เกียรติ ปลายดาบ คราบน้ำตา - 2

กระทู้สนทนา
เกียรติ ปลายดาบ คราบน้ำตา


2.อนันตเขต ศูนย์กลางแห่งการปกครอง

    ดินแดนใจกลางของทวีปสุวรรณภูมิ มีดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของทวีปแห่งนี้ที่ทุกๆอาณาจักรในทวีปต้องขึ้นตรงและมีภาระหน้าที่ต้องส่งส่วยบรรณาการให้ทุกๆปี ดินแดนแห่งนี้ได้แก่ “อนันตเขต” หมายความว่าดินแดนที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ดินแดนที่แทบไม่ต้องเหนื่อยกับการใช้ทรัพยากรในอาณาจักรเลย เพราะอย่างไรเสียอาณาจักรรอบๆก็มีภาระหน้าที่ที่จะต้องส่งส่วยซึ่งเป็นของดีของแต่ละอาณาจักรมาให้ทุกๆปี ทำให้อาณาจักรแห่งนี้ยิ้มคั่งไปด้วยทรัพย์สิน ประชาชนอยู่สุขสบาย และแน่นอนดินแดนแห่งนี้จึงมากไปด้วยเศรษฐี แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแดนสวรรค์แต่อย่างใด เพราะแม้จะมั่งคั่งแต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสมม บ่อนการพนัน ทาส โสเภณี และขุนนางชั่ว
    ดินแดนอนันตเขตนั้นในอดีตไม่เคยมีมาก่อน แต่เกิดจากความตั้งใจรวบรวมอาณาจักรต่างๆบนทวีปสุวรรณภูมิแห่งนี้ของกษัตริย์แห่งดินแดนเหนือนามว่า “ติณณ์” ซึ่งดั้งเดิมแล้วเขาเป็นชนเผ่าเชียงคาแห่งแดนเหนือแต่ยกทัพย์ลงมาปราบชนเผ่าต่างๆทางใต้ได้สำเร็จก่อน ก่อนจะยกทัพไปปราบตะวันตกนั้นได้มอบหมายให้ลูกชายคนโตของตนปกครองดินแดนทางตอนกลางแห่งนี้ไว้ก่อน แต่หลังจากติณณ์ได้ยกทัพไปปราบตะวันตกแล้วชนเผ่าทางใต้อย่างชาวอสรแล้วอาณาจักรพาราอสรได้ฉวยโอกาสแข็งเมือง รวบรวมพลมายึดดินแดนตัวเองคืนและสังหารบุตรชายคนโตของติณณ์ตายอย่างโหดเหี้ยม หลังจากติณณ์ปราบแดนตะวันตกได้แล้วก็ยกทัพกลับมายังภาคกลางปราบชนเผ่าอสรได้สำเร็จก่อนจะยกทัพลงใต้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อสรอย่างโหดเหี้ยมเพื่อเป็นการล้างแค้น และจับคนที่รอดชีวิตที่เหลือกลับมายังแดนตอนกลางและมอบสถานะทาสให้แก่ชนเผ่านี้ อีกทั้งเปลี่ยนสัญลักษณ์ของดินแดนนี้จากเดิมที่เป็นพญานาคสัตว์ที่พวกเขาเคารพให้เป็นงูเห่าซึ่งสื่อความหมายของชนเผ่านี้ที่เคยทำไว้นั่นเอง
    ดินแดนตอนกลางนี้เกิดจากการแบ่งเนื้อที่จากอาณาจักรทั้ง 6 รอบๆเข้ามารวมกันไว้ตรงกลาง จึงเป็นดินแดนที่หลากหลายไปด้วยเชื้อชาติของเผ่าต่างๆแต่กว่ากึ่งหนึ่งของดินแดนนี้เป็นชาวอสรซึ่งอยู่ในสถานะทาสนั่นเอง โดยชาวเชียงคาที่อพยพมายังดินแดนตอนกลางก็สถาปนาตัวเองเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นเจ้านายและมีสิทธิเหนือชีวิตพวกทาส ชุบเลี้ยงพวกทาสเยี่ยงสัตว์ แต่ก็ไม่นิยมทารุณถึงตายเนื่องจากต้องการให้ชนกลุ่มนื้อยู่สืบพันธุ์รับใช้พวกของตนต่อไปตราบนานเท่านาน
