ถุงมือเรื่องสั้นเรื่องที่ 2 มาในสไตล์ นิทาน ครับ โดยให้ชื่อว่า "นิทานก่อนนอน"
นิทานเรื่องนี้ จะเกี่ยวกับอะไร ยังไง ? และที่ว่า "ก่อนนอน" แสดงว่าต้องมีใครสักคนอ่านก่อนจะนอน หรือเปล่า ?
ก็ต้องมาลองอ่านกันดูครับ ^^
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเมืองลับแล ซึ่งไม่ปรากฏ ณ ตำแหน่งใดบนแผนที่โลก มันถูกซ่อนโดยคำสาปของแม่มดไม่ให้มีผู้ใดสามารถมองเห็น ไม่มีบุคคลภายนอกสามารถย่างกรายเข้าไปได้ และเช่นกันที่ไม่อาจมีชาวเมืองผู้ใดก้าวพ้นจากเขตเมืองออกมาสู่โลกภายนอก
“ข้าขอสาปแช่งเมืองนี้ ขอสาปแช่งพวกเจ้า ต่อจากนี้จงอยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน อย่าได้พานพบกับความสุขอันแท้จริง ความรักอันเที่ยงแท้ จงใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ความหวังตลอดกาล”
นั่นคือคำสาปจากแม่มดที่ชั่วร้ายที่สุด พลันสิ้นเสียงเกรี้ยวกราด ร่างของแม่มดก็เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาของทุกคนที่มาชุมนุมกัน
หลังจากนั้น จู่ๆ หอคอยดำก็พลันปรากฏขึ้นอย่างไร้ที่มาตรงชายป่าท้ายเมือง เมฆหมอกดำทะมึนแผ่ขยายเข้าปกคลุมอาณาบริเวณโดยรอบ ตัดขาดทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่จากโลกภายนอก
ทีแรกดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ทุกอย่างภายในเมืองยังคงเป็นปกติ ทุกชีวิตยังสามารถดำเนินไปได้อย่างที่เคย
ทว่าวันหนึ่ง ก็กลับเริ่มมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง พวกเขาเพิ่งรู้ตัวว่าถูกคำสาปชั่วร้ายนั้นเล่นงานเข้าให้แล้ว
ผู้ชายที่ออกจากเมืองไป ไม่เคยมีใครหวนกลับมาอีกเลย
ทารกที่ลืมตาออกมาดูโลก ทุกคนล้วนเป็นเพศหญิง
ผู้ชายลดน้อยลง ในขณะที่ผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น
จนสุดท้าย เมืองทั้งเมืองจึงเหลือแต่เพศหญิง
ไร้การเกิด ไร้สมาชิกใหม่ลืมตาขึ้นมาดูโลก สุดท้ายแล้ว เมื่อสตรีคนสุดท้ายจบชีวิตลง เมืองทั้งเมืองก็จะกลายเป็นเมืองร้าง
หรือว่านี่คือผลของคำสาป คือผลของอำนาจอันชั่วร้ายที่หมายจะทำลายทุกชีวิตที่นี่...
แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ หลังไม่หลงเหลือแม้บุรุษสักคนในเมือง สตรีทุกคนกลับหยุดการเจริญเติบโตเมื่อถึงวัยเบญจเพศ
ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ถูกหยุดเวลาเอาไว้
ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันอาจเป็นเมืองในฝัน เป็นสิ่งที่ทุกคนเฝ้าใฝ่หา
ทว่ายิ่งนานวัน สตรีที่เหลืออยู่กลับมองเห็นความเป็นจริงอันโหดร้ายของคำสาป
แม้ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย แต่ร่างกายยังหิวเป็น จิตใจยังคงโหยหาความรัก ทุกชีวิตจึงต้องดิ้นรน ทำไร่ ไถนา ทำงานหนักเพื่อเติมอาหารลงท้องอย่างไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด ในขณะที่หัวใจยังคงเจ็บปวดกับการไขว่คว้าหารักแท้ที่ไม่มีวันเป็นจริง
ทุกชีวิตจดจ้องอยู่แต่ภาพตรงหน้าของตนเอง ดิ้นรนอยู่แต่กับภาพในฝันของตนเอง เมืองทั้งเมืองเงียบเสียงลงทีละน้อย เรื่องราวของคนรอบข้างค่อยๆ ถูกลืมเลือนไป และภาพเมืองทั้งเมืองก็ถูกลบออกไปจากมโนสำนึกในที่สุด
ไม่มีใครสังเกตเลยว่า หอคอยดำอันชั่วร้ายที่เติบโตขึ้นทุกวัน จนบัดนี้มันสูงเสียดฟ้าเองก็เช่นกัน มันหยุดการเจริญเติบโต และค่อยๆ มีสภาพทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา
จนบัดนี้ มันถูกวัชพืชแผ่ขยายปกคลุมไปทั่ว ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามของอำนาจมืดอีกต่อไป
วันหนึ่ง เจ้าชายสง่างามก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองต้องสาปแห่งนี้ เพียงครู่เดียวเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เจ้าชายรูปงามเร่งรุดหน้าไปยังหอคอยดำด้วยความร้อนใจ
เช่นเดียวกับทุกครั้ง กำจัดแม่มด ลบล้างอำนาจชั่วร้าย ความสงบสุขจะกลับคืนสู่ทั่วหล้า
“นางแม่มดร้าย จงสูญสลายด้วยดาบแห่งคุณธรรมเล่มนี้ และคืนความสงบสุขให้กับชาวเมืองเสียเถิด”
แล้วทั้งสองก็เริ่มเปิดฉากเข้าห้ำหั่นกันอย่างไม่มีใครยอมลดราวาศอกให้แก่กันสักนิด อาวุธประกบอาวุธ อำนาจปะทะพลังอำนาจ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะปะทะกับอธรรม
หนึ่งวัน หนึ่งคืน สองวัน สามคืน...หนึ่งสัปดาห์ การต่อสู้ดำเนินต่อไป จนกระทั่งล่วงเลยไปหลายเดือน
ดวงตาจับจ้องกันและกัน ทุกอากัปกิริยา การเคลื่อนไหว สังเกตและปรับเปลี่ยน รับมือและช่วงชิงจังหวะ จังหวะหายใจผสาน ท่วงท่าต่อกรผสานกลมกลืนเข้าทีละน้อย จนคล้ายทั้งสองกำลังขยับกาย ร่ายรำ อย่างรู้ใจ
แล้วความรู้สึกหนึ่งก็ค่อยๆ ก่อเกิด เติมเต็มในส่วนที่ขาดหายลืมเลือนไปนาน
ฉับพลันนั้น แม่มดร้ายก็ผ่อนจังหวะร่ายรำลง เผยยิ้มออกมาอย่างคาดไม่ถึง เป็นรอยยิ้มงดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกนี้
การเปลี่ยนจังหวะกะทันหัน จึงเป็นการยากที่อีกฝ่ายจะยั้งมือไว้ได้ทัน พลังของเจ้าชายจึงส่งแม่มดร้ายลงไปหมดสภาพอยู่ที่พื้นหอคอยนั่นเอง
“จงเอาชีวิตของข้าไป คืนทุกสิ่งให้แก่ชาวเมือง เหนื่อยเหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน ข้าพอแล้ว”
แม่มดร้ายพูดทุกอย่างออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส พลันน้ำตาของเจ้าชายก็ไหลออกมา
