A spectre is haunting Europe — the spectre of communism.
All the powers of old Europe have entered into a holy alliance to exorcise this spectre...
Karl Marx
เวโรนิก้าหนีการตามล่าขององครักษ์หญิงไปจนสุดขอบโลก ที่ซึ่งดารดาษด้วยทุ่งหินรกร้างสุดลูกหูลูกตา ลมพัดผ่านซอกหินและรอยแยกอันดำมืดราวจะทะลุไปถึงหัวใจอันดิบดำของปฐพีส่งเสียงราวกับมีปีศาจกระซิบกระซาบอยู่ตลอดเวลา
นางหอบหายใจปักดาบแห่งความยุติธรรมกับเพื่อพยุงตัว กระแสแม่เหล็กที่ก่อตัวรอบ ๆ ดาบดึงเอาแสงออโรร่าสีม่วงอมเทาจากฟากฟ้ามาหมุนวนเป็นเกลียวรอบ ๆ ดาบราวกับว่านางยืนอยู่ใจกลางตาพายุ
ทันใดนั้น เสียงหัวร่อก็คำรามกระหึ่มเลื่อนลั่น ราวกับอยู่ใกล้ และราวกับอยู่ห่างไกล ก่อนจะเงียบลงเหลือแต่เสียงหวีดหวิวของสายลมในทุ่งหินร้าง
เวโรนิก้าเหลียวไปมองรอบ ๆ อย่างหวาดหวั่น หล่อนไม่ได้กลัวพวกองครักษ์แล้ว แต่กลัวอำนาจทะมึนอันไม่สามารถมองเห็นตัวได้ที่ค่อย ๆ ครอบงำหัวใจให้หนักอึ้งขึ้นทุกที
เมื่อเงี่ยหูฟังทั้งที่เหงื่อไหลเย็นเยียบอาบหน้า เสียงหวีดหวิวนั้นก็ดูคล้ายภาษาแปลก ๆ เหมือนคำล่อลวงของปีศาจ นางก้าวเท้าไปอย่างไม่รู้ทิศพลางลากดาบที่สร้างเกลียวแสงเหนือบนพื้นพิภพไปให้เกิดทิวทัศน์พิสดาร
อา...เสียงนั้น
เหมือนเสียงเต้นตุบ ๆ ของหัวใจ หรือเสียงหวีดหวิดรบกวนจนฟังไม่ได้ศัพท์ของปีศาจเริงร่า
เวโรนิก้าย่อตัวลงกับพื้นและแนบหูฟังเสียงที่เล็ดรอดออกมาจากรอยแยกดำมืดของพื้นหิน
"แกเป็นใคร"
นางกล่าวแก่เสียงหัวร่อเย้ยหยันที่สะท้อนจากใต้พิภพ
"บอกมาสิว่าแกเป็นใคร แกต้องการอะไร"
เสียงหวีดหวิวทำให้นางเข้าใจผิดไปครู่หนึ่งว่านั่นคือลม เสียงกระซิบกระซาบด้วยภาษาโบราณ ภาษาเก่าแก่ที่ถูกสาปแช่งและไม่ควรอยู่บนพื้นพิภพกล่าวแก่นาง
เวโรนิก้าสั่นเทิ้มทั้งสรรพางค์กายแม้จะไม่เข้าใจความหมาย
"แกจะนำข้าไปที่ใด พูด! ข้าจะไม่ไปไกลกว่านี้"
ภาษาโบราณนั้นหยุดไป เปลวไอสีดำเย็นเยือกที่ระเหยแทรกซึมขึ้นจากร่องหินจำนวนมากในอาณาบริเวณ พวยพุ่งระเหยจนบริเวณโดยรอบมืดทะมึนเหมือนกับหลงเข้าไปในเมฆพายุอันโกรธเกรี้ยว
นัยน์ตาเรืองสีแดงจ้องมองเวโรนิก้าจากม่านเงา คล้ายมีตัวตนแต่ก็ไม่คล้ายมี แม้แต่เสียงที่กล่าวแก่นางก็ยังเหมือนฝุ่นควันที่พร้อมจะระเหยทันทีที่ต้องแสงอาทิตย์
"จงฟังให้ดี"
นางข่มความกลัวที่สะท้านไปทุกรูขุมขนต่อความยิ่งใหญ่ของการดำรงอยู่อันนางประจักษ์ด้วยเรือนกายและจิตวิญญาณ แล้วตอบกลับไป "ข้าฟังอยู่"
"เวลาได้มาถึงจุดเหหัก เรือนกายข้าอาบด้วยเปลวไฟและกำมะถัน แต่มันช่างเย็นเยือกเสียจริง"
"ภูตผีที่น่าสมเพช!"
