บทที่ 5 การแข่งอันแสนหฤโหด
http://ppantip.com/topic/31370511
บทที่ 6 จอมเวทย์มังกรไฟ
คำพูดของชายหนุ่มชุดหนังสีขาวสร้างความไม่พอใจต่อจอมเวทย์บางคน หนึ่งในนั้นเดินส่ายอาดๆเข้าไปหาพร้อมกับกระชากเสียงถาม
“เจ้าจะบอกว่าไม่สนที่มีสายเลือดชั่วปะปนเข้ามาในการประลองอันทรงเกียรตินี้หรือ”
ชายหนุ่มชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยหางตา แล้วยิ้มมุมปากอย่างดูแคลน เพราะคนที่พูดมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ซ้ำการพูดจายังกักขฬะราวกับโจร
“การแข่งขันอันทรงเกียรติงั้นหรือ” เขาเบนสายตากลับไปยังสนามประลอง “งั้นเจ้าก็มาผิดที่แล้วละ” น้ำเสียงและสีหน้าแสดงความดูถูกอย่างไม่ปิดบัง บันดาลโทสะอีกฝ่ายให้ปะทุขึ้นมา
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” มือง้างออกหมายขย้ำคอให้แหลก แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ เปลวไฟกลุ่มใหญ่ก็ลุกโพลงขึ้นหยุดมันเอาไว้ไม่ให้เข้าถึงตัว
“พอแค่นี้ดีกว่า” ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น แต่คนสามานย์ไม่ยอมฟังซ้ำยังดันทุรังอัดพลังลงไปในกำปั้นเพื่อทะลวงไฟกลุ่มนั้นให้แตก การกระทำของเขาทำให้หนุ่มชุดหนังนิ่วหน้าอย่างรำคาญ
“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ” เปลวเพลิงแผ่ออกคลุมร่างคนหาเรื่องลุกโชติช่วงและมอดไหม้กลายเป็นผงโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันส่งเสียงร้องออกมาสักคำ ชายหนุ่มมองผงธุลีข้างตัวด้วยหางตาก่อนกวาดมองไปโดยรอบพร้อมกับถาม
“มีใครข้องใจอีกไหม” เขามองไล่ไปทีละคน ครึ่งหนึ่งก้มหน้าหลบส่วนอีกครึ่งทำเฉยเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปรกติธรรมดา เมื่อไม่มีใครค้านหรือกล้าต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก ชายหนุ่มจึงเอนตัวพิงเสา ยกมือขึ้นกอดอกและพูดเสียงเรียบ
“ลงมือกันได้เลย”
คำพูดของเขาเรียกสติของกรรมการให้กลับคืนมา หนึ่งในนั้นยกธงขึ้นโบก เพื่อเตือนให้จอมเวทย์ที่อยู่ในสนามประลองเตรียมตัว พอเสียงระฆังดังขึ้น ทุกคนก็พร้อมใจกันหันไปโจมตี
อาเซอร์บัส ดูเหมือนเขาจะระวังตัวเอาไว้อยู่แล้ว พอทุกคนขยับ จอมเวทย์หนุ่มก็วาดมือเป็นวงปล่อยพลังทำลายในรูปของคลื่นอากาศแผ่กระจายออกจากร่าง กระแทกจอมเวทย์ที่ยืนโดยรอบกระเด็นไปคนละทิศละทาง พอจะตั้งตัวก็ถูกอัดซ้ำด้วยลิ่มสีดำที่ถูกสร้างรอไว้จนล้มกลิ้งไปอีกครั้งและไม่มีโอกาสลุกได้อีกต่อไป
ยกเว้น มาร์คัส
