The Light of Darkness [บทที่ 24]

กระทู้สนทนา
ขณะนี้ค่ายพักกำลังคึกคักมีชีวิต ชายฉกรรจ์ร่างกำยำในชุดเกราะเงิน สะท้อนเปลวแดดสีทอง กำลังเคลื่อนไหวขวักไขว่ บางคนทำธุระส่วนตัว บ้างก็หยุดแหงนมองราชสีห์แห่งกลามีธีส สองตัวคำรามเผชิญหน้าท้าทายกันอยู่เหนือธงปลิวไสว ที่แขวนติดกับปลายเสาเสียบทะลุยอดหลังคา ของกระโจมพักอัศวินทรงหกเหลี่ยม
ใบหน้าของพวกเขายิ้มแย้มแจ่มใส ปราศจากแววหมองหม่น ต่างตระหนักรู้ว่าตนได้รับเกียรติมาร่วมในขบวนคาราวานครั้งนี้ เพื่ออัญเชิญแหวนศักดิ์สิทธิ์สู่หอคอยเทพ นับเป็นเกียรติยศความภูมิใจสูงสุดในชีวิตก็ว่าได้ จึงมาด้วยใจสมัครไม่ใช่เพียงกายเท่านั้น

ถัดมาคือกระโจมพักของข้ารับใช้ผู้ติดตาม นางกำนัลในชุดสีฟ้ากำลังนั่งซุบซิบบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว คนซ้ายรับฟังด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ริบฝีปากเม้นเป็นเส้นตรง แววตาจ้องเป๋งอยู่ตรงรูเข็ม ขณะกำลังพยายามสอดด้ายเข้าไป เพื่อที่จะเย็บกระดุมเสื้อที่หลุดออกกลับคืนใหม่ ด้านหลังของสองนางมีเชือกขึงระโยงยาว เชื่อมระหว่างกระโจมฝั่งติดกัน เต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากสีสัน พาดเรียงตลอดแนวราวตากผ้าชั่วคราว

ใกล้ๆบริเวณนั้นมีลังไม้ขนาดใหญ่ บรรจุน้ำใสสะอาดจากธารน้ำ ตั้งอยู่บนพื้นที่เปียกชุ่ม ครู่หนึ่งเด็กรับใช้ผมหยักศกสีฟางข้าว จมูกตกกระ ก็เดินมายกถังน้ำไปให้พ่อครัวใหญ่ เพื่อนำไปล้างเลือดจากเนื้อสัตว์ ที่กำลังจะกลายเป็นอาหารมือนี้

ท่อนฟืนถูกขวานจามเป็นชิ้นเล็กท่อนน้อย ส่งเสียงเปรี๊ยะลั่นเป็นระยะๆ ขณะเนื้อกวางที่เหลือจากการถูกล่าเมื่อวาน เริ่มจะสุกหอมเหนือกองไฟที่กำลังลุกโชน ไข่นกสีฟ้าขนาดเท่าไข่ไก่ถูกกระเทาะเปลือกออก ส่งเสียงฉ่าน้ำมันกระเด็นอยู่ในกระทะทองเหลือง ข้างๆคือของเหลวข้นคลักในหม้อสตูที่กำลังเดือดปุดๆ กลิ่นควันจากเนื้อย่างปรุงแต่งอากาศยามเช้าสดใหม่ เพิ่มเติมด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพร กระเทียมพริกไทย และเครื่องเทศร้อนแรง รวมถึงพืชผักที่หาได้จากบริเวณนั้น ก็ถูกนำมาเพิ่มรสชาติให้กับเนื้อกวางแล่บาง ด้วยมีดในมือของพ่อครัวหัวป่า ผู้มีเส้นผมสีเดียวกับไอควัน แม้หลงเหลือบางเบา แต่คิ้วยังคงดกหนาและดูยุ่งเหยิง

บนโต๊ะไม้ที่คลุมทับด้วยผ้าปูผืนสีแดงเลือดนกปักลวดลายด้วยดิ้นทองคำ มีจานอาหารทยอยนำมาวางเรียงราย ขวามือของเจ้าชายธีโอดอร์ฟผู้นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ คือ เจ้าหญิงแห่งกลามีธีส ถัดไปคือสาวน้อยมนต์ขาว ด้านซ้ายคือหญิงชรา ตรงข้ามคือเจ้าชายเลือดผสม ที่ไม่คุ้นกับตำแหน่งใหม่