สัตนั้นหัวเราะกังวาน แต่ตาแดงเรืองยังจับจ้องนางราวกับเป็นเหยื่อตัวน้อย ๆ ในอำนาจ
"สมเพชข้า? เฮอ..เฮอ.. จงยืมหูเจ้าให้แก่ข้า และฟังสิ่งที่ข้าจะคลี่คลาย"
เวโรนิก้ากระชับผ้าคลุมแห่งความดีงามไว้รอบตัว ผ้าคลุมนี้ช่วยปิดบังนางพ้นจากสายตาของใครก็ตามบนพื้นพิภพ แต่นางไม่รู้สึกว่ามันช่วยให้นางพ้นจากความกดดันของสัตนั้น
"อา..เจ้าผู้เคียดแค้นอาฆาต หากเจ้าแสวงหาการจองเวร จงฟังเรื่องของข้า"
"นามของข้าคืออาดิกอส เทพแห่งอาสัตย์ผู้ถูกหักหลังอย่างชั่วช้า"
"กายของข้าถูกช่วงชิง ข้าเหลือเพียงวิญญาณ ข้าคืบคลานตามเงามืดของโพ้นขอบโลกที่ข้าถูกเนรเทศ"
"ด้วยดาบของเจ้าข้าตื่นจากหลับใหล หัวใจดวงน้อย ๆ ที่กระหายการจองล้างของเจ้า เติมเปลวไฟแห่งพยาบาทให้แก่ข้า อา....เวโรนิก้า ข้ารู้จักเจ้ามาแล้วนับพันนับหมื่นครั้ง ทุกครั้งที่เจ้าปรากฎตัวยังคงเหมือนเดิม"
"สองตาแดงฉานดุจดวงเดือนที่ย้อมด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่นเหมือนสัตว์ที่ถูกไล่ต้อน อา..เจ้าสั่นเทาดุจลูกกวางตัวน้อย ๆ แต่หัวใจที่ดำดิบของเจ้ามันช่างงดงามยิ่งกว่างูพิษในสวนอีเดน"
"เวโรนิก้า..เวโรนิก้าที่น่าเวทนา เจ้าถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น กระดูกของเจ้ากองอยู่ที่พื้น ร่างเย็นชืดของเจ้างอก่องอขิงในถ้ำสุสาน ความตายของเจ้าคงเปล่าดายหากนางผู้นั้นไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง เวโรนิก้า..เวโรนิก้า เจ้าถูกแทงด้วยกริชอันคม กรีดไส้ของเจ้าจากมดลูกไปสู่ช่องอก ด้วยมือของชายหนุ่มที่ฆ่าเจ้าเหมือนกับตบยุงตัวหนึ่ง เจ้าสิ้นชีพด้วยน้ำมือเขามาแล้วนับพันนับหมื่นครั้ง และความตายจะติดตามเจ้าต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด"
เวโรนิก้ากรีดร้องกับพื้น เพราะความทรงจำที่ไหลบ่าท่วมท้นจนสติของนางแทบขาดผึง ด้วยอำนาจของอาดิกอส นางเห็นภาพของอดีตชาติที่นางถูกอัลลันฆ่าอย่างทารุณซ้ำแล้วซ้ำเล่านับพันนับหมื่นชาติภพ ริมฝีปากของเครทอสที่ออกคำสั่งอย่างไร้หัวใจถูกเน้นและฝังลึกราวกับมันเป็นปากมดลูกของนางเอง นางทอดร่างเป็นซากกับพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลั่วของเดวิดที่ขุดดินกลบปากถ้ำทำลายเสี้ยวแสงสุดท้ายของนางในทุก ๆ ชาติที่เวียนวน ชาตาของนางมีเพื่อถูกฆ่าและถูกฆ่า ไม่มีทางที่นางจะหลบหนีไปจากวัฏจักรอันหฤโหดได้
