The Light of Darkness [บทที่ 19]

กระทู้สนทนา
เอดิออทแยกตัวมานั่งอยู่ตามลำพัง บนโขดหินก้อนหนึ่งริมธารน้ำ ซึ่งเป็นเนินลาดลงมาทางทิศตะวันตกใกล้กับค่ายที่พัก  สายตาหม่นซึมทอดมองสายน้ำไหลริน กระทบโขดหินและคันดินชื้นแฉะ ประสานกับเสียงของกิ่งไม้ เสียดสีกันดังโต้ตอบสายลม อันเป็นเสียงของธรรมชาติ ประสานคล้องจองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่ามกลางบรรยากาศของผืนป่าโดยรอบ

แล้วหูของเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่ง ซึ่งผิดปรกติไปจากเสียงอันกลมกลืน สอดคล้องของบรรยากาศในขณะนั้น ดังแซกซากอยู่ในพงหญ้าและละเมาะไม้ แสงวาววับจากดวงตาคู่หนึ่ง สะท้อนแสงจันทร์สีทองอำพัน วูบไหวอยู่ในเงามืด จ้องมายังโขดหินที่ตั้งตระหง่านรองรับน้ำหนักตัวของเขาเอาไว้อย่างมั่นคงแข็งแรง มันหลบนิ่งอยู่หลังเงากำบังสีดำของพุ่มไม้ หยุดอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนชั่วขณะหนึ่ง กระทั่งอึดใจต่อมา เมื่อมันขยับเข้ามาใกล้ พ้นมุมบังของละเมาะไม้ มาหยุดยืนโดดเด่นอยู่กลางที่โล่ง ที่ตรงจุดนั้น เมื่อนั้นเองเขาจึงมองเห็นถนัดว่ามันคืออะไร

แสงจันทร์ขาวนวลทำให้ขนแข็งๆชี้ชัน ที่ปกคลุมร่างนั้นดูอ่อนนุ่มกว่าที่เป็น พวงหางฟูกระดกยกสูงขึ้นเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง เตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งที่มันไม่ไว้ใจว่าจะทำปฏิกริยาเช่นไร เขามองมันด้วยสายตาประหลาดใจ มันคือสุนัขจิ้งจอกสีเงินขนาดกลาง ท่าทางเยือกเย็นแต่ว่องไว

ทั้งสองชีวิตจ้องตากันอยู่ในความมืด ระหว่างเสียงสายน้ำและกิ่งไม่ไหว ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากธรรมชาติของป่าที่มีชีวิต ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง มาตั้งแต่อดีตกาลนานเนิ่น แล้วจะยังคงเป็นเช่นนั้นสืบเนื่องต่อไปอีก ในอนาคตอันไร้จุดจบของกาลเวลา

ครู่หนึ่งมันก็วกตัวกลับหลังกระโจนหลบไปในทันที เมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ บรุยเน่ย์ปรากฏตัวขึ้น หล่อนเดินเข้ามาจากด้านหลังของเอดิออท ไม่ทันสังเกตจิ้งจอกเงินที่หายตัวไปอย่างว่องไว หล่อนทิ้งตัวลงบนก้อนหิน มองขึ้นไปบนฟ้า กล่าวว่า

“ข้าเคยมองขึ้นไปบนฟ้าในคืนที่ดาวสว่างกว่านี้ เมื่อตอนที่ข้ายังอยู่ในหมู่บ้านมนต์ขาว ตอนที่ข้ายังวิ่งเล่นซุกซน มันคงดีไม่น้อยถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ข้าอยากจะเก็บรักษาช่วงเวลาเหล่านั้นไว้ให้ยาวนานที่สุด แล้วเจ้าล่ะ เอดิออท เจ้าอยากเก็บรักษา ความทรงจำเกี่ยวกับหมู่บ้านของเรา ช่วงเวลาใดเอาไว้มากที่สุด”

“ไม่มีอะไรที่ข้าอยากเก็บไว้เลยสักอย่าง” เขากล่าวน้ำเสียงเย็นชา

หล่อนมองดูเขาด้วยแววตาเป็นกังวล พูดว่า

“เจ้าเปลี่ยนไปมากนะ ในช่วงเวลาอันสั้น ไม่เหมือนเอดิออทคนเดิมที่ข้าเคยรู้จักเลย”

“แล้วเอดิออทคนเดิมที่เจ้าเคยรู้จักเป็นแบบไหนล่ะ” เสียงของเขาเสียดแทงเหมือนใบมีด

“เอดิออทที่ข้ารู้จัก สนุกสนาน และร่าเริง ทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆหัวเราะได้เสมอ บางครั้งเขาอาจเงียบขรึม และชอบขบคิดอะไรตามลำพังคนเดียว แต่เขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะทำตัวประชดประชัน แสดงอารมณ์กร้าวร้าวออกมาแบบนี้”

