..ความเดิมตอนที่แล้ว..
“เอดิออท เจ้าจะรับสตรีผู้นี้เป็นภรรยาหรือไม่ สตรีนามว่า ฟาลเนีย ผู้ซึ่งยืนอยู่ ณ ที่นี้”
“ข้ารับ” เอดิออทตอบอย่างรวดเร็วและหนักแน่น
แล้วบาทหลวงก็ถามเจ้าสาวว่า “ฟาลเนีย เจ้าจะรับบุรุษผู้นี้เป็นสามีหรือไม่ บุรุษนามว่า เอดิออท ผู้ซึ่งยืนอยู่ ณ ที่นี้”
ในตอนนั้นในหัวของหล่อนเป็นสีขาวพร่ามัวไปหมด หล่อนตอบตามเขาไปโดยไม่รู้ตัวว่า
“ข้ารับ”
ขณะนั้นดวงตาขอเธอปรือจนแทบจะปิดลงเดี๋ยวนั้น และแล้วความรู้สึกอ่อนจางก็รับรู้ว่าริมฝีปากของตนถูกกระทบอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายๆบาทหลวงพูดว่า
“ด้วยสัจจะปฏิญาณ ต่อหน้าองค์เทพเป็นสักขีพยาน ทั้งสองได้สมรสกันอย่างถูกต้องตามประเพณีทุกประการ หากผู้ใดทำลายคำมั่นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ จะบังเกิดเคราะห์ร้ายอาเพศแก่บุคคลผู้นั้น”
เมื่อเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีแล้ว บาทหลวงก็กล่าวว่า
“จากนี้ไปเจ้าทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันแล้ว จะไม่มีสิ่งใดสามารถแยกพวกเจ้าออกจากกันอีกต่อไป เทพเจ้าแห่งความรัก ความดีงาม และความซื่อสัตย์ ได้มาร่วมเป็นสักขีพยานแก่เจ้าในพิธีศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ นับแต่นี้เป็นต้นไป จะไม่มีใครสามารถทำให้การสมรสนี้เป็นโมฆะได้”
บทที่ 16
เค้าหน้าอันเครียดแลดูกระด้างราวกับหิน แววตาเย็นชาดุจรูปปั้น งันเหมือนต้องสาป ไม่มีคำพูดเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากบางเม้มสนิท มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขายอมปริปากพูดออกมาสักคำนึง ถึงแม้จะเป็นคำบริภาษด่าทอก็ตาม อย่างไรเสียมันก็คงดีกว่าความเงียบงันราวชั่วกัลชั่วกัลป์เช่นนี้
ในความเงียบแสนเงียบดังกล่าว นอกจากเสียงแห่งความเงียบ หล่อนได้ยินเสียงบริภาษตำหนิตนเอง ที่ปล่อยให้เกิดเรื่องน่าสมเพชเช่นนี้แก่ตนเอง
ทำไมถึงได้โง่เง่าเช่นนี้นะ ฟาลเนีย ทำไมถึงขาดความยับยั้งไร้สติถึงเพียงนั้น ทำไมถึงหลงกลอีตาเอดิออทจอมเจ้าเล่ห์ง่ายๆ ทำไมถึงไว้เนื้อเชื่อใจคนพรรณนั้นได้ ทำไม และทำไมกัน!
