..ความเดิมตอนที่แล้ว..
“ธีโอดอร์ฟ” เสียงของเจ้าหญิง เรียกให้เขาหันมามอง
หล่อนจ้องเข้าไปยังแววตา เป็นประกายลึกนิ่งคู่นั้น ด้วยใจสั่นระริก เอ่ยถามว่า
“ท่านยังรักข้าอยู่รึเปล่า?”
“ข้ารักเจ้าเสมอ” ธีโอดอร์ฟกล่าวเรียบๆ
“เช่นนั้น โปรดจงเชื่อใจกัน ว่าข้าก็รักเพียงท่าน คนอื่นจะไม่มีวันได้หัวใจข้าไป”
ฟาลเนียพูดเสียงอ่อนหวานแต่หนักแน่น เอื้อมมือวางทาบกับมือของเขา ที่คว่ำวางกับเบาะข้างลำตัว บีบเอาไว้แทนคำสัญญา ฝ่ามืออบอุ่นอีกข้างวางทาบบนมือบอบบางของหล่อน แล้วดึงมากุมไว้ วางแนบสนิทกับใจตน กล่าวว่า
“หัวใจของข้า อยู่ในมือของเจ้าแล้ว”
ชั่วครู่สายตาทั้งสองสบประสานกัน เจ้าชายธีโอดอร์ฟพลันหรี่ตาลง กล่าวกระซิบสืบต่อไปว่า
“แต่หัวใจของข้าดวงนี้ เต็มไปด้วยปริศนาคาใจ ตั้งแต่เจ้าหายตัวไปกับเอดิออท สองคนที่ทริเบียในวันนั้น”
ฟาลเนียสะดุ้งเหมือนโดนอะไรจี้ใส่ ดึงมือกลับมากุมไว้กับอก ปลายนิ้วเย็นจรดฝ่ามือ ก้มหน้านิ่งหลบไม่สบตาอีกฝ่าย เจ้าชายธีโอดอร์ฟในขณะนี้ มองดูเจ้าหญิงด้วยแววตาปวดร้าวลึกๆ รู้ด้วยสัญชาติญาณทันทีว่าหล่อนมีบางสิ่งปิดบังซ่อนเร้นจากเขา เขาเองก็อยากปลงใจเชื่อ คำพูดของหล่อนง่ายๆเช่นกัน แต่เกินแรงสามารถในขณะนี้จะทำได้
เอดิออท กระหยิ่มยิ้มย่อง กล่าวว่า “บรุยเน่ย์ ที่พูดออกมาน่ะ เป็นความคิดที่ผิดจากความเป็นจริง แสดงว่าเจ้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย”
“ทำไมข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร” บรุยเน่ย์กล่าวฉุนๆ สายตาเคืองขุ่นเบิกโตใส่เขา
อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงดังชัดเจนว่า “เจ้าชายธีโอดอร์ฟ ไม่มีวันจะครอบครองนางได้ ด้วยสัจจะปฏิญาณ ต่อหน้าองค์เทพเป็นสักขีพยาน ฟาลเนียกับข้าได้สมรสกันอย่างถูกต้องตามประเพณีทุกประการ หากผู้ใดทำลายคำมั่นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ จะบังเกิดเคราะห์ร้ายอาเพศแก่บุคคลผู้นั้น”
เพื่อนสาวของเขา ทำหน้าตื่นตะลึงงัน “เจ้าพูดอะไรออกมา จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เพ้อฝัน!”
