สวัสดีค่ะ พึ่งเริ่มแต่งนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลย อยากให้ทุกท่านเข้ามาติชมกัน
อนึ่ง นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องยาว (พยายามจะให้ยาว) บทนี้เป็นบทแรก
รบกวนติชมด้วยค่ะ
Chapter1 เมื่อสุริยัน ปะทะ จันทรา
สายฟ้าฟาดส่องแสงแปลบปลาบพร้อมเสียงดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วทั้งอาณาจักรที่ลุกเป็นไฟอยู่ในทะเลเพลิง เหนือขึ้นไปยังท้องฟ้ามืดมิดเบื้องบนนั้น ปรากฏเงาของสองชีวิตและหนึ่งอสูรร้าย ที่คำรามดังลั่นแข่งกับเสียงสายฟ้า มังกรไวเวิร์นขนาดยักษ์บินสะบัดปีกใหญ่โตของมัน ก่อให้เกิดพายุขนาดเล็กที่โหมให้ไฟเบื้องล่าง ทวีความรุนแรงในการเผาไหม้มากยิ่งขึ้น บนหลังของเจ้าสัตว์ร้ายนั้น มีร่างของชายในชุดสีดำประดับดิ้นสีทอง ยืนเหยียบอย่างมั่นคงพลางกวัดแกว่งไม้เท้าในมือร่ายเวทย์ใส่อีกร่างตรงหน้าอย่างหมายเอาชีวิต ลำแสงสีม่วงเต็มไปด้วยกลิ่นอายความตายโพยพุ่งออกมาจากอัญมณีสีแดงบนยอดไม้เท้าส่องแสงสุกปลั่งราวกับมีชีวิต
“เจ้าหยุดยั้งข้ามิได้หรอกเอมิล!!!”
แสงสีม่วงพุ่งเข้าใส่เจ้าของนามตรงหน้าอย่างจังหากทว่าแสงนั้นกลับผ่านร่างของหญิงสาวผมทองในชุดขาวไปแทบจะในทันทีที่นางกวัดแกว่งไม้เท้า หญิงสาวยิ้มหวานอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะตวัดไม้เท้าในมืออีกครั้ง พลันลำแสงสีขาวสว่างก็พุ่งออกมาจากเพชรที่ยอดคทาของนางมุ่งเข้าใส่ชายชุดดำบนหลังมังกร
“ต่อให้พลังเวทย์ของข้าในตอนนี้จะอ่อนด้อยกว่าเจ้า ทว่ายังไงเจ้าก็หยุดราชาแห่งมังกรตัวนี้ไม่ได้หรอก จอมเวทย์แห่งจันทรา! ข้าจะบดขยี้อาณาจักรของราชาออเรนโด และหินจันทราทั้งหมดจะตกเป็นของข้า!”
สิ้นเสียงของชายชุดดำ มังกรยักษ์สีแดงเพลิงก็คำรามกึกก้องอีกครั้งก่อนที่จะพ่นเปลวเพลิงสีน้ำเงินสว่างใส่จอมเวทย์แห่งจันทราที่ลอยอยู่ตรงหน้าของมันทว่าไร้ผลเมื่อเพลิงสีฟ้านั้นกระทบกับเกราะป้องกันสีทองและร่วงหล่นไปยังพื้นทะเลสาปเบื้องล่างแทน
“เจ้าพูดมากกว่าตอนเราเรียนด้วยกันนะจอมเวทย์สุริยัน"
"ว่าแต่... กัสตาโว อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าหยุดมังกรเพลิงไม่ได้ล่ะ?"
หญิงสาวยังคงยิ้มอารมณ์ดีอย่างไม่แยแส ราวกับมังกรน่ากลัวตรงหน้าเธอเป็นเพียงลูกนกตัวน้อยบินเริงร่าท้าสายลมเท่านั้น นั่นยิ่งทำให้บุรุษนามกัสตาโวบันดาลโทสะมากขึ้น
“แท้จริงเจ้าก็กลัวสินะ! ใช่แล้ว ! เจ้าไม่สามารถหยุดมันได้!ไม่มีใครหยุดได้ !”
กัสตาโวโบกไม้เท้าของเขาอีกครั้งก่อให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่เหนือศรีษะของทั้งสอง
"และเจ้าก็ไม่มีทางใช้คาถานั้นเพื่อผนึกจ้าวมังกรได้!!ไม่มีทาง! ตราบใดที่เจ้าไม่มีสิ่งนั้น!
จอมเวทย์สุริยันหยุดหายใจหอบเหนื่อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มราวกับว่าเขาได้รุกฆาตแล้ว
" เจ้าแพ้แล้วเอมิล !! เจ้าและราชาของเจ้า!”
จอมเวทย์แห่งจันทรายังคงยิ้มเย็น ดวงตาสีฟ้าของนางสั่นระริกอย่างขี้เล่น
“แล้วใครว่าข้าจะหยุดเจ้าด้วยตัวคนเดียวละ....เอาเลยออแรนโด!!”