สำนึกส่วนสุดท้ายอันพร่าเลือน รื้อฟื้นได้ว่าตนเองกล่าวคำว่า ‘ข้ารับ’ ออกไปโดยไม่คิดสักนิดเดียว คำๆเดียวกลับกลายเป็น คำสัตย์ปฏิญาณอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่อาจเพิกถอน ถึงแม้ว่าจะเป็นคำกล่าวรับโดยมิได้เจตนา หากเพราะสติสัมปชัญญะอันลางเลือนเต็มที ทำให้หล่อนกล่าวตามอีกฝ่ายออกไปโดยไม่รู้ตัวก็ตาม แต่กระนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
หล่อนพยายามอ้อนวอนขอร้อง แกมบังคับขู่เข็นให้เอดิออทเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ให้มิด ย้ำหนักหนาว่าห้ามบอกกับใครโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะต้องได้เห็นดีกัน
“ถ้าเจ้าบอกเรื่องนี้กับใครเมื่อไหร่ละก็ ข้าจะ…ข้าจะ จะตัดลิ้นเจ้าโยนให้หมูกิน”
ในที่สุดเขาก็รับปากอย่างขอไปที ไม่ใช่เพราะว่ากลัวหล่อน แต่เนื่องจากว่ารำคาญเต็มทน ที่หล่อนไม่ยอมเลิกความพยายาม พร่ำข่มขู่ไปเรื่อยๆเช่นนั้น
ฟาลเนียทำใจรับเอาไว้แล้วว่า เอดิออทจะต้องหลุดปาก พูดเรื่องนี้ออกไปแน่นอน คนกะล่อนและดื้อรั้นเช่นเขา ไม่มีวันเก็บความลับประเภทนั้น ไว้ได้นานเกินกว่าสามวันหรอก หล่อนนึกด้วยความหวั่นใจ ไม่คิดฝากฝังความหวังไว้กับเขามากมาย แต่จนแล้วจนรอดเอดิออทก็ยังคงเก็บงำ ความลับเอาไว้ได้อย่างน่าประหลาดใจ อย่างน้อยที่สุดก็มิได้แพร่งพรายเรื่องนี้ กับบุคคลที่หล่อนหวาดกลัวว่าจะได้ยินมากที่สุด นั่นก็คือบุคคลที่นั่งตัวตรงสง่างาม อยู่เบื้องหน้าหล่อนในยามนี้นั่นเอง
และแล้วหล่อนก็ตกม้าตาย สุดท้ายตนเองนั่นแหล่ะ ที่อดรนทนไม่ไหว อึดอัดละอายแก่ใจ ไม่อาจเอาความจริงกลบฝังดิน เช่นผู้กระทำผิดที่ไร้จิตสำนึกได้ ในที่สุดหล่อนจึงเป็นฝ่ายสารภาพ ออกมาเองอย่างหมดเปลือก ต่อหน้าชายผู้ที่หล่อนเคารพรัก และศรัทธาที่สุดในชีวิต ด้วยหัวใจภักดีดวงนี้ที่มอบให้ บอกว่าตนเองจะไม่มีวันทรยศเขา ด้วยการอำพรางหลอกลวงใดๆทั้งสิ้น
สายตาท้อแท้มองผ่านม่านแห่งความเงียบงัน ซึ่งคลี่คลุมบรรยากาศรถม้า คันดังกล่าวเอาไว้จนแลดูหม่นมัว สบประสานกับแววตาที่พยายาม ข่มความรู้สึกตนเองไว้แนบสนิท ในที่สุดเจ้าชายธีโอดอร์ฟ ก็กล่าวตัดบทด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า
“พอแต่เพียงเท่านี้ดีกว่า ก่อนที่สมองของข้าจะระเบิดออกเพราะความเครียด ข้าไม่ได้มีพลังเหลือล้นมากพอ จะหมดเปลืองไปกับการคิดวกวน เกี่ยวกับเรื่องที่รบกวนจิตใจเช่นนี้ ยังมีเรื่องสำคัญเป็นอันดับแรกที่ต้องพุ่งเป้าหมาย คือกระทำภารกิจครั้งนี้ให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ เส้นทางที่ต้องบากบั่นฟันฝ่ากันไปเบื้องหน้านั้น เต็มไปด้วยอันตรายนานับประการณ์ จำต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้า กับสถานการณ์เลวร้ายอาจเกิดขึ้นเฉียบพลัน ไม่มีใครคอยตักเตือนล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น จำต้องรวดเร็วฉับไวที่สุด อาศัยจิตใจที่เข้มแข็ง และสติที่หนักแน่นมั่นคงเท่านั้น จะนำพาเราข้ามพ้น เงามฤตยูที่คอยจ้องเล่นงาน ตะปบหลังกระชากวิญญาณเราอยู่ทุกขณะจิต หากว่าใจสวามิภักดิ์ต่อความอ่อนแอ และสภาวะอารมณ์อันน่าประณามแล้วไซร้ ก็จะไม่มีบุรุษคนใดสามารถกระทำการใหญ่ให้สำเร็จลุล่วง”
ปราสาทสีดำปรากฏเลือนลางท่ามกลางสายหมอกเทาทึม ใต้หมู่เมฆดำที่เคลื่อนผ่านจันทร์ข้างแรมซีดจางเลือนลับไป สะท้อนภาพเงาของผาลาดตัดตรงลงมาจากเนินหินสูงๆต่ำๆ พุ่งลำแทงยอดแหลมกระจายงอกปรกคลุมอยู่ทั่วเนินดำลูกนั้น ทั้งสวยงามและน่ากลัวในคราเดียวกัน
“ท่านฝันร้ายเช่นนั้นรึ?”
