The Light of Darkness [บทที่ 14]

กระทู้สนทนา
อากาศปลอดโปร่งเบาสบาย ท้องฟ้าสว่างกระจ่าง ไร้กลุ่มก้อนเมฆคลี่คลุม กลิ่นอายของวันใหม่ เป็นวันที่เหมาะแก่การเดินทางยาวไกล

กษัตริย์เสด็จมาส่งคณะเดินทางถึงขบวนรถม้า จอดสนิทรอหน้าปราสาท พร้อมที่จะออกเดินทางทันที ทุกคนได้รับคำอวยพรจากพระองค์ ให้สำเร็จลุล่วงในภารกิจหน้าที่ เดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย โดยไม่มีอุปสรรค์ขัดขวางใดๆ

ขณะนั้นเอง ไม่มีใครมองเห็น ยกเว้นสายตาอันละเอียดคมของเจ้าชายธีโอดอร์ฟเท่านั้น ที่สังเกตเห็นว่าหน้าผากของฟาลเนีย กับเอดิออทมีรอยแดงบวมนูนเล็กน้อยอยู่ตรงกัน แต่กลับเงียบเฉยไว้ ไม่ซักถามอะไรจากคนทั้งสองทั้งนั้น

สุภาพบุรุษเชื้อพระวงศ์ทั้งสองพระองค์ขึ้นไปนั่งบนรถม้าที่จอดฝั่งขวา อยู่ข้างรถม้าของสุภาพสตรี บนนั้นแม่เฒ่าชราขึ้นมานั่งกับบรุยเน่ย์ ส่วนเจ้าหญิงฟาลเนียตามมาล้าหลังเป็นคนสุดท้าย หลังจากเสร็จการร่ำลาพระราชบิดาผู้เลี้ยงดูนางมา ยังคงโบกมือลาส่งท้ายกัน จนรถม้าเลี้ยวหายลับตา ไปจากปลายถนนเส้นนั้น ออกสู่เส้นทางลัดผ่านเนินเขา สีเขียวปรกคลุมด้วยหญ้า และดอกไม้


ขบวนม้าเดินเรียงแถวตรงอย่างมีระเบียบเรียบร้อย
ทุกตัวถูกคัดเลือกมา เป็นม้าสายพันธุ์ดี ขนสั้นสีขาว แข้งขายาวฝีเท้าเร็ว ตัวใหญ่แข็งแรงสง่างาม แผงขนดำขลับ ปรกลำคอยาว ปลิวสยายเมื่อปะทะกับลม ล้วนเป็นม้ากรำศึก ทรหดอดทน เช่นเดียวกับผู้กุมบังเหียนล้วนเป็นอัศวินยอดฝีมือ  ควบม้านำหน้าตัดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี เหยาะย่ำไปตามแนวคันดิน เลาะเลียบธารน้ำไหลเลี้ยวเคี้ยวคด ติดตามด้วยคาราวานบรรทุกเสบียงอาหาร และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่จำเป็น ใส่รถลากลำเรียงมาเต็มกำลังอัดตรา

ผ่านเนินหินก้อนใหญ่มหึมา ตระหง่านเงื้อมทางฝั่งขวา ปรกคลุมด้วยพุ่มพงดงไม้หนาแน่น คลี่คลุมเนินเขาอีกลูก ติดกับบริเวณป่าสนเปลือกแห้ง แตกลวดลายราวกับหินเก่าคร่ำครา ลำต้นสูงชะลูดแผ่กิ่งก้านสาขา ยืนกระจายกันอยู่ห่างๆ ด้านหลังปรากฏเนินเขาสองลูก ไขว้สลับซ้อนทับกัน ตัดด้วยสีเขียวครึ้มเป็นแนวยาวเหยียด สุดสายตาลิบลิ่ว คือทิวคลื่นสูงต่ำของเทือกเขาสีเทา ทอดยาวสงบนิ่งอยู่ในสายหมอกพร่ามัว