แววตาของเอดิออทจ้องหล่อนเหมือนว่าโกรธจัด แต่หากมองลึกลงไปกว่านั้น ก็จะเห็นถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน เช่นที่หล่อนเห็นอยู่ในขณะนี้

“ข้ารู้ว่า..” หล่อนกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “..เจ้ากำลังต่อสู้กับสับสน และความรู้สึกไร้ค่าในตัวเอง ด้วยท่าทางเช่นที่เจ้าแสดงออกมา เจ้าสวมชุดเกราะแข็งกระด้างและเย็นชาเอาไว้ เพื่อซ่อนความอ่อนแอและอ่อนไหวของเนื้อแท้ที่อยู่ข้างใน”

บางทีหล่อนอาจกล่าวถูก เขารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งสับสนและอ่อนแอ อีกทั้งยังรู้สึกว่าตนนั้นไร้ค่า ไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ ฟาลเนียเป็นผู้หญิงคนแรก ที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ เอดิออทพยายามไม่นึกถึงฟาลเนีย เขาไม่อยากนึกถึงหล่อนอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ทำไม่ได้ เขาคิดถึงฟาลเนียเกือบตลอดเวลา ใบหน้าของเธอ น้ำเสียงของเธอ มันวนเวียนอยู่ในตัวเขา ราวกับว่าเธออยู่กับเขาตลอดเวลา แต่เขาก็จำต้องยอมรับความจริงที่น่าปวดใจว่า ยิ่งเขาใกล้เธอมากเท่าไหร่ กลับยิ่งรู้สึกว่าเหินห่างมากขึ้นเท่านั้น

“ข้ารู้ว่าเจ้ารักเจ้าหญิงฟาลเนีย” หล่อนกล่าว “แต่ความรักของเจ้าเป็นความรักประเภทไหนกัน ขอถามหน่อยเถอะนะ เจ้ากำลังทำให้คนที่เจ้ารัก เป็นเช่นไรลองตรองดู อย่าได้โกหกตัวเอง”

มันช่างง่ายดายเหลือเกิน ที่จะทำให้หล่อนมาปรากฏตรงหน้า แต่กลับยากยิ่งที่จะผลักไส ใบหน้าอันสดใสของฟาลเนีย กลายเป็นใบหน้าที่เศร้าหมองและเย็นชา กี่ครั้งกี่หนแล้วที่หล่อนต้องผิดหวัง เสียใจ และร่ำไห้ต่อหน้าเขา และความจริงที่น่าเจ็บปวดที่สุดก็คือ หล่อนร้องไห้เพราะเขานั่นเอง เขาคือต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด

“เจ้าพยายามเรียกร้องความสนใจจากนาง โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นเลย เจ้าใช้วิธีขี้โกงต่างๆนาๆ เพื่อแย่งชิงมาเป็นของตัวเอง แต่เจ้าจะครอบครองเอาไว้ได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของเจ้าหญิงฟาลเนียมอบให้ผู้อื่นไปแล้ว”

เอดิออทคอแข็งขึ้นมาทันที ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย เขาขมกรามแน่น

“บางทีนางอาจจะรักเจ้าบ้างในส่วนลึกของหัวใจ แต่ก็เป็นรักที่บริสุทธิ์ เช่นที่นางมีให้เพื่อนมนุษย์ทุกคน เจ้าจงยอมรับและรับมันไว้เถอะ อย่าคาดหวังมากไปกว่า ปรารถนาอันดีงามของหล่อน พอใจในสิ่งที่มันเป็นของเจ้า เจ้าก็จะไม่ผิดหวังเจ็บปวดเลย อย่าพยายามเรียกร้องสิ่งที่เป็นของผู้อื่น มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะ เอดิออท อย่าโทษตัวเองเลย ไม่ใช่เพราะเจ้าไร้ค่า หรือว่าไม่ดีพอ แต่เป็นเพราะหัวใจของนางมอบให้ผู้อื่นแล้วแต่แรกแล้วต่างหาก นางรักธีโอดอร์ฟ รักอย่างหมดหัวใจ ตัวข้าพอจะรู้ ตัวเจ้าย่อมรู้ดียิ่งกว่า”

เอดิออทลุกขึ้นทันที เพราะไม่อยากทนฟังคำพูดเสียดแทงราวกับใบมีดของหล่อนอีกต่อไป จึงผละเดินจากมาโดยที่บรุยเนย์ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอีกเป็นเวลานาน