เอดิออทหัวเราะ กล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ก็ลองถามฟาลเนียดูสิว่าจริงหรือไม่ คนอย่างหล่อนโกหกใครเป็นซะเมื่อไหร่กัน”
ท่ามกลางบรรยากาศกดดัน ในรถม้าคันที่มีกันแค่สองคน ในที่สุดเจ้าหญิงฟาลเนียก็เงยหน้าขึ้น พูดเสียงเครือว่า “ข้าขอโทษ ข้าทำพลาดเอง เป็นความผิดที่ข้าไม่ได้ตั้งใจเลย”
บทที่15
หมุนเข็มนาฬิกาทวนอีกครั้ง ย้อนกลับมายังช่วงเวลาที่ทุกคนพำนักอยู่ ณ คฤหาสน์ของหญิงม่ายโฉมงามนามว่าเอลีเนีย ภายในเมืองทริเบียอันเต็มไปด้วยสีสันแห่งนี้ ถนนหนทางทุกหนแห่งปูลาดด้วยหินสีลวดลายคล้ายเกล็ดปลา บ้านแต่ละหลังผนังถูกฉาบทา ด้วยสีสันสดใส แลดูเหมือนใหม่ไม่ซ้ำแบบกันเลย มีทั้งเหลืองมัสตาด ส้มสดใส เขียวมิ้น ชมพูกุหลาบ ฟ้าน้ำทะเล และสีอื่นๆอีกมากมาย แต่แทบจะทุกหลังต้องมีกระถางดอกไม้สีสันฉูดฉาด วางเรียงแข่งกันเด่นอยู่หน้าประตู สะกิดสายตาคนทั่งคู่ให้เหลียวมองอยู่เรื่อยๆเมื่อเดินผ่าน เนื่องจากดอกไม้ในเมืองแห่งนี้ หน้าตาไม่ซ้ำชนิดกันเลย สีสันของพวกมันหลากหลายพอๆ กับผนังบ้านที่มีสีสันเหมือนลูกกวาด
เอดิออทควานหาเศษเหรียญที่เหลืออยู่ในกระเป๋ากางเกง เพื่อแลกกับดอกไม้ในตระกร้าที่แม่ค้านำมาขาย เขาหันมาทำหน้าจริงจัง ลำแขนเหยียดตรงราวกับกำลังถือคบเพลิงเอาไว้ แก้มของเขาเป็นแดงเล็กน้อย ในมือถือดอกไม้ชูช่อเด่นหรา ทั้งที่หล่อนเพิ่งจะร้องไห้ ดวงตายังคงบวมแดงอยู่ แต่ใบหน้าผลิยิ้ม เช่นเดียวกับดอกไม้ที่รับมาจากมือเขา
“สวยจังเลย ขอบใจนะ”
หล่อนกล่าวขอบคุณพร้อมยิ้มหวาน แล้วก้มลงดมช่อดอกไม้ที่เขามอบให้ แต่แล้วกลับคันจมูกฟุดฟิด จามออกมาโดยแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า จนผมสยายฟุ้งกระจาย เอดิออทเขากำปอยผมของเธอ รวบเป็นช่อห่อปากยกขึ้น แล้วนำมาวาง เป็นหนวดยาวๆ ห้อยต่องแต่งติดอยู่ ปลายจมูกเหนือริมฝีปาก
“ข้าคือพระราชา หนวดยาว ข้าจะกระดิกหนวดเสกให้เจ้าหยุดจามเดี๋ยวนี้”
เอดิออททำเสียงเลียนแบบพระราชา จนฟาลเนียอดหัวเราะขบขันไม่ได้ อาการจามของหล่อนหายสนิทเป็นปลิดทิ้งเหมือนถูกเสก
สายตาคู่หนึ่งมองดูทั้งสองอย่างใคร่ครวญอยู่ก่อนหน้า ในที่สุดก็ร้องขึ้นว่า “และแล้วข้าก็พบจนได้ เจ้าหญิง กับเจ้าชาย”
หันไปก็พบว่าผู้กล่าวนั้นเป็นชายในชุดบาทหลวง กำลังยืนจ้องมองทั้งสองตาเป็นประกายเร้นลับ
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าคือเจ้าหญิง และเขาคือเจ้าชาย?” เจ้าหญิงฟาลเนียถามด้วยความประหลาดใจ