    พระราชวังหลังใหญ่ที่ใช้เวลาสร้างกว่า 5 ปี ตั้งตระหง่านอยู่กลางดินแดนที่เรียกว่าอนันตเขต ดินแดนที่ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นเจ้าของทุกอย่างบนทวีปสุวรรณภูมิแห่งนี้ มีผู้ปกครองที่ดำรงสถานะกษัตริย์สูงสุดคือราชาของราชาที่สืบเชื้อสายมาจากติณณ์และชนเผ่าเชียงคาทางตอนเหนือ เขาคือองค์จักพรรดิ “ราชศักดิ์” ในวัยย่างเข้าชันษาที่ 65 แต่ร่างกายดูโรยรายตามวัย แต่ผมยังคงดำสนิทและมีกล้ามเนื้อให้เห็นแม้จะไม่ชัดนักตามวัย แต่หนวดเครากลับสีขาวสนิทขัดกับสีผมของท่าน ร่างกายไม่ใหญ่โตนักผิดธรรมชาติของชาวเหนือทั่วไป แต่ก็ดูมีสง่าและน่าเกรงขาม รายล้อมไปด้วยขุนนางที่มากด้วยฝีมือและความสามารถในการสอพลอ
    ณ พระราชวัง 100 ปี อนันตเขต ซึ่งตั้งชื่อเพื่อเฉลิมฉลองการก่อตั้งครบ 100 ปี ของดินแดนตอนกลางนี้แต่ปัจจุบันก็ล่วงเลยมาแล้วถึง 123 ปี ขณะนี้จ้าวจักรพรรดิอย่างราชศักดิ์ค่อยๆเดินมาช้าๆด้วยการประคองของหญิงสาวรุ่นลูก ซึ่งก็คือเจ้าหญิงแห่งอนัตเขตนามว่า “พิมพ์พรรณ” ที่วัยย่างเข้า 39 ปี แล้วเช่นกัน
    หลังจากราชศักดิ์นั่งบนบัลลังก์ทองคำเสร็จแล้ว บรรดาขุนนองต่างคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วเอามือท้าวข้างที่เหลือไว้เพื่อแสดงความเคารพก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกัน ขุนนางรายหนึ่งก้าวเท้าออกมาโค้งคำนับแล้วกล่าวรายงานว่า
    “ฝ่าบาท ขณะนี้ใกล้ถึงฤดูกาลส่งบรรณาการแก่ดินแดนของเราแล้ว ปีนี้พืชผลทางตะวันตกออกผลดีกว่าทุกๆปี ทางตะวันออกก็สามารถทำเหมืองแร่ได้เป็นอย่างดี ส่วนทางใต้ก็พร้อมที่จะส่งทาสเข้ามาใช้งานก่อสร้างกำแพงเมืองของเราเพิ่มเท่าที่เราจะเรียกร้องพะยะค่ะ”
    “แล้วทางเหนือล่ะ” ราชศักดิ์ถามกลับ
    “ดินแดนทางเหนือเจอภัยธรรมชาติและโรคระบาด ส่งจดหมายมาขอความอนุเคราะห์ในการลดจำนวนบรรณาการลง” ขุนนางคนเดิมกล่าว
    “ทางเหนือทีว่ามันอาณาจักรใดกัน” ราชศักดิ์ถามต่อ
    “เอ่อ คือว่า เป็นอาณาจักรเชียงคาพะยะค่ะ”
    ราชศักดิ์หน้าแดงอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะตบที่วางแขนบนบังลังก์เสียงดัง
