ลมตะวันตกพัดพากลุ่มเมฆฝนเปลี่ยนทิศไปทางทิศตะวันออก มังกรบินข้ามหุบผาเงาซึ่งหลบซ่อนอยู่ในเทือกเขาสีหม่น ภายใต้การจับตามองของภูตวิหคหนุ่มนามว่ากิดิออน เขาอยู่ในจุดที่ใกล้กับท้องฟ้าที่สุด ตอกกงเล็บอันคมตรึงกับกิ่งอันหนา ตะปุ่มตะป่ำ และบิดเบี้ยว ของโอ๊คยักษ์เปลือกแข็งสีสนิมด้าน ซึ่งเป็นต้นไม้ยืนยามเพียงต้นเดียวที่สูงที่สุดในป่าแถบนั้น มันแผ่กิ่งก้านสาขาเหมือนมือทั้งสิบสาม ชูไขว่คว้าหาก้อนเมฆ ตรงบริเวณโคนต้นมีเห็ดพิษหมวกแดง ขนาดเท่าหัวคนผุดกระจายอยู่เต็มขนัด ส่วนรากก็หยั่งลึกลงไปในดินที่โชยกลิ่นใบไม้เน่า
ตั้งแต่ข้ามพ้นบริเวณเนินป่าโบราณลูกนั้น อันเต็มไปด้วยต้นสนเปลือกแตก ลวดลายคล้ายหินเก่าคร่ำครา กิดิออนรู้ดีว่ามีบางสิ่งสะกดรอยตามเขามา
สายตาคมกริบดุจใบมีดของเจ้าแห่งเปลวไฟผู้ครอบครองเวหา สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล จึงไม่จำเป็นต้องเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เป้าหมาย ทำให้การสะกดรอยตามเป็นไปอย่างเงียบเชียบ แต่ระยะห่างเพียงเท่านั้นก็ไม่ไกล เกินกว่าวิหคจะสัมผัสได้ด้วยประสาทอันเฉียบคม สายลมตะวันตกกระซิบบอกปีกของเขา ว่ากลิ่นอายของมังกรลอยมาจากทิศทางใด แต่ในเมื่อมังกรไม่แสดงตัวออกมา ก็ปล่อยให้เขาเป็นเงาต่อไป ภูตวิหคหนุ่มยอมรับความคิดน่าขันไร้เหตุผลของตนว่า บางครั้งการเป็นผู้ถูกสะกดรอยตามเสียเองบ้าง ก็ทำให้งานชนิดนี้ไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก
กิดิออนปล่อยให้มังกรบินจากไปพร้อมกับเหยื่อที่หมายตา ยกแหวนและสตรีศักดิ์สิทธิ์ให้เด็กหนุ่ม ผู้ดื้อรั้นแต่ไม่ฉลาดเฉลียวผู้นั้น ดูแลสมบัติดังกล่าวแทนเขาไปก่อน ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน เด็ดดอกไม้ที่ยังไม่ผลิบาน หาประโยชน์อันใดจากดอกไม้ที่ยังตูมอยู่ พอใจกับการเฝ้าดูต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แล้วจึงค่อยกลับมาฉกฉวยเมื่อถึงเวลา การเฝ้ารอไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย ตรงกันข้าม กลับทำให้เป้าหมายที่ปรากฏตรงหน้า ดึงดูดล่อตาล่อใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