“ผิดแล้ว ข้าหมายถึงเขาต่างหากคือเจ้าหญิง” เขาพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่เอดิออท แล้วจึงชี้มาที่ฟาลเนีย พูดย้ำว่า “ส่วนท่านคือเจ้าชาย”
“ข้าเนี่ยนะเจ้าหญิง ตลกสุดๆที่เคยได้ยินมาเลย ” เอดิออทหัวเราะขบขัน
“และข้าน่ะหรือเจ้าชาย” ฟาเนียชี้หน้าตนเองอย่างุนงง
“โปรดตามข้ามา แล้วท่านจะรู้เองว่า ข้าหมายความว่าอย่างไร” ชายในชุดบาทหลวงกล่าว
ฟาลเนียมองเอดิออทเพื่อหยั่งความเห็นของอีกฝ่าย เขาหันมายิ้ม กระชับมือหล่อนกุมไว้มั่น กระตุกมือหล่อนเบาๆให้เดินมาพร้อมกับเขา แววตาขี้เล่นแฝงความมั่นใจบอกกับหล่อนว่า อยู่กับเขาไม่มีอะไรต้องกลัวทั้งนั้น
โรงละครขนาดใหญ่หรูหราแห่งนี้ มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า ‘โรงละครแห่งทริเบีย จุดนัดพบของเรื่องราว ทั้งเก่า และใหม่’
เมื่อเข้าไปข้างในก็มีนักแสดงแต่งกายในชุดสวยงาม กรูกันเข้ามามุงดูคนทั้งสองราวกับเห็นของมีค่า รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคน ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้น
หญิงร่างท้วมผมสีน้ำตาลหยิกฟูที่มีดอกไม้ประดับผมคนหนึ่งพยักหน้ากล่าวว่า “สองคนนี้มาแสดงแทนไวโอเล็ต กับลีโอเน็ตได้เลยล่ะ”
ไม่เปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยใดๆ ทั้งสองถูกผลักเข้าไปในห้องลองชุดทันที เอดิออทถูกจับแปลงโฉมเป็นเจ้าหญิงผู้งดงาม
สวมวิกผมสีดำยาวเป็นลอนสยาย ใบหน้าของเขาถูกแต่งแต้มจนงดงามหมดจด สะดุดตาในชุดกระโปรงยาวกรุยกรายสีขาวบริสุทธิ์ปักด้วยสีทอง ติดกระพรวนเล็กๆและไข่มุก(ปลอม)แพรวพราว
ส่วนฟาลเนียถูกแปลงโฉมเป็นเจ้าชายหนุ่มน้อย ผมสีทองแดงถูกรวมหางม้าผูกด้วยโบว์สีดำ คิ้วแต่งเติมให้เข้มรับใบหน้าดูคล้ายเด็กผู้ชายหน้าหวาน สวมเสื้อกั๊กกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มกระดุมสีเงิน ทับเสื้อแขนยาวสีขาวพับแขนปกแข็งสีน้ำเงินเข้มตัดขอบเงิน กางเกงคลุมเข่าสีดำ สวมถุงเท้ายาวสีขาว รองเท้าสีดำขัดเงา ทั้งสองตะลึงมองตนเองในกระจก
คนอื่นยืนห้อมล้อมมองทั้งคู่ด้วยแววตาเป็นประกายกว่าเดิม มีเสียงชื่นชมในกลุ่มนักแสดงว่า “ช่างงดงามเหมาะเจาะ ดูสิทุกอย่างดูลงตัวไปหมด”
แล้วชายในชุดบาทหลวงก็เดินเข้ามาบอกแก่ทั้งคู่ว่า “ท่านจะได้รับบทเจ้าหญิงเลรีอา กับเจ้าชายฟาลนัว ในเรื่อง One Truth behind the Shadow”
“แล้วทำไมต้องสลับให้ข้าแสดงเป็นเจ้าหญิง” เอดิออทร้องถามเสียงเครียด