"ความยุติธรรม...ความยุติธรรมอยู่ที่ใด มีใครจะร่ำไห้คร่ำครวญเหนือร่างอันซีดเซียวของเจ้า ดาบของดิเก้มิได้มีไว้เพื่อล้างแค้น นางทำงานใดเล่านอกจากฟาดฟันข้า กลบฝังข้าไว้ในแดนรกร้าง เพื่อมิให้ข้ามาหลอกหลอนทวงคืนการจองล้างอันควรแก่บาปมหันต์และฆาตรกรมือเปื้อนเลือดส่งกลิ่นคาวฟุ้ง"
"ข้าคือเสียงเพรียกจากเบื้องล่าง เพียรทวง และคอยหลอนอย่างไม่รู้หน่าย ข้าคือวิญญาณที่เจ้าจะเห็นในยามดึก ซึ่งผมของเจ้าจะตั้งชี้ชันด้วยระแวงบาปเคราะห์อันก่อไว้ ข้าคืออาดิกอส ผู้ทวงถามความอยุติธรรม และบาปผิด พวกเขาขับไล่ข้า รวมกำลังเป็นภาคีศักดิ์สิทธิ์อันขี้ขลาดตาขาว เพื่อฝังเรือนกายของข้า วิญญาณของข้าให้ตกนรกหมกไหม้ เพื่อเสวยสุขบนกองกระดูกขาวโพลนที่ถูกช่วงชิงไปกระทั่งเสียงร่ำไห้"
"แต่เสียงของข้าไม่อาจถูกช่วงชิง เสียงของข้าส่งมาถึงเจ้า เสียงเพรียกที่ข้ากระซิบผ่านโครงกระดูกและซากศพและน้ำหนองอันไหลเยิ้มรวยริน จะนำความยุติธรรมที่ถูกช่วงชิงกลับคืนสู่โลก..."
เวโรก้านิก้านอนทอดร่างกลางทุ่งหิน น้ำตาไหลรินจากความสะทกสะท้อนและประสบการณ์อันน่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่สุด อาดิกอสจากไปแล้ว เหลือเพียงเสียงหวีดหวิวของทุ่งหินและซอกรอยแยกทมิฬของโลกใต้พิภพ นางมองทวยฟ้าที่ออโรร่าสีม่วงอมเทาบิดเป็นเกลียวเหมือนภูตร้ายสมสู่ ดาบแห่งความยุติธรรมเปลี่ยนจากสีดำสนิทกลายเป็นสีขาวดุจซากกระดูก คือสีเซียวของความตาย สีของม้าดุลลาฮานซึ่งจะเก็บเกี่ยววิญญาณจากพื้นพิภพ และสีของน้ำตา สีของการคร่ำครวญโหยไห้ของความอยุติธรรม
นางนอนอยู่ที่นั่นเนิ่นนาน ในดินแดนที่ไม่อาจแยกแยะกลางวันกลางคืน จากนั้นจึงเดินโซเซหายไปในทุ่งรกร้างอันปราศจากชีวิตใด ๆ
+
+
Over Man! ตอนที่ 8 ผีที่ขอบโลก
A spectre is haunting Europe — the spectre of communism.