กองไฟใหญ่ลุกโชนอยู่กลางค่ายพักแรมตลอดราตรีอันหนาวเย็น หลงเหลือเพียงเขม่าควันบางเบาท่ามกลางบรรยากาศอันขมุกขมัว ไม่มีใครรู้ตัวว่าแสงแรกของตะวัน สาดกระทบเปลือกตาของตนตั้งแต่ยามใด แม้แต่องครักษ์ผู้มีดวงตาดุจนกฮูก คอยเฝ้ายามราวกับนกเค้าแมวตลอดทั้งคืน ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ลืมตาตื่นมาพบกับดวงตะวันสาดลำจ้าลงมาจากยอดไม้สูงลิบ
เจ้าชายธีโอดอร์ฟเองก็ดูเหมือนเพิ่งตื่นได้เพียงไม่นาน ขยี้เปลือกตาเขี่ยขนตาสีทองเส้นหนึ่งออกจากดวงตา อ้าปากหาวพร้อมกับก้าวเท้าออกมาจากกระโจม พร้อมๆกับเจ้าชายเอดิออท ที่ออกมาจากกระโจมฝั่งตรงข้ามราวกับนัดหมายกันไว้
“อรุณสวัสดิ์พี่ชายข้า” เจ้าชายจอมแสบกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง สะกิดอารมณ์ขุ่นเคืองที่นอนเนืองอยู่ตลอดคืนให้ตื่นขึ้นมาทันใด
“ให้ทวยเทพสาปแช่งเถอะ แม้แต่ในความฝันข้าก็ไม่ขอมีน้องชายเช่นเจ้า”
ธีโอดอร์ฟคำรามถ้อยคำนั้นอยู่ในลำคอ ลากฝีเท้าหนักๆผ่านหน้า ผู้ที่แกล้งฉีกยิ้มเหมือนคนงี่เง่า โดยไม่อยากจะแลแม้แต่หางตา
เค้าหน้าอันเครียดขรึมฉายแววซึมหม่น มองไปยังปากกระโจมที่พักของ ผู้เป็นน้องสาวต่างสายเลือด ลมหายใจร้อนระอุเช่นเดียวกับความรู้สึกที่แผดเผาอยู่ภายใน พ่นออกมาจากจมูกลากเสียงถอนใจยาว แผ่นไหล่เอียงลู่ราวกับแบกของหนักไว้เต็มสองบ่า กลับเหยียดกว้าง ยืดตัวขึ้นอีกครั้ง เดินตรงไปยังเป้าหมายที่สายตาจับอยู่
ร่างสง่าผึ่งผ่ายมาถึงกระโจมที่พักของเจ้าหญิง แต่ขาทั้งสองข้างกลับชะงักหยุดอยู่ด้านหน้า ลังเลว่าจะก้าวเข้าไปดีหรือไม่ ได้ยินเสียงหัวเราะ ระคนเย้ยเยาะ ดังแว่วบาดหูมาจากด้านหลัง พูดว่า
“มัวแต่รีรอชักช้าอยู่แบบเนี้ยแหล่ะ ราชสีห์เลยถูกสุนัขป่า ชิงคาบเนื้อไปรับประทานตัดหน้า!”
แล้วร่างปราดเปรียวว่องไว ก็เดินตัดผ่านหน้าของเขาไป แต่ไม่ทันที่จะเข้าไปในกระโจม ก็มีมือเหล็กขยุ้มคอเสื้อจากด้านหลัง กระชากหน้าหงาย ซวนเซเสียหลักกระแทกเข้ากับไหล่อันหนา ผลักตัวเขาให้หลีกทาง หลบร่างสูงสง่าบึกบึนกว่า ให้เข้าไปในกระโจมของเจ้าหญิง
แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเองในขณะนี้
ภายในกระโจมไร้ซึ่งวี่แววราวกับว่าไม่เคยมีหล่อนอยู่มาก่อนเลย บนเตียงนอนนั้นว่างเปล่า หล่อนหายตัวไปแล้วจากที่นี่
‘ทวยเทพจงพินาศ ขอให้เป็นเพียงฝันร้ายเถอะ!’
เขาได้ยินเสียงสาปแช่งเทพเจ้าดังก้องภายในใจ
เอดิออทตามเข้ามาประชิด ชะงักเท้ายืนตะลึงอยู่ข้างหลัง ละล่ำละลักถามด้วยอาการตระหนกว่า
“ฟาลเนียไม่อยู่หรือ? หล่อนหายไปหรือ?”