เหมือนอาเซอร์บัสคิดจัดการเขาเป็นคนสุดท้าย พลังทำลายจึงกำจัดจอมเวทย์ทุกคนเว้นมาร์คัส เมื่อผู้อยู่รอบตัวล้มลงไปจนหมดแล้ว จอมเวทย์หนุ่มจึงหันหน้าไปหาเขา ไม้เท้าในมือขยับไปข้างหน้าเล็กน้อยคล้ายพร้อมสังหารคนตรงหน้าได้ทุกเมื่อ
“เจ้าพูดถูกเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น” มือรวบไม้เท้าสีดำแน่น ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้ฮู้ตทอแสงโชนดุจเปลวไฟ “ที่ว่าข้าเป็นจอมเวทย์แห่งความมืด”
ผลึกสีเข้มบนยอดไม้เท้าเปล่งประกายเจิดจรัสก่อนปล่อยสายฟ้าสีดำออกมาระเบิดร่าง
มาร์คัสจนแหลกเป็นจุณ คนทั้งสนามพากันเงียบกริบไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาสักคำ กระทั่ง
อาเซอร์บัสก้าวออกจากลานประลอง เสียงหนึ่งก็พูดขึ้น
“เป็นการตัดสินที่เด็ดขาดมาก”
ผู้พูดคือชายในชุดหนังสีขาวอีกเช่นเคย ซ้ำครั้งนี้เขายังปรบมืออย่างชอบอกชอบใจในขณะที่คนรอบข้างยืนหน้าซีด ยกเว้นราเชนกับเบอร์ทิน่า
“แค่การประลองเท่านั้น ทำไมถึงลงมือรุนแรงขนาดนี้” เสียงใครบางคนดังออกมาจากกลุ่มผู้ชมข้างสนาม เมื่อราเชนหันไปมองจึงเห็นชายคนหนึ่งกำลังถอยหลังหนีอย่างลนลาน “เล่นกันถึงตายแบบนี้ข้าไม่แข่งด้วยหรอก”
พูดจบเขาก็โกยอ้าวออกจากสนามโดยมีนักเวทย์ประมาณสี่หรือห้าคนวิ่งตาม ชายหนุ่มชุดหนังสีขาวมองด้วยหางตาและยักไหล่อย่างไม่สนใจ
“เจ้าพวกตาขาว การแข่งมันก็ต้องมีเสี่ยงกันบ้างไม่งั้นจะไปสนุกอะไร” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเสียงประกาศของคณะกรรมการดังขึ้น พอเสียงขานชื่อคนที่ห้าจบลง ชายหนุ่มก็บิดตัวอย่างเกียจคร้านและดีดตัวจากเก้าอี้ ก้าวตรงไปยังสนามประลอง ถึงจะยืนอยู่กับจอมเวทย์ด้วยกัน เขาก็ยังโปรยยิ้มให้กับทุกคน โดยเฉพาะสาวๆที่กำลังส่งเสียงกรี๊ดอยู่ขอบสนาม
“อะไรของหมอนั่นกันน่ะ” ราเชนพูดอย่างหงุดหงิด อันที่จริงแล้วออกแนวหมั่นไส้กับการแต่งตัวและบุคลิกท่าทางเจ้าสำอางของคนที่อยู่บนเวทีนั่นมากกว่า ยิ่งเห็นผู้หญิงตะโกนเรียกชื่ออย่างหลงใหลด้วยแล้ว เด็กหนุ่มถึงกับเบ้หน้าอย่างไม่ชอบใจ
“ใช่คนที่คอยแหย่อาเซอร์บัสหรือเปล่า” เบอร์ทิน่าถาม ราเชนผงกศีรษะ “ทำไมเขาต้องทำแบบนั้นด้วย”
เด็กสาวถามต่อ นั่นเองที่ทำให้บุตรชายโหราจารย์ต้องฉุกคิด ตั้งแต่เข้ามาในลานประลอง ผู้ชายคนนี้จับตามองอาเซอร์บัสตลอดเวลา สิ่งที่ราเชนไม่เข้าใจก็คือ เขาทำเพื่ออะไร จะว่ามาทำร้ายก็ไม่น่าใช่เพราะเท่าที่เห็นชายคนนั้นไม่ได้มีท่าทางเป็นปฏิปักษ์ต่อจอมเวทย์แห่งไมธีร่าเลยสักนิด ตรงกันข้าม เขากลับคอยกระเซ้าเย้าแหย่และเฝ้ามองอาเซอร์บัสแทบทุกฝีก้าว ใส่ใจทุกการกระทำ ดังเช่นเมื่อครู่ตอนที่อาเซอร์บัสสังหารคนอย่างเลือดเย็น เขายังแสดงอาการอย่างออกนอกหน้าว่าชื่นชม
