The Light of Darkness [บทที่ 13]

กระทู้สนทนา
“การประลองในครั้งนี้ เจ้าชายเอดิออทเป็นฝ่ายชนะ!” กษัตริย์เป็นผู้ประกาศ หลังเฝ้าชมการดวลดาบของสององค์รัชทายาทจนรู้ผลแพ้ชนะ

เจ้าชายเอดิออทกลับกล่าวว่า “การประลองครั้งนี้เป็นอันโมฆะ”

ท่ามกลางเสียงฮือฮาของทุกคนในที่นั้น ผู้ประกาศยกเลิกชัยชนะของตนเอง ปล่อยดาบเงินหลุดร่วงจากมือ ตกกระทบพื้นหินดัง แคร้ง ก้าวเท้าเข้าไปประชิดอีกฝ่าย  ส่งมือปราศจากดาบยึดถือ จับข้อมือแข็งแกร่งยกขึ้นชู  พร้อมทั้งประกาศก้องกลางลานประลองหินอ่อนแห่งนี้ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“การดวลดาบครั้งนี้ นับว่าเสมอกันทั้งสองฝ่าย!”

เจ้าชายเอดิออท ละสายตาจากใบหน้านิ่งตะลึงงันของเจ้าชายธีโอดอร์ฟ กวาดมองข้าราชบริพารที่ยืนแออัดเต็มแน่นลานประลองแห่งนี้ พูดต่อเนื่องว่า “ข้าขอสารภาพความจริง กับทุกคน ณ ที่นี้ว่า การประลองครั้งนี้มิได้ขาวสะอาด เช่นที่สายตาทุกคู่รับรู้ แท้จริงแล้ว…ตัวข้า”

“หยุดกล่าว!” เสียงตะหวาดดังลั่นขององค์ประมุข เด็ดขาดและศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบลงทันใด

“เอดิออท เจ้าตามมาพบข้าที่พระตำหนักเดี๋ยวนี้” ผู้ทรงมงกุฏอร่ามทอง เสด็จมายืนหยุดอยู่เบื้องหน้าองค์รัชทายาท รับสั่งเฉียบขาด

เอดิออท กำลังจะสารภาพความไม่บริสุทธิ์ของตนเอง มองสบสายพระเนตรเบิกกว้าง วรกายสั่นเหมือนโทสะจับร่างเช่นนั้น รู้ว่ามิใช่ด้วยความเดือดดาล แต่เป็นความวิตกร้อนรุ่มสุมอก  พระองค์หันหลังสะบัดผ้าคลุมไหล่ เสด็จกลับเข้าไปในปราสาททันที

เจ้าหญิงฟาลเนียตรงเข้ามายังร่างของเจ้าชายธีโอดอร์ฟ สายตาห่วงใยเคลื่อนไปตามร่างกายตั้งแต่หัวลงมายังเท้า มือวางสัมผัสต้นแขนของเขา กระซิบแผ่วเบาได้ยินเพียงกันและกัน เอดิออทถอนหายใจขณะมองดูภาพนั้น แล้วเบือนหน้ากลับหันติดตามร่างรุดหน้าไปก่อน ราวกับตนเองเป็นเงาที่ถูกทอดทิ้ง

เรียบทางเดินปูลาดด้วยหินอ่อนเพอร์เบ็คเขียวคร่ำสลับเทา บนเพดานเชื่อมต่อกับเสาหินใหญ่ คันทวยแกะสลักยุวเทพองค์น้อย เป่าแตรสีทองขนาบสองด้าน ราวกับกำลังประกาศก้อง คำพิพากษาศักดิ์สิทธิ์ ตัดสินชะตามนุษย์จากเบื้องบนลงมา ผ่านประตูบานใหญ่เข้ามา ในห้องมีเพียงลำพังองค์กษัตริย์ และรัชทายาท ผู้ค้นพบความจริงของตนเอง เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น