All the powers of old Europe have entered into a holy alliance to exorcise this spectre...
Karl Marx
เวโรนิก้าหนีการตามล่าขององครักษ์หญิงไปจนสุดขอบโลก ที่ซึ่งดารดาษด้วยทุ่งหินรกร้างสุดลูกหูลูกตา ลมพัดผ่านซอกหินและรอยแยกอันดำมืดราวจะทะลุไปถึงหัวใจอันดิบดำของปฐพีส่งเสียงราวกับมีปีศาจกระซิบกระซาบอยู่ตลอดเวลา
นางหอบหายใจปักดาบแห่งความยุติธรรมกับเพื่อพยุงตัว กระแสแม่เหล็กที่ก่อตัวรอบ ๆ ดาบดึงเอาแสงออโรร่าสีม่วงอมเทาจากฟากฟ้ามาหมุนวนเป็นเกลียวรอบ ๆ ดาบราวกับว่านางยืนอยู่ใจกลางตาพายุ
ทันใดนั้น เสียงหัวร่อก็คำรามกระหึ่มเลื่อนลั่น ราวกับอยู่ใกล้ และราวกับอยู่ห่างไกล ก่อนจะเงียบลงเหลือแต่เสียงหวีดหวิวของสายลมในทุ่งหินร้าง
เวโรนิก้าเหลียวไปมองรอบ ๆ อย่างหวาดหวั่น หล่อนไม่ได้กลัวพวกองครักษ์แล้ว แต่กลัวอำนาจทะมึนอันไม่สามารถมองเห็นตัวได้ที่ค่อย ๆ ครอบงำหัวใจให้หนักอึ้งขึ้นทุกที
เมื่อเงี่ยหูฟังทั้งที่เหงื่อไหลเย็นเยียบอาบหน้า เสียงหวีดหวิวนั้นก็ดูคล้ายภาษาแปลก ๆ เหมือนคำล่อลวงของปีศาจ นางก้าวเท้าไปอย่างไม่รู้ทิศพลางลากดาบที่สร้างเกลียวแสงเหนือบนพื้นพิภพไปให้เกิดทิวทัศน์พิสดาร
อา...เสียงนั้น
เหมือนเสียงเต้นตุบ ๆ ของหัวใจ หรือเสียงหวีดหวิดรบกวนจนฟังไม่ได้ศัพท์ของปีศาจเริงร่า
เวโรนิก้าย่อตัวลงกับพื้นและแนบหูฟังเสียงที่เล็ดรอดออกมาจากรอยแยกดำมืดของพื้นหิน
"แกเป็นใคร"
นางกล่าวแก่เสียงหัวร่อเย้ยหยันที่สะท้อนจากใต้พิภพ
"บอกมาสิว่าแกเป็นใคร แกต้องการอะไร"
เสียงหวีดหวิวทำให้นางเข้าใจผิดไปครู่หนึ่งว่านั่นคือลม เสียงกระซิบกระซาบด้วยภาษาโบราณ ภาษาเก่าแก่ที่ถูกสาปแช่งและไม่ควรอยู่บนพื้นพิภพกล่าวแก่นาง
เวโรนิก้าสั่นเทิ้มทั้งสรรพางค์กายแม้จะไม่เข้าใจความหมาย
"แกจะนำข้าไปที่ใด พูด! ข้าจะไม่ไปไกลกว่านี้"
ภาษาโบราณนั้นหยุดไป เปลวไอสีดำเย็นเยือกที่ระเหยแทรกซึมขึ้นจากร่องหินจำนวนมากในอาณาบริเวณ พวยพุ่งระเหยจนบริเวณโดยรอบมืดทะมึนเหมือนกับหลงเข้าไปในเมฆพายุอันโกรธเกรี้ยว
นัยน์ตาเรืองสีแดงจ้องมองเวโรนิก้าจากม่านเงา คล้ายมีตัวตนแต่ก็ไม่คล้ายมี แม้แต่เสียงที่กล่าวแก่นางก็ยังเหมือนฝุ่นควันที่พร้อมจะระเหยทันทีที่ต้องแสงอาทิตย์
"จงฟังให้ดี"
นางข่มความกลัวที่สะท้านไปทุกรูขุมขนต่อความยิ่งใหญ่ของการดำรงอยู่อันนางประจักษ์ด้วยเรือนกายและจิตวิญญาณ แล้วตอบกลับไป "ข้าฟังอยู่"
"เวลาได้มาถึงจุดเหหัก เรือนกายข้าอาบด้วยเปลวไฟและกำมะถัน แต่มันช่างเย็นเยือกเสียจริง"
"ภูตผีที่น่าสมเพช!"
