บทที่ 1 แหวนศักดิ์สิทธิ์กับภูตวิหค
http://ppantip.com/topic/30132632
บทที่ 2 ลักพาตัว
http://ppantip.com/topic/30134184
บทที่ 3 ถ้ำหินขาว
http://ppantip.com/topic/30140347
บทที่ 4 หมู่บ้านมนต์ขาว
http://ppantip.com/topic/30158845
บทที่ 5 วิหารมนต์ขาว
http://ppantip.com/topic/30180375
บทที่ 6 ความทรงจำของหญิงชรา
http://ppantip.com/topic/30194878
บทที่ 7 บ่อน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์
http://ppantip.com/topic/30200552
บทที่ 8 หลบหนีจากหมู่บ้าน
ชายหนุ่มนั่งอยู่ตามลำพังมุมเดิมที่หอระฆัง ขาข้างหนึ่งชันเข่าขึ้น อีกข้างเหยียดตรง แผ่นหลังวางทาบอิงต้นเสา ในท่าประจำด้วยความเคยชิน ทอดสายตาออกไปไกลลิบ แต่หูของเขาไวจับ เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ แล้วหยุดยืนอ้อยอิ่งอยู่เบื้องหลังราวกับเป็นเงา
“เอ้านี่แน่ะ บรุยเน่ย์ฝากมาให้” เจ้าหญิงกล่าวพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งพับไว้หลายทบจนมีขนาดเท่าผ่ามือให้ถึงตรงหน้า เมื่อเห็นเขายังคงนิ่งเป็นรูปจำหลักหินติดกับเสาเช่นเดิมโดยไม่หันมามองสบ ก็ย้ำว่า "รับไปเสียสิ"
ผู้รับเอื้อมมือไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาคลี่ออก เขม้นมองอักษรยาวเหยียดเป็นพรืดบนกระดาษอยู่ครู่หนึ่ง เขาอ่านทุกคำหรือไม่ฟาลเนียไม่ทราบ แต่หล่อนก็ต้องอุทานเบาๆอย่างตกใจ เมื่อเห็นกระดาษถูกฉีกแล้วโยนทิ้งไปโดยผู้รับ
“บรุยเน่ย์เค้าตั้งใจเขียนจดหมายมาให้นายดีๆ ทำไมถึงทำแบบนี้?” หล่อนต่อว่าอย่างฉุนๆ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้ฝากส่งมา
ชายหนุ่มทรงตัวลุกขึ้นยืนกำหมัดแน่น หันเข้าหาเธอด้วยใบหน้าเครียดขรึม ชนิดที่ไม่เคยพบเห็นจากชายผู้นี้มาก่อน
“บอกบรุยเน่ย์ว่าข้า..ใช้วิชาเวทย์มนต์ดำงั้นซี?” น้ำเสียงของเขาชาเย็นกว่าทุกที
“ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องปิดบังอะไรนี่” เธอตอบอย่างไม่แยแส “เราก็แค่พูดตามที่ตาคู่นี้รู้เห็น”
เจ้าหญิงวางนิ้วชี้แตะลงบนแพขนตาล่างงอนงามของตนเอง กล่าวยิ้มๆ แต่กระแสเสียงเย้ยเยาะ “บรุยเน่ย์ผิดหวังมากเพราะไว้วางใจนายเกินไป หล่อนนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องประเภทนี้ปิดบังอยู่ แต่ขอโทษเถอะ นายไม่ทำให้เราผิดหวังเลยนะ เพราะว่ารู้แก่ใจตัวเองดีตลอดเวลา ว่าคนอย่างนายมันไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด”
ท้องฟ้าส่งเสียงคำราม ครืน มีเงาดำหลายร่างตัดผ่านพระจันทร์ซีดหมองคล้ำไปอย่างรวดเร็ว แล้วหัวใจของเจ้าหญิงก็หล่นวูบไปที่เท้าเมื่อเสียงหวีดแหลมของผู้คนวิ่งกรูกันออกมานอกบ้านที่มีประกายเพลิงลุกโชติช่วงเป็นเปลว
พวกมันมากันเป็นกลุ่ม เจ้าสัตว์ร้ายประเภทตัวใหญ่เกล็ดหนา หน้าตาเหมือนจระเข้มีเขา ปีกกางแผ่ลักษณะเดียวกับค้างคาว แต่มีขนาดใหญ่กว่าจนน่าสะพรึงกลัวนั้น โหมกระพือเปลวไฟที่พ่นออกมาทางจมูก และปากอันเต็มไปด้วยฟันซี่เล็กๆแหลมเพี้ยวเรียงกันเป็นตับ ไหม้ลุกลามส่วนอาคาร พังครืนลงมาทับร่างเด็กเล็กๆแบเบาะที่พ่อแม่อุ้มออกมาไม่ทัน กลิ้งเกลือกอยู่ในนั้นดิ้นดับคาซากปรักทันที
