สายลมหนาวเหน็บพัดผ่านยอดเขาอารารัต
ดินแดนอันเงียบสงบถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกยามรุ่งสาง
ท่ามกลางความเงียบงันนั้น
เรือไม้ขนาดมหึมาจอดนิ่งอยู่บนยอดเขาสูง
มันคืออาร์กของโนอาห์
ผู้รอดชีวิตจากน้ำท่วมใหญ่ตามบัญชาของพระเจ้า
โนอาห์และครอบครัวของเขาเดินลงจากเรือ ดินแดนที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวากลับเหลือเพียงซากปรักหักพังของอารยธรรมที่ถูกชะล้างไปกับสายธารแห่งพระพิโรธของพระผู้เป็นเจ้า แต่ท่ามกลางหมู่ผู้รอดชีวิต มีชายผู้หนึ่งที่มิได้ต้องการพำนักอยู่ ณ ที่แห่งนี้
อัสชูร์ (Ashur) บุตรของเชม หลานของโนอาห์ เป็นชายร่างสูงใหญ่ ดวงตาคมกริบราวกับสามารถมองทะลุผ่านม่านแห่งกาลเวลาได้ เขาเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมและจิตวิญญาณแห่งนักรบที่รอวันถูกปลุกให้ตื่นขึ้น คืนหนึ่ง ขณะที่เขาหลับใหลใต้แสงดาวที่พร่างพรายเหนือภูเขาอารารัต เสียงกระซิบลึกลับดังขึ้นในความฝันของเขา
"จงเดินทางไปทางใต้ ที่ซึ่งแม่น้ำสองสายโอบกอดดินแดนแห่งอนาคต ที่นั่น เจ้าจะพบโชคชะตาของเจ้า.."
อัสชูร์ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่แปลกประหลาด มันคือเสียงของพระเจ้าหรือเป็นเพียงเงาแห่งความฝัน? เขาไม่อาจแน่ใจได้ แต่จิตใจของเขาถูกผลักดันให้เดินทางออกไปจากที่แห่งนี้ เพื่อค้นหาสิ่งที่รอเขาอยู่เบื้องหน้า
.
อัสชูร์นำพาผู้ติดตามของเขาออกเดินทาง ข้ามภูเขาสูง ผ่านหุบเขาอันแห้งแล้ง และเผชิญกับพายุทะเลทรายที่โหมกระหน่ำ ราวกับว่าธรรมชาติกำลังทดสอบความแข็งแกร่งของเขา พวกเขาเดินตามเส้นทางของดวงดาวจนกระทั่งถึงดินแดนที่พระเจ้ากระซิบบอกแก่เขา
มันคือแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ แสงแดดยามอัสดงทาบทับลงบนผืนดินสีทอง แม่น้ำไทกริส และยูเฟรตีสทอดตัวยาวราวกับอสรพิษยักษ์ที่คอยปกป้องสถานที่แห่งนี้ อัสชูร์รู้ทันทีว่านี่คือดินแดนที่ถูกกำหนดไว้สำหรับเขา
"ที่นี่แหละ ที่เราจะสร้างอนาคต" เขากล่าว พร้อมกับปักดาบลงบนพื้นดิน ผู้ติดตามของเขาก้มศีรษะ พวกเขารู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่
เมืองอัสชูร์ค่อยๆ ถือกำเนิดขึ้น บ้านเรือนถูกสร้างขึ้นจากหินและไม้ วิหารอันศักดิ์สิทธิ์ถูกตั้งขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งสงคราม ผู้คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามา และอัสชูร์กลายเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้
คืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังอธิษฐานอยู่ในวิหารของพระองค์ ท้องฟ้ากลับเปลี่ยนสี พายุหมุนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ฟ้าแลบเปรี้ยงปร้าง และในความมืดมิดของพายุ เงาร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา มันคือร่างของเทพ ดวงตาของพระองค์ลุกโชนราวกับเปลวเพลิง
"เจ้าคือผู้ถูกเลือก จงรับดาบแห่งข้า และนำพาประชาชนของเจ้าไปสู่สงครามแห่งเกียรติยศ"
อัสชูร์คุกเข่าลง ดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มันเป็นดาบที่ส่องแสงเรืองรอง ลวดลายบนใบดาบราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชน เขาคว้ามันขึ้นมา และทันทีที่มือสัมผัสกับด้ามดาบ พลังมหาศาลก็แล่นเข้าสู่ร่างกายของเขา
จากวันนั้นเป็นต้นมา อัสชูร์มิใช่เพียงแค่กษัตริย์ หากแต่กลายเป็นนักรบผู้พิชิต อาณาจักรของเขาขยายกว้างออกไป ศัตรูต่างหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงชื่อของเขา นักรบอัสซีเรียกลายเป็นกองทัพที่ไม่มีผู้ใดอาจต้านทาน
..แต่พลังที่ยิ่งใหญ่นั้นย่อมมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย คืนหนึ่ง อัสชูร์ฝันเห็นนิมิตแห่งเงามืด เมืองของเขากำลังลุกไหม้ เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วท้องฟ้า เขาเห็นร่างของตนเองยืนอยู่บนซากปรักหักพัง และในมือของเขา ดาบแห่งเปลวเพลิงกำลังส่องแสงเป็นสีดำสนิท
"ทุกสิ่งที่เจ้าได้สร้างขึ้นมาจะล่มสลาย" เสียงหนึ่งดังขึ้น
อัสชูร์สะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่ก เขารู้ว่าวันหนึ่ง อาณาจักรที่เขาสร้างขึ้นจะต้องพบจุดจบ ไม่มีอำนาจใดอยู่เหนือกาลเวลา แต่เขาจะไม่ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยปราศจากการต่อสู้
เช้าวันถัดมา อัสชูร์ตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เดินทางเพื่อพิชิตหรือสร้างอาณาจักรใหม่ หากแต่เป็นการตามหาคำตอบจากเทพเจ้าผู้ลึกลับที่มอบดาบให้เขา
"ข้าจะไม่ยอมให้โชคชะตาครอบงำข้า" เขาประกาศกับตนเองขณะก้าวออกจากพระราชวัง มุ่งหน้าสู่ภูเขาห่างไกลที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพ
ระหว่างการเดินทาง อัสชูร์เผชิญกับบททดสอบที่ยากยิ่งกว่าทุกครั้ง
.
แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากราวกับมังกรโกรธแค้น
.
ป่าลึกลับที่เสียงใบไม้กระซิบบอกเล่าความลับของอดีต
.
และเมฆหมอกหนาทึบที่ทำให้มองไม่เห็นแม้กระทั่งปลายเท้าของตนเอง
แต่ทุกครั้งที่เขาลังเล ดาบเปลวเพลิงในมือก็ส่องแสงเรืองรองราวกับกำลังปลอบประโลมและเตือนเขาว่า "พลังของเจ้ายังคงอยู่ เพียงแต่ต้องใช้อย่างชาญฉลาด"
หลังจากการเดินทางยาวนานหลายวัน อัสชูร์มาถึงยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยสายหมอกหนา มันเงียบสงัดจนเขาสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง เมื่อเขาเดินเข้าใกล้จุดสูงสุด เสียงคำรามดังก้องมาจากเบื้องหน้า
"อัสชูร์.. เจ้ากล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริงหรือไม่?"
เมื่อเสียงนั้นจบลง พายุหมุนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นดินสั่นสะเทือน และในที่สุด เงาร่างของเทพก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง ดวงตาของพระองค์เปล่งแสงสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์
"ข้ามาที่นี่เพื่อขอคำตอบ!" อัสชูร์ตะโกนออกมาอย่างไม่เกรงกลัว "ทำไมข้าต้องแบกรับชะตากรรมของการล่มสลาย? ข้าได้ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผู้คนของข้า!"
เทพมองเขาด้วยแววตาที่ซ่อนความเศร้าไว้ลึกๆ ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่ก้องกังวาน:
"ชะตากรรมของเจ้าไม่ได้ถูกกำหนดให้ล่มสลายเสมอไป.. มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเลือกใช้พลังที่ข้ามอบให้อย่างไร ดาบเปลวเพลิงนั้นไม่ใช่เพียงเครื่องมือแห่งสงคราม หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความสมดุล ระหว่างการทำลายและการสร้างใหม่"
.
เมื่อได้ฟังคำพูดนั้น อัสชูร์เริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นเพียงนักรบผู้พิชิต แต่เขาเป็นผู้พิทักษ์แห่งวงจรชีวิต การสร้างอาณาจักรของเขาไม่ใช่เพื่ออำนาจ แต่เพื่อปกป้องและนำพาประชาชนไปสู่อนาคตที่สดใส
"หากข้าต้องล่มสลาย ข้าจะไม่ยอมแพ้โดยง่าย" อัสชูร์พูดกับเทพด้วยความมุ่งมั่น "ข้าจะใช้พลังนี้เพื่อสร้างความสมดุล และสอนให้ผู้คนของข้ารู้จักการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงการควบคุมมัน"
เทพยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสดาบเปลวเพลิงในมือของอัสชูร์ แสงสว่างแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ และเมื่ออัสชูร์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่ลานกลางเมืองอัสชูร์
แทนที่จะเตรียมกองทัพเพื่อสงครามครั้งใหม่ อัสชูร์เริ่มวางรากฐานของอาณาจักรที่แตกต่างออกไป
เขาสร้างโรงเรียนเพื่อสอนความรู้แก่เยาวชน
ส่งเสริมเกษตรกรรมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
และจัดพิธีเฉลิมฉลอง Akitu (อากิตุ) ที่ไม่ใช่เพียงแค่การบูชาเทพเจ้า แต่ยังเป็นการเฉลิมฉลองความสามัคคีของมนุษย์กับโลก
เวลาผ่านไป อาณาจักรอัสชูร์ไม่ได้เป็นเพียงดินแดนแห่งสงคราม แต่กลายเป็นดินแดนแห่งปัญญาและความสมดุล
...