“ถามความว่างเปล่าที่เจ้าเห็นเองสิ! ให้ตายเถอะ ข้าอยากสาปแช่งทวยเทพนัก”
เจ้าชายธีโอดอร์ฟแทบสยบอารมณ์พลุ่งพล่านไม่อยู่ แต่เขาก็สามารถควบคุมสติได้ดีกว่าเอดิออท ผู้ซึ่งไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าวมาก่อน ยังคงยืนตะลึงนิ่ง ขณะที่เขาผละจากกระโจมไปอย่างว่องไว ชัดเจนว่าต้องทำเช่นไร
เจ้าชายธีโอดอร์ฟ ส่งสัญญาณเรียกองค์รักษ์ให้มารวมตัวกัน พร้อมออกคำสั่งด้วยความรวดเร็ว เหล่าองครักษ์น้อมรับคำบัญชา แยกย้ายกระจายตัวออกค้นหาเจ้าหญิงทั่วบริเวณที่พัก และไกลออกไปเท่าที่กีบเท้าม้าจะพาไป
เจ้าชายธีโอดอร์ฟจำต้องยุติความคิด ที่จะกระโจนขึ้นไปบนหลังม้า แล้วควบทะยานออกไปในทันที เนื่องจากการกระทำหุนหันดังกล่าว มีแต่จะสร้างความแตกตื่นตกใจแก่ผู้เดินทางมาด้วยกันเป็นหมู่คณะ ในฐานะของผู้นำ เขาจะต้องควบคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่ให้แย่ลงกว่าเดิม พยายามข่มจิตใจด้วยความมุ่งมั่น ปล่อยให้เหล่าองครักษ์ผู้ชำนาญการ ไปปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย ตนเองอยู่รอจนกว่าเหล่าองครักษ์ที่ถูกส่งตัวไปจะย้อนกลับมา
ตะโกนบอกกับทวยเทพในใจว่า ถ้าคนของเขากลับมามือเปล่า เขาก็พร้อมจะทอดทิ้งบริวาร และขบวนทั้งหมดเอาไว้ที่เนินเขาลูกนี้ โดยจะไม่ย้อนกลับมาจนกว่าจะหาตัวเจ้าหญิงฟาลเนียพบ
เจ้าชายผู้มีดาบอัศวินคาดเอวอยู่เป็นนิจ เรียกองครักษ์ผู้เฝ้ายามมาประชุมพร้อมกัน ซักถามทีละคนว่า
“เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร พวกเจ้าตอบข้ามาทีละคน”
ไม่มีใครสามารถให้คำตอบชัดเจน ต่างมองหน้ากันเองอยู่ไปมา
“ทำไมพวกเจ้าถึงได้หละหลวมเช่นนี้ สมควรเอาไปตัดหัวให้หมด!”
เจ้าชายธีโอดอร์ฟพ่นถ้อยคำออกมาราวกับเปลวไฟ
ทันทีที่ทราบข่าวว่าฟาลเนียหายตัวไป หญิงชราและสาวน้อยบรุยเนย์ต่างไม่อาจซ่อนความตกใจ รีบร้อนออกมาจากกระโจมที่พัก ซักถามอัศวินที่เดินขวักไขว่ไปมา ต่างมีสีหน้ากลัดกลุ้มระส่ำระสาย ทั้งที่มีสายตาขององครักษ์จำนวนมากมาย คอยสอดส่องเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหญิงหายตัวไปได้อย่างไร
อัศวินผู้หนึ่งจูงม้าเข้ามาหาเจ้าชายเอดิออทตามคำสั่ง ม้าตัวนั้นมีสีขาวเหมือนทะเลสาบในฤดูหิมะกับแผงคอที่เหมือนกับควันดำ ยืนส่ายขนหางยาวอย่างสง่างามอยู่ตรงหน้า เมื่อเจ้าชายสอดเท้าเข้าไปในโกลนสั้นเพื่อยันตัวขึ้นไปบนอานม้า มือหนึ่งก็ฉวยสายบังเหียน พร้อมกับยึดหัวไหล่ของเขาเอาไว้
“เจ้าจะไปไหน?”