เสียงร้องตะโกนโหวกเหวก และเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ไม่อาจดับเพลิงไหม้ที่ติดรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่งได้ การกลับมาของมังกรกลุ่มนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าเก่าเท่าทวี แต่ในครั้งนี้พวกมันมากันตัวเปล่าแต่ลำพังปราศจากผู้คุมขี่อย่างในอดีต พวกมันพ่นไฟบรรลัยกัลป์ ไหลท่วมท้นดุจกระแสลาวาร้อนระอุ สร้างความพินาศยับย่อยต่อเนื่อง ราวกับยืมพลังมาจากภูเขาไฟที่มีอำนาจระเบิดรุนแรงที่สุดในภิภพโลกันต์
เอดิออทออกวิ่งไปพร้อมกับร่างเจ้าหญิงติดสอยห้อยตามไปด้วย มือแข็งแรงของเขารวบแขนเธอไว้มั่นไม่ยอมปล่อย ฝีเท้าของเขาสามารถเร่งเร็วได้กว่านี้แต่เขาก็ชะลอมันไว้
เอดิออทหยุดยืนหอบเบาๆอยู่หน้าบ้านหลังน้อยด้วยความโล่งอกที่พบว่าบ้านยังรอดพ้นจากความวอดวาย
“ท่านยาย ท่าน..ท่านอยู่ที่ไหน?” เอดิออทส่งเสียงเรียกเข้าไปในบ้านเสียงดังก้อง กวาดสายตาค้นหาทั่ว
หญิงชราโผล่พ้นบันไดใต้ดินขึ้นมา พร้อมสัมภาระบรรจุเต็มในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ สั่งเฉียบขาดว่า
“พวกเราทั้งหมดจะต้องรีบหนีไปโดยเร็ว กระเป๋าสัมภาระสำหรับการเดินทางฉุกเฉินนี้ ข้าเตรียมไว้นานแล้ว ถึงเวลาต้องเอามาใช้เสียแล้ว”
“ท่านยายพาฟาลเนียหนีไปก่อนเถอะ ข้าจะไปตามยัยนั่น จะทิ้งไว้ไม่ได้” เอดิออทกล่าว 'ยัยนั่น' ที่เขาหมายถึงคือ 'บรุยเน่ย์' นั่นเอง
แล้วเอดิออทก็พุ่งปราดออกไปข้างนอก ด้วยฝีเท้าเร็วเป็นสามเท่าจากทีแรกเมื่อวิ่งไปโดยลำพัง โดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของแม่เฒ่า ในภาวะคับขันเช่นนี้เขาแสดงออกถึงความกล้าหาญชนิดไม่เสียดายชีวิตเลยด้วยความห่วงใยในผู้อื่นยิ่งกว่า จนทำให้เจ้าหญิงรู้สึกทึ่ง วินาทีนั้นวูบหนึ่งเธอรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้เห็นร่างนั้นอีก
“เอดิออทจะไม่เป็นไร เขามีเลือดที่แข็งแกร่งมาก ข้ารู้ดี พวกมังกรไม่มีทางทำอันตรายเขาได้" หญิงชรากล่าวกับหลานสาวที่แท้จริงอย่างปลุกปลอบและเร่งเร้า "เอาล่ะ ทีนี้เราจะต้องรีบหนีไปจากหมู่บ้านแห่งนี้โดยเร็ว ไม่เหลือเวลาให้คิดแล้ว รีบไปกันเถอะ เร็ว”
สตรีต่างวัยสายเลือดเกี่ยวพัน ต่างพากันมุ่งหน้าไปยังถ้ำหินขาว แล้วเจ้าหญิงฟาลเนียก็ได้กลับคืนสู่โลกภายนอกอีกครา...
เอดิออทวิ่งผ่านชาวบ้านที่กรูสวนทางมา บ้างหลบไม่ทันก็กระแทกไหล่เข้าเต็มๆ ต่างพากันหนีเอาตัวรอดอย่างไม่คิดชีวิต
เขาวิ่งมาถึงซากปรักของบ้านที่ถูกไฟคลอกซึ่งมีกลิ่นอายของความตายอยู่ข้างใน ตะโกนร้องเรียกหา บรุยเนย์ ดวงตากวาดส่องทั่วบริเวณที่มีไฟลุกไหม้เป็นหย่อม ที่ลานหินหน้าบ้านหลังนั้น มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่รอบๆ ร่างมังกรที่ถูกฆ่า ไม่ห่างจากกันนั้นมีร่างของชายชราทอดนิ่ง มือหนึ่งกำไม้เท้าเวทย์มนต์มั่น อีกมือกุมมือหลานสาวที่สะอื้นไห้คุกเข่าอยู่ข้างๆ
“ลืมตาสิคะท่านปู่ ได้โปรด อย่างเพิ่งทิ้งข้าไปเลย” บรุยเน่ย์ร้องเรียก เขย่าร่างนั้นเหมือนพยายามปลุกให้ตื่น