    “มันบังอาจมาก พวกมันคิดว่าเป็นชนเผ่าต้นตระกูลของข้าแล้วจะมาต่อรองอะไรก็ได้อย่างนั้นเรอะ ส่งจดหมายกลับไปว่าเราจะไม่ยอมให้ลดการส่งบรรณาการลงมาแม้แต่ชิ้นเดียว”
    “พะยะค่ะ” ขุนนางรายเดิมตอบ
    “ฝ่าบาททรงใจเย็นก่อน” ขุนนางรายหนึ่งก้าวเดินออกมาโค้งคำนับลง “เราไม่ควรใช้ไม้แข็งกับเขานัก น่าจะพูดกันดีๆมากกว่า โดยการส่งฑูตไปเจราจาในการไม่ให้พวกเขาลดบรรณาการ และหากพวกเขาไม่ยินยอมก็ค่อยให้ส่งลูกหลานมาเป็นเชลยกับทางเราเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี พวกมันน่าจะไม่กล้าขัดพระประสงค์” ขุนนางรายนี้มักจะเสนอแนวคิดดีๆอยู่เสมอ เขาคือเจ้ากรมการฑูตของอนันตเขตนามว่า “ภุชงค์” นั่นเอง ชายหนุ่มผู้ซึ่งเกิดในชนชั้นกลางแต่ด้วยความสามารถแล้วทำให้มากไกลได้ถึงจุดนี้และเป็นที่คาดหมายว่ายศของเขาน่าจะไปได้ไกลอีกทีเดียว
    ราชศักดิ์ได้ฟังก็เห็นด้วยและตอบกลับไป “ถ้างั้นข้าขอยกให้ท่านเป็นฑูตรับผิดชอบงานนี้แล้วกัน”
    “พะยะค่ะ ฝ่าบาท” ภุชงค์รับคำ หลังจากนั้นก็มีขุนนางอีกรายหนึ่งก้าวเข้ามาโค้งคำนับและรายงาน
    “เรียนฝ่าบาท จากการสร้างกำแพงเมืองอย่างหนักทำให้บรรดาทาสของเราล้มตายไปเป็นจำนวนมาก คาดว่าทาสที่มีอยู่ไม่น่าจะเพียงพอให้สร้างเสร็จทันกำหนดปีนี้นะพะยะค่ะ”
    “อืม งั้นไปเกณฑ์ทาสทางใต้มาเพิ่มอีก เอาให้พอนะ แล้วอย่าทารุณกับพวกมันนักเดี๋ยวจะสูญพันธุ์กันซะก่อน”
    “พะยะค่ะ” ขุนนางคนเดิมโค้งน้อมรับก่อนจะถอยกลับไป หลังจากนั้นก็มีขุนนางหลายต่อหลายคนผลัดกันรายงานความคืบหน้าในงานส่วนของตนอย่าต่อเนื่อง
    ณ กำแพงเมืองอนันตเขต ซึ่งกำลังก่อสร้างอย่างหนักให้ทันกำหนดในปีนี้ กำแพงแห่งนี้มีความยาวมาก ว่ากันว่าอาจจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยาวที่สุดในโลกเลยก็ได้หากว่ามันสามารถสร้างได้สำเร็จลง บรรดาทหารเมืองหลวงกำลังควบคุมชาวทาสก่อสร้างอย่างเข้มงวด มีการลงหวายลงแส้แก่ทาสที่มีอาการอู้งานหรือทำงานชักช้า บรรดาทาสที่นี่ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ต้องทำงานจนตาย มีอาหารให้ประทังชีวิตแค่วันละมื้อเท่านั้น ส่วนใหญ่ทาสที่ถูกส่งมาทำงานที่นี่มักจะเป็นทาสที่ก่อคดีในเมืองอาทิ ลักทรัพย์ ฆ่าเจ้านาย จึงถูกส่งมาทำงานเดนตายที่นี่ แต่ก็มีไม่น้อยที่เป็นทาสที่องค์จ้าวจักรพรรดิซื้อตัวมาจากบรรดาขุนนางเพื่อให้กำแพงเมืองนี้เสร็จทันกำหนดเวลา กำแพงเมืองแห่งนี้ถูกขนานนามว่า “กำแพงยักษ์” เพราะมีความสูงมหาศาล ว่ากันว่าไม่มีบันไดใดในโลกที่สามารถพาดได้ถึงขอบบนของกำแพงได้ ขนาดของมันยาวอย่างมากคั่นแดนอนันตเขตกับอาณาจักรในตะวันตกและทางเหนือทั้งหมด แน่นอนว่ามันต้องใช้ทรัพยากรมนุษย์และเวลาอย่างมาก ทำให้กำแพงแห่งนี้ต้องเซ่นชีวิตทาสไปแล้วนับพันคนทีเดียว