“เพราะผู้ชมชอบความแปลกใหม่ ที่สามารถเรียกรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะได้ไงล่ะ เอาล่ะ ข้าจะแจกบทให้ท่านคนละชุด ท่านทั้งสองมีเวลาฝึกซ้อมก่อนแสดงจริงเพียงสามชั่วโมง ดังนั้นขอให้ตั้งใจอ่านบทอย่างมีสมาธิ”
“อะไรนะ มีเวลาแค่สามชั่วโมงจะจำบทพูดได้อย่างไรกัน” ฟาลเนียหยิบกระดาษในมือพลิกดูบทยาวเหยียดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ท่านเพียงแต่จำเรื่องราวที่ข้ากำลังจะเล่าสรุปโดยย่อให้ฟังก็พอ คณะของเราต้องการนักแสดงที่ใหม่สดมีชีวิตชีวา พวกเราไม่มีใครมานั่งท่องบทกันหรอก เราขับร้อง เต้นรำ กล่าวโต้ตอบกันไปมา รวดเร็วเท่าความคิดโดยไม่อิงบทที่เขียนในสคริปท์ แต่จะใช้ความรู้สึกดึงบทพูดที่ลื่นไหลออกมาแทน” ผู้สวมบทบาทหลวงพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง
“เป็นการแสดงที่น่าสนใจไม่น้อย ก็ได้ข้าจะลองดู ไหนท่านลองเล่าเรื่องย่อของเรื่องนี้ให้ฟังซิ” เอดิออท บัดนี้ถูกเสกให้กลายเป็นเจ้าหญิงแสนสวยไปเสียแล้ว แต่น้ำเสียงยังเป็นห้าวทุ้มสมชายชาตรีเช่นเดิม
ฟังเรื่องย่อของเรื่อง One Truth behind the Shadow จบแล้ว จากนั้นก็มีเวลาซักซ้อมกันอีกสองสามชั่วโมงเท่านั้น ในไม่ช้าที่นั่งทุกแถวเต็มแน่นไปด้วยผู้ชม ที่รอชมการแสดงด้วยความตื่นเต้น และแล้วการแสดงก็เริ่มต้นขึ้น
v
v
The Light of Darkness [บทที่ 15]
“ธีโอดอร์ฟ” เสียงของเจ้าหญิง เรียกให้เขาหันมามอง
หล่อนจ้องเข้าไปยังแววตา เป็นประกายลึกนิ่งคู่นั้น ด้วยใจสั่นระริก เอ่ยถามว่า
“ท่านยังรักข้าอยู่รึเปล่า?”
“ข้ารักเจ้าเสมอ” ธีโอดอร์ฟกล่าวเรียบๆ
“เช่นนั้น โปรดจงเชื่อใจกัน ว่าข้าก็รักเพียงท่าน คนอื่นจะไม่มีวันได้หัวใจข้าไป”
ฟาลเนียพูดเสียงอ่อนหวานแต่หนักแน่น เอื้อมมือวางทาบกับมือของเขา ที่คว่ำวางกับเบาะข้างลำตัว บีบเอาไว้แทนคำสัญญา ฝ่ามืออบอุ่นอีกข้างวางทาบบนมือบอบบางของหล่อน แล้วดึงมากุมไว้ วางแนบสนิทกับใจตน กล่าวว่า
“หัวใจของข้า อยู่ในมือของเจ้าแล้ว”
ชั่วครู่สายตาทั้งสองสบประสานกัน เจ้าชายธีโอดอร์ฟพลันหรี่ตาลง กล่าวกระซิบสืบต่อไปว่า
“แต่หัวใจของข้าดวงนี้ เต็มไปด้วยปริศนาคาใจ ตั้งแต่เจ้าหายตัวไปกับเอดิออท สองคนที่ทริเบียในวันนั้น”
