นิยายกลายเป็นนิทาน CH.6

อากาศอบอ้าวราวกับกำลังจะเกิดพายุฟ้าคะนอง พัดกระพือสายลมแห่งสนธยากาลกรูเกรียวมายังดินแดนที่โอบล้อมด้วยป่าดำในม่านหมอกมัวหม่น
แสงจันทร์ส่องกระทบยอดหอคอยวาววับดั่งเข็มแหลมตระหง่านเงื้อมเอื้อมแตะปลายเมฆ ปราสาทหินสีดำผ่านศึกสงครามมานับครั้ง ในอดีตกาลจนเก่าแก่ทรุดโทรมลง ยังคงเป็นที่ประทับของราชินีแห่งมนต์ดำ

มั้งกรหนุ่มพาร่างอันเต็มไปด้วยเกล็ดหนา พร้อมกับปีกทรงพลัง ทะยานเข้ามายังท้องพระโรง แปรสภาพเป็นร่างมนุษย์ คุกเข่าลงบนพรมยาวขาดวิ่นเบื้องหน้าบัลลังก์มนตร์ดำ อิสตรีที่นั่งอยู่บนบังลังก์มิได้สนใจชายหนุ่มตรงหน้าจนกระทั่งเขาเอ่ยขึ้น

“ท่านแม่ขอรับ ข้ากลับมาแล้ว” คาร์ยรอสกล่าวกับนางเพื่อให้แน่ใจว่าเขาอยู่ตรงนั้น  

ดวงตาสีหม่นเปี่ยมอำนาจเหลือบมองชายหนุ่มอย่างไม่แยแสนัก “เป็นอย่างไรเล่า? เจ้าลูกไร้น้ำยา”

เขาชินชาเสียแล้วกับคำพูด-ดันของมารดา แต่กระนั้นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจก็กินลึกอยู่ในแววตาที่มองสบ
“รัชทายาทที่หายตัวไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านมนต์ขาว และเป็นไปตามที่สันนิษฐานกันเอาไว้ ได้มีการสร้างโดมเวทมนต์ขนาดใหญ่โปร่งใสหากมองจากด้านใน ปกคลุมหมู่บ้านเอาไว้มีลักษณะลวงตา มองจากภายนอกจะดูกลืนไปกับภูเขาลูกอื่นๆ ทว่าข่าวดีอย่างไม่น่าเชื่อก็คือว่า เวลานี้หนทางเปิดโล่งให้กับเราแล้ว เนื่องจากประตูเวทย์มานตร์ที่ถูกปิดตายได้หายไปแล้ว ข้าเตรียมการบุกโจมตีหมู่บ้านมนต์ขาวไว้แล้วด้วย และจะกระทำทันทีให้มันถึงแก่ความพินาศย่อยยับภายในคืนเดียว”

“ข้าต้องการตัวรัชทายาท ทำไมไม่พาตัวมาให้ข้าเสียเลยเล่า เจ้าจะเสียเวลาบุกโจมตีหมู่บ้านเล็กๆนั่นทำไมกัน”

“ยังขอรับ เราจะต้องตีกระดานให้หมากตัวสำคัญนี้เดินเพื่อจะเป็นราชา ข้าเห็นพ้องต้องตามคำแนะนำของคาริออน โปรดฟังคำท่านทูตชี้แนะ”