คืนนี้อากาศอบอุ่นขึ้นกว่าเมื่อคืนวาน ฟาลเนียแหงนมองท้องฟ้า ขณะก้าวเท้าออกมานอกกระโจม ดวงดาวประดับฟ้าประปรายในค่ำคืนนี้ แม้ไม่มากมายเต็มฟ้า เช่นที่มองเห็นจากระเบียงปราสาทในกลามีธีส แต่ก็ช่วยให้ความมืดของสถานที่อันสงบ เป็นธรรมชาติแห่งนี้สวยงามและชวนเคลิ้มฝัน

ร่างหนึ่งเดินเข้ามาหา เมื่อหล่อนหันไปมอง ก็พบว่าเจ้าชายธีโอดอร์ฟนั่นเอง ที่เดินเข้ามา

“เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ ฟาลเนีย?” เสียงของเขากังวานก้อง ดวงตาวาววามดุจแสงดาว เป็นประกายสดใสและอ่อนโยน สบประสานกับดวงตาคู่งาม

“เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าเป็นห่วงเจ้ามากเพียงใด เมื่อเจ้าหายตัวไป ถ้าเจ้าไม่กลับมา ก็คงไม่มีใครพบข้าอีกเช่นกัน เพราะข้าจะติดตามเจ้าไปให้ถึงสุดขอบฟ้าเลยทีเดียว”

หล่อนหัวเราะเบาๆ “ท่านจะตามข้าไปไกลถึงเพียงนั้นเลยหรือ” แล้วพูดต่อมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า

“ธีโอดอร์ฟ ท่านยังรักข้าอยู่หรือ?”

“ข้ารักเจ้าเสมอมา และไม่น้อยไปกว่าที่เคยรัก” น้ำเสียงของเขาคลายความกระด้างชา กลับมาฟังดูอ่อนโยนเหมือนเก่า

“ท่านไม่โกรธข้าแล้วใช่มั้ย?”

“ข้าไม่สมควรโกรธเจ้าเลยด้วยซ้ำไป ข้าขอโทษที่แสดงท่าทางไม่เหมาะสมก่อนหน้านี้ ให้อภัยข้านะ ฟาลเนีย”

เจ้าหญิงมองตาเขาด้วยความซาบซึ้ง นี่แหล่ะคือเจ้าชายธีโอดอร์ฟที่หล่อนรู้จักมาตลอดชีวิต เขาผู้อบอุ่นอ่อนโยนและพึ่งพิงได้ หล่อนคิด

“ถ้าดวงดาวร่วงลงมาจากฟ้า ข้าจะขออธิฐานให้ได้อยู่เคียงข้างท่านตลอดไป” หล่อนกล่าว หันไปมองดวงดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้า แล้วหันมาสบตาเขาด้วยแววตาหวานซึ้ง

เขามองขึ้นไปที่ดวงดาวเหล่านั้น ครู่ขณะหนึ่งก็หันกลับมา เม้มปากสนิทเป็นเส้นตรง แล้วกล่าวออกมาช้าๆด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า

“ดวงดาวเฝ้ามองเราอยู่ ทวยเทพสถิตดวงวิญญาณอยู่กับแสงดาวทุกดวงบนฟ้านั่น ภายใต้ภิภพที่ดวงดาราครอบคลุมอยู่ เจ้ากับเอดิออทได้กล่าวปฏิญาณให้คำมั่นสัญญา ว่าจะเป็นคู่ชีวิตของกันและกันตลอดไปมิใช่หรือ”

ฟาลเนียริมฝีปากกระตุก หันมาทำตาเว้าวอน กล่าวอย่างร้อนรนว่า “นั่นเป็นเรื่องที่ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่มีเจตนาที่จะพูดเช่นนั้นออกไปเลย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยึดมั่นเป็นจริงเป็นจังมิใช่หรือ”

ธีโอดอร์ฟมิได้สบตาหล่อน มีเงาทุกข์ตรมบางอย่างแฝงอยู่ในกริยาของเขา ขณะที่กล่าวออกมาช้าๆว่า
“พวกเราอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ ที่ทวยเทพให้ความคุ้มครองและประทานพรให้ คำปฏิญานต่อทวยเทพนั้นถือว่าศักดิ์สิทธิ์ หากเจ้าไม่เคารพยำเกรงเทพเจ้าย่อมเกิดอาเพศ เหมือนเช่นที่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต..”

หล่อนมองตาเขาอย่างไม่เข้าใจ “ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”

“โบราณกล่าวว่าจะบังเกิดเคราะห์ร้าย แก่ผู้ที่ระเมิดสัจจะปฏิญาณต่อเทพเจ้า และมันก็เกิดขึ้นในอดีตกับกษัตริย์ธีโอดอร์ และพระราชินีธิวดูเรีย”

v
v
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่