เจ้าหญิงทอดสายตาเหม่อมอง ผ่านหน้าต่างรถม้า ดูปราสาทบนเนินเขาลูกใหญ่ เคลื่อนตัวห่างออกมาทุกขณะ ครู่หนึ่งก็หันกลับมาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับสาวน้อยเผ่ามนต์ขาว ผู้นั่งบนเบาะตัวยาวฝั่งตรงข้าม ทางด้านขวาของหญิงชราผู้เป็นยายโดยสายเลือด

รถม้าอีกคันแล่นขนาบข้างตามติดมาบนเส้นทางเดียวกัน บรรยากาศในนั้นตึงเครียดไม่อาจกล่าวถูก เอดิออท เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ก้มหน้ามองหัวเข่าของตนเอง ส่วนธีโอดอร์ฟนั้นปั้นหน้าเย็นชา เบือนหนีไปทางหน้าต่าง ต่างนั่งเงียบงันไม่มองหน้ากัน ไม่มีใครทราบความคิดของฝ่ายตรงข้าม

“ธีโอดอร์ฟ” เอดิออท ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด ตลอดการเดินทางขึ้น โดยไม่รออีกฝ่ายหันมา พูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดอะไรกับฟาลเนีย แต่นางตาแดงกร่ำมาหาข้าที่ห้องเมื่อคืน”

ใบหน้าเฉยเมยกลับสะดุ้งหันควับ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักๆทันทีว่า “ฟาลเนียมาหาเจ้าที่ห้องเมื่อคืนรึ?”

“บางทีท่านอาจจะไม่อยากรับรู้เรื่องนี้” เอดิออทแกล้งพูดบ่ายเบี่ยง เพื่อกระตุ้นฝ่ายตรงข้าม ให้กระวนกระวายอยากรู้มากกว่าเดิม

“ถ้าไม่อยากถูกจับโยนออกไปนอกรถม้า ก็พูดมาให้หมดเดี๋ยวนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้น?” เจ้าชายธีโอดอร์ฟแสดงความฉุนเฉียวในความกระหายรู้ ดวงตาไม่ขยับห่างจาก ใบหน้าซ่อนยิ้มของจอมเจ้าเล่ห์ ยามนี้ประสาทของเขาเครียดแทบระเบิดออก

“ชายหญิงอยู่ในห้องเดียวกันยามวิกาล ท่านก็รู้ดีว่าจะเกิดอะไร” เอดิออท มีประกายวาวในแววตา กระหยิ่มยิ้มอยู่ในอก จงใจพูดกระทบเรื่องอดีตของอีกฝ่ายเป็นนัยๆ

อีกฝ่ายรับฟังอย่างเถรตรง ใบหน้าซึมตะลึงงัน ลำคอตีบตัน พูดอะไรไม่ออกทั้งนั้น คนเจ้าเล่ห์ไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังพูดต่อด้วยสันดานชอบแกล้งคนไม่หยุดหย่อนอีกว่า

“เราสองแนบชิดติดกันเป็นร่างเดียว หล่อนทั้งร้องทั้งดิ้นจนหมดแรงเลย”


ล้อรถหยุดหมุนชะงัก เจ้าหญิงฟาลเนียสะดุ้ง พร้อมเสียงตะโกนลั่น กับเสียงร้องของใครบางคน ร่างหนึ่งถูกจับโยนออกมานอกรถม้า กลิ้งตัวไปบนพื้นหญ้า คนกระดูกเหล็กผู้นั้น กระโดดลุกขึ้นมา ยืนกอดอกหัวเราะชอบใจ เดินตัวปลิวกลับมาจะกลับไปที่รถม้าคันเดิม แต่ถูกเจ้าหญิงเรียกตัว ให้มาที่รถม้าคันของเธอแทน แล้วขบวนรถก็เคลื่อนตัวเดินหน้าต่อไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เอดิออท นั่งติดกับบรุยเน่ย์ ตรงข้ามกับฟาลเนีย ซึ่งมีหญิงชราย้ายมานั่งอยู่ข้างๆหล่อน เขาถูกเรียกตัวมาเพื่อสอบสวน หาข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

“บอกข้ามาว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น” ฟาลเนียเริ่มการไต่สวน กล่าวน้ำเสียงดุๆ ดักคออย่างรู้ทันว่า “สมน้ำหน้าโดนจับโยนลงมาแบบนั้น ตัวเองเป็นฝ่ายกวนประสาทเค้าก่อนใช่มั้ยล่ะ”

เอดิออทแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มองออกไปนอกหน้าต่าง ชี้นิ้วให้ดูอะไรบนต้นไม้ ที่เพิ่งเคลื่อนผ่านหน้าผ่านตาไป

“ไม่ต้องเฉไฉไปเรื่องอื่น บอกมาเสียดีๆ เมื่อครู่นี้ เจ้าพูดอะไรกับธีโอดอร์ฟ”

เอดิออทหันมามองหล่อนวูบหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าเพียงพูดว่า เราสองใกล้ชิดกันขนาดไหนเมื่อคืนนี้”

“ว่าไงนะ!” ฟาลเนียร้องถามเสียงสูงปรี๊ด พยายามบอกตัวเองให้สงบจิตสงบใจ วางกำปั้นทับหน้าอก รำพึงอย่างโมโหว่า “เกลียดที่สุด ทำไมนะ คนอย่างนายถึงรอดมาได้ทุกวันนี้ น่าจะตายไปซะ ตั้งแต่ตอนเป็นทารกแล้ว”

“พูดแบบนั้นข้าเสียใจนะ” เอดิออททำเสียงเครือ กระพริบตาปริบๆ ทำตาละห้อย จงใจให้ดูน่าสงสาร พูดประชดอย่างน้อยใจว่า “เกลียดกันนัก ก็กลั้นใจเสียให้ตายเลยดีกว่าเรา”

“เอาสิ สนับสนุน” หล่อนสวนกลับทันที กล่าวเสริมมาด้วยว่า “จะช่วยอุดปากอุดจมูกให้ด้วย จะได้ไม่เผลอสูดอากาศเข้าไป แล้วจะเช็คด้วยนะ ว่าตายสนิทแน่รึเปล่า ถ้าไม่ตายจริงจะบีบคอซ้ำ”

เจ้าหญิงเปล่าพูดเล่น แต่ลงมือกระทำจริง จัดการอุดปากอุดจมูกอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้นทันที ผู้ถูกกระทำพยายามตะแคงตัวหลบหนี แต่ไม่พ้นอุ้งมือหล่อน อุดช่องทางหายใจเอาไว้หมด เขาพยายามแกะดึงมือเหมือนกาวติดแน่น ออกจากใบหน้าของตน เป็นพัลวันวุ่ยวายครู่หนึ่ง ชะโงกตัวยื่นออกไปนอกหน้าต่างอย่างหมิ่นแหม่ หลุดมือออกมาได้ สูดออกซิเจนเข้าไปเต็มปอด ร้องหอบๆว่า

“ใจร้าย เจ้าอยากให้ข้าตายจริงๆรึนี่”

“ตายได้ก็ดี จะได้เลิกพูดจาไร้สาระ ให้คนอื่นเค้าผิดใจกันเสียที” เจ้าหญิงกระฟัดกระเฟียด แล้วพูดตบท้ายอย่างใจร้ายว่า “หึ หมดเรื่องซักถามกันแล้ว เชิญกลับไปได้” พูดจบฝ่ามือพิฆาตก็ผลัดตัวเขา กลิ้งตกจากรถม้ารอบสอง ขบวนเดินทางเป็นอันต้องหยุดชะงักอีกครั้ง

ฟาลเนียชะโงกผ่านหน้าต่างออกมามอง ลืมตาโต หน้าเจื่อนตะลึง หญิงชรากับบรุยเนย์ ทั้งสองก็เช่นเดียวกัน แทนที่คนกระดูกแข็งพันธุ์นั้น จะลุกขึ้นมายืนหัวเราะร่า เหมือนเช่นเคย แต่เปล่าเลย..ที่เห็นอยู่ขณะนี้ เอดิออทกลับนอนราบคว่ำหน้านิ่งไม่ไหวติง

บางที..กระโหลกศีรษะของเขา อาจไปกระแทกเข้ากับส่วนแข็ง ส่วนใดส่วนหนึ่ง ของรถม้าเข้าเต็มรัก จนสลบแน่นิ่งไป สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็น สายตาทุกคู่ยามนี้มารวมอยู่เป็นจุดเดียว