อาจเป็นเพราะการต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน ทุกประสาทสัมผัสของทั้งสองจึงผสานกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างไม่รู้ตัว เมื่อมีคนหนึ่งยอมลดอาวุธลง ประตูแห่งการรับรู้ของอีกฝ่ายจึงถูกเปิดออกเช่นกัน
แล้วภาพเรื่องราวทั้งหมดของแม่มดร้าย ก็หลั่งไหลเข้ามาสู่ทุกอณูสัมผัสของเจ้าชายหนุ่ม
เขาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่โดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ ผู้คนเดินผ่านมาและผ่านไป บ้างหยุดยืนดู หัวเราะใส่ บางคนเอาหินเขวี้ยงขับไล่ เด็กสาวค่อยๆ พาตัวเองออกมา จนยืนอยู่ท่ามกลางป่ารกทึบ
เท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำบนดินและกิ่งก้านแหลมคม ฝากรอยแผลให้ร่างกาย มือเปล่าทั้งสองค่อยๆ ขุดก้อนดินนำมาปั้น และก่อเป็นกำแพงไว้รอบกาย
หนาขึ้น สูงขึ้น และยิ่งใหญ่ทรงพลัง น่าเกรงขามยิ่งขึ้น จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นหอคอยดำ
ผู้คนหวาดกลัวพลังอำนาจชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เธอปลอดภัยอยู่ในปราการแข็งแกร่ง
ทว่าในขณะหอคอยปกป้องเธอจากอันตรายภายนอก มันก็กลับแข็งแรงและสูงจนเธอไม่สามารถออกมาได้เช่นกัน
ชั่วขณะที่บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ในใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง และสาสมใจกับสิ่งที่ได้เห็น ตัวของเธออีกคนซึ่งไม่มีใครเคยรู้จักก็กลับร้องไห้ และอัดแน่นไปด้วยความทุกข์ระทม เหนื่อยล้า จากการกระทำนั้น
ยิ่งหัวเราะมากเท่าใด เธอก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่านั้นหลายเท่า
ยิ่งสาปแช่งมากเท่าใด คำสาปแช่งนั้นก็ยิ่งกลับมาทิ่มแทงเธอ ทำให้ได้รับผลจากคำสาปนั้นทับทวีเป็นร้อยเท่าพันเท่า
และตอนนี้เธอก็รับมันไม่ไหวอีกแล้ว...
คมดาบจ่อประชิดลำคอ ส่งผ่านไอเย็นจับจิต แทนที่จะตื่นกลัว แม่มดร้ายกลับหลับตาลง ยอมรับความตายอย่างสงบ
แต่แทนที่เจ้าชายหนุ่มจะทำแบบนั้น เขากลับโยนดาบแห่งคุณธรรมทิ้งไป และโผเข้าสวมกอดแม่มดร้าย ด้วยเพราะเข้าใจทุกอย่าง
ไออุ่นแผ่ซ่านปกคลุม ห่อหุ้มร่างทั้งสอง พื้นดินสั่นสะเทือน หอคอยดำปริแตกและค่อยๆ ทรุดตัวพังทลายลง
ความอบอุ่นขับไล่อำนาจชั่วร้ายให้เบาบาง และสลายไป บรรยากาศหนักหน่วง หมอกดำที่ปกคลุมเมืองมานานถูกขจัดปัดเป่าออกไป
แล้วแสงแรกก็ส่องผ่านม่านเมฆลงมายังเมืองได้ในที่สุด
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในเมือง...คนที่สอง คนที่สิบ จนกระทั่งนับไม่ถ้วน
ได้ยินเสียงนกร้อง เสียงแมลง เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ
ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้า ความสดใสในแววตา
แล้วเวลาก็เริ่มเดินอีกครั้ง...
ในที่สุดเมืองก็หลุดพ้นจากคำสาป และเจ้าชายก็ได้แต่งงาน อยู่กินกับหญิงที่รักอย่างมีความสุข
...................................................................
หญิงสาววางหนังสือนิทานที่เธอเขียนเองลง เอื้อมมือปิดไฟหัวเตียง จุมพิศหน้าผากลูกสาวที่เข้าสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้วเบาๆ
เหลียวไปสบตากับเจ้าชายของเธอ ซึ่งมายืนดูอยู่เงียบๆ ที่บริเวณประตู
และส่งยิ้มที่สดใสที่สุดในโลกไปให้...