สิ้นเสียงของเอมิล ก็พลันปรากฎร่างของราชาออแรนโดผู้กระโจนตัวจากยอดผาด้วยพลังเวทย์จากจอมเวทย์จันทรา มือหนากวัดแกว่งดาบที่ส่องแสงสีทองสว่างไปทั่วทิศหมายมั่นไปยังชายบนหลังมังกร กัสตาโวโบกคทาเพื่อปัดป้อง คมดาบนั้นจึงเฉือนหัวไหล่ของจอมเวทย์บนหลังมังกรไปเพียงเล็กน้อย เลือดสีแดงสดไหลรินออกจากบาดแผล พลัน ร่างของราชาออแรนโดก็ต้องมนต์ให้คว้างอยู่กลางอากาศก่อนที่จะโดนเหวี่ยงไปกระแทกผาเบื้องล่างอย่างรุนแรงและร่วงลงไปกองกับพื้นทันที
“ฮะ! ถึงเจ้าจะหลอกล่อข้า ให้ลดระดับลงใกล้พื้นดินเพื่อให้ราชาผู้โง่เขลาปลิดชีพข้านั้น!”
จอมเวทย์ชุดดำยกคทาขึ้นเหนือศรีษะของเขา
"ทว่าข้ากัสตาโวผู้นี้ไม่ตกลงไปในอุบายของเจ้าหรอก!!”
กัสตาโวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง คทาในมือเปล่งแสงสีแดงสดเตรียมปล่อยเวทย์ปลิดชีพกษัตริย์ที่นอนหายใจรวยรินอยู่เบื้องล่าง ทว่า
“แผนของข้าไม่ใช่การปลิดชีพเจ้าหรอก"
น้ำเสียงใสเย็นของหญิงสาวตรงหน้าทำให้เขาชะงักสิ่งที่กำลังจะทำ เขาเบือนหน้าจากร่างอ่อนเปลี้ยเบื้องล่างมายังหญิงสาวที่ยิ้มเย็นเยียบ สีหน้าตกใจอย่าเห็นได้ชัด
“หรือว่าเจ้า!”
ยังมิทันจะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ เลือดจากบาดแผลของเขาก็ไหลหยดลงสู่ทะเลสาปเบื้องล่าง ปรากฏวงเวทย์สีแดงสดขนาดใหญ่ขึ้นบนผืนน้ำสีดำสนิท จอมเวทย์แห่งจันทรายิ้มก่อนจะเอื้อนเอ่ยมนตราโบราณ
“ข้าในนามของผู้ร่ายเวทย์ขอกล่าวคำผนึกเจ้า จ้าวมังกรเอ๋ย จงรับร่างเบื่องล่างนี้ไปเป็นสิ่งบูชายัญ จงรับเลือดจากผู้อัญเชิญเจ้าไปและกลับไปยังที่จองจำของเจ้าที่เจ้าได้จากมา ข้า ลีเซีย อเล็กซานดรา เอมิลผู้นี้ ขอให้กายและวิญญาณข้าเป็นดั่งกุญแจ กักขังให้เจ้าถูกจองจำในผนึกตลอดไป!”
สิ้นคำศักดิ์สิทธิ์จากปากของหญิงสาว วงเวทย์แบบเดียวกับที่อยู่บนพื้นน้ำก็ปรากฏขึ้นบนกลางอกของราชาที่นอนไม่ได้สติ โซ่สีทองหลายพันเส้นพุ่งออกมาจากร่างนั้นมุ่งไปรัดรอบตัวมังกรยักษ์เบื้องบน
“เจ้า! เอมิล! เจ้าจะบ้าเรอะ! เจ้าจะต้องตาย ด้วยคาถานี้เช่นกัน!”
กัสตาโวตะโกนก้อง พลางปัดป้องหลบโซ่ที่มุ่งเข้ามารัดรอบกายเขาและมังกร
“ถ้าเพื่อราชา ต่อให้ต้องตายข้าก็ยอม"
เอมิลยิ้มเศร้า ดวงหน้าปรากฏหยาดน้ำตาสีเงินไหลเป็นทาง
“ข้าไม่เข้าใจ! เจ้าเป็นถึงจอมเวทย์หนึ่งในสิบคนแท้ๆ กับคนๆเดียว นี่เจ้ายอมสละแม้แต่ชีพเจ้าเชียวรึ!”
จอมเวทย์ผู้ขี่มังกรกระโดดลงจากหลังมังกรที่ถูกเกี่ยวกระหวัดรัดด้วยโซ่จนมิสามารถจะบินได้อีกต่อไป มังกรยักษ์นั่นร่วงดิ่งทิ้งตัวพุ่งเข้าหาร่างของราชาออแรนโดที่นอนหายใจหอบถี่อยู่เบื้องล่าง ก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปภายในร่างนั้น
“หากเจ้ารักใครซักคน กะอีแค่ชีวิต มีเท่าไหร่ก็ให้ได้"
เอมิลยิ้มหวานอีกครั้งก่อนที่จะปิดเปลือกตาคู่สวยลงเตรียมรับชะตากรรมแบบเดียวกับเจ้ามังกร โซ่สีทองแบบเดียวกับที่ผนึกมังกรยักษ์นั้นพุ่งออกมาอีกครา รัดรอบตัวนางเอาไว้และดึงลงไปยังร่างของมหาราชาที่นอนหงายอยู่เบื้องล่าง
'ช่างโง่เขลานัก'
หนึ่งความคิดจากชายในชุดคลุมสีดำ ก่อนจะใช้เวทย์ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขาสร้างประตูมิติเพื่อหลบหนีขึ้น และใช้แรงเฮือกสุดท้ายพาร่างอันบอบช้ำของตนเข้าไปภายในประตู ทว่าลูกธนูจากทิศใดไม่รู้ก็พุ่งใส่เขาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประตูมิติที่กำลังจะปิด ชะงักตัวลง
“เจ้าไปได้แค่นั้นหละ!”