เจ้าหญิงฟาลเนียนั่งซึมเหมอ หล่อนแทบไม่รู้รสอาหาร เอาแต่มองแหวนบนนิ้วนางที่วางอยู่ข้างจานอาหาร ส่วนเจ้าชายธีโอดอร์ฟ เช้าวันนี้เขาเคร่งขรึมไปถนัด คอยแต่จับสังเกตอาการของผู้หญิงที่นั่งตรงหน้า
ส่วนเอดิออทไม่เหลือบมองใคร และไม่มีทีท่าอยากสนทนาปราศรัย ไม่สนใจใยดีแม้แต่จิ้งจอกเงินที่คลอเคลียอยู่รอบโต๊ะ แล้วในที่สุดก็มานอนม้วนขดใต้ขาเก้าอี้ของเขา สายตาเหมอลอยข้ามศีรษะทุกคนบนโต๊ะไปไกลลิบ ส่วนท่านแม่เฒ่านั้นรับประทานอาหารเงียบๆเป็นปรกติเช่นเดิม
มีแต่บรุยเน่ย์เท่านั้นที่ใบหน้าระบายยิ้ม หลังจากกลืนชิ้นเนื้อนุ่มๆชุ่มซอสพริกไทยลงคอ หล่อนพอใจรสชาติอาหาร แต่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารช่างน่าอึดอัด

ในไม่ช้าอาหารในจานก็หมดเกลี้ยง หล่อนกระดกแก้วน้ำรวดเดียว สายตาทุกคู่ที่มองไปคนละทางเบนมารวมอยู่จุดเดียว เมื่อบรุยเน่ย์ลุกขึ้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอึดอัดว่า “ข้าอิ่มจะแย่แล้ว ว่าจะขอตัวไปเดินย่อยอาหารรอบที่พักสักหน่อย หวังว่าทุกท่านคงไม่ถือสา”
   
“เชิญตามอัธยาศัย ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองอะไร บนโต๊ะอาหารที่มีแต่มิตรสหายเช่นนี้” เจ้าชายธีโอดอร์ฟตอบด้วยรอยยิ้ม หล่อนโค้งพองามเป็นการขอบคุณ แล้วลุกจากโต๊ะอาหารไป

ขณะก้มหน้ารับประทานอาหารกันต่อเงียบๆ เจ้าหญิงฟาลเนียเหลือบสายตาขึ้นพลันสบกับสายตาที่มองอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาคู่นั้นเหมือนมีบางสิ่ง ต้องการพูดคุยกับหล่อนเป็นการส่วนตัว เมื่ออ่านจากแววตาหล่อนเกรงว่าไม่น่าใช่เรื่องน่าภิรมย์นัก

จานอาหารเหลือถูกนำออกไปแล้ว หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย โต๊ะอาหารก็ถูกเปลี่ยนให้กลายมาเป็นโต๊ะประชุม บรุยเน่ย์เดินกลับมารวมกลุ่มอีกครั้ง โดยมีมังกรหนุ่มคาร์ยรอสเดินตามมาด้วย ราวกับอยากมีส่วนร่วมรับรู้แผนการครั้งนี้

เจ้าชายธีโอดอร์ฟหยิบม้วนกระดาษแผ่นใหญ่ออกมาคลี่กางเต็มโต๊ะ ภาพแผนที่เขียนด้วยหมึกอย่างประณีต บอกอาณาเขตเส้นทางของภูมิประเทศอันสลับซับซ้อน ตัวอักษรเขียนด้วยขนนกตวัดคมอ่อนช้อย ระบุชื่อเมืองสำคัญต่างๆ ภูเขา และแม่น้ำ อาณาบริเวณเขตแดนที่ล้วนมีชื่อเรียก

“เบื้องหน้ายังไม่รู้ว่าจะพบกับสิ่งใด หนทางอาจเต็มไปด้วยภยันตราย ดังนั้นเราจะต้องวางแผนเดินทางอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ” เจ้าชายธีโอดอร์ฟกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวานอันเป็นลักษณะเฉพาะ ที่มีความน่าฟังและน่ายำเกรงในขณะเดียวกัน “จากตรงจุดที่เรายืนอยู่นี้ ทิศที่เรากำลังจะบ่ายหน้ามุ่งต่อไป คือตะวันออกเฉียงเหนือ เราจะต้องเดินทางข้ามหุบเขาหินลูกนั้นไป”

ชี้ให้เห็นเส้นทางที่จะต้องเดินทางบนแผ่นที่ แล้วชี้นิ้วไปที่หุบเขาสีเทาในเงาหมอก มีหมอกหนาลอยต่ำลงมาปรกคลุมสันเขาลูกนั้นเอาไว้  เมฆหนากำลังตั้งเค้าครึ้มอึมครึมกว่าบริเวณนี้ บริเวณที่ตั้งค่ายพักอากาศปลอดโปร่งท้องฟ้าเปิดโล่ง

“ระยะทางดูเหมือนว่าไม่ไกลเท่าไหร่” บรุยเน่ย์ออกความเห็น

“อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ทัศนียภาพแนวราบลวงตาเราได้เสมอ” เจ้าหญิงฟาลเนียกล่าว “เป็นคำเตือนที่ครั้งหนึ่งเคยมีคนบอกข้าเช่นนั้น”