“คาริออนเจ้ามีอะไรจะชี้แนะ?” นางรับสั่งถาม

ภูตวิหกกลายร่างเป็นอมนุษย์ยืนถวายบังคมเบื้องหน้าราชินี ทูลแก่นางว่า
“ตลอด 17 ปี ข้าเฝ้าดูรัชทายาทเติบใหญ่ในหมู่บ้านมนต์ขาว เพียรฝึกสอนจนแอนเดรียสสามารถร่ายเวทย์มนต์ดำได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ในด้านจิตใจของเขานั้นขาวสะอาดเกินไป ข้าไม่มั่นใจว่าเขาจะกลายเป็นราชามนต์ดำที่ยิ่งใหญ่แท้จริงได้ในตอนนี้ แอนเดรียส จำเป็นต้องรับบททดสอบอีกมาก ข้าจะส่งบททดสอบทีละชิ้น โดยมิให้เขาระแคะระคายแผนการของเรา ให้เขาค่อยๆเรียนรู้รสชาติและกลิ่นอายของ ความตาย ความสูญเสีย และความเคียดแค้น ให้ความเกลียดชังเหล่านั้น ปลุกอสูรที่หลับใหลในตัวเขาให้ตื่นขึ้นมา และเมื่อนั้น…” คาริออนเผยรอยยิ้ม “ชัยชนะก็จะตกเป็นของพวกเราอย่างแท้จริง และเผ่าพันธุ์อื่นๆก็จะสูญสิ้นไปจากโลกนี้ทั้งหมด”

คำพูดสุดท้ายสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้างดงามแต่เย็นชาของราชินีมืด แล้วนางจึงหันมากล่าวกับคาร์ยรอสว่า “ความนี้อย่าพลาดล่ะ มิเช่นนั้นก็จงอย่าหวนกลับมาที่นี่อีก”

ไม่ว่าเขาจะพยายามมากมายเพียงใด เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาก็มีความสามารถเช่นกัน แต่นางกลับไม่เคยเห็นค่าของเขาเลยแม้แต่น้อยนิด เพราะเขาไร้ซึ่งพลังเวทย์ดำ ตรงข้ามกับ ‘แอนเดรียส’ ที่เป็นพี่น้องฝาแฝดสายเลือดเดียวกัน สองชีวิตร่วมครรภ์มารดาน่าจะได้รับพลังแบ่งปันอย่างเท่าเทียมกัน แต่พลังทั้งหมดกลับตกเป็นของแอนเดรียสทั้งหมด รัชทายาท ผู้ถูกคัดเลือกโดยเลือดกำเนิด บุตรที่นางเชื่อว่าเกิดมาเพื่อกอบกู้บัลลังภ์มนต์ดำที่ล่มสลายให้กลับคืนสู่ความเกรียงไกรอีกครา
แต่คาร์ยรอสไม่ยอมสิโรราบต่อโชคชะตา เขามีแผนอยู่ในใจอย่างลับๆ


คาร์ยรอสเก็บคำพูดทิ่มแทงที่ได้รับไว้ในใจ ค้อมตัวลงก่าวเดินถอยออกมา แล้วกลายร่างเป็นมังกรบินออกไปจากปราสาท

ราชินีแห่งความมืดทำมือส่งสัญญาณให้บริวารที่อยู่ในห้องออกไปให้หมด เว้นแต่คาริออนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้อง นางยื่นมือออกมาข้างหน้าส่งความรู้สึกไปหาอีกฝ่ายให้เข้ามาหา ปิศาจหนุ่มโผเข้าสวมกอดนางเอาไว้อย่างโหยหา

“ราชินีของ ไม่มีวันใดที่ข้าไม่นึกถวิลหาถึงท่าน จะไม่มีสิ่งใดแยกเราจากกันอีกต่อไปแล้ว”

“คาริออนคนดี” นางกระซิบแหบพร่าข้างใบหูยาวแหลมของภูตหนุ่ม “ไม่เคยมีแม้สักราตรีเดียว ที่ข้าจะถอดใจจากการเฝ้ารอ วันกลับคืนสู่อ้อมกอดของเจ้า คาริออน”

“17 ปีที่ล่วงลับ ความงดงามดั่งดรุณีในดวงหน้าของพระองค์มิได้แปรเปลี่ยนเลย กลับฉายเฉิดยิ่งกว่าเก่าเท่าทวี”
ภูตหนุ่มกระชับร่างอันมีสัดส่วนยวนใจไว้แนบแน่นในอ้อมกอด จูบที่ใบหูราวกับจะกระซิบรักอีกฝ่าย “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทาสรับใช้ผู้สัตย์ซื่อตนนี้จะยอมถวายชีพเพื่อท่าน”


______

คืนนั้นเอมิริสนอนกระสับกระส่าย เมื่อลุกไปที่หน้าต่างมองออกไปยังหอระฆังก็พบแอนเดรีสนั่งอยู่บนนั้น