หรือหมอนี่เป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกัน
ราเชนขนลุกไปทั้งร่างกับความคิดพิสดารที่ผุดขึ้นมาในหัว โชคดีที่มันยังไม่ทันได้เลยเถิดมากไปกว่านั้น เพราะเสียงจอมเวทย์คนหนึ่งบนสนามประลอง ดังขึ้นมาเสียก่อน
“หยุดเสียทีได้ไหม เจ้าหน้าอ่อน”
ชายหนุ่มหันไปมองทั้งที่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม
“ข้าชื่อเกรย์” เขาพูดพลางค้อมตัวน้อยๆอย่างล้อเลียน แต่ท่าทางแบบนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายโกรธจนแทบลุกเป็นไฟ
“ใครอยากรู้ชื่อของเจ้า” เขาตวาดเสียงดังและหันไปทางกรรมการ “เริ่มการแข่งขันเร็ว ข้าอยากขยี้เจ้าหน้าอ่อนนี่เต็มทีแล้ว”
ดูเหมือนจอมเวทย์สามคนที่เหลือจะมีความคิดแบบเดียวกัน เพราะทุกกคนจ้องเกรย์เขม็ง พร้อมกับตั้งท่าพร้อมโจมตีได้ทันทีเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ และก็เป็นไปตามที่คิด ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้น ทุกคนร่ายเวทย์ปล่อยพลังทำลายออกไปพร้อมกัน แต่ชายหนุ่มยังคงยืนรออย่างใจเย็น พออาวุธอันเกิดจากเวทย์เข้ามาใกล้ เขากลับปัดทั้งหมดออกอย่างง่ายด้วยมือเพียงข้างเดียว
“ตั้งใจสู้กันหน่อยได้ไหม” เกรย์พูดพร้อมกับแคะหูด้วยท่าทางเบื่อหน่าย จอมเวทย์ทั้งสี่ต่างเข่นเขี้ยวเค้ยวฟันด้วยความโกรธจัดและร่ายมนตราเรียกอำนาจทำลายที่มีพลังรุนแรงมากกว่าเดิม ลำพังจอมเวทย์เพียงคนเดียว คงไม่สร้างผลกระทบใดต่อคนรอบข้าง แต่เมื่อพลังอันเกิดจากการร่ายมนต์สี่คนพร้อมกัน อากาศรอบสนามจึงเริ่มเคลื่อนไหว ก่อให้เกิดกระแสลมปั่นป่วนรุนแรง ฝูงชนรอบสนามพากันวิ่งหนีจ้าละหวั่น คนไหนใจกล้าหน่อยก็หาที่กำบังและยื่นหน้าออกมามอง จอมเวทย์ส่วนใหญ่มีอำนาจกล้าแข็ง ก็สร้างเกราะขึ้นมาป้องกันและยืนดูอยู่กับที่ แต่ไม่ใช่ราเชนกับเบอร์ทิน่า เพราะตอนนี้ทั้งสองยกมือขึ้นป้องฝุ่นผงที่ตลบไปทั่วพร้อมกับมองหาที่หลบ
“ไปตรงนั้นกันเถอะ” เด็กนุ่มร้องบอกพร้อมกับชี้ไปที่มุมด้านหนึ่งของสนาม ระหว่างจูงมือเบอร์ทิน่าเพื่อพาไปอยู่นั้น เก้าอี้ตัวหนึ่งก็ปลิวตรงเข้ามาหาคนทั้งสอง เด็กสาวร้องลั่นด้วยความตระหนกพร้อมกับยกแขนขึ้นป้องและสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงปึงดังสนั่น แต่พอไม่มีสิ่งใดมากระทบร่าง นางก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะไม่เพียงสิ่งของต่างๆ กระทั่งกระแสลมยังไม่กระทบตัว