ร่างของชายหนุ่มคนสองคนปรากฏขึ้นพร้อมกับทหารองครักษ์อีกสี่นายเบื้องหลัง ในมือของทั้งสองถือดาบประจำราชวงศ์บ่งบอกถึงฐานะของทั้งคู่ องค์ชายฝาแฝดแห่งอาณาจักรลูนาเรียส
จอมเวทย์ผู้ปราชัยยิ้มเยาะ ก่อนจะชี้นิ้วที่สั่นระริกไปยังร่างของราชาออแรนโด พระบิดาของเจ้าชายทั้งสอง ริมฝีปากสแยะยิ้มชั่วร้ายก่อนเอื้อนเอ่ย
“ราชาผู้โง่เขลาเอ๋ย เจ้าจงจบชีพของเจ้าด้วยมนต์ดำนี้เถิด"
ลำแสงสีม่วงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความตายพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของผู้ร่ายเวทย์ มุ่งตรงไปยังเป้าหมาย นั่นคือราชาผู้หมดสติตรงหน้าพวกเขาเหล่านั้น
“ท่านพ่อ!!” เจ้าชายทั้งสองพุ่งเข้าเพื่อรับลำแสงนั้นพร้อมกันในทันที
ฉับพลันเมื่อแสงม่วงเข้าปะทะกับเกราะของเจ้าชาย แสงสว่างสีขาวก็บังเกิดพร้อมวงเวทย์สีขาวที่ปรากฏขึ้นบนชุดเกราะของทั้งสอง ภาพทุกอย่างดูสว่างไสวจนมองไม่เห็นทางใดๆนอกจากความว่างเปล่า
หนึ่งในเจ้าชายนั้นยืดมือออกสุดแขนเพื่อที่ตนจะสามารถเอื้อมถึงบิดาของตน ทว่า ภาพร่างของพระบิดาที่นอนรวยรินนั้นกลับห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหายไป ใบหน้าของพระราชาก็ได้หันมาทางเขา
“จงอยู่ เพื่อลูนาเรียส!"
“ท่านพ่อ!!!!!!!!”
ร่างบนเตียงเบิกตาโพลงขึ้นจากนิทรา เหงื่อกาลแตกไหลซึมไปทังตัว ก่อนที่เปลือกตาจะหรี่ลงอย่างอ่อนใจ เสียงหัวใจยังคนเต้นอย่างรุนแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก มือหนาเสยเรือนผมยาวสีเทาขึ้นจากใบหน้าอย่างเกียจคร้าน ดวงตาสีเขียวกวาดมองไปทั่วห้อง
ฝันอีกแล้ว ฝันถึงวันนั้นอีกแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ฝ่าบาท! เป็นอะไรหรือไม่พระเจ้าคะ"
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงของหนึ่งในราชองครักษ์ส่วนพระองค์
“ข้ามิเป็นไร"
ขานตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มให้นิ่งที่สุด
ข้ามิเป็นไร..........
หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายอันอ่อนล้าและปวดร้าวเหมือนผ่านการศึกมาทั้งคือแทนที่จะเป็นการนอนหลับพักผ่อน ร่างของกษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งอาณาจักรลูนาเรียส ก็ย่างก้าวออกมาจากห้องบรรทมอย่างเกียจคร้านและเหนื่อยหน่าย
“ฝ่าบาท! ยังไม่รีบทรงฉลองพระองค์เต็มยศอีกหรือขอรับ!”
ร่างของเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมยาวสีทองในชุดเกราะสีแดงก็ปรากฏขึ้น เขาวิ่งหน้าตาตื่นมาทางผู้เป็นนายอย่างร้อนรน ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้ายุวกษัตริย์
“ได้โปรดรีบหน่อยเถิดขอรับ มิเกลังเจโรส่งข่าวมาบอกว่า ราชาทิโมเทโอแห่งแคว้นโซลาเวียร์ เสด็จมาจะถึงที่นี่แล้วนะขอรับ ถ้าพระองค์ยังไม่ทรงฉลองพระองค์แล้วออกไปต้อนรับ ข้าคิ...”