เอดิออทคุกเขาลงข้างๆ เอื้อมมื้อไปจับชีพจรของชายชราดู แล้วก็วางมือลงก้มหน้านิ่ง
“สายเกินไป” เขาพูดอย่างเสียใจ แล้วหันไปบอกกับหลานสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ ของผู้เฒ่าชราที่สิ้นปราณ “ฟังนะบรุยเน่ย์ เราจะต้องรีบหนีไปจากหมู่บ้านนี้แห่งทันที จะอ้อยอิ่งต่อไปไม่ได้แล้ว”
บรุยเน่ย์ทำอะไรไม่ได้เลย อึกอักคร่ำครวญไม่ยอมขยับตัวลุก กอดร่างปู่ของตนไว้ในอ้อมแขนร้องไห้คร่ำครวญ ชายหนุ่มจึงตบหน้าหล่อนเพื่อเรียกสติ
“ฟังสิบรุยเน่ย์ มีสติหน่อย เราจะต้องรีบหนีเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วค่อยกลับมากอบกู้สิ่งที่เราสูญเสียคืน เข้าใจมั้ย”
ในที่สุดหล่อนก็ได้สติ พยักหน้าบอกเขาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เอดิออทหยิบไม้เท้าที่อยู่ในมือท่านผู้เฒ่าส่งให้กับบรุยเน่ย์ “เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี คทาเวทย์มนต์ชิ้นเอกนี้ เป็นสิ่งแทนตัวของท่านปู่เจ้า มหาเวทย์แห่งหมู่บ้านมนต์ขาว ผู้มีทั้งความดีงามและความกล้าหาญ ยืนหยัดต่อสู้กับมังกรร้ายเพื่อปกป้องลูกหลานจนตัวตาย วีรกรรมความกล้าจะถูกเล่าสืบไปตราบชั่วรุ่นหลานหากว่าเรายังมีแผ่นดินให้อยู่”
แล้วทั้งสองหญิงชายวัยใกล้เคียงกัน ก็พร้อมใจบอกลาสถานที่อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนที่ผูกพันธ์มานานตลอด 17 ปี ต่างพากันหลบหนีเข้าไปในป่ายุคโบราณมุ่งตรงไปที่ถ้ำหินขาวอันเป็นอุโมงเชื่อมทะลุออกสู่ป่าโปร่งที่ยังเยาว์วัย
ป่ารอบตัวดูไม่น่ากลัวเหมือนกับป่าโบราณที่รู้จัก
เดินอย่างไม่รู้ทิศทางว่าควรไปทางไหน ต่างก็ไม่เคยออกนอกอาณาบริเวณที่ถูกขีดเส้นเอาไว้ แต่ก็ก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกว่าจะมั่นใจได้ว่ารอดพ้นรัศมีการติดตามของมังกรแล้ว ในความมืดมิด เอดิออทสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้ดีกว่าคนธรรมดาๆ และเขาก็รู้สึกชอบกลางคืนยิ่งกว่ากลางวัน ทำให้เขาสามารถเดินอยู่ในความมืดได้อย่างไม่มีอุปสรรค จูงมือสาวน้อยที่เดินขลุกขลักมองไม่เห็นทางให้เดินตามมาด้วยความระมัดระวัง
“เราจะหนีไปที่ไหนกันหรือ?” บรุยเน่ย์ถาม เธอหยุดร้องไห้แล้ว สาวน้อยหน้าหวานดูท่าจะเจ้าน้ำตาคนนี้ แต่แท้จริงเข้มแข็งเหมือนกัน พอได้สติแล้วก็รู้ว่าควรทำอะไรต่อไป
“ก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่ก็หวังว่าจะตามสองคนทัน”
“ท่านแม่เฒ่ากับเจ้าหญิง? พวกเขายังมีชีวิตอยู่หรอกหรือ? เอ่อ ขอโทษนะ แต่ข้าเห็นเจ้าคนเดียว เลยนึกว่าท่านแม่เฒ่ากับเจ้าหญิงจะโดนพวกมัน…ซะแล้ว”
“พวกเขาหนีไปก่อน ป่านนี้คงจะปลอดภัยแล้ว”
“เอดิออท..” สาวน้อยเรียกชื่อเพื่อนของเธอ “เจ้าบอกสองคนให้หนีไปก่อน แล้วย้อนกลับมาตามข้าใช่มั้ย?” เธอถามอย่างรู้ทันเพราะรู้ซึ้งน้ำใจของเขาดี
เอดิออทไม่ตอบ บรุยเน่ย์โผกอดอีกฝ่ายไม่ทันให้ตั้งตัว “เอดิออท ขอบใจนะที่ไม่ทิ้งกัน”
“เฮ้ย มาเกาะแกะอะไรล่ะ รีบเดินสิ เดี๋ยวพวกมันก็ตามมาหรอก” เขาโวยวายผลักเธอออกเบาๆ
“เอดิออท” เพื่อนสาวเรียก
“อะไร?”
