดดำซึ่งถูกขนานนามว่าแม่มดร้ายที่กำลังยืนรออยู่คลี่ยิ้มบางเบา รอยยิ้มเย็นที่ได้เห็นสร้างความประหลาดใจให้แก่เจ้าชาย เพราะนอกจากความปวดร้าวที่แฝงอยู่แล้ว เขาไม่ได้เห็นแววแห่งความชั่วร้ายในนั้นเลย
“ถ้าเช่นนั้นจะรอช้าอยู่ไย ใช้พลังอำนาจที่อยู่ในมือฝังคมดาบไว้ในร่างข้า และจบทุกอย่างด้วยตัวของท่านเองเสียสิ”
เจ้าชายสลัดความลังเลที่ทำให้รู้สึกกังวลทั้งหมดทิ้งไป ทำสมาธิสงบสติอารมณ์เพื่อจดจ่อกับศึกตรงหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งทะยานเข้าหากัน เปิดฉากห้ำหั่นปะทะฝีมือประลองความแกร่งกล้าอย่างที่ไม่มีคนใดนึกกลัวเกรง ไม่มีสักคนยอมลดราวาศอกให้แก่กันเลย
อาวุธฟาดฟันอาวุธ พลังอำนาจปะทะพลังอำนาจ
สิ่งซึ่งยึดถือว่าคือความถูกต้องที่เรียกว่าธรรมะ กำลังกำลังห้ำหั่นสิ่งซึ่งถูกขนานนามว่าความชั่วร้ายที่เรียกว่าอธรรม
จากวันเป็นคืน จากคืนผ่านพ้นมาถึงอีกวัน...จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์ผ่านไปเป็นเดือน การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งวันเวลาล่วงผ่านไปหลายเดือน
ดวงตาจับจ้องเพียงอีกฝ่าย ทุกอากัปกิริยาการเคลื่อนไหว ต่างสังเกต คาดการณ์ และปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือช่วงชิงความได้เปรียบ เนิ่นนานจนจังหวะการหายใจเริ่มผสานเข้าหากันทีละน้อย ท่วงท่าซึ่งเคยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงผสมกลมกลืน
พลิ้วไหวดุจสายลมและอ่อนช้อยดั่งสายน้ำ...ท่ามกลางวันคืนและสภาพแวดล้อมซึ่งหมุนเวียนเปลี่ยนผันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ราวกับทั้งคู่ที่ได้รู้สึกและลึกซึ้งกันมาเนิ่นนาน กำลังร่ายรำร่วมกันอย่างเข้าจังหวะรู้ใจ
และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ไปแล้ว
ฉับพลันนั้นแม่มดร้ายหยุดมือผ่อนจังหวะร่ายรำของตนเองลง นางเผยรอยยิ้มซึ่งดูงดงามยิ่งกว่ารอยยิ้มใดที่เจ้าชายเคยได้เห็นออกมา เสี้ยววินาทีนั้น...การกระทำอันคาดไม่ถึงของนางก็ส่งผลให้เจ้าชายที่กำลังเหวี่ยงดาบเข้าใส่ ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อฉุดดึงเบี่ยงทิศทางคมอาวุธของตนเอง ไม่ให้ทำร้ายนางไว้ได้ทันแบบฉิวเฉียด
เขารู้สึกใจหายจนหัวใจเต้นรัวแรง อย่างที่ตนเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“ดับลมหายใจของข้าแล้วคืนทุกสิ่งให้แก่ชาวเมือง ทำตามหน้าที่และเจตจำนงของท่านเสียเถิด เจ้าชาย”
ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน พอแล้ว ช่วยปลดปล่อยข้าเสียที...แม้นางแม่มดจะพูดด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำตาที่รินไหลออกมาจากดวงตาเศร้าคู่นั้น ก็บ่งบอกทุกสิ่งที่เก็บไว้ข้างในมานานแสนนานนั้นได้ทั้งหมด
อาจเพราะทั้งสองได้ประมือต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน ที่ทำให้ประสาทสัมผัสของทั้งคู่ผสานกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างไม่รู้ตัว หรือบางที...ก็อาจเป็นเพียงแค่เหตุผลที่ธรรมดาและง่ายดายกว่านั้นมาก อย่างเช่นความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกัน
เมื่อมีผู้หนึ่งยอมลดอาวุธเพื่อหยุดมือและถอย นั่นจึงกลับทำให้ประตูแห่งการรับรู้และความเข้าใจของอีกฝ่ายเปิดแง้มออก
และแล้ว...ภาพเรื่องราวแห่งความเป็นมาทั้งหมดของแม่มดร้าย ก็หลั่งไหลพรั่งพรูเข้าสู่ทุกประสาทสัมผัส ทุกอณูแห่งการรับรู้ของเจ้าชาย