“ข้าพูดอะไรผิดหรือ ท่านจึงได้สกัดคำพูดข้าเอาไว้?” เอดิออทถามด้วยความไม่พอใจ

“บอกข้ามาซิว่า เจ้ากำลังจะพูดอะไรต่อหน้าทุกคน?” พระองค์เค้นคำตอบจากเขาด้วยแววเนตรดุดัน

“ข้าต้องการจะสารภาพความจริงว่า ในตัวข้ามีกระแสอำนาจไม่บริสุทธิ์ไหลผ่านไปยังอาวุธ บังเกิดพลังพุ่งทำลายอาวุธของอีกฝ่ายพินาศย่อยยับ เหมือนการตัดเขี้ยวเล็บเสือ แล้วปล่อยให้สู้กับนักรบให้ชุดเกราะอาวุธครบมือพิฆาตเสือตัวนั้น ข้าเห็นว่าเป็นความอยุติธรรมที่จะตัดสินว่านักรบผู้นั้นเป็นฝ่ายชนะ”

“ไม่ได้เด็ดขาด เอดิออท เจ้าจะให้ผู้อื่นล่วงรู้ไม่ได้ว่าเจ้าคือรัชทายาทผู้มีเลือดไม่บริสุทธิ์  การปรากฏตัวของเจ้าเป็นที่จับตามองของทุกฝ่ายในขณะนี้ ต่างรอดูว่าใครกันแน่จะได้ขึ้น ครองราชเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป เอดิออท ความที่เจ้าเงียบเฉย ไม่แสดงว่ามีเวทย์มนต์ ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเจ้า ไม่ใช่รัชทายาทผู้มีอำนาจมนต์ดำ แต่เป็นฝาแฝดอีกคนที่หายตัวไป จากการประลองเมื่อครู่ ตัวข้าก็ไม่พบว่ามีสิ่งผิดปรกติอันใด นอกจากการปะทะกันจนดาบหักไปเล่มนึงเท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต หากเจ้าไม่พูดก็จะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“แต่ข้าคิดว่ามันไม่ถูกต้อง หากปล่อยให้ทุกคนเข้าใจว่าธีโอดอร์ฟคือผู้แพ้ ความจริงลำพังพละกำลังบวกกับสติปัญญาของเขา สามารถเอาชนะข้าได้ไม่ยากอยู่แล้ว”

“ปล่อยให้ทุกคนเข้าใจเช่นนั้นแหล่ะดีแล้ว เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายเราโดยตรง เพราะเจ้าต้องครอบครองบัลลังก์ต่อจากข้า เจ้าจะต้องแสดงให้ทุกคนยอมรับว่าเจ้าเหนือกว่าเจ้าชายธีโอดอร์ฟ”

“อันที่จริงธีโอดอร์ฟเป็นโอรสกษัตริย์พระองค์ก่อน ทั้งยังมีชันษามากกว่า เขาควรได้รับสิทธิ์ครองบัลลังก์โดยชอบมิใช่หรือ”

“เจ้าไม่ต้องการมีอำนาจปกครองบัลลังก์เช่นนั้นหรอกหรือ?”

“คำว่าอำนาจ หรือว่าบัลลังก์ ไม่ได้อยู่ในความสนใจของข้า” เอดิออทกล่าวอย่างไม่ใยดี

“แต่เจ้าสนใจเจ้าหญิงฟาลเนียหรือมิใช่?”  

เอดิออทไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้ จึงเพียงแต่เอียงคอยักไหล่

กษัตริย์ยิ้มเมื่อเห็นจุดอ่อนของเอดิออท พูดจาหว่านล้อมว่า “เจ้าหญิงฟาลเนียเกิดมาเพื่อเป็นราชินี จะต้องคู่กับกษัตริย์เท่านั้น ถ้าเจ้าต้องการนาง เจ้าต้องเป็นกษัตริย์ นางเติบโตมาในวัง คุ้นเคยกับชีวิตสุขสบาย จะครองคู่กับคนธรรมดาไม่ได้ ข้าเลี้ยงนางมาย่อมรู้ดี”