/// จบ ///
ถุงมือ Fairly Tale
🏡⛄️🏰 THE LEISURE GLOVES ถุงมือยามว่าง# 10 เรื่องสั้น "นิทานก่อนนอน" (ถุงมือ Fairly Tale) 🏰⛄️🏡
นิทานเรื่องนี้ จะเกี่ยวกับอะไร ยังไง ? และที่ว่า "ก่อนนอน" แสดงว่าต้องมีใครสักคนอ่านก่อนจะนอน หรือเปล่า ?
ก็ต้องมาลองอ่านกันดูครับ ^^
“ข้าขอสาปแช่งเมืองนี้ ขอสาปแช่งพวกเจ้า ต่อจากนี้จงอยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน อย่าได้พานพบกับความสุขอันแท้จริง ความรักอันเที่ยงแท้ จงใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ความหวังตลอดกาล”
นั่นคือคำสาปจากแม่มดที่ชั่วร้ายที่สุด พลันสิ้นเสียงเกรี้ยวกราด ร่างของแม่มดก็เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาของทุกคนที่มาชุมนุมกัน
หลังจากนั้น จู่ๆ หอคอยดำก็พลันปรากฏขึ้นอย่างไร้ที่มาตรงชายป่าท้ายเมือง เมฆหมอกดำทะมึนแผ่ขยายเข้าปกคลุมอาณาบริเวณโดยรอบ ตัดขาดทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่จากโลกภายนอก
ทีแรกดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ทุกอย่างภายในเมืองยังคงเป็นปกติ ทุกชีวิตยังสามารถดำเนินไปได้อย่างที่เคย
ทว่าวันหนึ่ง ก็กลับเริ่มมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง พวกเขาเพิ่งรู้ตัวว่าถูกคำสาปชั่วร้ายนั้นเล่นงานเข้าให้แล้ว
ผู้ชายที่ออกจากเมืองไป ไม่เคยมีใครหวนกลับมาอีกเลย
ทารกที่ลืมตาออกมาดูโลก ทุกคนล้วนเป็นเพศหญิง
ผู้ชายลดน้อยลง ในขณะที่ผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น จนสุดท้าย เมืองทั้งเมืองจึงเหลือแต่เพศหญิง
ไร้การเกิด ไร้สมาชิกใหม่ลืมตาขึ้นมาดูโลก สุดท้ายแล้ว เมื่อสตรีคนสุดท้ายจบชีวิตลง เมืองทั้งเมืองก็จะกลายเป็นเมืองร้าง
หรือว่านี่คือผลของคำสาป คือผลของอำนาจอันชั่วร้ายที่หมายจะทำลายทุกชีวิตที่นี่...
แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ หลังไม่หลงเหลือแม้บุรุษสักคนในเมือง สตรีทุกคนกลับหยุดการเจริญเติบโตเมื่อถึงวัยเบญจเพศ ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ถูกหยุดเวลาเอาไว้
ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันอาจเป็นเมืองในฝัน เป็นสิ่งที่ทุกคนเฝ้าใฝ่หา
ทว่ายิ่งนานวัน สตรีที่เหลืออยู่กลับมองเห็นความเป็นจริงอันโหดร้ายของคำสาป
แม้ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย แต่ร่างกายยังหิวเป็น จิตใจยังคงโหยหาความรัก ทุกชีวิตจึงต้องดิ้นรน ทำไร่ ไถนา ทำงานหนักเพื่อเติมอาหารลงท้องอย่างไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด ในขณะที่หัวใจยังคงเจ็บปวดกับการไขว่คว้าหารักแท้ที่ไม่มีวันเป็นจริง
ทุกชีวิตจดจ้องอยู่แต่ภาพตรงหน้าของตนเอง ดิ้นรนอยู่แต่กับภาพในฝันของตนเอง เมืองทั้งเมืองเงียบเสียงลงทีละน้อย เรื่องราวของคนรอบข้างค่อยๆ ถูกลืมเลือนไป และภาพเมืองทั้งเมืองก็ถูกลบออกไปจากมโนสำนึกในที่สุด
ไม่มีใครสังเกตเลยว่า หอคอยดำอันชั่วร้ายที่เติบโตขึ้นทุกวัน จนบัดนี้มันสูงเสียดฟ้าเองก็เช่นกัน มันหยุดการเจริญเติบโต และค่อยๆ มีสภาพทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา
จนบัดนี้ มันถูกวัชพืชแผ่ขยายปกคลุมไปทั่ว ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามของอำนาจมืดอีกต่อไป
วันหนึ่ง เจ้าชายสง่างามก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองต้องสาปแห่งนี้ เพียงครู่เดียวเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เจ้าชายรูปงามเร่งรุดหน้าไปยังหอคอยดำด้วยความร้อนใจ
เช่นเดียวกับทุกครั้ง กำจัดแม่มด ลบล้างอำนาจชั่วร้าย ความสงบสุขจะกลับคืนสู่ทั่วหล้า
“นางแม่มดร้าย จงสูญสลายด้วยดาบแห่งคุณธรรมเล่มนี้ และคืนความสงบสุขให้กับชาวเมืองเสียเถิด”
แล้วทั้งสองก็เริ่มเปิดฉากเข้าห้ำหั่นกันอย่างไม่มีใครยอมลดราวาศอกให้แก่กันสักนิด อาวุธประกบอาวุธ อำนาจปะทะพลังอำนาจ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะปะทะกับอธรรม
หนึ่งวัน หนึ่งคืน สองวัน สามคืน...หนึ่งสัปดาห์ การต่อสู้ดำเนินต่อไป จนกระทั่งล่วงเลยไปหลายเดือน
ดวงตาจับจ้องกันและกัน ทุกอากัปกิริยา การเคลื่อนไหว สังเกตและปรับเปลี่ยน รับมือและช่วงชิงจังหวะ จังหวะหายใจผสาน ท่วงท่าต่อกรผสานกลมกลืนเข้าทีละน้อย จนคล้ายทั้งสองกำลังขยับกาย ร่ายรำ อย่างรู้ใจ
แล้วความรู้สึกหนึ่งก็ค่อยๆ ก่อเกิด เติมเต็มในส่วนที่ขาดหายลืมเลือนไปนาน
ฉับพลันนั้น แม่มดร้ายก็ผ่อนจังหวะร่ายรำลง เผยยิ้มออกมาอย่างคาดไม่ถึง เป็นรอยยิ้มงดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกนี้
การเปลี่ยนจังหวะกะทันหัน จึงเป็นการยากที่อีกฝ่ายจะยั้งมือไว้ได้ทัน พลังของเจ้าชายจึงส่งแม่มดร้ายลงไปหมดสภาพอยู่ที่พื้นหอคอยนั่นเอง
“จงเอาชีวิตของข้าไป คืนทุกสิ่งให้แก่ชาวเมือง เหนื่อยเหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน ข้าพอแล้ว”
แม่มดร้ายพูดทุกอย่างออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส พลันน้ำตาของเจ้าชายก็ไหลออกมา