เบอร์ทิน่าค่อยๆลดแขนลง จึงเห็นเก้าอี้ตัวนั้นร่วงลงไปกองกับพื้น เศษสิ่งของที่ปลิวว่อนก็เช่นกัน แทนที่จะวิ่งเข้ามาชน กันกลับกระทบกับอะไรบางอย่าง ที่กั้นตัวนางเอาไว้
“ทำไมไม่เรียกพลังดวงดาวออกมาป้องกัน” เสียงทุ้มของอาเซอร์บัสดังอยู่ข้างหลัง ทั้งคู่จึงรู้ว่าเขาเองที่เป็นคนสร้างม่านพลังคุ้มครอง
“ข้าไม่ทันนึกนี่นา” เด็กสาวพูดอุบอิบพลางก้มหน้าลงหลบสายตา จอมเวทย์หนุ่มจึงหันไปทางราเชน
“ผลึกที่มีอำนาจคุ้มครองก็มี ทำไมไม่ดึงออกมาใช้”
“ข้าหยิบไม่ทัน อีกอย่างยังไงเจ้าก็ต้องเข้ามาช่วยอยู่แล้ว” เขาตอบอย่างยียวน อาเซอร์บัสกำไม้เท้าแน่นเหมือนอยากจะประเคนลงบนหัวคนปากดีสักสองสามตุบด้วยความหมั่นไส้ แต่แสงไฟที่สว่างวาบขึ้นทำให้เขาเบนความสนใจกลับไปยังสนามประลอง เราเชนมองตามและเบิกตา
กว้างเมื่อพบว่า ทั้งสนามถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง
“อะไรน่ะ” เด็กหนุ่มหลุดปากถามออกมา อาเซอร์บัสจึงตอบ
“อัคคีมรณะ” เขายิ้มมุมปาก ดวงตาฉายความพึงพอใจออกมาอย่างชัดแจ้ง “พลังของมังกรไฟ”
ราเชนมองด้วยความประหลาดใจ เพราะไฟที่ว่าหมุนอยู่ภายในบริเวณสนามประลองเท่านั้น ไม่ลามเลียไปถึงสิ่งอื่นเลยแม้แต่น้อย น่าอัศจรรย์คือแม้จะลุกโชติช่วงสูงท่วมหัวซ้ำตัวเขาเองยังอยู่ใกล้ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความร้อนเลยสักนิด จะว่าเป็นเพราะกำแพงมนต์ของอาเซอร์บัสช่วยกันเอาไว้ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเขายังรับรู้ถึงกลิ่นที่โชยเข้ามาได้บ้าง ตอนนั้นเองที่จู่ๆไฟทั้งหมดดับวูบลง เช่นเดียวกับกระแสลมที่ยุติความปั่นป่วนอย่างฉับพลัน เมื่อทุกคนมองเข้าไปในสนามก็พบเกรย์ยืนอยู่เพียงคนเดียว
“คนอื่นหายไปไหน” กรรมการคนหนึ่งถาม ชายหนุ่มหงายมือทั้งสองข้างพร้อมกับยักไหล่
“ระเหยไปหมดแล้ว”
เขาเดินทอดน่องออกจากสนามแต่ยังไม่วายชำเลืองตาไปทางอาเซอร์บัส ใบหน้าคมเข้มเชิดขึ้นเล็กน้อยขณะที่เจ้าตัวขยิบตาให้ เหมือนจะบอกว่า ของกล้วยๆ ก่อนเดินไปนั่งเหยียดขาอย่างสบายอกสบายใจบนโต๊ะ ราเชนจ้องทุกอิริยาบถของชายหนุ่มอย่างไม่ไว้วางใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และหันไปโปรยเสน่ห์กับสาวๆแล้ว จึงหันไปถามอาเซอร์บัส
“อัคคีมรณะคืออะไร แล้วมังกรไฟคือเวทย์ประเภทไหน” จอมเวทย์หนุ่มก้มหน้าลงมองเหมือนนึกไม่ถึงว่าราเชนจะไม่รู้ อีกฝ่ายหน้าเข้ม “ถึงข้าจะเป็นลูกโหราจารย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอบรู้ไปหมดทุกอย่าง”
เด็กหนุ่มออกตัวและนึกโมโหขึ้นมาเมื่อเห็นจอมเวทย์แห่งไมธีร่ายิ้มมุมปาก เขาเกือบจะโพล่งออกไปแล้วว่า ไม่ต้องบอกก็ได้ แต่เสียงขานชื่อผู้แข่งขันรอบต่อไปดังขัดขึ้นมาเสียก่อน อาเซอร์บัสจึงกล่าวเตือน