สัตนั้นหัวเราะกังวาน แต่ตาแดงเรืองยังจับจ้องนางราวกับเป็นเหยื่อตัวน้อย ๆ ในอำนาจ
"สมเพชข้า? เฮอ..เฮอ.. จงยืมหูเจ้าให้แก่ข้า และฟังสิ่งที่ข้าจะคลี่คลาย"
เวโรนิก้ากระชับผ้าคลุมแห่งความดีงามไว้รอบตัว ผ้าคลุมนี้ช่วยปิดบังนางพ้นจากสายตาของใครก็ตามบนพื้นพิภพ แต่นางไม่รู้สึกว่ามันช่วยให้นางพ้นจากความกดดันของสัตนั้น
"อา..เจ้าผู้เคียดแค้นอาฆาต หากเจ้าแสวงหาการจองเวร จงฟังเรื่องของข้า"
"นามของข้าคืออาดิกอส เทพแห่งอาสัตย์ผู้ถูกหักหลังอย่างชั่วช้า"
"กายของข้าถูกช่วงชิง ข้าเหลือเพียงวิญญาณ ข้าคืบคลานตามเงามืดของโพ้นขอบโลกที่ข้าถูกเนรเทศ"
"ด้วยดาบของเจ้าข้าตื่นจากหลับใหล หัวใจดวงน้อย ๆ ที่กระหายการจองล้างของเจ้า เติมเปลวไฟแห่งพยาบาทให้แก่ข้า อา....เวโรนิก้า ข้ารู้จักเจ้ามาแล้วนับพันนับหมื่นครั้ง ทุกครั้งที่เจ้าปรากฎตัวยังคงเหมือนเดิม"
"สองตาแดงฉานดุจดวงเดือนที่ย้อมด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่นเหมือนสัตว์ที่ถูกไล่ต้อน อา..เจ้าสั่นเทาดุจลูกกวางตัวน้อย ๆ แต่หัวใจที่ดำดิบของเจ้ามันช่างงดงามยิ่งกว่างูพิษในสวนอีเดน"
"เวโรนิก้า..เวโรนิก้าที่น่าเวทนา เจ้าถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น กระดูกของเจ้ากองอยู่ที่พื้น ร่างเย็นชืดของเจ้างอก่องอขิงในถ้ำสุสาน ความตายของเจ้าคงเปล่าดายหากนางผู้นั้นไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง เวโรนิก้า..เวโรนิก้า เจ้าถูกแทงด้วยกริชอันคม กรีดไส้ของเจ้าจากมดลูกไปสู่ช่องอก ด้วยมือของชายหนุ่มที่ฆ่าเจ้าเหมือนกับตบยุงตัวหนึ่ง เจ้าสิ้นชีพด้วยน้ำมือเขามาแล้วนับพันนับหมื่นครั้ง และความตายจะติดตามเจ้าต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด"
