นิยายกลายเป็นนิทาน CH.7

ในราตรีอันมืดมิดเปล่าเปลี่ยวกลางไพร
เจ้าหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความรู้สึกเสียใจ เอ่ยกับหญิงชราว่า “เป็นความผิดของข้าเอง เพราะข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้หมู่บ้านมนต์ขาวถูกทำลาย ข้าทำให้ผนึกหินเวทย์มนต์ที่ปิดกั้นทางเข้าออกของถ้ำหินขาวหายไป พวกมังกรจึงบุกเข้ามาทำลายหมู่บ้านแห่งนี้ได้สำเร็จ”

“ฟังนะเอมิริส เจ้าคือความหวังสุดท้าย คือแสงสว่างนำทางในความมืดให้กับทุกคนจงจำไว้”

“ข้าน่ะหรือจะเป็นแสงสว่างนำทางใคร ข้ามีแต่จะนำหายนะมาให้เสียมากกว่า”

“เป็นความจริง เจ้าเกิดมาพร้อมกับภารกิจอันสำคัญยิ่งใหญ่ แต่เจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะแบกรับมันหรือไม่”

เจ้าหญิงขมวดคิ้วถามว่า “ภารกิจสำคัญอะไรหรือคะ?”

“ภารกิจสำคัญด้วยพันธสัญญาแห่งแหวนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าชะตากรรมของผู้ถือแหวน ไม่เคยปรากฏว่าราบรื่นสวยงามเลย”

“แม้ว่าหนทางจะไม่สวยงามราบรื่น แต่หากข้าพอเป็นประโยชน์อะไรได้บ้าง ข้าก็ยินดีรับภารกิจอันนั้น”

“เจ้าพร้อมที่จะแบกรับภาระดังกล่าวจริงๆหรือ”

“ข้อพร้อมแล้ว” เจ้าหญิงกล่าวปราศจากความลังเล “โปรดบอกข้ามาเถอะว่าข้าต้องทำเช่นไร”

“ถ้าเช่นนั้น สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำคือปลุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งแหวนให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง”

“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งแหวน?” เจ้าหญิงทวนคำอย่างงงๆ “ใช่แหวนวงนี้ที่ข้าสวมอยู่หรือไม่”

“ถูกแล้ว แหวนวงที่เจ้าสวมอยู่นั่นเอง คือแหวนศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในสามของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่หายไป”

แล้วนางก็เล่าตำนานเก่าให้ฟังว่า

ย้อนกลับไปในยุคบรรพกาล เมื่อโลกเยาว์วัยและธารน้ำใสบริสุทธิ์ เทพเจ้าดำรงอยู่บนพื้นพิภพเดียวกันกับมนุษย์อย่างสงบสุขสันติ
ดินแดนทางตะวันตกของทวีปคือตั้งของนครโบราณที่มนุษย์ยุคแรกปกครองอาศัยอยู่ ห่างออกไปทางตะวันออกคือที่ตั้งหุบเขาทวยเทพ ความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์เป็นไปอย่างแน่นแฟ้นกลงเกลียว ผองเทพบนหุบเขาจะลงมาเยี่ยมเยียนมนุษย์เป็นครั้งคราว และในวันสำคัญเทพชั้นผู้ใหญ่ก็จะมาร่วมอวยพรด้วยเช่นกัน เทพบางองค์มีความรักต่อมนุษย์ ครองคู่กันสืบมา กลายมาเป็นชนเผ่าเทวาโบราณ
โดยฤดูใบไม้ผลิของทุกปีเขียวชอุ่มอยู่นานเป็นเวลาหลายเดือน น้ำในลำธารกระจ่างใสดุจกระจกแก้ว พืชพันธุ์ธัญญาหารเติบโตโดยไม่ต้องรอการหว่านไถ ผู้คนมีหน้าที่เพียงเก็บเกี่ยวไป เป็นเช่นนี้อยู่นานจนกระทั่งวันหนึ่ง ยามนั้นเป็นเดือนสามปลายฤดูวสันต์ ธารน้ำกลับแห้งเหือด ใบไม้เขียวกลายเป็นเหลืองซีด หลุดร่วงจากกิ่งทิ้งใบสู่ดินอันแห้งแล้ง โรคระบาดร้ายแรงแพร่กระจายไปทั่ว ผู้คนจำนวนมากล้มตายดุจใบไม้ร่วง แผ่นดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ เหลือเพียงลมหายใจบางเบา ธารน้ำไม่บริสุทธิ์เหมือนเก่า เถ้ากระดูกกองพูน หุบเขาเตียนโล้นด้วยเปลวไฟแห่งสงคราม
เผ่าต่างๆรบราฆ่าฟันกันเองเพื่อช่วงชิงโภคภัณฑ์ธัญญาหารและดินแดน แผ่นดินกรำศึกจนบอบช้ำแปดเปื้อนมลทิน เลือดนองเป็นสายธาร  แผ่นดินเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย เหล่าเทพเจ้าไม่อาจทนอยู่ในดินแดนอันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดได้ จึงได้ละทิ้งมนุษย์ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งใหม่อันไกลโพ้น
ก่อนจากไปเทพได้ประทานสามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่
แหวนศักดิ์สิทธิ์แก่ราชินีแห่งเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เพื่อใช้เยียวยาและนำทางในความมืด
ดาบศักดิ์สิทธิ์แก่บรรพกษัตริย์มนุษย์ เพื่อใช้ปกป้องผองเผ่าจากการรุกรานของความชั่วร้าย
และหีบแห่งแสงสว่างให้ชนเผ่ามนต์ขาว เพื่อพิทักษ์รักษาแสงสว่าง และมอบคืนแก่มนุษย์ชาติ ยามเมื่อโลกตกอยู่ในความมืดมนอนันตกาล