“ถึงตาเจ้าแล้ว”
ราเชนนิ่วหน้า เท่าที่ผ่านมาความเชื่อมั่นในพลังมาลาไคท์ทำให้เขาไม่รู้สึกกลัวมากนัก แต่พอเห็นพลังของอาเซอร์บัสกับชายหนุ่มเมื่อครู่ ทำให้เกิดความวิตกขึ้นมา หากพลาดท่าถูกจอมเวทย์สังหารแล้วจะทำยังไง เด็กหนุ่มไม่ห่วงชีวิตของตัวเองเท่าไหร่ สิ่งที่ทำให้เขาไม่สบายใจคือ ความปลอดภัยของเบอร์ทิน่า ถ้าเขาตายขึ้นมาแล้วใครจะคอยคุ้มครอง
ดูเหมือนอาเซอร์บัสจะเข้าใจความกังวลของราเชน เพราะเขาใช้ไม้เท้าเคาะกำไลมาลาไคท์เบาๆพร้อมกับกล่าวคำที่ฟังเหมือนให้กำลังใจ
“จงเชื่อมั่นในอำนาจของมัน คิดให้เร็ว ใช้ให้ดี ทำอย่างถูกต้อง แล้วเจ้าจะชนะ”
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 6 จอมเวทย์มังกรไฟ
http://ppantip.com/topic/31370511
บทที่ 6 จอมเวทย์มังกรไฟ
คำพูดของชายหนุ่มชุดหนังสีขาวสร้างความไม่พอใจต่อจอมเวทย์บางคน หนึ่งในนั้นเดินส่ายอาดๆเข้าไปหาพร้อมกับกระชากเสียงถาม
“เจ้าจะบอกว่าไม่สนที่มีสายเลือดชั่วปะปนเข้ามาในการประลองอันทรงเกียรตินี้หรือ”
ชายหนุ่มชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยหางตา แล้วยิ้มมุมปากอย่างดูแคลน เพราะคนที่พูดมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ซ้ำการพูดจายังกักขฬะราวกับโจร
“การแข่งขันอันทรงเกียรติงั้นหรือ” เขาเบนสายตากลับไปยังสนามประลอง “งั้นเจ้าก็มาผิดที่แล้วละ” น้ำเสียงและสีหน้าแสดงความดูถูกอย่างไม่ปิดบัง บันดาลโทสะอีกฝ่ายให้ปะทุขึ้นมา
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” มือง้างออกหมายขย้ำคอให้แหลก แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ เปลวไฟกลุ่มใหญ่ก็ลุกโพลงขึ้นหยุดมันเอาไว้ไม่ให้เข้าถึงตัว
“พอแค่นี้ดีกว่า” ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น แต่คนสามานย์ไม่ยอมฟังซ้ำยังดันทุรังอัดพลังลงไปในกำปั้นเพื่อทะลวงไฟกลุ่มนั้นให้แตก การกระทำของเขาทำให้หนุ่มชุดหนังนิ่วหน้าอย่างรำคาญ
“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ” เปลวเพลิงแผ่ออกคลุมร่างคนหาเรื่องลุกโชติช่วงและมอดไหม้กลายเป็นผงโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันส่งเสียงร้องออกมาสักคำ ชายหนุ่มมองผงธุลีข้างตัวด้วยหางตาก่อนกวาดมองไปโดยรอบพร้อมกับถาม
“มีใครข้องใจอีกไหม” เขามองไล่ไปทีละคน ครึ่งหนึ่งก้มหน้าหลบส่วนอีกครึ่งทำเฉยเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปรกติธรรมดา เมื่อไม่มีใครค้านหรือกล้าต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก ชายหนุ่มจึงเอนตัวพิงเสา ยกมือขึ้นกอดอกและพูดเสียงเรียบ