อาจเป็นเพราะการต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน ทุกประสาทสัมผัสของทั้งสองจึงผสานกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างไม่รู้ตัว เมื่อมีคนหนึ่งยอมลดอาวุธลง ประตูแห่งการรับรู้ของอีกฝ่ายจึงถูกเปิดออกเช่นกัน
แล้วภาพเรื่องราวทั้งหมดของแม่มดร้าย ก็หลั่งไหลเข้ามาสู่ทุกอณูสัมผัสของเจ้าชายหนุ่ม
เขาเห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่โดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ ผู้คนเดินผ่านมาและผ่านไป บ้างหยุดยืนดู หัวเราะใส่ บางคนเอาหินเขวี้ยงขับไล่ เด็กสาวค่อยๆ พาตัวเองออกมา จนยืนอยู่ท่ามกลางป่ารกทึบ
เท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำบนดินและกิ่งก้านแหลมคม ฝากรอยแผลให้ร่างกาย มือเปล่าทั้งสองค่อยๆ ขุดก้อนดินนำมาปั้น และก่อเป็นกำแพงไว้รอบกาย
หนาขึ้น สูงขึ้น และยิ่งใหญ่ทรงพลัง น่าเกรงขามยิ่งขึ้น จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นหอคอยดำ
ผู้คนหวาดกลัวพลังอำนาจชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เธอปลอดภัยอยู่ในปราการแข็งแกร่ง
ทว่าในขณะหอคอยปกป้องเธอจากอันตรายภายนอก มันก็กลับแข็งแรงและสูงจนเธอไม่สามารถออกมาได้เช่นกัน
ชั่วขณะที่บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ในใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง และสาสมใจกับสิ่งที่ได้เห็น ตัวของเธออีกคนซึ่งไม่มีใครเคยรู้จักก็กลับร้องไห้ และอัดแน่นไปด้วยความทุกข์ระทม เหนื่อยล้า จากการกระทำนั้น
ยิ่งหัวเราะมากเท่าใด เธอก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่านั้นหลายเท่า
ยิ่งสาปแช่งมากเท่าใด คำสาปแช่งนั้นก็ยิ่งกลับมาทิ่มแทงเธอ ทำให้ได้รับผลจากคำสาปนั้นทับทวีเป็นร้อยเท่าพันเท่า
และตอนนี้เธอก็รับมันไม่ไหวอีกแล้ว...
คมดาบจ่อประชิดลำคอ ส่งผ่านไอเย็นจับจิต แทนที่จะตื่นกลัว แม่มดร้ายกลับหลับตาลง ยอมรับความตายอย่างสงบ แต่แทนที่เจ้าชายหนุ่มจะทำแบบนั้น เขากลับโยนดาบแห่งคุณธรรมทิ้งไป และโผเข้าสวมกอดแม่มดร้าย ด้วยเพราะเข้าใจทุกอย่าง
ไออุ่นแผ่ซ่านปกคลุม ห่อหุ้มร่างทั้งสอง พื้นดินสั่นสะเทือน หอคอยดำปริแตกและค่อยๆ ทรุดตัวพังทลายลง
ความอบอุ่นขับไล่อำนาจชั่วร้ายให้เบาบาง และสลายไป บรรยากาศหนักหน่วง หมอกดำที่ปกคลุมเมืองมานานถูกขจัดปัดเป่าออกไป
แล้วแสงแรกก็ส่องผ่านม่านเมฆลงมายังเมืองได้ในที่สุด
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในเมือง...คนที่สอง คนที่สิบ จนกระทั่งนับไม่ถ้วน
ได้ยินเสียงนกร้อง เสียงแมลง เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ
ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้า ความสดใสในแววตา
แล้วเวลาก็เริ่มเดินอีกครั้ง...
ในที่สุดเมืองก็หลุดพ้นจากคำสาป และเจ้าชายก็ได้แต่งงาน อยู่กินกับหญิงที่รักอย่างมีความสุข
...................................................................
หญิงสาววางหนังสือนิทานที่เธอเขียนเองลง เอื้อมมือปิดไฟหัวเตียง จุมพิศหน้าผากลูกสาวที่เข้าสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้วเบาๆ
เหลียวไปสบตากับเจ้าชายของเธอ ซึ่งมายืนดูอยู่เงียบๆ ที่บริเวณประตู
และส่งยิ้มที่สดใสที่สุดในโลกไปให้...