เมื่อเล่าจบหญิงชราก็กระซิบว่า
“ปัจจุบันชนเผ่าเทวาโบราณกลายเป็นเพียงตำนาน เพราะเผ่าพันธุ์โบราณถูกสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หมดสิ้นไปแล้ว แต่แท้จริงยังมีผู้เหลือรอดอยู่คนหนึ่ง”
“ใครหรือคะ”
“ก็เจ้าไงล่ะ เอมิริส”
คำตอบที่ได้รับสร้างความตะลึงงันให้เอมิริส “ข้าน่ะหรือคือผู้เหลือรอดคนสุดท้าย เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่”

“เรื่องราวทั้งหมดจะเปิดเผยเอง เมื่อเจ้าทำภารกิจปลุกแหวนได้สำเร็จ” นางย้ำความสำคัญ ของภารกิจที่ต้องทำ “เราจะต้องเดินทางไปที่หอคอยเทพแห่งแคว้นเทวาโบราณทางทิศตะวันออก เพื่อปลุกจิตวิญญาณแห่งแหวนวงนี้ให้ตื่นอีกครั้ง”
“สรุปว่าเจ้าโดนสาปให้กลายเป็นมังกรได้ยังไง ไหนลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ?” บรุยเน่ย์ถามมังกรหนุ่มต้องสาปที่คืนร่างเป็นคนมานั่งอยู่ข้างๆ ทั้งสองหยุดพักแรมกลางป่าใกล้กับริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง

จะว่าไปนับเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ที่มีคนสนใจฟังเรื่องราวของเขา แม้แต่มารดาก็ยังเมิณใส่เขาราวกับเป็นเงาที่ไร้ตัวตน  ชายหนุ่มหันไปสบตาหญิงสาวที่จ้องมาด้วยแววตาเป็นประกายสนอกสนใจ รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยแต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดีมากกว่าไม่ดี แต่วูบหนึ่งก็เบือนหน้าหลบ ทอดสายตาซึมหม่นไปที่กองไฟ เมื่อนึกย้อนความทรงจำไปถึงวัยเยาว์อันขื่นขม

“วัยเด็กของข้าโตมาท่ามกลางความมืดมิด มารดาไม่เคยสนใจเลี้ยงดู ปล่อยข้าให้เติบโตตามยถากรรม เป็นเจ้าชายแห่งเผ่ามนต์ดำแต่ไม่มีเวทย์มนต์ จึงโดนใครต่อใครตีราคาว่าไร้ค่า”

เมื่อ4ปีก่อน…

ช่วงแวลาดังกล่าว เด็กหนุ่มวัย13ปีคนหนึ่ง ท่าทางเซื่อมซึมไร้ชีวิตชีวา หน้าตาอมทุกข์ ปราศจากความมั่นใจ ดวงตาของเขาสีน้ำตาลเหมือนเปลือกสน เส้นผมสีทองดุจรวงข้าว
หลบหนีจากปราสาทแห่งความมืด ที่ทำให้เขารู้สึกว่าอยู่ไปก็รู้สึกไร้ค่าและไม่มีใครต้องการ เขาอยากเป็นคนพิเศษ ที่มีความสามารถมากกว่านี้ เขาพยายามคิดหาวิธีต่างๆนาๆ อะไรก็ได้ให้ได้มาซึ่งอำนาจเหนือมนุษย์ธรรมดา ในเวลานั้นเขาไม่สนใจเลยว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด การออกเดินทางตามลำพังในครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นของการค้นพบของคำสาปที่ต้องแลกด้วยหนึ่งชีวิต