ทุกคนกรูกันเข้าไปประชิด ร่างนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน กระทั่งเจ้าชายธีโอดอร์ฟ ก็เข้าไปดูด้วยสีหน้าวิตกแสดงความกังวลใจ ยังไม่ทันไปถึงไหนไกล ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว


“เมื่อกี้ยังปากดีอยู่เลยนี่ ไหนลุกขึ้นมาพูดซิ เฮ้ย” เจ้าชายธีโอดอร์ฟเอามือตบๆที่ใบหน้าของเขา    

ตรวจสอบด้วยสายตาอย่างรวดเร็ว มองดูไม่พบบาดแผล แต่เกรงว่าสมองอาจถูกกระทบกระเทือน เกิดเลือดคั่งค้างถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน บรุยเน่ย์พึมพำร่ายเวยท์มนต์ขาวรักษา บริเวณกระโหลกศีรษะของเขาทันที

ตรงข้ามสาวน้อยที่กำลังเพ่งสมาธิ ส่งพลังไปให้คนสลบไสลอยู่เช่นนั้น เจ้าหญิงฟาลเนีย คุกเขาลงเคียงข้างเจ้าชายผู้แสดงทาทีหนักใจ ต่อร่างที่นอนนิ่งตรงหน้า เขย่าร่างนั้นเบาๆ ร้องว่า

“เอดิออท อย่าแกล้งกันแบบนี้สิ ลืมตาขึ้นมาเร็วๆ”

ใบหน้าของเอดิออทแลดูสงบนิ่ง นอนเป็นเจ้าชายนิทรา หลับตาพริ้มอยู่เช่นนั้น

ไม่มีปฏิหารเกิดขึ้น..

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้า..ขอโทษ” เจ้าหญิงเสียงสั่นเครือ ซบหน้าแนบฝ่ามือ สะอื้นออกมา

เงียบงันกันไปพักใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าเขาสลบไปเพราะอะไรกันแน่ และแล้ว ชั่ววูบไออุ่นพัดโชย ผ่านร่างกายมาอย่างแผ่วจาง พร้อมเสียงกระซิบดังแว่ว แผ่วเบาในสายลมเอื่อย

“จูบเจ้าชายนิทราซิ”

เจ้าหญิงฟาลเนียหยุดสะอื้นในทันใด เงยหน้าขึ้นมองสบ คนแกล้งนอนสลบ หันมายิ้มกับหล่อน กระซิบว่า “พอจะตายกลับร้องไห้ แบบนี้ข้าตายตาไม่หลับสิ”

เอดิออทผงกกายขึ้นนั่ง หันไปหาเจ้าชายธีโอดอร์ฟ เจ้าของใบหน้ากล่าวไม่ถูกขณะนี้ พูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ว่า “ท่านเป็นห่วงข้าเช่นกันหรือ พี่ชาย”

“ใครกันพี่ชายแก” เจ้าชายองค์ใหญ่เอ่ยเสียงเกรียมๆ อยากซัดหน้าเจ้าคนกะล่อนหน้าตายซักหมัด แต่เจ้าหญิงชิงจัดการ พุ่งกำปั้นใส่เต็มแรง
แต่เอดิออทฉับไวกว่า กระโดดหลบหนีขึ้นไปบนรถม้า ตะโกนบอกมาว่า

“เร็วเข้า ได้เวลาเคลื่อนขบวนไปต่อแล้ว”


ก่อนที่เจ้าชายธีโอดอร์ฟจะก้าวขา ขึ้นไปบนรถม้าคันเดิม ที่เอดิออทนั่งอยู่ในขณะนี้ ฟาลเนียก็รั้งแขนของเขาเอาไว้ กล่าวด้วยเสียงอ่อนนุ่มแต่ชัดเจนว่า

“ท่านมานั่งกับข้าเถิด”

ดวงตาเว้าวอนของเจ้าหญิง ทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้ เดินมาพร้อมกับเธอ ขึ้นไปนั่งบนรถม้า ปล่อยเอดิออทนั่งอยู่คนเดียว