หล่อนชำเลืองดูเจ้าชายผู้ชี้ให้เห็นเส้นทางบนแผนที่ เขาดูครุ่นคิด เคร่งเครียดเกินจำเป็น หล่อนรู้สึกว่าเขาดูเหมือนกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่มากกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ครู่หนึ่งเขาก็ดูเหมือนจะกลับมาวิเคราะห์สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง แล้วหันมาหยั่งถามความเห็นของทุกคนว่า

“มีเส้นทางให้เลือกเดินสองทาง เส้นทางแรกใช้เวลาเดินทางนานกว่ามาก แต่หนทางราบเรียบไม่มีอุปสรรค์ คือเดินเลียบแม่น้ำสีเงินสายดังกล่าวไปเรื่อยๆ อ้อมภูเขาลูกโน้นไปก็จะพบประตูจันทราที่ต้องลอดผ่าน เส้นทางนี้อาจต้องใช้เวลาถึงสิบห้าวันทีเดียวกว่าจะไปถึง ประตูที่นำไปสู่เส้นทางศักดิ์สิทธิ์สู่หอคอย ส่วนอีกทางคือเราตัดตรงข้ามภูเขาลูกนี้ไป หนทางอาจไม่สบายนัก แต่จะย่นระยะเวลาการเดินทางลงกว่าครึ่ง มีใครคิดเห็นอย่างไร แสดงออกมาได้เลย”

บรุยเน่ย์สบดวงตาสีทับทิมของมังกรหนุ่มก็เฉลียวนึกขึ้นมาได้ หล่อนเสนอว่า “บางที คาร์ยรอสอาจช่วยเราได้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่มีมังกรติดตามมาในหมู่คณะ ทำไมไม่ขี่มังกรไปสำรวจเส้นทางดูก่อน ประกอบการตัดสินใจว่าควรใช้เส้นทางไหน”

“เป็นความคิดที่ดี แต่ก็มีความเสี่ยง การแยกตัวไปสำรวจเส้นทางที่ไม่รู้จักเพียงลำพังบนหลังของมังกร หากสุดวิสัยเราก็จำเป็นต้องอาศัยแผนนี้ แต่ข้าคิดว่าเรายังไม่จำเป็นถึงเพียงนั้น” เจ้าชายธีโอดอร์ฟแสดงความคิดที่มองอะไรรอบด้านเสมอ

“แต่ข้าว่าเป็นความคิดที่ดีมาก และความเสี่ยงก็น้อยมาก เอาล่ะ จะให้ใครเป็นผู้ไปสำรวจเส้นทางดี” เจ้าหญิงฟาลเนียตั้งคำถาม มองไปทีละคนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะ

“ข้าเองก็แล้วกัน” บรุยเน่ย์ยกมือทันที

“เจ้าเป็นผู้หญิง ข้าเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย” เจ้าชายธีโอดอร์ฟไม่สนับสนุน

“สบายมาก ข้าจะไปสำรวจเส้นทางใหม่ ไม่นานก็จะรีบกลับมา” หล่อนบอกน้ำเสียงแจ่มใส อาสาจะนำหน้าไปสำรวจเส้นทางด้วยตนเอง โดยเนื้อแท้ดูเหมือนสาวน้อยผู้นี้ จะชื่นชอบการผจญภัยมากกว่าอยู่เฉยแน่

“ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ” เจ้าหญิงกล่าวด้วยความห่วงใยเช่นพี่สาวเตือนน้องสาว มองดูใบหน้ายิ้มแย้มของหล่อน แล้วเคลื่อนตาไปมองมังกรหนุ่ม กล่าวว่า “คาร์ยรอส ข้าขอฝากเจ้าให้ช่วยดูแลบรุยเน่ย์ด้วยนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าทอดทิ้งหล่อนเสียล่ะ”

บรุยเน่ย์หันไปมองเขาด้วยรอยยิ้มหวาน วางมือลูบส่วนหัวที่ยื่นเข้ามาหา อันเต็มไปด้วยเกล็ดสีขาว เช่นเดียวกับสีผมของเธอ เขาเอาจมูกมาคลอเคลียเส้นผมหล่อน แล้วพ่นลมเป่าจนปลิวสยาย หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะคิกคัก หล่อนเท่านั้นที่สามารถเล่นกับเขาได้ ผิดกับเจ้าชายเอดิออทและเจ้าชายธีโอดอร์ฟ ทั้งสองแค่เดินเฉียดเข้าไปใกล้ เขาก็ขยับถอยพร้อมส่งเสียงฟึดฟัดในลำคอ สะบัดหางทำกริยาท่าทางกระด้างใส่


v
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่