“อ่านจดหมายแล้วหรือยัง?” เสียงของหล่อนเบาลงจนเกือบกระซิบ
“อ่าน” เขาตอบสั้นๆเหมือนไม่อยากกล่าวถึง
บรุยเน่ย์เน้นเสียงจริงจัง “ข้าหมายตามนั้นจริงๆนะ”
เอดิออทนิ่งเงียบมองไปในเงามืด เขาจำข้อความในจดหมายได้ทุกประโยค แม้ว่าข้อความเหล่านั้นจะถูกทำลายไปแล้ว
เอดิออท..…
หากว่าสิ่งที่ข้าได้ยินมานี้เป็นความจริงไม่ใช่เรื่องที่ถูกปั้นแต่งขึ้นละก็ ข้าก็ขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี โปรดฟังข้า..
ข้ารู้สึกตกใจที่ได้รู้ว่าเจ้ากำลังพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเวทย์มนต์ดำที่น่าสะพรึงกลัว หากว่าเจ้ามีความเกี่ยวพันกับอำนาจมนต์ดำอันชั่วร้ายจริงๆ พวกเราก็คงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้อีก
ทั้งพ่อและแม่ของข้าถูกฆ่าตายโดยพวกที่ใช้วิชามนต์ดำ เป็นความแค้นฝังใจชนิดที่ไม่มีวันลืมได้ ในฐานะลูกสาวคนเดียวประจำตระกูลผู้สืบทอดเวทย์มนต์ขาวบริสุทธิ์ ข้าเคยให้คำสัตย์ต่ออำนาจมนต์ขาวว่า ไม่มีทางที่ข้าจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกที่ใช้มนต์ดำเด็ดขาด
ข้าเสียใจจนพูดอะไรไม่ออก และกลัวเหลือเกินที่จะต้องเผชิญความจริง ไม่กล้ามาขอพิสูจน์ให้เห็นกับตาตนเองว่าสิ่งที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ เพราะถ้าเป็นความจริงแล้วใจข้าคงแหลกสลาย
เอดิออทเพื่อนรัก เพื่อนที่แสนดีของข้า ได้โปรดฟังข้า…อย่าพาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเวทย์ดำโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นเราคงต้องกลายเป็นศัตรูกัน
…….บรุยเน่ย์
“งั้นเราคงต้องเป็นศัตรูกันสินะ” เอดิออทกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
“เอดิออท ได้โปรดเถอะ” บรุยเน่ย์ร้องขอ น้ำเสียงสั่นเครือ “ฟังข้าเถอะนะ อย่าข้องเกี่ยวกับมนต์ดำชั่วร้ายอีกเลย”
“มนต์ดำ… สำหรับข้า มันไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่เป็นเพื่อนตายที่ข้าเรียกออกมาได้ตลอดเวลา เหมือนกับมันกำลังพูดคุยกับข้า ทุกครั้งที่ข้าร่ายมนต์ดำ กลุ่มควันดำกระซิบบอกให้ดึงพลังที่ซ่อนอยู่ออกมา บางสิ่งในตัวข้าเรียกร้องที่จะตื่นจากการหลับไหล”
เขาหงายฝ่ามือปรากฏกลุ่มควันสีดำในมือวูบไหวเหมือนเปลวไฟ มองด้วยแววตาหลงไหล “เวทย์มนต์ดำ…ข้าลุ่มหลงเสียแล้ว ยิ่งดึงมันออกมาก็ยิ่งรู้สึกถึงกระแสแห่งความต่อเนื่องที่ไร้ขอบเขต ไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานกระแสพลังชนิดนี้ได้ มันฉาบทาจิตใจให้เต็มตื่นมีพลัง เป็นประสบการณ์แสนวิเศษ ปลุกข้าให้ตื่นจากการหลับไหล
ข้าไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร แม้ว่าเจ้าจะมองข้าเป็นศัตรูก็ตาม”
“ไม่ใช่คำพูดของเอดิออทที่ข้ารู้จักอีกแล้ว” บรุยเน่ย์เสียงสั่นถอยห่างออกมา แล้ววิ่งหนีไปจากตรงนั้นด้วยใจที่แตกสลาย
“บรุยเน่ย์” เอดิออทตะโกนเรียก เปลวสีดำในมือดับวูบลง เขาจะวิ่งตามไปแต่เหมือนมีบางสิ่งมองไม่เห็นด้วยตาฉุดรั้งข้อเท้าทั้งสองข้างเอาไว้ไม่ให้ขยับ
บรุยเน่ย์วิ่งหนีมาไกลจนไม่สามารถระบุได้ว่าตนวิ่งมาจากทิศใด คลำทางมั่วซั่วในความมืด พลันเดินสะดุดเข้ากับท่อนอะไรบางอย่างบนพื้นกลิ้งล้มลง
“อูยย” เสียงโอดโอยเบาๆมาจากร่างที่นอนอยู่กับพื้น เป็นร่างของใครคนหนึ่งดูเหมือนนอนบาดเจ็บอยู่