ภูตหนุ่มซับน้ำตาซึ่งรินไหลออกมา จากดวงตาของนางผู้ทอดร่างอยู่เคียงข้าง บัดนี้ราชินีผู้เปี่ยมอำนาจกลับกลายเป็นเพียงสตรีบอบบางผู้หนึ่ง เบียดตัวอิงแอบในอ้อมกอดอุ่น ใบหน้างดงามแนบกับแผ่นอกกว้าง กระซิบทั้งที่ดวงตายังลืมอยู่ว่า
“ถึงแม้ว่าข้าจะกระทำการล้างแค้นพวกมัน แต่ความทรงจำ
ก็มิได้ถูกลบล้าง ในความฝันข้ายังคงเป็นเด็กผู้หญิงเล็กๆ สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ซ่อนตัวอยู่หลังเงามืด ซึ่งพวกมันใช้ดาบเล่มนั้นกวาดต้อน และบั่นคอบิดาของข้าต่อหน้าต่อตา”
ดวงตาคมวาวของกิดิออน จ้องจับใบหน้างามอำมหิต ฉายรัศมีความเคียดแค้นเช่นเดียวกับ กุหลาบงามอุดมไปด้วยหนามแหลมคม มิได้หยั่งถึงประวัติศาสตร์ที่จารึกในใจนาง แต่กระนั้นก็พออ่านจากแววตากร้าวแข็งสีหม่นคู่นั้นออกว่า นางสะกดเก็บความข่มขื่นเอาไว้ลึกเพียงไร
ภูตวิหคหนุ่มคลี่ม่านผมดำขลับ ปรกลำคอผุดผาดของนางเปิดออก กระซิบข้างหูว่า
“เสียใจที่ข้าไม่อาจอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย ตัวท่านเองจึงต้องเผชิญสิ่งเลวร้ายเพียงลำพัง ถ้าเพียงแต่ข้าอยู่เคียงข้างท่านในยามนั้น ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ ข้าจะปกป้องคุ้มครองท่าน และพิทักษ์ราชวงศ์ดาร์คเนส มิให้ต้องล่มสลายลงไปเช่นที่เป็น ข้าคิดวกวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าหากข้าอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น แน่นอนศีรษะของข้าย่อมยื่นรับคมดาบเล่มนั้น แทนพระองค์ท่านโดยปราศจากความลังเล”
หล่อนกดนิ้วเรียวงามและเล็บงุ้มยาว ทับริมฝีปากของเขา ดุเบาๆว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่อาจทดดูเจ้าถูกใครเข่นฆ่าพรากเอาชีวิตไปได้ ไม่ว่าจะยามนั้นหรือยามนี้ก็ตาม ดังนั้นเจ้าจงอย่าแสดงเจตจำนงเช่นที่พูดอีก เพราะข้าฟังแล้วไม่สบายใจนัก”
v
v
The Light of Darkness [บทที่ 16]
“เอดิออท เจ้าจะรับสตรีผู้นี้เป็นภรรยาหรือไม่ สตรีนามว่า ฟาลเนีย ผู้ซึ่งยืนอยู่ ณ ที่นี้”