“อ้าว ทุกคนไหงทิ้งให้ข้านั่งคนเดียวล่ะ” เอดิออทตะโกนข้ามหน้าต่างรถม้าคันโน้นมา

บรุยเน่ย์ถอนหายใจ บอกไปว่า “ข้าไปนั่งเป็นเพื่อนให้ก็ได้”

กำลังจะขยับลุกจากที่นั่ง หล่อนก็นึกอะไรขึ้นมาได้ กระซิบกับแม่เฒ่า แล้วขยิบตาให้ นางก็พยักหน้ายิ้มน้อยๆ ทั้งสองพร้อมใจจูงมือกันเดินลงจากรถ ปล่อยให้เจ้าหญิงฟาลเนียกับเจ้าชายธีโอดอร์ฟ อยู่บนรถม้าคันนั้นกันตามลำพังสองคน

“ทุกคนพร้อมใจให้สองคนนั้น อยู่กันตามลำพังสองต่อสอง แบบนั้นข้าก็แย่น่ะสิ ทำไมไม่มีใครเชียร์ข้าบ้างเลยล่ะ โถ่เอ้ย แย่ๆ”
เอดิออทบ่นอุบ สายตาจับมองไปยังฝั่งตรงข้ามไม่วางตา ขณะรถม้าเคลื่อนไปบนพื้นดินอันขรุขระ ผ่านโคลนตม กระเซ็นสาดเล็กน้อยที่ล้อรถ

“เอดิออท เลิกบ่นเสียทีเถอะ น่ารำคาญรู้มั้ย” เพื่อนสาววัยเด็กของเขาพูดอย่างเบื่อจะฟังเขาบ่น กล่าวว่า “สองคนนั้นเหมาะสมกันอย่างที่สุด เลิกหวังได้แล้วน่า ไม่เห็นหรือว่า สายตาของเจ้าหญิง มีแต่เจ้าชายธีโอดอร์ฟเท่านั้น ไม่มีวันเหลียวมองเจ้าหรอก”

แทนที่จะต่อปากต่อคำ เอดิออทกลับนั่งนิ่ง สงบปากเงียบ สายตามองจับอยู่ที่รถม้าคันดังกล่าวเงียบงัน บรุยเน่ย์มองดูเขา กล่าวอย่างเหนื่อยใจว่า

“เอดิออท ทำไมกันนะ เจ้ามักเฝ้ามองอะไรที่ไกลตัวนัก แต่ปลายจมูกกลับไม่ยังมองเห็น”


ใบหน้าของเจ้าชายธีโอดอร์ฟอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ตรงหน้าของเจ้าหญิงฟาลเนียนี่เอง ดวงตาสีเดียวกับใบไม้เขียวขลับที่หลุดจากขั้วปลิวเข้ามาตกที่ปลายเท้า เหลือบตามองวูบหนึ่ง แล้วก็เบือนกลับไปทางหน้าต่าง กระแอมไอเบาๆ แต่ไม่พูดอะไร

“ธีโอดอร์ฟ” เสียงของเจ้าหญิง เรียกให้เจ้าชายหันมามอง

หล่อนจ้องเข้าไปยังดวงตา มีประกายลึกนิ่งคู่นั้น ด้วยใจสั่นระริก เอ่ยถามว่า

“ท่านยังรักข้าอยู่รึเปล่า?”

“ข้ารักเจ้าเสมอ” ธีโอดอร์ฟกล่าวเรียบๆ

“เช่นนั้น โปรดจงเชื่อใจกัน ว่าข้าก็รักเพียงท่าน คนอื่นจะไม่มีวันได้หัวใจข้าไป”

ฟาลเนียพูดเสียงอ่อนหวานแต่หนักแน่น เอื้อมมือวางทาบกับมือของเขา ที่คว่ำวางกับเบาะข้างลำตัว บีบเอาไว้แทนคำสัญญา ฝ่ามืออบอุ่นอีกข้างของตนวางทาบบนมือบอบบาง แล้วดึงมากุมไว้ วางแนบสนิทกับใจของตน กล่าวว่า

“หัวใจของข้า อยู่ในมือของเจ้าแล้ว”

[มีต่อ ***พรุ่งนี้มาต่อ]
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่