เวโรนิก้ากรีดร้องกับพื้น เพราะความทรงจำที่ไหลบ่าท่วมท้นจนสติของนางแทบขาดผึง ด้วยอำนาจของอาดิกอส นางเห็นภาพของอดีตชาติที่นางถูกอัลลันฆ่าอย่างทารุณซ้ำแล้วซ้ำเล่านับพันนับหมื่นชาติภพ ริมฝีปากของเครทอสที่ออกคำสั่งอย่างไร้หัวใจถูกเน้นและฝังลึกราวกับมันเป็นปากมดลูกของนางเอง นางทอดร่างเป็นซากกับพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลั่วของเดวิดที่ขุดดินกลบปากถ้ำทำลายเสี้ยวแสงสุดท้ายของนางในทุก ๆ ชาติที่เวียนวน ชาตาของนางมีเพื่อถูกฆ่าและถูกฆ่า ไม่มีทางที่นางจะหลบหนีไปจากวัฏจักรอันหฤโหดได้
"ความยุติธรรม...ความยุติธรรมอยู่ที่ใด มีใครจะร่ำไห้คร่ำครวญเหนือร่างอันซีดเซียวของเจ้า ดาบของดิเก้มิได้มีไว้เพื่อล้างแค้น นางทำงานใดเล่านอกจากฟาดฟันข้า กลบฝังข้าไว้ในแดนรกร้าง เพื่อมิให้ข้ามาหลอกหลอนทวงคืนการจองล้างอันควรแก่บาปมหันต์และฆาตรกรมือเปื้อนเลือดส่งกลิ่นคาวฟุ้ง"
"ข้าคือเสียงเพรียกจากเบื้องล่าง เพียรทวง และคอยหลอนอย่างไม่รู้หน่าย ข้าคือวิญญาณที่เจ้าจะเห็นในยามดึก ซึ่งผมของเจ้าจะตั้งชี้ชันด้วยระแวงบาปเคราะห์อันก่อไว้ ข้าคืออาดิกอส ผู้ทวงถามความอยุติธรรม และบาปผิด พวกเขาขับไล่ข้า รวมกำลังเป็นภาคีศักดิ์สิทธิ์อันขี้ขลาดตาขาว เพื่อฝังเรือนกายของข้า วิญญาณของข้าให้ตกนรกหมกไหม้ เพื่อเสวยสุขบนกองกระดูกขาวโพลนที่ถูกช่วงชิงไปกระทั่งเสียงร่ำไห้"
"แต่เสียงของข้าไม่อาจถูกช่วงชิง เสียงของข้าส่งมาถึงเจ้า เสียงเพรียกที่ข้ากระซิบผ่านโครงกระดูกและซากศพและน้ำหนองอันไหลเยิ้มรวยริน จะนำความยุติธรรมที่ถูกช่วงชิงกลับคืนสู่โลก..."
เวโรก้านิก้านอนทอดร่างกลางทุ่งหิน น้ำตาไหลรินจากความสะทกสะท้อนและประสบการณ์อันน่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่สุด อาดิกอสจากไปแล้ว เหลือเพียงเสียงหวีดหวิวของทุ่งหินและซอกรอยแยกทมิฬของโลกใต้พิภพ นางมองทวยฟ้าที่ออโรร่าสีม่วงอมเทาบิดเป็นเกลียวเหมือนภูตร้ายสมสู่ ดาบแห่งความยุติธรรมเปลี่ยนจากสีดำสนิทกลายเป็นสีขาวดุจซากกระดูก คือสีเซียวของความตาย สีของม้าดุลลาฮานซึ่งจะเก็บเกี่ยววิญญาณจากพื้นพิภพ และสีของน้ำตา สีของการคร่ำครวญโหยไห้ของความอยุติธรรม
นางนอนอยู่ที่นั่นเนิ่นนาน ในดินแดนที่ไม่อาจแยกแยะกลางวันกลางคืน จากนั้นจึงเดินโซเซหายไปในทุ่งรกร้างอันปราศจากชีวิตใด ๆ
+
+