เด็กหนุ่มผมทองเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าก็เริ่มต้นบ่นพล่ามทันทีอย่างเป็นกังวล ก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นเป็นเชิงให้หยุดพูดเสียที ดวงตาสีเขียใสของราชานั้นมองสบกับดวงตาสีม่วงของเด็กหนุ่มตรงหน้า
“เจ้านี่ขี้บ่นจริงซีโร ข้ากำลังจะเดินไปแต่งตัวเสียหน่อย ฟังเจ้าพล่ามก็หมดเวลาไปเกือบสองชั่วโมงเลย"
ผู้เป็นกษัตริย์กล่าวติดตลก หากแต่ว่าเด็กหนุ่มนามซีโรมิได้ตลกไปด้วย กลับค้อมหัวลงปะหลกๆทันที
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย! อา...ถ้าฝ่าบาททรงไปสายเพราะข้า ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทั้งๆที่ข้าพยายามแทบตายกว่าจะวิ่งมาจากท่าเรือเพื่อบอกข่าว กลับยิ่งทำให้พระองค์เสียเวลา ได้โปรดยกโทษให้ความโง่เขลาของ...........”
ผู้เป็นราชาได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอากับความจริงจังจนเกินเหตุของเด็กหนุ่มที่ขี้บ่นและขี้กังวลไม่สมวัย
ก่อนจะลูบหัวอย่างเอ็นดูและออกเดินไปยังห้องโถงเพื่อเตรียมตัวทันที
แสงไฟจากโคมระย้าประดับอันสวยงามสาดส่องไปทั่วโถงใหญ่อันโอ่อ่า กำแพงและเพดานล้วนประดับด้วยภาพวาดจากศิลปินผู้มีชื่อและผ้าม่านกำมะหยี่เนื้อดีที่บรรจงผูกมัดให้เป็นทรง พระราชาแห่งแคว้นลูนาเรียสองค์ปัจจุบัณ ราชา สเตฟาโน ซิลเวสโตร ซาโลมาน ทรงประทับอยู่บนบันลังก์สีทองที่คลุมด้วยหนังสิงโตและขนแกะ ล้อมรอบด้วยเหล่าอัศวินสี่คนในชุดเกราะ เบื้องหน้าพวกเขา คือร่างของชายหนุ่มหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปลายๆ เขาสวมชุดที่ตัดเย็บอย่างปราณีตร คลุมด้วยขนเสือดาวอย่างดีที่แลดูราคาแพง พร้อมเครื่องประดับมากมาย และที่ประเมิณค่ามิได้ คงจะเป็นมงกุฎทองคำอันใหญ่โตบนเรือนผมสีทองอร่ามนั่นกระมัง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองสบกับดวงตาสีเขียวสดใสของราชาซาโลมานอย่างเยือกเย็น รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้างามนั้น
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เราได้พบกับท่าน ยุวกษัตริย์แห่งลูนาเรียส ราชาซาโลมาน"
หนุ่มรูปงามเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล รอยยิ้มที่ประดับบนโครงหน้างามนั่นก็แทบจะทำให้บรรดาหญิงน้อยใหญ่ในโถงท้องพระโรงนั้น หลอมละลายราวเหล็กต้องไฟทีเดียว
“ข้าเองก็เป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับท่าน อัลเบโอ ลูคัส ทีโมเทโอ ยุวกษัตริย์แห่งโซลาเวียร์"
ซาโลมานกล่าวทักทายกษัตริย์หนุ่มแห่งแคว้นโซลาเวียร์พลางใช้ดวงตาสีเขียวใสนั่นมองไปยังกษัตริย์หนุ่มตรงหน้าอย่างกับจะอ่านใจ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่
“ข้ามาเยือนแคว้นท่านในครานี้เพื่อยื่นข้อเสนอบางอย่างให้แก่ท่าน"
ราชอาคันตุกะเป็นฝ่าเปิดการสนทนาก่อน คำพูดชวนให้คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความฉงนสงสัย
“ท่านมีข้อเสนออันใดที่จักแถลงให้ข้าฟัง โปรดกล่าวมาเถิด"
“เนื่องด้วยอาณาจักรของเราสองต่างก็รู้จักกันมานาน นับตั้งแต่รุ่นพระบิดาของพวกเรา"
“ท่านต้องการจะบอกอะไรกันแน่"
คิ้วเรียวของซาโลมานขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยในความหมายของแขกผู้มาเยือน
“ข้าคิดว่าอยากจะรวมอาณาจักรของพวกเราให้เป็นหนึ่ง"