“ข้าจะเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร ในเมื่อตัวข้าไร้ซึ่งเสียงสนับสนุน จะมีสิ่งใดมาพิสูจน์ให้ทุกคนยอมรับล่ะ ว่าข้าคู่ควรกับบัลลังก์อย่างแท้จริง”

“สิ่งหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ให้ทุกคนยอมรับ ว่าเจ้าคู่ควรกับบัลลังก์โดยแท้จริง คือการนำดาบศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา” ประกายแห่งความหวังฉายจับในดวงเนตรของพระองค์

“ดาบศักดิ์สิทธิ์?” เอดิออทถามด้วยความสงสัย ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ดาบศักดิ์สิทธิ์คือสัญลักษณ์ของสมมุติเทพผู้ขึ้นครองราชสมบัติ สืบทอดมาจากบรรพกษัตริย์ในยุคโบราณ ทว่าดาบเล่มนั้นกลับหายสาบสูญ ไปพร้อมกับกษัตริย์พระองค์ก่อนอย่างไร้ร่องรอย”

“เกิดอะไรขึ้นกับดาบ และกษัตริย์องค์ก่อนกันแน่?”

กษัตริย์เล่าว่า เมื่อ 34 ปีก่อน ในปีเทวศักราช 1570 หลังจากที่กษัตริย์ธีโอดอร์ นำดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกพวกมนต์ดำช่วงชิงไปกลับคืนมาได้ พระองค์ก็พบว่าดาบที่เคยเปล่งประกายสว่างไสว กลับกลายเป็นดำมืดราวกับต้องคำสาป ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาบเล่มนี้ ในที่สุดพระองค์ก็ตัดสินใจออกเดินทางไปพร้อมกับดาบ เพื่อค้นหาหนทางทำให้ดาบกลับคืนมาดังเดิม แต่แล้วพระองค์ก็มิได้หวนกลับมาอีกเลย ดาบศักดิ์สิทธิ์จึงหายสาบสูญไปพร้อมกับปริศนาดำมืด

“จะให้ข้าแบกความหวังอันน้อยนิด ออกตามหาดาบศักดิ์สิทธิ์กับกษัตริย์ที่หายสาบสูญเช่นนั้นน่ะหรือ” เอดิออทแค่นหัวเราะ

“เจ้าไม่เห็นหรือว่า บัดนี้เข็มทิศนำทางปรากฏอยู่ในมือของเราแล้ว เจ้ามองดูด้วยความสนใจ แต่กลับไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เจ้ามองไม่เห็นความหวังที่ปรากฏตรงหน้า แค่ปลายจมูกของเจ้าเองหรอกหรือ” กษัตริย์ทรงชี้ให้เห็นว่าเขามองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป

“ความหวังสิ่งนั้นที่ท่านว่า คืออะไรกันล่ะ?”

“เจ้าหญิงฟาลเนียยังไงเล่า ความหวังที่จะพาเจ้าไปพบกับดาบเล่มนั้น”

“ข้าไม่เข้าใจที่ท่านกล่าว”

“บางทีเจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่า แหวนศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าหญิงฟาลเนียครอบครองอยู่ในขณะนี้ แท้จริงคือหนึ่งในสามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมโยงกับของทุกชิ้น  หากเจ้าอยากรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็จงไปหาท่านท่านแม่เฒ่าแห่งหมู่บ้านมนต์ขาว ให้นางอธิบายเรื่องทั้งหมดให้แก่เจ้า บัดนี้ข้าสั่งให้มีการตระเตรียมเสบียง กองกำลังติดตาม และอำนวยความสะดวกในการเดินทางเอาไว้ครบครัน ขบวนจะออกเดินทางทันทีเมื่อเจ้าหญิงฟาลเนียพร้อม”