“ข้ารับ” เอดิออทตอบอย่างรวดเร็วและหนักแน่น
แล้วบาทหลวงก็ถามเจ้าสาวว่า “ฟาลเนีย เจ้าจะรับบุรุษผู้นี้เป็นสามีหรือไม่ บุรุษนามว่า เอดิออท ผู้ซึ่งยืนอยู่ ณ ที่นี้”
ในตอนนั้นในหัวของหล่อนเป็นสีขาวพร่ามัวไปหมด หล่อนตอบตามเขาไปโดยไม่รู้ตัวว่า
“ข้ารับ”
ขณะนั้นดวงตาขอเธอปรือจนแทบจะปิดลงเดี๋ยวนั้น และแล้วความรู้สึกอ่อนจางก็รับรู้ว่าริมฝีปากของตนถูกกระทบอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายๆบาทหลวงพูดว่า
“ด้วยสัจจะปฏิญาณ ต่อหน้าองค์เทพเป็นสักขีพยาน ทั้งสองได้สมรสกันอย่างถูกต้องตามประเพณีทุกประการ หากผู้ใดทำลายคำมั่นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ จะบังเกิดเคราะห์ร้ายอาเพศแก่บุคคลผู้นั้น”
เมื่อเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีแล้ว บาทหลวงก็กล่าวว่า
“จากนี้ไปเจ้าทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันแล้ว จะไม่มีสิ่งใดสามารถแยกพวกเจ้าออกจากกันอีกต่อไป เทพเจ้าแห่งความรัก ความดีงาม และความซื่อสัตย์ ได้มาร่วมเป็นสักขีพยานแก่เจ้าในพิธีศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ นับแต่นี้เป็นต้นไป จะไม่มีใครสามารถทำให้การสมรสนี้เป็นโมฆะได้”
บทที่ 16
เค้าหน้าอันเครียดแลดูกระด้างราวกับหิน แววตาเย็นชาดุจรูปปั้น งันเหมือนต้องสาป ไม่มีคำพูดเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากบางเม้มสนิท มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขายอมปริปากพูดออกมาสักคำนึง ถึงแม้จะเป็นคำบริภาษด่าทอก็ตาม อย่างไรเสียมันก็คงดีกว่าความเงียบงันราวชั่วกัลชั่วกัลป์เช่นนี้
ในความเงียบแสนเงียบดังกล่าว นอกจากเสียงแห่งความเงียบ หล่อนได้ยินเสียงบริภาษตำหนิตนเอง ที่ปล่อยให้เกิดเรื่องน่าสมเพชเช่นนี้แก่ตนเอง
ทำไมถึงได้โง่เง่าเช่นนี้นะ ฟาลเนีย ทำไมถึงขาดความยับยั้งไร้สติถึงเพียงนั้น ทำไมถึงหลงกลอีตาเอดิออทจอมเจ้าเล่ห์ง่ายๆ ทำไมถึงไว้เนื้อเชื่อใจคนพรรณนั้นได้ ทำไม และทำไมกัน!