ร่างนั้นขยับลุกขึ้นหันมามองเธอ แสงจันทร์สาดส่องลงมาทะลุผ่านกิ่งไม้โล้นโล่งฉายจับดวงหน้าของเขา ทำให้เห็นใบหน้ามองสบมาของชายหนุ่มที่ทำให้เธอตะลึงงัน เพราะหน้าของชายผู้นั้นเหมือนกับเอดิออทจนแยกไม่ออก
(มีต่อ)
The Light of Darkness บทที่ 8
บทที่ 2 ลักพาตัว http://ppantip.com/topic/30134184
บทที่ 3 ถ้ำหินขาว http://ppantip.com/topic/30140347
บทที่ 4 หมู่บ้านมนต์ขาว http://ppantip.com/topic/30158845
บทที่ 5 วิหารมนต์ขาว http://ppantip.com/topic/30180375
บทที่ 6 ความทรงจำของหญิงชรา http://ppantip.com/topic/30194878
บทที่ 7 บ่อน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ http://ppantip.com/topic/30200552
บทที่ 8 หลบหนีจากหมู่บ้าน
ชายหนุ่มนั่งอยู่ตามลำพังมุมเดิมที่หอระฆัง ขาข้างหนึ่งชันเข่าขึ้น อีกข้างเหยียดตรง แผ่นหลังวางทาบอิงต้นเสา ในท่าประจำด้วยความเคยชิน ทอดสายตาออกไปไกลลิบ แต่หูของเขาไวจับ เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ แล้วหยุดยืนอ้อยอิ่งอยู่เบื้องหลังราวกับเป็นเงา
“เอ้านี่แน่ะ บรุยเน่ย์ฝากมาให้” เจ้าหญิงกล่าวพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งพับไว้หลายทบจนมีขนาดเท่าผ่ามือให้ถึงตรงหน้า เมื่อเห็นเขายังคงนิ่งเป็นรูปจำหลักหินติดกับเสาเช่นเดิมโดยไม่หันมามองสบ ก็ย้ำว่า "รับไปเสียสิ"
ผู้รับเอื้อมมือไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาคลี่ออก เขม้นมองอักษรยาวเหยียดเป็นพรืดบนกระดาษอยู่ครู่หนึ่ง เขาอ่านทุกคำหรือไม่ฟาลเนียไม่ทราบ แต่หล่อนก็ต้องอุทานเบาๆอย่างตกใจ เมื่อเห็นกระดาษถูกฉีกแล้วโยนทิ้งไปโดยผู้รับ
“บรุยเน่ย์เค้าตั้งใจเขียนจดหมายมาให้นายดีๆ ทำไมถึงทำแบบนี้?” หล่อนต่อว่าอย่างฉุนๆ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้ฝากส่งมา
ชายหนุ่มทรงตัวลุกขึ้นยืนกำหมัดแน่น หันเข้าหาเธอด้วยใบหน้าเครียดขรึม ชนิดที่ไม่เคยพบเห็นจากชายผู้นี้มาก่อน
“บอกบรุยเน่ย์ว่าข้า..ใช้วิชาเวทย์มนต์ดำงั้นซี?” น้ำเสียงของเขาชาเย็นกว่าทุกที
“ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องปิดบังอะไรนี่” เธอตอบอย่างไม่แยแส “เราก็แค่พูดตามที่ตาคู่นี้รู้เห็น”
เจ้าหญิงวางนิ้วชี้แตะลงบนแพขนตาล่างงอนงามของตนเอง กล่าวยิ้มๆ แต่กระแสเสียงเย้ยเยาะ “บรุยเน่ย์ผิดหวังมากเพราะไว้วางใจนายเกินไป หล่อนนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องประเภทนี้ปิดบังอยู่ แต่ขอโทษเถอะ นายไม่ทำให้เราผิดหวังเลยนะ เพราะว่ารู้แก่ใจตัวเองดีตลอดเวลา ว่าคนอย่างนายมันไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด”
ท้องฟ้าส่งเสียงคำราม ครืน มีเงาดำหลายร่างตัดผ่านพระจันทร์ซีดหมองคล้ำไปอย่างรวดเร็ว แล้วหัวใจของเจ้าหญิงก็หล่นวูบไปที่เท้าเมื่อเสียงหวีดแหลมของผู้คนวิ่งกรูกันออกมานอกบ้านที่มีประกายเพลิงลุกโชติช่วงเป็นเปลว
พวกมันมากันเป็นกลุ่ม เจ้าสัตว์ร้ายประเภทตัวใหญ่เกล็ดหนา หน้าตาเหมือนจระเข้มีเขา ปีกกางแผ่ลักษณะเดียวกับค้างคาว แต่มีขนาดใหญ่กว่าจนน่าสะพรึงกลัวนั้น โหมกระพือเปลวไฟที่พ่นออกมาทางจมูก และปากอันเต็มไปด้วยฟันซี่เล็กๆแหลมเพี้ยวเรียงกันเป็นตับ ไหม้ลุกลามส่วนอาคาร พังครืนลงมาทับร่างเด็กเล็กๆแบเบาะที่พ่อแม่อุ้มออกมาไม่ทัน กลิ้งเกลือกอยู่ในนั้นดิ้นดับคาซากปรักทันที