เอดิออทยืนตะลึงชั่วอึดใจ ก่อนเดินออกไปจากห้อง กษัตริย์เหลือบมองดูรูปบนผนังของกษัตริย์ธีโอดอร์ ผู้เป็นพระเชษฐา แล้วตรัสว่า  “ธีโอดอร์ ท่านมักเปล่งประกายจนข้าแสบตา เช่นเดียวกับเจ้าชายธีโอดอร์ฟ ผู้ถอดแบบความสมบูรณ์แบบนั้น มาจากตัวท่าน ทำให้ข้านึกถึงสมัยเยาว์วัย ท่านกับข้ามักแข่งขันกันเองอยู่เสมอ แต่ข้าก็ไม่เคยเอาชนะท่านได้สักครั้ง ครั้งหนึ่งท่านเคยหักดาบของข้าอย่างไม่ไว้หน้าในการฝึกซ้อมดาบ มาบัดนี้ ภาพในอดีตปรากฏชัดอีกครา แต่ทว่ากลับกัน บุตรของท่านเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่บุตรของข้า รอดูเถิดว่าราชสีห์หรือมังกรจักได้ครอบครองบัลลังก์”


เอดิออทตรงไปหาหญิงชราที่ห้องของนาง ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ฟังนางเล่าอย่างใจจด ถึงความเป็นมาของสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้น ที่เทพได้ประทานแก่มนุษย์ในอดีตกาล แล้วนางก็กล่าวสรุปชัดเจนว่า

“ก่อนอื่นเจ้าหญิงฟาลเนียจะต้องปลุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งแหวน ให้รับรู้และยอมรับว่านางคือผู้ครอบครองแหวนคนใหม่เสียก่อน นางจะต้องเดินทางไปทำพิธีปลุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งแหวน เพื่อรับพลังหยั่งรู้ของผู้ทำทาง ไปสู่การค้นพบดาบศักดิ์สิทธิ์ที่หายสาบสูญ

“ธีโอดอร์ฟรู้เรื่องนี้หรือ?”

“เขารู้เรื่องนี้ดี”

“แล้วบรุยเนย์ล่ะ?”

“นางรู้แล้ว”

“อะไรกัน!” เอดิออทร้อง “ทุกคนปล่อยให้ข้าโง่งม ไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่คนเดียว อีกแล้วหรือนี่”

“ฟังข้านะ เอดิออท ก่อนอื่นเจ้าต้องยอมรับว่า ตัวเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าเป็นถึงองค์รัชทายาท ผู้สืบทอดสายเลือดมนต์ดำ เมื่อแรกกษัตริย์เองก็ทรงกริ่งเกรง ไม่วางใจให้เจ้ารับภารกิจสำคัญครั้งนี้ แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนพระองค์ พระองค์ตรัสว่าเจ้ามีความสามารถเปลี่ยนแปลง โชคชะตาของตนเองด้วยการกระทำ ทรงเชื่อมั่นว่าเจ้ามีศักยภาพ สามารถรับภารกิจศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ได้ เจ้าครอบครองความมืดแต่ปฏิเสธมัน เมื่อไม่เปิดโอกาศให้ปิศาจแสดงตัว ความมืดก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้”

“อย่ามองข้าในแง่ดีจนเกินไปนัก ความมืดเริ่มส่งสัญญาณออกมาแล้วว่า มันจะไม่ยอมสงบจำนนอยู่ภายใต้การควบคุมอีกต่อไป..”



แสงจันทร์ทอลงมากระทบร่างเจ้าชายทอดสายตาเงียบงันไปยังความมืดจากระเบียงปราสาท ร่างในชุดสีขาว ชายกระโปรงพริ้วไหว ของเจ้าหญิงปรากฏกายขึ้นเบื้องหลังเสาใหญ่

“ทำไมท่านต้องหลบหน้าข้า”