สำนึกส่วนสุดท้ายอันพร่าเลือน รื้อฟื้นได้ว่าตนเองกล่าวคำว่า ‘ข้ารับ’ ออกไปโดยไม่คิดสักนิดเดียว คำๆเดียวกลับกลายเป็น คำสัตย์ปฏิญาณอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่อาจเพิกถอน ถึงแม้ว่าจะเป็นคำกล่าวรับโดยมิได้เจตนา หากเพราะสติสัมปชัญญะอันลางเลือนเต็มที ทำให้หล่อนกล่าวตามอีกฝ่ายออกไปโดยไม่รู้ตัวก็ตาม แต่กระนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
หล่อนพยายามอ้อนวอนขอร้อง แกมบังคับขู่เข็นให้เอดิออทเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ให้มิด ย้ำหนักหนาว่าห้ามบอกกับใครโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะต้องได้เห็นดีกัน
“ถ้าเจ้าบอกเรื่องนี้กับใครเมื่อไหร่ละก็ ข้าจะ…ข้าจะ จะตัดลิ้นเจ้าโยนให้หมูกิน”
ในที่สุดเขาก็รับปากอย่างขอไปที ไม่ใช่เพราะว่ากลัวหล่อน แต่เนื่องจากว่ารำคาญเต็มทน ที่หล่อนไม่ยอมเลิกความพยายาม พร่ำข่มขู่ไปเรื่อยๆเช่นนั้น
ฟาลเนียทำใจรับเอาไว้แล้วว่า เอดิออทจะต้องหลุดปาก พูดเรื่องนี้ออกไปแน่นอน คนกะล่อนและดื้อรั้นเช่นเขา ไม่มีวันเก็บความลับประเภทนั้น ไว้ได้นานเกินกว่าสามวันหรอก หล่อนนึกด้วยความหวั่นใจ ไม่คิดฝากฝังความหวังไว้กับเขามากมาย แต่จนแล้วจนรอดเอดิออทก็ยังคงเก็บงำ ความลับเอาไว้ได้อย่างน่าประหลาดใจ อย่างน้อยที่สุดก็มิได้แพร่งพรายเรื่องนี้ กับบุคคลที่หล่อนหวาดกลัวว่าจะได้ยินมากที่สุด นั่นก็คือบุคคลที่นั่งตัวตรงสง่างาม อยู่เบื้องหน้าหล่อนในยามนี้นั่นเอง
และแล้วหล่อนก็ตกม้าตาย สุดท้ายตนเองนั่นแหล่ะ ที่อดรนทนไม่ไหว อึดอัดละอายแก่ใจ ไม่อาจเอาความจริงกลบฝังดิน เช่นผู้กระทำผิดที่ไร้จิตสำนึกได้ ในที่สุดหล่อนจึงเป็นฝ่ายสารภาพ ออกมาเองอย่างหมดเปลือก ต่อหน้าชายผู้ที่หล่อนเคารพรัก และศรัทธาที่สุดในชีวิต ด้วยหัวใจภักดีดวงนี้ที่มอบให้ บอกว่าตนเองจะไม่มีวันทรยศเขา ด้วยการอำพรางหลอกลวงใดๆทั้งสิ้น
สายตาท้อแท้มองผ่านม่านแห่งความเงียบงัน ซึ่งคลี่คลุมบรรยากาศรถม้า คันดังกล่าวเอาไว้จนแลดูหม่นมัว สบประสานกับแววตาที่พยายาม ข่มความรู้สึกตนเองไว้แนบสนิท ในที่สุดเจ้าชายธีโอดอร์ฟ ก็กล่าวตัดบทด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า
“พอแต่เพียงเท่านี้ดีกว่า ก่อนที่สมองของข้าจะระเบิดออกเพราะความเครียด ข้าไม่ได้มีพลังเหลือล้นมากพอ จะหมดเปลืองไปกับการคิดวกวน เกี่ยวกับเรื่องที่รบกวนจิตใจเช่นนี้ ยังมีเรื่องสำคัญเป็นอันดับแรกที่ต้องพุ่งเป้าหมาย คือกระทำภารกิจครั้งนี้ให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ เส้นทางที่ต้องบากบั่นฟันฝ่ากันไปเบื้องหน้านั้น เต็มไปด้วยอันตรายนานับประการณ์ จำต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้า กับสถานการณ์เลวร้ายอาจเกิดขึ้นเฉียบพลัน ไม่มีใครคอยตักเตือนล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น จำต้องรวดเร็วฉับไวที่สุด อาศัยจิตใจที่เข้มแข็ง และสติที่หนักแน่นมั่นคงเท่านั้น จะนำพาเราข้ามพ้น เงามฤตยูที่คอยจ้องเล่นงาน ตะปบหลังกระชากวิญญาณเราอยู่ทุกขณะจิต หากว่าใจสวามิภักดิ์ต่อความอ่อนแอ และสภาวะอารมณ์อันน่าประณามแล้วไซร้ ก็จะไม่มีบุรุษคนใดสามารถกระทำการใหญ่ให้สำเร็จลุล่วง”
ปราสาทสีดำปรากฏเลือนลางท่ามกลางสายหมอกเทาทึม ใต้หมู่เมฆดำที่เคลื่อนผ่านจันทร์ข้างแรมซีดจางเลือนลับไป สะท้อนภาพเงาของผาลาดตัดตรงลงมาจากเนินหินสูงๆต่ำๆ พุ่งลำแทงยอดแหลมกระจายงอกปรกคลุมอยู่ทั่วเนินดำลูกนั้น ทั้งสวยงามและน่ากลัวในคราเดียวกัน
“ท่านฝันร้ายเช่นนั้นรึ?”