นั่นฟังดูเหมือนกับคำถาม แต่เขารู้ว่ามันคือคำสั่งห้าม
“ก็จะไปตามหาฟาลเนียน่ะสิ” เจ้าชายหนุ่มผมดำดุจเดียวกับแผงคอม้า ปัดมือที่ยึดไหล่ตนออก ปีนขึ้นไปบนหลังม้าด้วยความคล่องแคล่ว มองลงมาจากระดับที่สูงกว่า
ร่างที่ยืนอยู่มองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง กล่าวด้วยเสียงกังวานทุ้มว่า
“ไม่มีประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น ถ้าเจ้าหายไปอีกคน ทุกคนที่เหลือจะแตกตื่นยิ่งกว่านี้ ข้าได้ส่งคนไปตามหาฟาลเนียแล้ว เจ้าจะต้องรอฟังข่าวอยู่ที่นี่”
“ใครจะใจเย็นอยู่ได้ ฟาลเนียหายไปทั้งคน ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไป” เอดิออทแสดงความดื้อดึง ด้วยความมุ่งมั่นชนิดหนึ่งที่ไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้
“อย่าลืมว่าเจ้าเป็นใคร บัดนี้เจ้าไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดาอีกต่อไป แต่เจ้าคือเจ้าชายแห่งกลามีธีส เจ้าต้องสร้างความมั่นคงแก่บริวารที่เหลืออยู่ ให้เชื่อมั่นว่าเจ้าจะยืนหยัด อยู่เคียงข้างไม่ทอดทิ้งพวกเขาไป ไม่ว่าสถานการณ์อันใด เจ้าจะต้องเป็นขวัญกำลังใจให้กับคนเหล่านั้น แล้วใช้สติปัญญาว่าจะทำเช่นไรต่อ เข้าใจที่ข้าพูดบ้างมั้ย?” เจ้าชายธีโอดอร์ฟ กล่าวด้วยความอดทนอดกลั้น
“แต่ความหวังของข้า มันหายไปแล้ว พร้อมกับฟาลเนีย”
เสียงของเขาขาดห้วงเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ ธีโอดอร์ฟคอแข็งขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน
แล้วองค์รักษ์ผู้หนึ่งก็ควบม้าเร่งฝีเท้าวิ่งกลับมา ด้วยความรวดเร็วจนฝุ่นตลบกลบหลัง แจ้งข่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “องค์หญิงนั่งอยู่บนหลังของมังกร กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ พ่ะย่ะค่ะ”
“ฟาลเนียนั่งบนหลังมังกรหรือ ทวยเทพ!” เจ้าชายเอดิออทร้อง ดวงตาเป็นประกาย
“เป็นไปได้หรือ เจ้ามั่นใจแค่ไหน?” เจ้าชายธีโอดอร์ฟถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“หากว่าข้าพระองค์ กล่าวผิดแม้เพียงคำเดียว ขอให้ท่านนำข้าไปตัดศีรษะได้เลย พ่ะย่ะค่ะ”
v
v
The Light of Darkness [บทที่ 18]
ตั้งแต่ข้ามพ้นบริเวณเนินป่าโบราณลูกนั้น อันเต็มไปด้วยต้นสนเปลือกแตก ลวดลายคล้ายหินเก่าคร่ำครา กิดิออนรู้ดีว่ามีบางสิ่งสะกดรอยตามเขามา
สายตาคมกริบดุจใบมีดของเจ้าแห่งเปลวไฟผู้ครอบครองเวหา สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล จึงไม่จำเป็นต้องเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เป้าหมาย ทำให้การสะกดรอยตามเป็นไปอย่างเงียบเชียบ แต่ระยะห่างเพียงเท่านั้นก็ไม่ไกล เกินกว่าวิหคจะสัมผัสได้ด้วยประสาทอันเฉียบคม สายลมตะวันตกกระซิบบอกปีกของเขา ว่ากลิ่นอายของมังกรลอยมาจากทิศทางใด แต่ในเมื่อมังกรไม่แสดงตัวออกมา ก็ปล่อยให้เขาเป็นเงาต่อไป ภูตวิหคหนุ่มยอมรับความคิดน่าขันไร้เหตุผลของตนว่า บางครั้งการเป็นผู้ถูกสะกดรอยตามเสียเองบ้าง ก็ทำให้งานชนิดนี้ไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก
กิดิออนปล่อยให้มังกรบินจากไปพร้อมกับเหยื่อที่หมายตา ยกแหวนและสตรีศักดิ์สิทธิ์ให้เด็กหนุ่ม ผู้ดื้อรั้นแต่ไม่ฉลาดเฉลียวผู้นั้น ดูแลสมบัติดังกล่าวแทนเขาไปก่อน ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน เด็ดดอกไม้ที่ยังไม่ผลิบาน หาประโยชน์อันใดจากดอกไม้ที่ยังตูมอยู่ พอใจกับการเฝ้าดูต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แล้วจึงค่อยกลับมาฉกฉวยเมื่อถึงเวลา การเฝ้ารอไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย ตรงกันข้าม กลับทำให้เป้าหมายที่ปรากฏตรงหน้า ดึงดูดล่อตาล่อใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
กองไฟใหญ่ลุกโชนอยู่กลางค่ายพักแรมตลอดราตรีอันหนาวเย็น หลงเหลือเพียงเขม่าควันบางเบาท่ามกลางบรรยากาศอันขมุกขมัว ไม่มีใครรู้ตัวว่าแสงแรกของตะวัน สาดกระทบเปลือกตาของตนตั้งแต่ยามใด แม้แต่องครักษ์ผู้มีดวงตาดุจนกฮูก คอยเฝ้ายามราวกับนกเค้าแมวตลอดทั้งคืน ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ลืมตาตื่นมาพบกับดวงตะวันสาดลำจ้าลงมาจากยอดไม้สูงลิบ
เจ้าชายธีโอดอร์ฟเองก็ดูเหมือนเพิ่งตื่นได้เพียงไม่นาน ขยี้เปลือกตาเขี่ยขนตาสีทองเส้นหนึ่งออกจากดวงตา อ้าปากหาวพร้อมกับก้าวเท้าออกมาจากกระโจม พร้อมๆกับเจ้าชายเอดิออท ที่ออกมาจากกระโจมฝั่งตรงข้ามราวกับนัดหมายกันไว้
“อรุณสวัสดิ์พี่ชายข้า” เจ้าชายจอมแสบกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง สะกิดอารมณ์ขุ่นเคืองที่นอนเนืองอยู่ตลอดคืนให้ตื่นขึ้นมาทันใด
“ให้ทวยเทพสาปแช่งเถอะ แม้แต่ในความฝันข้าก็ไม่ขอมีน้องชายเช่นเจ้า”
ธีโอดอร์ฟคำรามถ้อยคำนั้นอยู่ในลำคอ ลากฝีเท้าหนักๆผ่านหน้า ผู้ที่แกล้งฉีกยิ้มเหมือนคนงี่เง่า โดยไม่อยากจะแลแม้แต่หางตา
เค้าหน้าอันเครียดขรึมฉายแววซึมหม่น มองไปยังปากกระโจมที่พักของ ผู้เป็นน้องสาวต่างสายเลือด ลมหายใจร้อนระอุเช่นเดียวกับความรู้สึกที่แผดเผาอยู่ภายใน พ่นออกมาจากจมูกลากเสียงถอนใจยาว แผ่นไหล่เอียงลู่ราวกับแบกของหนักไว้เต็มสองบ่า กลับเหยียดกว้าง ยืดตัวขึ้นอีกครั้ง เดินตรงไปยังเป้าหมายที่สายตาจับอยู่
ร่างสง่าผึ่งผ่ายมาถึงกระโจมที่พักของเจ้าหญิง แต่ขาทั้งสองข้างกลับชะงักหยุดอยู่ด้านหน้า ลังเลว่าจะก้าวเข้าไปดีหรือไม่ ได้ยินเสียงหัวเราะ ระคนเย้ยเยาะ ดังแว่วบาดหูมาจากด้านหลัง พูดว่า
“มัวแต่รีรอชักช้าอยู่แบบเนี้ยแหล่ะ ราชสีห์เลยถูกสุนัขป่า ชิงคาบเนื้อไปรับประทานตัดหน้า!”