ฟาลเนียสะดุ้งเหมือนโดนอะไรจี้ใส่ ดึงมือกลับมากุมไว้กับอก ปลายนิ้วเย็นจรดฝ่ามือ ก้มหน้านิ่งหลบไม่สบตาอีกฝ่าย เจ้าชายธีโอดอร์ฟในขณะนี้ มองดูเจ้าหญิงด้วยแววตาปวดร้าวลึกๆ รู้ด้วยสัญชาติญาณทันทีว่าหล่อนมีบางสิ่งปิดบังซ่อนเร้นจากเขา เขาเองก็อยากปลงใจเชื่อ คำพูดของหล่อนง่ายๆเช่นกัน แต่เกินแรงสามารถในขณะนี้จะทำได้
เอดิออท กระหยิ่มยิ้มย่อง กล่าวว่า “บรุยเน่ย์ ที่พูดออกมาน่ะ เป็นความคิดที่ผิดจากความเป็นจริง แสดงว่าเจ้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย”
“ทำไมข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร” บรุยเน่ย์กล่าวฉุนๆ สายตาเคืองขุ่นเบิกโตใส่เขา
อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงดังชัดเจนว่า “เจ้าชายธีโอดอร์ฟ ไม่มีวันจะครอบครองนางได้ ด้วยสัจจะปฏิญาณ ต่อหน้าองค์เทพเป็นสักขีพยาน ฟาลเนียกับข้าได้สมรสกันอย่างถูกต้องตามประเพณีทุกประการ หากผู้ใดทำลายคำมั่นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ จะบังเกิดเคราะห์ร้ายอาเพศแก่บุคคลผู้นั้น”
เพื่อนสาวของเขา ทำหน้าตื่นตะลึงงัน “เจ้าพูดอะไรออกมา จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เพ้อฝัน!”
เอดิออทหัวเราะ กล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ก็ลองถามฟาลเนียดูสิว่าจริงหรือไม่ คนอย่างหล่อนโกหกใครเป็นซะเมื่อไหร่กัน”
ท่ามกลางบรรยากาศกดดัน ในรถม้าคันที่มีกันแค่สองคน ในที่สุดเจ้าหญิงฟาลเนียก็เงยหน้าขึ้น พูดเสียงเครือว่า “ข้าขอโทษ ข้าทำพลาดเอง เป็นความผิดที่ข้าไม่ได้ตั้งใจเลย”
บทที่15
หมุนเข็มนาฬิกาทวนอีกครั้ง ย้อนกลับมายังช่วงเวลาที่ทุกคนพำนักอยู่ ณ คฤหาสน์ของหญิงม่ายโฉมงามนามว่าเอลีเนีย ภายในเมืองทริเบียอันเต็มไปด้วยสีสันแห่งนี้ ถนนหนทางทุกหนแห่งปูลาดด้วยหินสีลวดลายคล้ายเกล็ดปลา บ้านแต่ละหลังผนังถูกฉาบทา ด้วยสีสันสดใส แลดูเหมือนใหม่ไม่ซ้ำแบบกันเลย มีทั้งเหลืองมัสตาด ส้มสดใส เขียวมิ้น ชมพูกุหลาบ ฟ้าน้ำทะเล และสีอื่นๆอีกมากมาย แต่แทบจะทุกหลังต้องมีกระถางดอกไม้สีสันฉูดฉาด วางเรียงแข่งกันเด่นอยู่หน้าประตู สะกิดสายตาคนทั่งคู่ให้เหลียวมองอยู่เรื่อยๆเมื่อเดินผ่าน เนื่องจากดอกไม้ในเมืองแห่งนี้ หน้าตาไม่ซ้ำชนิดกันเลย สีสันของพวกมันหลากหลายพอๆ กับผนังบ้านที่มีสีสันเหมือนลูกกวาด
เอดิออทควานหาเศษเหรียญที่เหลืออยู่ในกระเป๋ากางเกง เพื่อแลกกับดอกไม้ในตระกร้าที่แม่ค้านำมาขาย เขาหันมาทำหน้าจริงจัง ลำแขนเหยียดตรงราวกับกำลังถือคบเพลิงเอาไว้ แก้มของเขาเป็นแดงเล็กน้อย ในมือถือดอกไม้ชูช่อเด่นหรา ทั้งที่หล่อนเพิ่งจะร้องไห้ ดวงตายังคงบวมแดงอยู่ แต่ใบหน้าผลิยิ้ม เช่นเดียวกับดอกไม้ที่รับมาจากมือเขา