แต่เจ้าชายธีโอดอร์ฟมิได้หันมามอง ผู้ที่เอ่ยถาม

“ทำไมกันล่ะ ตอบข้าสิ” เจ้าหญิงมองแผ่นหลังเย็นชาของเขาอย่างเสียใจ “ท่านรับปากยกข้าให้เป็นถ้วยรางวัลแก่ผู้ชนะ ท่านทำกับข้าแบบนี้ได้อย่างไร ทำราวกับว่าข้าปราศจากหัวใจ ทำไมท่านจึงไม่ปกป้องข้าเหมือนเช่นที่ผ่านมา ท่านไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เพราะอะไรกัน” หล่อนผิดหวังและเจ็บปวด

“เพราะว่าข้าเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่า แท้จริงตัวเจ้าต้องการใครดูแลกันแน่” เสียงของเจ้าชายสะท้อนก้อง

“ทำไมท่านจึงกล่าวเช่นนั้น?”

ธีโอดอร์ฟหันมาเผชิญหน้า สบตากับฟาลเนีย  “เจ้าจูบกับเขา”

หล่อนหน้าแดง สีหน้าขัดเขิน ลำบากใจ “ขะ ข้า…”

“ขอโทษ แต่ข้าจะกลับไปพักผ่อน” เจ้าชายกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เดินออกมาจากตรงนั้น

“เดี๋ยวก่อน” ฟาลเนียรั้งเขาไว้ แต่ชายหนุ่มกลับทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงของเธอ ร่างของเขากลืนหายไปในเงามืด



เสียงเคาะประตูดังรัว เจ้าหญิงยืนก้มหน้าแววตาแดงกร่ำ กุมกำปั้นสั่นระริกเหมือนอยากจะต่อยหน้าใครบางคน

“ขอคุยด้วยหน่อย” เสียงของหล่อนสั่นเครือ

เอดิออทผู้เปิดประตู มองเจ้าหญิงด้วยแววตาประหลาดใจ หล่อนจิกตาใส่เขา สะบัดหน้าเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง

“ข้าเกลียดเจ้า!”  

“แล้วกัน ทำไมต้องเกลียดกัน?”

“เจ้ามันร้ายนักมาขโมยจูบแรกของข้าไปหน้าตาเฉย แล้วยังมีหน้าเอาไปพูดอีก  ข้าทำอะไรให้เจ้าเกลียดชังหรือ ถึงคอยกลั่นแกล้งกันอยู่ตลอดเวลา” ฟาลเนียทำหน้าอยากร้องไห้

“ข้าไม่ได้เกลียดเจ้าเลย จริงๆแล้ว ข้าชอบเจ้ามาก” เอดิออทกล่าวออกมาตรงๆจากความรู้สึก แต่เมื่อสบดวงตาหญิงสาวที่หมายปอง ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นสีแดงทันที “เออ หมายถึง ข้าชอบแกล้งเจ้า ดูเจ้าหญิงโวยวายสนุกดี”

ฟาลเนียโกรธจัดจนตัวสั่น ตรงพรวดเข้าไปหมายบีบคออีกฝ่ายให้ได้ แต่เคราะห์ร้าย ดันเหยียบพรมผืนใหญ่ลื่นล้ม เอดิออทฉวยร่างเจ้าหญิงเอาไว้ กลิ้งไปบนพรมพร้อมกัน ฉับพลันมีกระแสพลังอ่อนๆชนิดหนึ่งในตัวของเขา กลายเป็นประจุไฟฟ้า ดูดพรมผืนใหญ่ตลบม้วนขึ้นมา พลิกกลืนร่างทั้งคู่ราวกับเกลียวคลื่น กลิ้งตลบ ขลุก ขลุก ขลุก พยายามดิ้นรน พลิกไปพลิกมา จนหัวโขกชนกันเองบูดโน เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง ให้แนบชิดสนิทติดกันเป็นร่างเดียว ในห่อผ้าผืนร่วมผืนกันอยู่แบบนั้น กว่าจะดึงตัวออกมาได้ก็แทบแย่ เจ้าหญิงฟาลเนียหมดแรงร้องโวยวาย สีหน้าเจื่อนสนิท เป็นอันเข็ดขยาด รีบเสด็จกลับห้องทันที ไม่กล้ามาตอแยด้วยอีกเด็ดขาด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่