แล้วร่างปราดเปรียวว่องไว ก็เดินตัดผ่านหน้าของเขาไป แต่ไม่ทันที่จะเข้าไปในกระโจม ก็มีมือเหล็กขยุ้มคอเสื้อจากด้านหลัง กระชากหน้าหงาย ซวนเซเสียหลักกระแทกเข้ากับไหล่อันหนา ผลักตัวเขาให้หลีกทาง หลบร่างสูงสง่าบึกบึนกว่า ให้เข้าไปในกระโจมของเจ้าหญิง
แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเองในขณะนี้
ภายในกระโจมไร้ซึ่งวี่แววราวกับว่าไม่เคยมีหล่อนอยู่มาก่อนเลย บนเตียงนอนนั้นว่างเปล่า หล่อนหายตัวไปแล้วจากที่นี่
‘ทวยเทพจงพินาศ ขอให้เป็นเพียงฝันร้ายเถอะ!’
เขาได้ยินเสียงสาปแช่งเทพเจ้าดังก้องภายในใจ
เอดิออทตามเข้ามาประชิด ชะงักเท้ายืนตะลึงอยู่ข้างหลัง ละล่ำละลักถามด้วยอาการตระหนกว่า
“ฟาลเนียไม่อยู่หรือ? หล่อนหายไปหรือ?”
“ถามความว่างเปล่าที่เจ้าเห็นเองสิ! ให้ตายเถอะ ข้าอยากสาปแช่งทวยเทพนัก”
เจ้าชายธีโอดอร์ฟแทบสยบอารมณ์พลุ่งพล่านไม่อยู่ แต่เขาก็สามารถควบคุมสติได้ดีกว่าเอดิออท ผู้ซึ่งไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าวมาก่อน ยังคงยืนตะลึงนิ่ง ขณะที่เขาผละจากกระโจมไปอย่างว่องไว ชัดเจนว่าต้องทำเช่นไร
เจ้าชายธีโอดอร์ฟ ส่งสัญญาณเรียกองค์รักษ์ให้มารวมตัวกัน พร้อมออกคำสั่งด้วยความรวดเร็ว เหล่าองครักษ์น้อมรับคำบัญชา แยกย้ายกระจายตัวออกค้นหาเจ้าหญิงทั่วบริเวณที่พัก และไกลออกไปเท่าที่กีบเท้าม้าจะพาไป
เจ้าชายธีโอดอร์ฟจำต้องยุติความคิด ที่จะกระโจนขึ้นไปบนหลังม้า แล้วควบทะยานออกไปในทันที เนื่องจากการกระทำหุนหันดังกล่าว มีแต่จะสร้างความแตกตื่นตกใจแก่ผู้เดินทางมาด้วยกันเป็นหมู่คณะ ในฐานะของผู้นำ เขาจะต้องควบคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่ให้แย่ลงกว่าเดิม พยายามข่มจิตใจด้วยความมุ่งมั่น ปล่อยให้เหล่าองครักษ์ผู้ชำนาญการ ไปปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย ตนเองอยู่รอจนกว่าเหล่าองครักษ์ที่ถูกส่งตัวไปจะย้อนกลับมา
ตะโกนบอกกับทวยเทพในใจว่า ถ้าคนของเขากลับมามือเปล่า เขาก็พร้อมจะทอดทิ้งบริวาร และขบวนทั้งหมดเอาไว้ที่เนินเขาลูกนี้ โดยจะไม่ย้อนกลับมาจนกว่าจะหาตัวเจ้าหญิงฟาลเนียพบ
เจ้าชายผู้มีดาบอัศวินคาดเอวอยู่เป็นนิจ เรียกองครักษ์ผู้เฝ้ายามมาประชุมพร้อมกัน ซักถามทีละคนว่า
“เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร พวกเจ้าตอบข้ามาทีละคน”
ไม่มีใครสามารถให้คำตอบชัดเจน ต่างมองหน้ากันเองอยู่ไปมา
“ทำไมพวกเจ้าถึงได้หละหลวมเช่นนี้ สมควรเอาไปตัดหัวให้หมด!”