เสียงร้องตะโกนโหวกเหวก และเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ไม่อาจดับเพลิงไหม้ที่ติดรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่งได้ การกลับมาของมังกรกลุ่มนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าเก่าเท่าทวี แต่ในครั้งนี้พวกมันมากันตัวเปล่าแต่ลำพังปราศจากผู้คุมขี่อย่างในอดีต พวกมันพ่นไฟบรรลัยกัลป์ ไหลท่วมท้นดุจกระแสลาวาร้อนระอุ สร้างความพินาศยับย่อยต่อเนื่อง ราวกับยืมพลังมาจากภูเขาไฟที่มีอำนาจระเบิดรุนแรงที่สุดในภิภพโลกันต์
เอดิออทออกวิ่งไปพร้อมกับร่างเจ้าหญิงติดสอยห้อยตามไปด้วย มือแข็งแรงของเขารวบแขนเธอไว้มั่นไม่ยอมปล่อย ฝีเท้าของเขาสามารถเร่งเร็วได้กว่านี้แต่เขาก็ชะลอมันไว้
เอดิออทหยุดยืนหอบเบาๆอยู่หน้าบ้านหลังน้อยด้วยความโล่งอกที่พบว่าบ้านยังรอดพ้นจากความวอดวาย
“ท่านยาย ท่าน..ท่านอยู่ที่ไหน?” เอดิออทส่งเสียงเรียกเข้าไปในบ้านเสียงดังก้อง กวาดสายตาค้นหาทั่ว
หญิงชราโผล่พ้นบันไดใต้ดินขึ้นมา พร้อมสัมภาระบรรจุเต็มในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ สั่งเฉียบขาดว่า
“พวกเราทั้งหมดจะต้องรีบหนีไปโดยเร็ว กระเป๋าสัมภาระสำหรับการเดินทางฉุกเฉินนี้ ข้าเตรียมไว้นานแล้ว ถึงเวลาต้องเอามาใช้เสียแล้ว”
“ท่านยายพาฟาลเนียหนีไปก่อนเถอะ ข้าจะไปตามยัยนั่น จะทิ้งไว้ไม่ได้” เอดิออทกล่าว 'ยัยนั่น' ที่เขาหมายถึงคือ 'บรุยเน่ย์' นั่นเอง
แล้วเอดิออทก็พุ่งปราดออกไปข้างนอก ด้วยฝีเท้าเร็วเป็นสามเท่าจากทีแรกเมื่อวิ่งไปโดยลำพัง โดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของแม่เฒ่า ในภาวะคับขันเช่นนี้เขาแสดงออกถึงความกล้าหาญชนิดไม่เสียดายชีวิตเลยด้วยความห่วงใยในผู้อื่นยิ่งกว่า จนทำให้เจ้าหญิงรู้สึกทึ่ง วินาทีนั้นวูบหนึ่งเธอรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้เห็นร่างนั้นอีก
“เอดิออทจะไม่เป็นไร เขามีเลือดที่แข็งแกร่งมาก ข้ารู้ดี พวกมังกรไม่มีทางทำอันตรายเขาได้" หญิงชรากล่าวกับหลานสาวที่แท้จริงอย่างปลุกปลอบและเร่งเร้า "เอาล่ะ ทีนี้เราจะต้องรีบหนีไปจากหมู่บ้านแห่งนี้โดยเร็ว ไม่เหลือเวลาให้คิดแล้ว รีบไปกันเถอะ เร็ว”
สตรีต่างวัยสายเลือดเกี่ยวพัน ต่างพากันมุ่งหน้าไปยังถ้ำหินขาว แล้วเจ้าหญิงฟาลเนียก็ได้กลับคืนสู่โลกภายนอกอีกครา...
เอดิออทวิ่งผ่านชาวบ้านที่กรูสวนทางมา บ้างหลบไม่ทันก็กระแทกไหล่เข้าเต็มๆ ต่างพากันหนีเอาตัวรอดอย่างไม่คิดชีวิต
เขาวิ่งมาถึงซากปรักของบ้านที่ถูกไฟคลอกซึ่งมีกลิ่นอายของความตายอยู่ข้างใน ตะโกนร้องเรียกหา บรุยเนย์ ดวงตากวาดส่องทั่วบริเวณที่มีไฟลุกไหม้เป็นหย่อม ที่ลานหินหน้าบ้านหลังนั้น มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่รอบๆ ร่างมังกรที่ถูกฆ่า ไม่ห่างจากกันนั้นมีร่างของชายชราทอดนิ่ง มือหนึ่งกำไม้เท้าเวทย์มนต์มั่น อีกมือกุมมือหลานสาวที่สะอื้นไห้คุกเข่าอยู่ข้างๆ
“ลืมตาสิคะท่านปู่ ได้โปรด อย่างเพิ่งทิ้งข้าไปเลย” บรุยเน่ย์ร้องเรียก เขย่าร่างนั้นเหมือนพยายามปลุกให้ตื่น
เอดิออทคุกเขาลงข้างๆ เอื้อมมื้อไปจับชีพจรของชายชราดู แล้วก็วางมือลงก้มหน้านิ่ง
“สายเกินไป” เขาพูดอย่างเสียใจ แล้วหันไปบอกกับหลานสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ ของผู้เฒ่าชราที่สิ้นปราณ “ฟังนะบรุยเน่ย์ เราจะต้องรีบหนีไปจากหมู่บ้านนี้แห่งทันที จะอ้อยอิ่งต่อไปไม่ได้แล้ว”