ภูตหนุ่มซับน้ำตาซึ่งรินไหลออกมา จากดวงตาของนางผู้ทอดร่างอยู่เคียงข้าง บัดนี้ราชินีผู้เปี่ยมอำนาจกลับกลายเป็นเพียงสตรีบอบบางผู้หนึ่ง เบียดตัวอิงแอบในอ้อมกอดอุ่น ใบหน้างดงามแนบกับแผ่นอกกว้าง กระซิบทั้งที่ดวงตายังลืมอยู่ว่า
“ถึงแม้ว่าข้าจะกระทำการล้างแค้นพวกมัน แต่ความทรงจำก็มิได้ถูกลบล้าง ในความฝันข้ายังคงเป็นเด็กผู้หญิงเล็กๆ สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ซ่อนตัวอยู่หลังเงามืด ซึ่งพวกมันใช้ดาบเล่มนั้นกวาดต้อน และบั่นคอบิดาของข้าต่อหน้าต่อตา”
ดวงตาคมวาวของกิดิออน จ้องจับใบหน้างามอำมหิต ฉายรัศมีความเคียดแค้นเช่นเดียวกับ กุหลาบงามอุดมไปด้วยหนามแหลมคม มิได้หยั่งถึงประวัติศาสตร์ที่จารึกในใจนาง แต่กระนั้นก็พออ่านจากแววตากร้าวแข็งสีหม่นคู่นั้นออกว่า นางสะกดเก็บความข่มขื่นเอาไว้ลึกเพียงไร
ภูตวิหคหนุ่มคลี่ม่านผมดำขลับ ปรกลำคอผุดผาดของนางเปิดออก กระซิบข้างหูว่า
“เสียใจที่ข้าไม่อาจอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย ตัวท่านเองจึงต้องเผชิญสิ่งเลวร้ายเพียงลำพัง ถ้าเพียงแต่ข้าอยู่เคียงข้างท่านในยามนั้น ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ ข้าจะปกป้องคุ้มครองท่าน และพิทักษ์ราชวงศ์ดาร์คเนส มิให้ต้องล่มสลายลงไปเช่นที่เป็น ข้าคิดวกวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าหากข้าอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น แน่นอนศีรษะของข้าย่อมยื่นรับคมดาบเล่มนั้น แทนพระองค์ท่านโดยปราศจากความลังเล”
หล่อนกดนิ้วเรียวงามและเล็บงุ้มยาว ทับริมฝีปากของเขา ดุเบาๆว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่อาจทดดูเจ้าถูกใครเข่นฆ่าพรากเอาชีวิตไปได้ ไม่ว่าจะยามนั้นหรือยามนี้ก็ตาม ดังนั้นเจ้าจงอย่าแสดงเจตจำนงเช่นที่พูดอีก เพราะข้าฟังแล้วไม่สบายใจนัก”
v
v