ทีโมเทโอปรบมือสองที ร่างบางในชุดคลุมสีแดงสดก็ก้าวออกมา นางเปิดผ้าคลุมหน้า เผยให้เห็นใบหน้าสวยงามราวเทพธิดา เรือนผมสีทองและดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั้นเหมือนเคยเห็นมาก่อน นางแย้มรอยยิ้มที่ทำเอาบรรดาชายหนุ่มในท้องพระโรงถึงกับหวั่นไหว
"นี่แหนะ ขนิษฐาของข้า เลตีเซีย ฟรานซิส แองเจล่า ปีนี้อายุครบสิบแปดชันษาพอดี อยากจะยกให้เป็นหนึ่งในมเหสีของท่าน ถ้าหากว่าท่านจะกรุณา เพื่อที่อาณาจักรของเราจะได้รวมเป็นหนึ่งเสียที"
สุริยัน จันทรา และ ตรามาร
อนึ่ง นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องยาว (พยายามจะให้ยาว) บทนี้เป็นบทแรก
รบกวนติชมด้วยค่ะ
Chapter1 เมื่อสุริยัน ปะทะ จันทรา
สายฟ้าฟาดส่องแสงแปลบปลาบพร้อมเสียงดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วทั้งอาณาจักรที่ลุกเป็นไฟอยู่ในทะเลเพลิง เหนือขึ้นไปยังท้องฟ้ามืดมิดเบื้องบนนั้น ปรากฏเงาของสองชีวิตและหนึ่งอสูรร้าย ที่คำรามดังลั่นแข่งกับเสียงสายฟ้า มังกรไวเวิร์นขนาดยักษ์บินสะบัดปีกใหญ่โตของมัน ก่อให้เกิดพายุขนาดเล็กที่โหมให้ไฟเบื้องล่าง ทวีความรุนแรงในการเผาไหม้มากยิ่งขึ้น บนหลังของเจ้าสัตว์ร้ายนั้น มีร่างของชายในชุดสีดำประดับดิ้นสีทอง ยืนเหยียบอย่างมั่นคงพลางกวัดแกว่งไม้เท้าในมือร่ายเวทย์ใส่อีกร่างตรงหน้าอย่างหมายเอาชีวิต ลำแสงสีม่วงเต็มไปด้วยกลิ่นอายความตายโพยพุ่งออกมาจากอัญมณีสีแดงบนยอดไม้เท้าส่องแสงสุกปลั่งราวกับมีชีวิต
“เจ้าหยุดยั้งข้ามิได้หรอกเอมิล!!!”
แสงสีม่วงพุ่งเข้าใส่เจ้าของนามตรงหน้าอย่างจังหากทว่าแสงนั้นกลับผ่านร่างของหญิงสาวผมทองในชุดขาวไปแทบจะในทันทีที่นางกวัดแกว่งไม้เท้า หญิงสาวยิ้มหวานอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะตวัดไม้เท้าในมืออีกครั้ง พลันลำแสงสีขาวสว่างก็พุ่งออกมาจากเพชรที่ยอดคทาของนางมุ่งเข้าใส่ชายชุดดำบนหลังมังกร
“ต่อให้พลังเวทย์ของข้าในตอนนี้จะอ่อนด้อยกว่าเจ้า ทว่ายังไงเจ้าก็หยุดราชาแห่งมังกรตัวนี้ไม่ได้หรอก จอมเวทย์แห่งจันทรา! ข้าจะบดขยี้อาณาจักรของราชาออเรนโด และหินจันทราทั้งหมดจะตกเป็นของข้า!”
สิ้นเสียงของชายชุดดำ มังกรยักษ์สีแดงเพลิงก็คำรามกึกก้องอีกครั้งก่อนที่จะพ่นเปลวเพลิงสีน้ำเงินสว่างใส่จอมเวทย์แห่งจันทราที่ลอยอยู่ตรงหน้าของมันทว่าไร้ผลเมื่อเพลิงสีฟ้านั้นกระทบกับเกราะป้องกันสีทองและร่วงหล่นไปยังพื้นทะเลสาปเบื้องล่างแทน
“เจ้าพูดมากกว่าตอนเราเรียนด้วยกันนะจอมเวทย์สุริยัน"
"ว่าแต่... กัสตาโว อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าหยุดมังกรเพลิงไม่ได้ล่ะ?"
หญิงสาวยังคงยิ้มอารมณ์ดีอย่างไม่แยแส ราวกับมังกรน่ากลัวตรงหน้าเธอเป็นเพียงลูกนกตัวน้อยบินเริงร่าท้าสายลมเท่านั้น นั่นยิ่งทำให้บุรุษนามกัสตาโวบันดาลโทสะมากขึ้น
“แท้จริงเจ้าก็กลัวสินะ! ใช่แล้ว ! เจ้าไม่สามารถหยุดมันได้!ไม่มีใครหยุดได้ !”
กัสตาโวโบกไม้เท้าของเขาอีกครั้งก่อให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่เหนือศรีษะของทั้งสอง
"และเจ้าก็ไม่มีทางใช้คาถานั้นเพื่อผนึกจ้าวมังกรได้!!ไม่มีทาง! ตราบใดที่เจ้าไม่มีสิ่งนั้น!
จอมเวทย์สุริยันหยุดหายใจหอบเหนื่อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มราวกับว่าเขาได้รุกฆาตแล้ว
" เจ้าแพ้แล้วเอมิล !! เจ้าและราชาของเจ้า!”
จอมเวทย์แห่งจันทรายังคงยิ้มเย็น ดวงตาสีฟ้าของนางสั่นระริกอย่างขี้เล่น
“แล้วใครว่าข้าจะหยุดเจ้าด้วยตัวคนเดียวละ....เอาเลยออแรนโด!!”