บรุยเน่ย์ทำอะไรไม่ได้เลย อึกอักคร่ำครวญไม่ยอมขยับตัวลุก กอดร่างปู่ของตนไว้ในอ้อมแขนร้องไห้คร่ำครวญ ชายหนุ่มจึงตบหน้าหล่อนเพื่อเรียกสติ
“ฟังสิบรุยเน่ย์ มีสติหน่อย เราจะต้องรีบหนีเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วค่อยกลับมากอบกู้สิ่งที่เราสูญเสียคืน เข้าใจมั้ย”
ในที่สุดหล่อนก็ได้สติ พยักหน้าบอกเขาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เอดิออทหยิบไม้เท้าที่อยู่ในมือท่านผู้เฒ่าส่งให้กับบรุยเน่ย์ “เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี คทาเวทย์มนต์ชิ้นเอกนี้ เป็นสิ่งแทนตัวของท่านปู่เจ้า มหาเวทย์แห่งหมู่บ้านมนต์ขาว ผู้มีทั้งความดีงามและความกล้าหาญ ยืนหยัดต่อสู้กับมังกรร้ายเพื่อปกป้องลูกหลานจนตัวตาย วีรกรรมความกล้าจะถูกเล่าสืบไปตราบชั่วรุ่นหลานหากว่าเรายังมีแผ่นดินให้อยู่”
แล้วทั้งสองหญิงชายวัยใกล้เคียงกัน ก็พร้อมใจบอกลาสถานที่อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนที่ผูกพันธ์มานานตลอด 17 ปี ต่างพากันหลบหนีเข้าไปในป่ายุคโบราณมุ่งตรงไปที่ถ้ำหินขาวอันเป็นอุโมงเชื่อมทะลุออกสู่ป่าโปร่งที่ยังเยาว์วัย
ป่ารอบตัวดูไม่น่ากลัวเหมือนกับป่าโบราณที่รู้จัก
เดินอย่างไม่รู้ทิศทางว่าควรไปทางไหน ต่างก็ไม่เคยออกนอกอาณาบริเวณที่ถูกขีดเส้นเอาไว้ แต่ก็ก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกว่าจะมั่นใจได้ว่ารอดพ้นรัศมีการติดตามของมังกรแล้ว ในความมืดมิด เอดิออทสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้ดีกว่าคนธรรมดาๆ และเขาก็รู้สึกชอบกลางคืนยิ่งกว่ากลางวัน ทำให้เขาสามารถเดินอยู่ในความมืดได้อย่างไม่มีอุปสรรค จูงมือสาวน้อยที่เดินขลุกขลักมองไม่เห็นทางให้เดินตามมาด้วยความระมัดระวัง
“เราจะหนีไปที่ไหนกันหรือ?” บรุยเน่ย์ถาม เธอหยุดร้องไห้แล้ว สาวน้อยหน้าหวานดูท่าจะเจ้าน้ำตาคนนี้ แต่แท้จริงเข้มแข็งเหมือนกัน พอได้สติแล้วก็รู้ว่าควรทำอะไรต่อไป
“ก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่ก็หวังว่าจะตามสองคนทัน”
“ท่านแม่เฒ่ากับเจ้าหญิง? พวกเขายังมีชีวิตอยู่หรอกหรือ? เอ่อ ขอโทษนะ แต่ข้าเห็นเจ้าคนเดียว เลยนึกว่าท่านแม่เฒ่ากับเจ้าหญิงจะโดนพวกมัน…ซะแล้ว”
“พวกเขาหนีไปก่อน ป่านนี้คงจะปลอดภัยแล้ว”
“เอดิออท..” สาวน้อยเรียกชื่อเพื่อนของเธอ “เจ้าบอกสองคนให้หนีไปก่อน แล้วย้อนกลับมาตามข้าใช่มั้ย?” เธอถามอย่างรู้ทันเพราะรู้ซึ้งน้ำใจของเขาดี
เอดิออทไม่ตอบ บรุยเน่ย์โผกอดอีกฝ่ายไม่ทันให้ตั้งตัว “เอดิออท ขอบใจนะที่ไม่ทิ้งกัน”
“เฮ้ย มาเกาะแกะอะไรล่ะ รีบเดินสิ เดี๋ยวพวกมันก็ตามมาหรอก” เขาโวยวายผลักเธอออกเบาๆ
“เอดิออท” เพื่อนสาวเรียก
“อะไร?”
“อ่านจดหมายแล้วหรือยัง?” เสียงของหล่อนเบาลงจนเกือบกระซิบ
“อ่าน” เขาตอบสั้นๆเหมือนไม่อยากกล่าวถึง
บรุยเน่ย์เน้นเสียงจริงจัง “ข้าหมายตามนั้นจริงๆนะ”
เอดิออทนิ่งเงียบมองไปในเงามืด เขาจำข้อความในจดหมายได้ทุกประโยค แม้ว่าข้อความเหล่านั้นจะถูกทำลายไปแล้ว
เอดิออท..…
หากว่าสิ่งที่ข้าได้ยินมานี้เป็นความจริงไม่ใช่เรื่องที่ถูกปั้นแต่งขึ้นละก็ ข้าก็ขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี โปรดฟังข้า..