เดินทางผ่านความมืดและความสว่าง ผ่านดินแดนเปลี่ยนร้าง และทุ่งหญ้าเขียวขจี มุ่งหน้าสู่ป่าใหญ่ กระทั่งเฉียดเข้าใกล้ถิ่นอาศัยของสัตว์ในตำนาน สัตว์ร่างใหญ่มีเกล็ดหนาสามารถบินได้และพ่นไฟ ซึ่งนานๆครั้งจะปรากฏตัวให้มนุษย์ได้เห็น เด็กหนุ่มผู้นั้นแหงนมองท้องฟ้า ด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจ เป็นครั้งแรกที่เห็นมังกรบินผ่านด้วยความว่องไวปานลมกรด มันพ่นเปลวไฟออกมาขณะชูคอคำรามดูน่าเกรงขาม อีกทั้งรูปร่างก็ใหญ่โตสง่างาม เขานึกอยากกลายร่างเป็นมังกรขึ้นมาทันใด

เลยเทือกเขาสีเทาไปยังหุบเขาวงกต เด็กหนุ่มพบแม่มดตนหนึ่งเร้นกายอยู่ที่นั่น นางเสนอว่าจะช่วยทำเขาให้กลายร่างเป็นมังกร แต่มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องนำหีบแห่งแสงสว่างมามอบให้นางเป็นของแลกเปลี่ยน

เด็กหนุ่มกลับไปที่ปราสาท ย่องเขาไปในห้องแห่งความมืด ขโมยหีบแห่งแสงสว่างที่ยึดเอามา  นำหีบปลอมที่คล้ายคลึงกันซึ่งรับมาจากแม่มดไปวางไว้แทนที่โดยไม่ให้ใครรู้

เขาหลบหนีออกมาจากปราสาท กลับมาหาแม่มดพร้อมกับหีบแห่งแสงสว่าง นางรับมันมาด้วยความพึงพอใจ กลอกสายตาบูดโปนน่าเกลียดพินิจพิจารณา พร้อมกับหัวเราะเสียงแหลม บอกให้รอแล้วนางก็หายตัวไป

เขารออยู่ที่นั่นด้วยความกระสับกระส่าย กลัวว่าจะโดนแม่มดหลอกเอาของแล้วหนีไป แม้จะรู้สึกหมดหวังแต่เขาก็ยังปักหลักรอคอยจนกระทั่งฟ้ามืด แล้วนางก็กลับมาก่อนแสงทิวาสุดท้ายจะเลือนลับขอบฟ้า ดวงจันทร์สีส้มอมแดงปรากฏอยู่เหนือพยับเมฆซึ่งรวมกลุ่มหนาราวกับว่าจะเกิดพายุฟ้าคะนองในคืนนั้น นางพึมพำเวทย์มนต์คาถา ขณะเริ่มต้นปรุงยาในหม้อเดือดพล่าน  “ถ้าเจ้ากล้าเผชิญหน้ากับความตายก็จงดื่มยาพิษนี้” นางกล่าววาจาท้าทาย
หากเจ้าทนต่อพิษร้ายกาจนี้ได้ เจ้าก็จะมีอำนาจแปลงกายเป็นมังกรได้สมใจ แต่ถ้าทนไม่ได้เจ้าจะต้องตายอย่างอนาถทรมาณที่สุดภายในหนึ่งราตรีไม่เกินนี้”

เด็กหนุ่มแม้จะพรั่นพรึงแต่ความปรารถนาอันแรงกล้าเอาชนะความกลัว เขารับคำท้าทายเผชิญหน้ากับความตาย หยิบขวดยาพิษยกดื่มรวดเดียวจนหยดสุดท้าย ขวดยาตกกระทบพื้นแตกละเอียด พร้อมกับร่างที่ล้มลงสิ้นสติสัมปชัญญะแน่นิ่งกับพื้น