สิ้นเสียงของเอมิล ก็พลันปรากฎร่างของราชาออแรนโดผู้กระโจนตัวจากยอดผาด้วยพลังเวทย์จากจอมเวทย์จันทรา มือหนากวัดแกว่งดาบที่ส่องแสงสีทองสว่างไปทั่วทิศหมายมั่นไปยังชายบนหลังมังกร กัสตาโวโบกคทาเพื่อปัดป้อง คมดาบนั้นจึงเฉือนหัวไหล่ของจอมเวทย์บนหลังมังกรไปเพียงเล็กน้อย เลือดสีแดงสดไหลรินออกจากบาดแผล พลัน ร่างของราชาออแรนโดก็ต้องมนต์ให้คว้างอยู่กลางอากาศก่อนที่จะโดนเหวี่ยงไปกระแทกผาเบื้องล่างอย่างรุนแรงและร่วงลงไปกองกับพื้นทันที
“ฮะ! ถึงเจ้าจะหลอกล่อข้า ให้ลดระดับลงใกล้พื้นดินเพื่อให้ราชาผู้โง่เขลาปลิดชีพข้านั้น!”
จอมเวทย์ชุดดำยกคทาขึ้นเหนือศรีษะของเขา
"ทว่าข้ากัสตาโวผู้นี้ไม่ตกลงไปในอุบายของเจ้าหรอก!!”
กัสตาโวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง คทาในมือเปล่งแสงสีแดงสดเตรียมปล่อยเวทย์ปลิดชีพกษัตริย์ที่นอนหายใจรวยรินอยู่เบื้องล่าง ทว่า
“แผนของข้าไม่ใช่การปลิดชีพเจ้าหรอก"
น้ำเสียงใสเย็นของหญิงสาวตรงหน้าทำให้เขาชะงักสิ่งที่กำลังจะทำ เขาเบือนหน้าจากร่างอ่อนเปลี้ยเบื้องล่างมายังหญิงสาวที่ยิ้มเย็นเยียบ สีหน้าตกใจอย่าเห็นได้ชัด
“หรือว่าเจ้า!”
ยังมิทันจะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ เลือดจากบาดแผลของเขาก็ไหลหยดลงสู่ทะเลสาปเบื้องล่าง ปรากฏวงเวทย์สีแดงสดขนาดใหญ่ขึ้นบนผืนน้ำสีดำสนิท จอมเวทย์แห่งจันทรายิ้มก่อนจะเอื้อนเอ่ยมนตราโบราณ
“ข้าในนามของผู้ร่ายเวทย์ขอกล่าวคำผนึกเจ้า จ้าวมังกรเอ๋ย จงรับร่างเบื่องล่างนี้ไปเป็นสิ่งบูชายัญ จงรับเลือดจากผู้อัญเชิญเจ้าไปและกลับไปยังที่จองจำของเจ้าที่เจ้าได้จากมา ข้า ลีเซีย อเล็กซานดรา เอมิลผู้นี้ ขอให้กายและวิญญาณข้าเป็นดั่งกุญแจ กักขังให้เจ้าถูกจองจำในผนึกตลอดไป!”
สิ้นคำศักดิ์สิทธิ์จากปากของหญิงสาว วงเวทย์แบบเดียวกับที่อยู่บนพื้นน้ำก็ปรากฏขึ้นบนกลางอกของราชาที่นอนไม่ได้สติ โซ่สีทองหลายพันเส้นพุ่งออกมาจากร่างนั้นมุ่งไปรัดรอบตัวมังกรยักษ์เบื้องบน
“เจ้า! เอมิล! เจ้าจะบ้าเรอะ! เจ้าจะต้องตาย ด้วยคาถานี้เช่นกัน!”
กัสตาโวตะโกนก้อง พลางปัดป้องหลบโซ่ที่มุ่งเข้ามารัดรอบกายเขาและมังกร
“ถ้าเพื่อราชา ต่อให้ต้องตายข้าก็ยอม"
เอมิลยิ้มเศร้า ดวงหน้าปรากฏหยาดน้ำตาสีเงินไหลเป็นทาง
“ข้าไม่เข้าใจ! เจ้าเป็นถึงจอมเวทย์หนึ่งในสิบคนแท้ๆ กับคนๆเดียว นี่เจ้ายอมสละแม้แต่ชีพเจ้าเชียวรึ!”
จอมเวทย์ผู้ขี่มังกรกระโดดลงจากหลังมังกรที่ถูกเกี่ยวกระหวัดรัดด้วยโซ่จนมิสามารถจะบินได้อีกต่อไป มังกรยักษ์นั่นร่วงดิ่งทิ้งตัวพุ่งเข้าหาร่างของราชาออแรนโดที่นอนหายใจหอบถี่อยู่เบื้องล่าง ก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปภายในร่างนั้น
“หากเจ้ารักใครซักคน กะอีแค่ชีวิต มีเท่าไหร่ก็ให้ได้"
เอมิลยิ้มหวานอีกครั้งก่อนที่จะปิดเปลือกตาคู่สวยลงเตรียมรับชะตากรรมแบบเดียวกับเจ้ามังกร โซ่สีทองแบบเดียวกับที่ผนึกมังกรยักษ์นั้นพุ่งออกมาอีกครา รัดรอบตัวนางเอาไว้และดึงลงไปยังร่างของมหาราชาที่นอนหงายอยู่เบื้องล่าง
'ช่างโง่เขลานัก'
หนึ่งความคิดจากชายในชุดคลุมสีดำ ก่อนจะใช้เวทย์ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขาสร้างประตูมิติเพื่อหลบหนีขึ้น และใช้แรงเฮือกสุดท้ายพาร่างอันบอบช้ำของตนเข้าไปภายในประตู ทว่าลูกธนูจากทิศใดไม่รู้ก็พุ่งใส่เขาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประตูมิติที่กำลังจะปิด ชะงักตัวลง
“เจ้าไปได้แค่นั้นหละ!”