ข้ารู้สึกตกใจที่ได้รู้ว่าเจ้ากำลังพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเวทย์มนต์ดำที่น่าสะพรึงกลัว หากว่าเจ้ามีความเกี่ยวพันกับอำนาจมนต์ดำอันชั่วร้ายจริงๆ พวกเราก็คงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้อีก
ทั้งพ่อและแม่ของข้าถูกฆ่าตายโดยพวกที่ใช้วิชามนต์ดำ เป็นความแค้นฝังใจชนิดที่ไม่มีวันลืมได้ ในฐานะลูกสาวคนเดียวประจำตระกูลผู้สืบทอดเวทย์มนต์ขาวบริสุทธิ์ ข้าเคยให้คำสัตย์ต่ออำนาจมนต์ขาวว่า ไม่มีทางที่ข้าจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกที่ใช้มนต์ดำเด็ดขาด
ข้าเสียใจจนพูดอะไรไม่ออก และกลัวเหลือเกินที่จะต้องเผชิญความจริง ไม่กล้ามาขอพิสูจน์ให้เห็นกับตาตนเองว่าสิ่งที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ เพราะถ้าเป็นความจริงแล้วใจข้าคงแหลกสลาย
เอดิออทเพื่อนรัก เพื่อนที่แสนดีของข้า ได้โปรดฟังข้า…อย่าพาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเวทย์ดำโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นเราคงต้องกลายเป็นศัตรูกัน
…….บรุยเน่ย์
“งั้นเราคงต้องเป็นศัตรูกันสินะ” เอดิออทกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
“เอดิออท ได้โปรดเถอะ” บรุยเน่ย์ร้องขอ น้ำเสียงสั่นเครือ “ฟังข้าเถอะนะ อย่าข้องเกี่ยวกับมนต์ดำชั่วร้ายอีกเลย”
“มนต์ดำ… สำหรับข้า มันไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่เป็นเพื่อนตายที่ข้าเรียกออกมาได้ตลอดเวลา เหมือนกับมันกำลังพูดคุยกับข้า ทุกครั้งที่ข้าร่ายมนต์ดำ กลุ่มควันดำกระซิบบอกให้ดึงพลังที่ซ่อนอยู่ออกมา บางสิ่งในตัวข้าเรียกร้องที่จะตื่นจากการหลับไหล”
เขาหงายฝ่ามือปรากฏกลุ่มควันสีดำในมือวูบไหวเหมือนเปลวไฟ มองด้วยแววตาหลงไหล “เวทย์มนต์ดำ…ข้าลุ่มหลงเสียแล้ว ยิ่งดึงมันออกมาก็ยิ่งรู้สึกถึงกระแสแห่งความต่อเนื่องที่ไร้ขอบเขต ไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานกระแสพลังชนิดนี้ได้ มันฉาบทาจิตใจให้เต็มตื่นมีพลัง เป็นประสบการณ์แสนวิเศษ ปลุกข้าให้ตื่นจากการหลับไหล
ข้าไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร แม้ว่าเจ้าจะมองข้าเป็นศัตรูก็ตาม”
“ไม่ใช่คำพูดของเอดิออทที่ข้ารู้จักอีกแล้ว” บรุยเน่ย์เสียงสั่นถอยห่างออกมา แล้ววิ่งหนีไปจากตรงนั้นด้วยใจที่แตกสลาย
“บรุยเน่ย์” เอดิออทตะโกนเรียก เปลวสีดำในมือดับวูบลง เขาจะวิ่งตามไปแต่เหมือนมีบางสิ่งมองไม่เห็นด้วยตาฉุดรั้งข้อเท้าทั้งสองข้างเอาไว้ไม่ให้ขยับ
บรุยเน่ย์วิ่งหนีมาไกลจนไม่สามารถระบุได้ว่าตนวิ่งมาจากทิศใด คลำทางมั่วซั่วในความมืด พลันเดินสะดุดเข้ากับท่อนอะไรบางอย่างบนพื้นกลิ้งล้มลง
“อูยย” เสียงโอดโอยเบาๆมาจากร่างที่นอนอยู่กับพื้น เป็นร่างของใครคนหนึ่งดูเหมือนนอนบาดเจ็บอยู่
ร่างนั้นขยับลุกขึ้นหันมามองเธอ แสงจันทร์สาดส่องลงมาทะลุผ่านกิ่งไม้โล้นโล่งฉายจับดวงหน้าของเขา ทำให้เห็นใบหน้ามองสบมาของชายหนุ่มที่ทำให้เธอตะลึงงัน เพราะหน้าของชายผู้นั้นเหมือนกับเอดิออทจนแยกไม่ออก
(มีต่อ)