รู้สึกตัวอีกทีพบว่าตนเองนั้นนอนทอดร่างอยู่บนแท่นหินวงกลมเจาะเป็นรูปดาวหกแฉก เปลวเทียนวูบไหวอยู่รอบกาย นางเริ่มต้นทำพิธีร่ายคำสาป ราวกับเหยื่อสังเวยต่อเทพเจ้าแห่งการบูชายัญ เขาถูกมัดด้วยเชือกลงอาคมไม่ให้ดิ้นพราด  รู้สึกเหมือนมีดนับพันกรีดลงมาตามร่างกาย ตัวร้อนระอุเหมือนเปลวไฟ เลือดในกายกำลังเดือดพล่าน ตัวสั่นเทา เหงื่อไหลโทรมกาย จากเดิมผมสีทองกลายเป็นสีขาวเหมือนกระดูก ดวงตาสีน้ำตาลกลายเป็นสีแดงเช่นเลือด รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะถูกฉีก เป็นเวลาสามวันสามคืนที่นอนรอความตายอย่างทรมาณแสนสาหัส เหมือนลืมตาอยู่ในฝันร้ายต่อเนื่องไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ไม่อาจหลับตานอนได้ลง และไม่สามารถกลืนอะไรเข้าท้องได้เลย นอกจากเลือดสดๆที่กระอักออกมา

ในที่สุดนรกก็ปลดปล่อยดวงวิญญาณของเขาให้เป็นอิสระ ราวกับตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง เขาลืมตาขึ้นมาพบว่าตนเองยังมีลมหายใจ ฝันร้ายผ่านพ้นไปแล้ว แล้วก็พบว่าตนเองนั้นกลายร่างเป็นสัตว์ในตำนาน เชือกอาคมอันพันธนาการร่างของเขาไว้แน่นหนานั้นปลิวขาด มังกรโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ชูคอคำรามพ่นไปออกมา เป็นภาพเดียวกับที่ประทับอยู่ในใจของเขาตลอดมา ทว่าบัดนี้ตนเองนั้นกลายเป็นมังกรเช่นที่ใฝ่ฝันแล้ว

มังกรบินกลับมาที่ปราสาทแห่งความมืด แต่กลับพบว่าความรู้สึกนึกคิดของเขาไม่อาจควมคุมได้ มีเพียงสัญชาติญาณสัตว์ร้ายครอบงำความนึกคิดอันกระหายเลือด มังกรเกรี้ยวกราดอาละวาดทำลายทุกอย่างในปราสาท สังหารเหยื่อทุกรายที่ขวางหน้าอย่างกระหายเลือด

เหล่าจอมเวทย์ดำกำราบเขาเอาไว้ แล้วนำตัวเขาไปขังคุมมืดเป็นการลงโทษตามคำสั่งของราชินี
ในคุกมืดคาร์ยรอสนอนทรมานอยู่กับพื้นหินเย็นเยียบ รู้สึกแน่นหน้าอกเหมือนจะระเบิดออกมา ใจเต้นเร็วเหมือนกลองรัว ตัวร้อนผ่าวเหมือนเปลวไฟ ในความมืดแม่มดปรากฏกายขึ้น นางหัวเราะกล่าวว่า “สิ้นสำนึกความเป็นคนเมื่อใด เจ้าจะกลายร่างเป็นมังกรไปตลอดกาล”

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ” เขากล่าวน้ำเสียงเดือดแค้น
“ทำไมจะไม่ใช่ในเมือเจ้าร้องขอว่าอยากกลายเป็นมังกร”
“ข้าแทบไม่เหลือความเป็นตัวเองอีกต่อไป ข้าไม่ต้องการถูกครอบงำด้วยสัญชาติญาณสัตว์ป่ากระหายโลหิตเช่นนี้”
“ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอกนะเสียใจด้วย” แล้วนางก็แสยะยิ้มหยันเยาะ
คาร์ยรอสคิดจะฆ่าแม่มดตนนี้ นางอ่านใจเขาออกกล่าวเตือนว่า
“ถ้าเจ้าฆ่าข้า เจ้าก็หมดทางรอด” นางหัวเราะใส่เขาอย่างไม่เกรงกลัว ราวกับเห็นเขาเป็นลูกไก่ในกำมือ “ข้าชอบดูคนคนถูกทรมาณยิ่งนัก เจ้าทำให้ข้ารู้สึกสนุกอีกครั้ง”
คาร์ยรอสตัวสั่นสะท้าน หลั่งน้ำตาแห่งโทสะออกมา แล้วแม่มดก็กล่าวว่า “ข้าจะบอกความลับให้อย่างนึง หนทางเดียวที่จะถอนคำสาปนี้ได้ก็คือ เจ้าจะต้องฆ่าพี่ชายฝาแฝดของตนเอง คำสาปจึงจะคลายแล้วเจ้าก็จะเป็นอิสระ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิทาน แต่งเรื่องสั้น แต่งนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่