ร่างของชายหนุ่มคนสองคนปรากฏขึ้นพร้อมกับทหารองครักษ์อีกสี่นายเบื้องหลัง ในมือของทั้งสองถือดาบประจำราชวงศ์บ่งบอกถึงฐานะของทั้งคู่ องค์ชายฝาแฝดแห่งอาณาจักรลูนาเรียส
จอมเวทย์ผู้ปราชัยยิ้มเยาะ ก่อนจะชี้นิ้วที่สั่นระริกไปยังร่างของราชาออแรนโด พระบิดาของเจ้าชายทั้งสอง ริมฝีปากสแยะยิ้มชั่วร้ายก่อนเอื้อนเอ่ย
“ราชาผู้โง่เขลาเอ๋ย เจ้าจงจบชีพของเจ้าด้วยมนต์ดำนี้เถิด"
ลำแสงสีม่วงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความตายพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของผู้ร่ายเวทย์ มุ่งตรงไปยังเป้าหมาย นั่นคือราชาผู้หมดสติตรงหน้าพวกเขาเหล่านั้น
“ท่านพ่อ!!” เจ้าชายทั้งสองพุ่งเข้าเพื่อรับลำแสงนั้นพร้อมกันในทันที
ฉับพลันเมื่อแสงม่วงเข้าปะทะกับเกราะของเจ้าชาย แสงสว่างสีขาวก็บังเกิดพร้อมวงเวทย์สีขาวที่ปรากฏขึ้นบนชุดเกราะของทั้งสอง ภาพทุกอย่างดูสว่างไสวจนมองไม่เห็นทางใดๆนอกจากความว่างเปล่า
หนึ่งในเจ้าชายนั้นยืดมือออกสุดแขนเพื่อที่ตนจะสามารถเอื้อมถึงบิดาของตน ทว่า ภาพร่างของพระบิดาที่นอนรวยรินนั้นกลับห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหายไป ใบหน้าของพระราชาก็ได้หันมาทางเขา
“จงอยู่ เพื่อลูนาเรียส!"
“ท่านพ่อ!!!!!!!!”
ร่างบนเตียงเบิกตาโพลงขึ้นจากนิทรา เหงื่อกาลแตกไหลซึมไปทังตัว ก่อนที่เปลือกตาจะหรี่ลงอย่างอ่อนใจ เสียงหัวใจยังคนเต้นอย่างรุนแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก มือหนาเสยเรือนผมยาวสีเทาขึ้นจากใบหน้าอย่างเกียจคร้าน ดวงตาสีเขียวกวาดมองไปทั่วห้อง
ฝันอีกแล้ว ฝันถึงวันนั้นอีกแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ฝ่าบาท! เป็นอะไรหรือไม่พระเจ้าคะ"
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงของหนึ่งในราชองครักษ์ส่วนพระองค์
“ข้ามิเป็นไร"
ขานตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มให้นิ่งที่สุด
ข้ามิเป็นไร..........
หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายอันอ่อนล้าและปวดร้าวเหมือนผ่านการศึกมาทั้งคือแทนที่จะเป็นการนอนหลับพักผ่อน ร่างของกษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งอาณาจักรลูนาเรียส ก็ย่างก้าวออกมาจากห้องบรรทมอย่างเกียจคร้านและเหนื่อยหน่าย
“ฝ่าบาท! ยังไม่รีบทรงฉลองพระองค์เต็มยศอีกหรือขอรับ!”
ร่างของเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมยาวสีทองในชุดเกราะสีแดงก็ปรากฏขึ้น เขาวิ่งหน้าตาตื่นมาทางผู้เป็นนายอย่างร้อนรน ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้ายุวกษัตริย์
“ได้โปรดรีบหน่อยเถิดขอรับ มิเกลังเจโรส่งข่าวมาบอกว่า ราชาทิโมเทโอแห่งแคว้นโซลาเวียร์ เสด็จมาจะถึงที่นี่แล้วนะขอรับ ถ้าพระองค์ยังไม่ทรงฉลองพระองค์แล้วออกไปต้อนรับ ข้าคิ...”