เจ้าชายธีโอดอร์ฟพ่นถ้อยคำออกมาราวกับเปลวไฟ
ทันทีที่ทราบข่าวว่าฟาลเนียหายตัวไป หญิงชราและสาวน้อยบรุยเนย์ต่างไม่อาจซ่อนความตกใจ รีบร้อนออกมาจากกระโจมที่พัก ซักถามอัศวินที่เดินขวักไขว่ไปมา ต่างมีสีหน้ากลัดกลุ้มระส่ำระสาย ทั้งที่มีสายตาขององครักษ์จำนวนมากมาย คอยสอดส่องเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหญิงหายตัวไปได้อย่างไร
อัศวินผู้หนึ่งจูงม้าเข้ามาหาเจ้าชายเอดิออทตามคำสั่ง ม้าตัวนั้นมีสีขาวเหมือนทะเลสาบในฤดูหิมะกับแผงคอที่เหมือนกับควันดำ ยืนส่ายขนหางยาวอย่างสง่างามอยู่ตรงหน้า เมื่อเจ้าชายสอดเท้าเข้าไปในโกลนสั้นเพื่อยันตัวขึ้นไปบนอานม้า มือหนึ่งก็ฉวยสายบังเหียน พร้อมกับยึดหัวไหล่ของเขาเอาไว้
“เจ้าจะไปไหน?”
นั่นฟังดูเหมือนกับคำถาม แต่เขารู้ว่ามันคือคำสั่งห้าม
“ก็จะไปตามหาฟาลเนียน่ะสิ” เจ้าชายหนุ่มผมดำดุจเดียวกับแผงคอม้า ปัดมือที่ยึดไหล่ตนออก ปีนขึ้นไปบนหลังม้าด้วยความคล่องแคล่ว มองลงมาจากระดับที่สูงกว่า
ร่างที่ยืนอยู่มองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง กล่าวด้วยเสียงกังวานทุ้มว่า
“ไม่มีประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น ถ้าเจ้าหายไปอีกคน ทุกคนที่เหลือจะแตกตื่นยิ่งกว่านี้ ข้าได้ส่งคนไปตามหาฟาลเนียแล้ว เจ้าจะต้องรอฟังข่าวอยู่ที่นี่”
“ใครจะใจเย็นอยู่ได้ ฟาลเนียหายไปทั้งคน ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไป” เอดิออทแสดงความดื้อดึง ด้วยความมุ่งมั่นชนิดหนึ่งที่ไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้
“อย่าลืมว่าเจ้าเป็นใคร บัดนี้เจ้าไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดาอีกต่อไป แต่เจ้าคือเจ้าชายแห่งกลามีธีส เจ้าต้องสร้างความมั่นคงแก่บริวารที่เหลืออยู่ ให้เชื่อมั่นว่าเจ้าจะยืนหยัด อยู่เคียงข้างไม่ทอดทิ้งพวกเขาไป ไม่ว่าสถานการณ์อันใด เจ้าจะต้องเป็นขวัญกำลังใจให้กับคนเหล่านั้น แล้วใช้สติปัญญาว่าจะทำเช่นไรต่อ เข้าใจที่ข้าพูดบ้างมั้ย?” เจ้าชายธีโอดอร์ฟ กล่าวด้วยความอดทนอดกลั้น
“แต่ความหวังของข้า มันหายไปแล้ว พร้อมกับฟาลเนีย”
เสียงของเขาขาดห้วงเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ ธีโอดอร์ฟคอแข็งขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน
แล้วองค์รักษ์ผู้หนึ่งก็ควบม้าเร่งฝีเท้าวิ่งกลับมา ด้วยความรวดเร็วจนฝุ่นตลบกลบหลัง แจ้งข่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “องค์หญิงนั่งอยู่บนหลังของมังกร กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ พ่ะย่ะค่ะ”
“ฟาลเนียนั่งบนหลังมังกรหรือ ทวยเทพ!” เจ้าชายเอดิออทร้อง ดวงตาเป็นประกาย
“เป็นไปได้หรือ เจ้ามั่นใจแค่ไหน?” เจ้าชายธีโอดอร์ฟถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“หากว่าข้าพระองค์ กล่าวผิดแม้เพียงคำเดียว ขอให้ท่านนำข้าไปตัดศีรษะได้เลย พ่ะย่ะค่ะ”
v
v