แม้อัสชูร์จะล่วงลับไป แต่ชื่อของเขายังคงถูกกล่าวขาน ลูกหลานของเขาสร้างเมืองนีนะเวห์ และคาลาห์ และกลายเป็นมหาอำนาจแห่งเมโสโปเตเมีย พวกเขายังคงบูชาเทพอัสชูร์ และเชื่อว่าพระองค์ยังคงเฝ้ามองพวกเขา
เมื่อกาลเวลาผ่านไป อาณาจักรอัสซีเรียอันยิ่งใหญ่ก็ถึงคราวล่มสลาย แต่ดินแดนที่อัสชูร์สร้างขึ้นยังคงเป็นที่กล่าวขานในหน้าประวัติศาสตร์ และตำนานของบุตรแห่งโนอาห์ ผู้สร้างอาณาจักรและครอบครองดาบแห่งเปลวเพลิง ยังคงถูกเล่าขานต่อไป
ลองจินตนาการถึงแผ่นดิน Mesopotamia อันกว้างใหญ่ในยุคโบราณ ที่เต็มไปด้วยอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองและจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งในนั้นคืออาณาจักร Assyria ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจในภูมิภาค Northern Mesopotamia (ปัจจุบันคือ Northern Iraq และ Southeastern Turkey) ชาว Assyria ไม่เพียงแต่เป็นชนชาติที่มีความแข็งแกร่งทางทหารเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สร้างวัฒนธรรมและพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ เช่น Akitu หรือ Assyrian New Year ซึ่งเป็นเทศกาลทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เทศกาลนี้ไม่เพียงแค่เฉลิมฉลองการเริ่มต้นปีใหม่ แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและวงจรแห่งชีวิต
Akitu มีต้นกำเนิดมาจากอารยธรรม Sumerian ในภูมิภาค Southern Mesopotamia เมื่อราว 4,500 ปีก่อน ชาว Sumerian เป็นผู้คิดค้นระบบการเขียนแบบ Cuneiform และพัฒนาปฏิทินที่แบ่งปีออกเป็นสองฤดูกาลหลัก ได้แก่ ฤดูร้อน และ ฤดูหนาว ซึ่งสะท้อนถึงวงจรการเกษตรกรรม พวกเขาเฉลิมฉลอง Akitu เพื่อบูชาเทพเจ้าและขอพรสำหรับการเก็บเกี่ยวที่ดี
เมื่อเวลาผ่านไป ชาว Assyria ซึ่งเป็นชนชาติที่อาศัยอยู่ใน Northern Mesopotamia ได้รับอิทธิพลจากเทศกาลนี้และพัฒนาให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของพวกเขาเอง ชาว Assyria ให้ความสำคัญกับเทพเจ้า Ashur ซึ่งเป็นเทพผู้พิทักษ์ของพวกเขา และ Akitu ก็กลายเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองเทพเจ้าองค์นี้อย่างยิ่งใหญ่
.
ในยุคโบราณ เทศกาล Akitu ถูกเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ตลอด 12 วัน ซึ่งแต่ละวันมีความหมายและพิธีกรรมเฉพาะตัว เช่น
วันแรกถึงวันที่สี่: เป็นช่วงเวลาของการชำระล้างและเตรียมตัวสำหรับการเฉลิมฉลอง ชาว Assyria จะทำความสะอาดบ้านเรือนและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
วันที่ห้าถึงวันที่แปด: เป็นช่วงเวลาของการทำพิธีบูชาเทพเจ้า Ashur และเทพเจ้าองค์อื่นๆ ชาว Assyria เชื่อว่าเทพเจ้าเหล่านี้จะนำแสงสว่างและความหวังกลับมาสู่โลก
วันที่เก้าถึงวันที่สิบสอง: เป็นช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองด้วยการร้องเพลง เต้นรำ และแบ่งปันอาหาร
หนึ่งในพิธีกรรมที่โดดเด่นที่สุดในเทศกาล Akitu คือการจำลองการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้า Ashur และเทพเจ้าแห่งความมืด Tiamat สัญลักษณ์ของการเอาชนะความมืดมนและความชั่วร้าย เพื่อนำแสงสว่างและความหวังกลับมาสู่โลก นอกจากนี้ยังมีพิธีปลูกพืชและขอพรสำหรับการเก็บเกี่ยวที่ดีในปีถัดไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเกษตรกรรมในชีวิตของพวกเขา
.
ในงานเฉลิมฉลอง Akitu ปัจจุบัน ชาว Assyria จะจัดพิธีบูชาและสวดมนต์เพื่อขอพรจากเทพเจ้า รวมถึงร้องเพลงพื้นบ้านและเต้นรำแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีการแบ่งปันอาหารพื้นเมือง เช่น Tashrib (ขนมปังอบ) และ Dolma (ผักยัดไส้) ซึ่งเป็นอาหารที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรม
วันปีใหม่ของชาวอัสซีเรีย – 1 เมษายน