“สวยจังเลย ขอบใจนะ”
หล่อนกล่าวขอบคุณพร้อมยิ้มหวาน แล้วก้มลงดมช่อดอกไม้ที่เขามอบให้ แต่แล้วกลับคันจมูกฟุดฟิด จามออกมาโดยแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า จนผมสยายฟุ้งกระจาย เอดิออทเขากำปอยผมของเธอ รวบเป็นช่อห่อปากยกขึ้น แล้วนำมาวาง เป็นหนวดยาวๆ ห้อยต่องแต่งติดอยู่ ปลายจมูกเหนือริมฝีปาก
“ข้าคือพระราชา หนวดยาว ข้าจะกระดิกหนวดเสกให้เจ้าหยุดจามเดี๋ยวนี้”
เอดิออททำเสียงเลียนแบบพระราชา จนฟาลเนียอดหัวเราะขบขันไม่ได้ อาการจามของหล่อนหายสนิทเป็นปลิดทิ้งเหมือนถูกเสก
สายตาคู่หนึ่งมองดูทั้งสองอย่างใคร่ครวญอยู่ก่อนหน้า ในที่สุดก็ร้องขึ้นว่า “และแล้วข้าก็พบจนได้ เจ้าหญิง กับเจ้าชาย”
หันไปก็พบว่าผู้กล่าวนั้นเป็นชายในชุดบาทหลวง กำลังยืนจ้องมองทั้งสองตาเป็นประกายเร้นลับ
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าคือเจ้าหญิง และเขาคือเจ้าชาย?” เจ้าหญิงฟาลเนียถามด้วยความประหลาดใจ
“ผิดแล้ว ข้าหมายถึงเขาต่างหากคือเจ้าหญิง” เขาพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่เอดิออท แล้วจึงชี้มาที่ฟาลเนีย พูดย้ำว่า “ส่วนท่านคือเจ้าชาย”
“ข้าเนี่ยนะเจ้าหญิง ตลกสุดๆที่เคยได้ยินมาเลย ” เอดิออทหัวเราะขบขัน
“และข้าน่ะหรือเจ้าชาย” ฟาเนียชี้หน้าตนเองอย่างุนงง
“โปรดตามข้ามา แล้วท่านจะรู้เองว่า ข้าหมายความว่าอย่างไร” ชายในชุดบาทหลวงกล่าว
ฟาลเนียมองเอดิออทเพื่อหยั่งความเห็นของอีกฝ่าย เขาหันมายิ้ม กระชับมือหล่อนกุมไว้มั่น กระตุกมือหล่อนเบาๆให้เดินมาพร้อมกับเขา แววตาขี้เล่นแฝงความมั่นใจบอกกับหล่อนว่า อยู่กับเขาไม่มีอะไรต้องกลัวทั้งนั้น
โรงละครขนาดใหญ่หรูหราแห่งนี้ มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า ‘โรงละครแห่งทริเบีย จุดนัดพบของเรื่องราว ทั้งเก่า และใหม่’
เมื่อเข้าไปข้างในก็มีนักแสดงแต่งกายในชุดสวยงาม กรูกันเข้ามามุงดูคนทั้งสองราวกับเห็นของมีค่า รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคน ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้น
หญิงร่างท้วมผมสีน้ำตาลหยิกฟูที่มีดอกไม้ประดับผมคนหนึ่งพยักหน้ากล่าวว่า “สองคนนี้มาแสดงแทนไวโอเล็ต กับลีโอเน็ตได้เลยล่ะ”
ไม่เปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยใดๆ ทั้งสองถูกผลักเข้าไปในห้องลองชุดทันที เอดิออทถูกจับแปลงโฉมเป็นเจ้าหญิงผู้งดงาม