ชายหนุ่มนั่งอยู่ตามลำพังมุมเดิมที่หอระฆัง ขาข้างหนึ่งชันเข่าขึ้น อีกข้างเหยียดตรง แผ่นหลังวางทาบอิงต้นเสา ในท่าประจำด้วยความเคยชิน ทอดสายตาออกไปไกลลิบ แต่หูของเขาไวจับ เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ แล้วหยุดยืนอ้อยอิ่งอยู่เบื้องหลังราวกับเป็นเงา
“เอ้านี่แน่ะ บรุยเน่ย์ฝากมาให้” เจ้าหญิงกล่าวพร้อมกับยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้

ผู้รับเอื้อมมือไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาคลี่ออก เขม้นมองอักษรยาวเหยียดเป็นพรืดบนกระดาษอยู่ครู่หนึ่ง เขาอ่านทุกคำหรือไม่เอมิริสไม่ทราบ แต่หล่อนก็ต้องอุทานเบาๆอย่างตกใจ เมื่อเห็นกระดาษถูกฉีกแล้วโยนทิ้งไปโดยผู้รับ

“บรุยเน่ย์เค้าตั้งใจเขียนจดหมายมาให้นายดีๆ ทำไมถึงทำแบบนี้?” หล่อนต่อว่าอย่างฉุนๆ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้ฝากส่งมาให้

ชายหนุ่มทรงตัวลุกขึ้นยืนกำหมัดแน่น หันเข้าหาเธอด้วยใบหน้าเครียดขรึม

“เจ้าเผยความลับของข้ากับบรุยเน่ย์ บอกว่าข้าใช้เวทย์มนต์ดำสินะ?”

“นางมีสิทธิ์รับรู้ และข้ามีสิทธิ์เตือน เพื่อให้ระวังตัวเช่นกัน” เธอตอบอย่างไม่แยแส “บรุยเน่ย์ผิดหวังมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องประเภทนี้ปิดบังอยู่ หล่อนไว้ใจเจ้ามาก แต่สำหรับข้าคนอย่างเจ้ามันไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดตั้งแต่แรกพบ”

ท้องฟ้าส่งเสียงคำราม ครืน มีเงาดำหลายร่างตัดผ่านพระจันทร์ซีดหมองคล้ำไปอย่างรวดเร็ว แล้วหัวใจของเจ้าหญิงก็หล่นวูบไปที่เท้าเมื่อเสียงหวีดแหลมของผู้คนวิ่งกรูกันออกมานอกบ้านที่มีประกายเพลิงลุกโชติช่วงเป็นเปลว

มังกรมากับเป็นกลุ่มบุกโจมตีหมู่บ้านแห่งนี้ ไฟที่พ่นออกมาจากคอและลมหายใจของมังกร ไหม้ลุกลามส่วนอาคาร พังครืนลงมากลายเป็นซากปรักหักพัง

เสียงร้องตะโกนโหวกเหวก และเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ไม่อาจดับเพลิงไหม้ที่ติดรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่งได้ ไฟบรรลัยกัลป์ ไหลท่วมท้นดุจกระแสลาวาร้อนระอุ สร้างความพินาศยับย่อยต่อเนื่อง ราวกับยืมพลังมาจากภิภพโลกันต์


แอนเดรียสคว้าแขนของเอมิริสแล้วออกวิ่งจนมาถึงบ้านของเขา โล่งอกที่พบว่าบ้านยังรอดพ้นจากความวอดวาย
“ท่านยาย ท่าน..ท่านยังอยู่รึเปล่า?” แอนเดรียสส่งเสียงเรียกเข้าไปในบ้าน

หญิงชราเดินออกมากพร้อมสัมภาระบรรจุเต็มในกระเป๋า สั่งเฉียบขาดว่า

“พวกเราทั้งหมดจะต้องรีบหนีไปโดยเร็ว กระเป๋าสัมภาระสำหรับการเดินทางฉุกเฉินนี้ ข้าเตรียมไว้นานแล้ว ถึงเวลาต้องเอามาใช้เสียแล้ว”