    “นิล” ทาสชนชั้นอสรซึ่งเกิดจากพ่อแม่ชาวทาสในบ้านขุนนางรายหนึ่ง ต่อมาได้ถูกขายให้กับจ้าวจักรพรรดิเพื่อมาก่อสร้างกำแพงแห่งนี้ เขายังจำได้ว่าวินาทีที่ต้องจากพ่อแม่มาเจ็บปวดใจขนาดไหน เขามาอยู่ที่กำแพงแห่งนี้ตั้งแต่มันเพิ่งเริ่มสร้าง เห็นใครต่อใครต้องตายเพราะกำแพงแห่งนี้ไปนัดต่อนัด เขาเรียนรู้ที่จะอยู่รอดที่นี่จนบัดนี้เขาก็นับได้ว่าเขาอยู่ที่นี่มา 4 ปี แล้ว และอีกหนึ่งปีเท่านั้นก็จะครบกำหนดการที่จะให้กำแพงนี้สร้างเสร็จ เขาจากบ้านมาตอนอายุ 24 ปี และแน่นอน ตอนนี้เขา 28 ปี แล้ว ร่างกายที่ต้องทำงานหนักทำให้กล้ามเนื้อตามผิวหนังสีดำมืดตามประสาชาวอสรเห็นได้เด่นชัด ทั้งตัวของนิลแทบจะไม่มีไขมันเลยทีเดียว ผมยาวรุงรัง แต่หนวดเคราดไม่ยักยาวนัก ร่างกายไม่สูงใหญ่นักตามประสาชาวอสรที่เป็นคนตัวเล็กโดยสรีระ เขาทนถูกทรมานและทำงานในกำแพงนรกแห่งนี้ด้วยความหวังว่าสักวันจะต้องได้กลับไปหาพ่อและแม่ของเขาให้จงได้
    “เอ้า พักๆ ได้เวลานอนของผลัดกลางวันแล้ว ต่อไปให้ผลัดกลางคืนรับงานต่อ” เสียงทหารรายหนึ่งตะโกน ทำให้นิลที่แบกเสาปูนขนาดใหญ่อยู่โยนมันลงกับพื้นแล้วเดินจากไปพร้อมๆเพื่อนๆชาวทาส ชาวทาสเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชาวอสรจากทางใต้ พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่เสื้อนอกจากผู้หญิง สีผิวของชนชาตินี้จะเป็นสีดำแต่ก็ไม่ถึงกับมืดทีเดียว ถ้าเทียบกับชาวสุริเยนทร์แล้ว ชาวสุริเยนทร์สีดำจากการเกรียมแดดแต่ชาวอสรสีดำโดยกำเนิดนั่นเอง
    “เอ็งว่ากำแพงนี้มันจะเสร็จทันจริงๆหรอวะไอ้นิล” เสียง “บู่” เพื่อนสนิทชาวทาสถาม
    “ข้าก็ไม่รู้ว่ะ ข้ารู้แต่ข้าจะต้องรีบทำงานนี้ให้มันเสร็จๆ จะได้กลับไปหาพ่อแม่ข้า”
    “เอ็งนี่ดีว่ะ อย่างน้อยก็มีบ้านให้กลับ ข้าสิยังไม่รู้เลยว่าเสร็จงานนี้ชีวิตข้าจะเป็นยังไง บ้านข้าก็ไม่มี พ่อแม่ข้าก็ไม่เคยแม้แต่เจอหน้า”
    “แล้วบ้านขุนนางที่ขายเอ็งมาล่ะ” นิลถาม
    “โอ้ย กลับไปข้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะต้อนรับหรือเปล่า อีกอย่างเขาก็ขายข้ามาแล้วนะ ยังไงเสียกรรมสิทธิ์ในตัวข้าก็เป็นของจ้าวจักรพรรดิแล้ว เอ็งก็เหมือนกันนะ ไม่แน่ว่าเสร็จงานเขาจะปล่อยเอ็งกลับบ้านหนิหน่า”