สวมวิกผมสีดำยาวเป็นลอนสยาย ใบหน้าของเขาถูกแต่งแต้มจนงดงามหมดจด สะดุดตาในชุดกระโปรงยาวกรุยกรายสีขาวบริสุทธิ์ปักด้วยสีทอง ติดกระพรวนเล็กๆและไข่มุก(ปลอม)แพรวพราว
ส่วนฟาลเนียถูกแปลงโฉมเป็นเจ้าชายหนุ่มน้อย ผมสีทองแดงถูกรวมหางม้าผูกด้วยโบว์สีดำ คิ้วแต่งเติมให้เข้มรับใบหน้าดูคล้ายเด็กผู้ชายหน้าหวาน สวมเสื้อกั๊กกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มกระดุมสีเงิน ทับเสื้อแขนยาวสีขาวพับแขนปกแข็งสีน้ำเงินเข้มตัดขอบเงิน กางเกงคลุมเข่าสีดำ สวมถุงเท้ายาวสีขาว รองเท้าสีดำขัดเงา ทั้งสองตะลึงมองตนเองในกระจก
คนอื่นยืนห้อมล้อมมองทั้งคู่ด้วยแววตาเป็นประกายกว่าเดิม มีเสียงชื่นชมในกลุ่มนักแสดงว่า “ช่างงดงามเหมาะเจาะ ดูสิทุกอย่างดูลงตัวไปหมด”
แล้วชายในชุดบาทหลวงก็เดินเข้ามาบอกแก่ทั้งคู่ว่า “ท่านจะได้รับบทเจ้าหญิงเลรีอา กับเจ้าชายฟาลนัว ในเรื่อง One Truth behind the Shadow”
“แล้วทำไมต้องสลับให้ข้าแสดงเป็นเจ้าหญิง” เอดิออทร้องถามเสียงเครียด
“เพราะผู้ชมชอบความแปลกใหม่ ที่สามารถเรียกรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะได้ไงล่ะ เอาล่ะ ข้าจะแจกบทให้ท่านคนละชุด ท่านทั้งสองมีเวลาฝึกซ้อมก่อนแสดงจริงเพียงสามชั่วโมง ดังนั้นขอให้ตั้งใจอ่านบทอย่างมีสมาธิ”
“อะไรนะ มีเวลาแค่สามชั่วโมงจะจำบทพูดได้อย่างไรกัน” ฟาลเนียหยิบกระดาษในมือพลิกดูบทยาวเหยียดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ท่านเพียงแต่จำเรื่องราวที่ข้ากำลังจะเล่าสรุปโดยย่อให้ฟังก็พอ คณะของเราต้องการนักแสดงที่ใหม่สดมีชีวิตชีวา พวกเราไม่มีใครมานั่งท่องบทกันหรอก เราขับร้อง เต้นรำ กล่าวโต้ตอบกันไปมา รวดเร็วเท่าความคิดโดยไม่อิงบทที่เขียนในสคริปท์ แต่จะใช้ความรู้สึกดึงบทพูดที่ลื่นไหลออกมาแทน” ผู้สวมบทบาทหลวงพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง
“เป็นการแสดงที่น่าสนใจไม่น้อย ก็ได้ข้าจะลองดู ไหนท่านลองเล่าเรื่องย่อของเรื่องนี้ให้ฟังซิ” เอดิออท บัดนี้ถูกเสกให้กลายเป็นเจ้าหญิงแสนสวยไปเสียแล้ว แต่น้ำเสียงยังเป็นห้าวทุ้มสมชายชาตรีเช่นเดิม
ฟังเรื่องย่อของเรื่อง One Truth behind the Shadow จบแล้ว จากนั้นก็มีเวลาซักซ้อมกันอีกสองสามชั่วโมงเท่านั้น ในไม่ช้าที่นั่งทุกแถวเต็มแน่นไปด้วยผู้ชม ที่รอชมการแสดงด้วยความตื่นเต้น และแล้วการแสดงก็เริ่มต้นขึ้น
v
v