“ท่านยายพาเอมิริสหนีไปก่อนเถอะ ข้าจะไปตามยัยนั่น จะทิ้งไว้ไม่ได้” แอนเดรียสกล่าว 'ยัยนั่น' ที่เขาหมายถึงคือ 'บรุยเน่ย์' นั่นเอง

แล้วแอนเดรียสก็พุ่งปราดออกไปข้างนอก โดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของแม่เฒ่า ในภาวะคับขันเช่นนี้เขาแสดงออกถึงความกล้าหาญชนิดไม่เสียดายชีวิตเลยด้วยความห่วงใยในผู้อื่นยิ่งกว่า จนทำให้เจ้าหญิงรู้สึกทึ่ง วินาทีนั้นวูบหนึ่งเธอรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้เห็นร่างนั้นอีก

“แอนเดรียสจะไม่เป็นไร เขามีเลือดที่แข็งแกร่งมาก ข้ารู้ดี พวกมังกรไม่มีทางทำอันตรายเขาได้" หญิงชรากล่าวกับหลานสาวที่แท้จริงอย่างปลุกปลอบและเร่งเร้า "เอาล่ะ ทีนี้เราจะต้องรีบหนีไปจากหมู่บ้านแห่งนี้โดยเร็ว ไม่เหลือเวลาให้คิดแล้ว รีบไปกันเถอะ เร็ว”  
สตรีต่างวัยทั้งสองต่างพากันมุ่งหน้าไปยังถ้ำหินขาว แล้วเจ้าหญิงเอมิริสก็ได้กลับคืนสู่โลกภายนอกอีกครา...



แอนเดรียสวิ่งผ่านชาวบ้านที่กรูสวนทางมา บ้างหลบไม่ทันก็กระแทกไหล่เข้าเต็มๆ ต่างพากันหนีเอาตัวรอดอย่างไม่คิดชีวิต

เขาวิ่งมาถึงซากปรักของบ้านที่ถูกไฟคลอกซึ่งมีกลิ่นอายของความตายอยู่ข้างใน ตะโกนร้องเรียกหา บรุยเนย์ ดวงตากวาดส่องทั่วบริเวณที่มีไฟลุกไหม้เป็นหย่อม ที่ลานหินหน้าบ้านหลังนั้น มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่รอบๆ ร่างมังกรที่ถูกฆ่า ไม่ห่างจากกันนั้นมีร่างของชายชราทอดนิ่ง มือหนึ่งกำไม้เท้าเวทย์มนต์มั่น อีกมือกุมมือหลานสาวที่สะอื้นไห้คุกเข่าอยู่ข้างๆ

“ลืมตาสิคะท่านปู่ ได้โปรด อย่างเพิ่งทิ้งข้าไปเลย” บรุยเน่ย์ร้องเรียก เขย่าร่างนั้นเหมือนพยายามปลุกให้ตื่น

แอนเดรียสคุกเขาลงข้างๆ เอื้อมมื้อไปจับชีพจรของชายชราดู แล้วก็วางมือลงก้มหน้านิ่ง
“สายเกินไป” เขาพูดกล่าวความสลดใจ แล้วหันไปบอกกับหลานสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ ของผู้เฒ่าชราที่จากไป “ฟังนะบรุยเน่ย์ เราจะต้องรีบหนีไปจากหมู่บ้านนี้แห่งทันที จะอ้อยอิ่งต่อไปไม่ได้แล้ว”

บรุยเน่ย์ทำอะไรไม่ได้เลย อึกอักคร่ำครวญไม่ยอมขยับตัวลุก กอดร่างปู่ของตนไว้ในอ้อมแขนร้องไห้คร่ำครวญ ชายหนุ่มจึงตบหน้าหล่อนเพื่อเรียกสติ
“ฟังสิบรุยเน่ย์ มีสติหน่อย เราจะต้องรีบหนีเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วค่อยกลับมากอบกู้สิ่งที่เราสูญเสียคืน เข้าใจมั้ย”

ในที่สุดหล่อนก็ได้สติ พยักหน้าบอกเขาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