เด็กหนุ่มผมทองเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าก็เริ่มต้นบ่นพล่ามทันทีอย่างเป็นกังวล ก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นเป็นเชิงให้หยุดพูดเสียที ดวงตาสีเขียใสของราชานั้นมองสบกับดวงตาสีม่วงของเด็กหนุ่มตรงหน้า
“เจ้านี่ขี้บ่นจริงซีโร ข้ากำลังจะเดินไปแต่งตัวเสียหน่อย ฟังเจ้าพล่ามก็หมดเวลาไปเกือบสองชั่วโมงเลย"
ผู้เป็นกษัตริย์กล่าวติดตลก หากแต่ว่าเด็กหนุ่มนามซีโรมิได้ตลกไปด้วย กลับค้อมหัวลงปะหลกๆทันที
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย! อา...ถ้าฝ่าบาททรงไปสายเพราะข้า ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทั้งๆที่ข้าพยายามแทบตายกว่าจะวิ่งมาจากท่าเรือเพื่อบอกข่าว กลับยิ่งทำให้พระองค์เสียเวลา ได้โปรดยกโทษให้ความโง่เขลาของ...........”
ผู้เป็นราชาได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอากับความจริงจังจนเกินเหตุของเด็กหนุ่มที่ขี้บ่นและขี้กังวลไม่สมวัย
ก่อนจะลูบหัวอย่างเอ็นดูและออกเดินไปยังห้องโถงเพื่อเตรียมตัวทันที
แสงไฟจากโคมระย้าประดับอันสวยงามสาดส่องไปทั่วโถงใหญ่อันโอ่อ่า กำแพงและเพดานล้วนประดับด้วยภาพวาดจากศิลปินผู้มีชื่อและผ้าม่านกำมะหยี่เนื้อดีที่บรรจงผูกมัดให้เป็นทรง พระราชาแห่งแคว้นลูนาเรียสองค์ปัจจุบัณ ราชา สเตฟาโน ซิลเวสโตร ซาโลมาน ทรงประทับอยู่บนบันลังก์สีทองที่คลุมด้วยหนังสิงโตและขนแกะ ล้อมรอบด้วยเหล่าอัศวินสี่คนในชุดเกราะ เบื้องหน้าพวกเขา คือร่างของชายหนุ่มหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปลายๆ เขาสวมชุดที่ตัดเย็บอย่างปราณีตร คลุมด้วยขนเสือดาวอย่างดีที่แลดูราคาแพง พร้อมเครื่องประดับมากมาย และที่ประเมิณค่ามิได้ คงจะเป็นมงกุฎทองคำอันใหญ่โตบนเรือนผมสีทองอร่ามนั่นกระมัง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองสบกับดวงตาสีเขียวสดใสของราชาซาโลมานอย่างเยือกเย็น รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้างามนั้น
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เราได้พบกับท่าน ยุวกษัตริย์แห่งลูนาเรียส ราชาซาโลมาน"
หนุ่มรูปงามเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล รอยยิ้มที่ประดับบนโครงหน้างามนั่นก็แทบจะทำให้บรรดาหญิงน้อยใหญ่ในโถงท้องพระโรงนั้น หลอมละลายราวเหล็กต้องไฟทีเดียว
“ข้าเองก็เป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับท่าน อัลเบโอ ลูคัส ทีโมเทโอ ยุวกษัตริย์แห่งโซลาเวียร์"
ซาโลมานกล่าวทักทายกษัตริย์หนุ่มแห่งแคว้นโซลาเวียร์พลางใช้ดวงตาสีเขียวใสนั่นมองไปยังกษัตริย์หนุ่มตรงหน้าอย่างกับจะอ่านใจ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่
“ข้ามาเยือนแคว้นท่านในครานี้เพื่อยื่นข้อเสนอบางอย่างให้แก่ท่าน"
ราชอาคันตุกะเป็นฝ่าเปิดการสนทนาก่อน คำพูดชวนให้คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความฉงนสงสัย
“ท่านมีข้อเสนออันใดที่จักแถลงให้ข้าฟัง โปรดกล่าวมาเถิด"
“เนื่องด้วยอาณาจักรของเราสองต่างก็รู้จักกันมานาน นับตั้งแต่รุ่นพระบิดาของพวกเรา"
“ท่านต้องการจะบอกอะไรกันแน่"
คิ้วเรียวของซาโลมานขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยในความหมายของแขกผู้มาเยือน
“ข้าคิดว่าอยากจะรวมอาณาจักรของพวกเราให้เป็นหนึ่ง"
ทีโมเทโอปรบมือสองที ร่างบางในชุดคลุมสีแดงสดก็ก้าวออกมา นางเปิดผ้าคลุมหน้า เผยให้เห็นใบหน้าสวยงามราวเทพธิดา เรือนผมสีทองและดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั้นเหมือนเคยเห็นมาก่อน นางแย้มรอยยิ้มที่ทำเอาบรรดาชายหนุ่มในท้องพระโรงถึงกับหวั่นไหว
"นี่แหนะ ขนิษฐาของข้า เลตีเซีย ฟรานซิส แองเจล่า ปีนี้อายุครบสิบแปดชันษาพอดี อยากจะยกให้เป็นหนึ่งในมเหสีของท่าน ถ้าหากว่าท่านจะกรุณา เพื่อที่อาณาจักรของเราจะได้รวมเป็นหนึ่งเสียที"