    “ยังไงข้าก็จะกลับ ข้าจะไปอยู่กับพ่อแม่ข้า”
    ชายทั้งสองค่อยๆเดินตามขบวนคนงามเข้าไปยังที่พัก
    ที่พักของพวกทาสเหล่านี้ก็คืออุโมงค์เล็กๆที่ให้ทาสกว่าร้อยชีวิตนอนเบียดเสียดก่ายกันไปมาตามชนชั้น ขาคนโน้นป่ายปีนไปหาคนนี้บางทีก็มีป่ายปีนไปยังศีรษะคนนั้น ซึ่งชนชั้นทาสเหล่านี้ต่างก็ไม่ถือเรื่องที่ต่ำที่สูงกันเลย ขอเพียงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ก็เพียงพอแล้ว กลิ่นเหม็นในอุโมงค์แห่งนี้ว่ากันว่าไม่ต่างอะไรกับบ่ออาจมเท่าไรนัก หากแต่ผู้คนเหล่านี้ชาชินกับกลิ่นเหล่านี้จึงไม่มีใครรู้สึกว่ามันน่ารังเกียจ ไม่มีทหารของราชอาณาจักรคนใดอยากเข้ามาใกล้อุโมงค์แห่งนี้นัก ทำให้ที่เล็กๆแห่งนี้ไม่ต่างอะไรจากสวรรค์น้อยๆของพวกทาสที่มีอิสระจะพูดคุยกันได้โดยไม่ถูกลงทัณฑ์
    นิลยังนอนไม่หลับ เขาอดคิดถึงสิ่งที่บู่บอกเขาไม่ได้ หากกำแพงแห่งนี้สร้างเสร็จเขาจะได้กลับไปหาพ่อแม่จริงหรือ ทาสอย่างพวกเราจะมีสิทธิเรียกร้องแบบนั้นหรือ ทาสอย่างเรามีโอกาสอยู่กับครอบครัวจริงๆหรือ เขาครุ่นคิดทั้งคืนจนผล็อยหลับไป ในความฝันของนิล เขาได้มีโอกาสสวมชุดเกราะถือหอกพามวลชนชาวอสรรบพุ่งกับราชอาณาจักร ทัพชาวอสรสังหารทหารของอนันตเขตอย่างไม่ปรานี บุกเผาพระราชวัง 100 ปี จนมอดไหม้ และเขาก็ชูหอกขึ้นฉลองชัยชนะทันใดนั้นก็มีทหารชาวอาณาจักรเข้ามาด้านหลังและจัดการลงดาบตัดหัวนิลขาดกระเด็น นิงสะดุ้งตื่นในตอนนั้นนั่นเอง
    ณ สุริเยนทร์ธานี ที่ขณะนี้ฝนเริ่มซาลงแล้วในตอนรุ่งเช้า ท้องถนนทุกหัวระแหงเต็มไปด้วยภาชนะที่ตั้งวางไว้รองน้ำฝน ส่วนเจ้าจงรักและเหล่าขุนนางกำลังอยู่ในท้องพระโรงปราสาทอัคนีภูผา บรรดาขุนนางต่างก็ชื่นชมในความอัศจรรย์ของเหตุการณ์ที่ผ่านมา ขณะที่จอมพลและบุตรชายต่างก็รู้สึกตกใจและยังประหลาดใจไม่หาย เสนาบดียังคงมีใบหน้าเรียบเฉย เจ้าสุริยนนั่งอยู่บนบังลังก์ด้วยใบหน้าที่สดใสก่อนจะเอ่ยคำชื่นชมพระญาติของตัวเอง
    “เจ้าจงรัก คราวนี้ท่านสร้างผลงานใหญ่ทีเดียว ท่านแก้ปัญหาความขัดแย้งของชาวบ้านกับฝ่ายราชวังได้ แล้วยังแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำได้อีก ข้าขอมอบบำเหน็จแก่ท่านเพื่อการนี้เป็นทองคำแท่งสองหาบ” พูดจบก็มีทหารสองคนหอบทองคำคนละหาบมาวางตรงหน้าเจ้าจงรัก
    เจ้าจงรักคุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพและเอ่ยคำขอบคุณ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่