แอนเดรียสหยิบไม้เท้าที่อยู่ในมือท่านผู้เฒ่าส่งให้กับบรุยเน่ย์ “เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี คทาเวทย์มนต์ชิ้นเอกนี้ เป็นสิ่งแทนตัวของท่านผู้เฒ่า มหาเวทย์แห่งหมู่บ้านมนต์ขาว ผู้มีทั้งความดีงามและความกล้าหาญ ยืนหยัดต่อสู้กับมังกรร้ายเพื่อปกป้องลูกหลานจนตัวตาย วีรกรรมความกล้าจะถูกเล่าสืบไปตราบชั่วรุ่นหลานหากว่าเรายังมีดินแดนให้อยู่”

แล้วทั้งสองหญิงชายวัยใกล้เคียงกัน ก็พร้อมใจบอกลาสถานที่อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนที่ผูกพันธ์มานานตลอด 17 ปี ต่างพากันหลบหนีเข้าไปในป่ายุคโบราณมุ่งตรงไปที่ถ้ำหินขาวอันเป็นอุโมงเชื่อมทะลุออกสู่ป่าโปร่งที่ยังเยาว์วัย


ป่ารอบตัวดูไม่น่ากลัวเหมือนกับป่าโบราณที่รู้จัก
เดินอย่างไม่รู้ทิศทางว่าควรไปทางไหน ต่างก็ไม่เคยออกนอกอาณาบริเวณที่ถูกขีดเส้นเอาไว้ แต่ก็ก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกว่าจะมั่นใจได้ว่ารอดพ้นรัศมีการติดตามของมังกรแล้ว ในความมืดมิด แอนเดรียสสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้ดีกว่าคนธรรมดาๆ และเขาก็รู้สึกชอบกลางคืนยิ่งกว่ากลางวัน ทำให้เขาสามารถเดินอยู่ในความมืดได้อย่างไม่มีอุปสรรค และบอกเพือนสาวให้ระมัดระวังเบื้อหน้าเมื่อสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งเลื้อนผ่านไป

“เราจะมุ่งหน้าไปทางไหนกัน?” บรุยเน่ย์ถาม เธอหยุดร้องไห้แล้ว สาวน้อยเจ้าน้ำตาคนนี้ แต่แท้จริงก็เข้มแข็งเหมือนกัน พอได้สติแล้วก็คิดต่อทันทีว่าควรทำอย่างไรต่อไป

“ก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่ก็หวังว่าจะตามหาท่านยายกับเอมิริสพบ”

“พวกเขาปลาดภัยดีหรือนี่”หล่อนกล่าวด้วยความยินดี ประหลาดใจเพราะนึกว่าเหลือเพียงแอนเดรียสและตนเองที่รอดชีวิตเท่านั้น

“ข้าบอกให้พวกเขารุดหน้าไปก่อน น่าจะปลอดภัยแล้ว”

“เจ้าบอกสองคนให้หนีไปก่อน แล้วย้อนกลับมาตามหาข้าใช่มั้ย?”

แอนเดรียสไม่ตอบ บรุยเน่ย์โผกอดอีกฝ่ายไม่ทันให้ตั้งตัว “แอนเดรียส ขอบใจนะที่ไม่ทิ้งกัน”

“เฮ้ย อะไรกัน เพื่อนกันน่าข้าไม่ปล่อยเจ้าตายหรอก”

“แอนเดรียส” เพื่อนสาวเรียก

“อะไรล่ะ?”

“อ่านจดหมายที่ข้าเขียนแล้วหรือยัง?” เสียงของหล่อนเบาลงจนเกือบกระซิบ

“อื้ม อ่านแล้ว” เขาตอบสั้นๆเหมือนไม่อยากกล่าวถึง

บรุยเน่ย์เน้นเสียงจริงจัง “ข้าหมายตามนั้นจริงๆนะ”

แอนเดรียสนิ่งเงียบมองไปในเงามืด เขาจำข้อความในจดหมายได้ทุกประโยค แม้ว่าข้อความเหล่านั้นจะถูกทำลายไปแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่