“ลงมือกันได้เลย”
คำพูดของเขาเรียกสติของกรรมการให้กลับคืนมา หนึ่งในนั้นยกธงขึ้นโบก เพื่อเตือนให้จอมเวทย์ที่อยู่ในสนามประลองเตรียมตัว พอเสียงระฆังดังขึ้น ทุกคนก็พร้อมใจกันหันไปโจมตี
อาเซอร์บัส ดูเหมือนเขาจะระวังตัวเอาไว้อยู่แล้ว พอทุกคนขยับ จอมเวทย์หนุ่มก็วาดมือเป็นวงปล่อยพลังทำลายในรูปของคลื่นอากาศแผ่กระจายออกจากร่าง กระแทกจอมเวทย์ที่ยืนโดยรอบกระเด็นไปคนละทิศละทาง พอจะตั้งตัวก็ถูกอัดซ้ำด้วยลิ่มสีดำที่ถูกสร้างรอไว้จนล้มกลิ้งไปอีกครั้งและไม่มีโอกาสลุกได้อีกต่อไป
ยกเว้น มาร์คัส
เหมือนอาเซอร์บัสคิดจัดการเขาเป็นคนสุดท้าย พลังทำลายจึงกำจัดจอมเวทย์ทุกคนเว้นมาร์คัส เมื่อผู้อยู่รอบตัวล้มลงไปจนหมดแล้ว จอมเวทย์หนุ่มจึงหันหน้าไปหาเขา ไม้เท้าในมือขยับไปข้างหน้าเล็กน้อยคล้ายพร้อมสังหารคนตรงหน้าได้ทุกเมื่อ
“เจ้าพูดถูกเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น” มือรวบไม้เท้าสีดำแน่น ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้ฮู้ตทอแสงโชนดุจเปลวไฟ “ที่ว่าข้าเป็นจอมเวทย์แห่งความมืด”
ผลึกสีเข้มบนยอดไม้เท้าเปล่งประกายเจิดจรัสก่อนปล่อยสายฟ้าสีดำออกมาระเบิดร่าง
มาร์คัสจนแหลกเป็นจุณ คนทั้งสนามพากันเงียบกริบไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาสักคำ กระทั่ง
อาเซอร์บัสก้าวออกจากลานประลอง เสียงหนึ่งก็พูดขึ้น
“เป็นการตัดสินที่เด็ดขาดมาก”
ผู้พูดคือชายในชุดหนังสีขาวอีกเช่นเคย ซ้ำครั้งนี้เขายังปรบมืออย่างชอบอกชอบใจในขณะที่คนรอบข้างยืนหน้าซีด ยกเว้นราเชนกับเบอร์ทิน่า
“แค่การประลองเท่านั้น ทำไมถึงลงมือรุนแรงขนาดนี้” เสียงใครบางคนดังออกมาจากกลุ่มผู้ชมข้างสนาม เมื่อราเชนหันไปมองจึงเห็นชายคนหนึ่งกำลังถอยหลังหนีอย่างลนลาน “เล่นกันถึงตายแบบนี้ข้าไม่แข่งด้วยหรอก”
พูดจบเขาก็โกยอ้าวออกจากสนามโดยมีนักเวทย์ประมาณสี่หรือห้าคนวิ่งตาม ชายหนุ่มชุดหนังสีขาวมองด้วยหางตาและยักไหล่อย่างไม่สนใจ
“เจ้าพวกตาขาว การแข่งมันก็ต้องมีเสี่ยงกันบ้างไม่งั้นจะไปสนุกอะไร” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเสียงประกาศของคณะกรรมการดังขึ้น พอเสียงขานชื่อคนที่ห้าจบลง ชายหนุ่มก็บิดตัวอย่างเกียจคร้านและดีดตัวจากเก้าอี้ ก้าวตรงไปยังสนามประลอง ถึงจะยืนอยู่กับจอมเวทย์ด้วยกัน เขาก็ยังโปรยยิ้มให้กับทุกคน โดยเฉพาะสาวๆที่กำลังส่งเสียงกรี๊ดอยู่ขอบสนาม
“อะไรของหมอนั่นกันน่ะ” ราเชนพูดอย่างหงุดหงิด อันที่จริงแล้วออกแนวหมั่นไส้กับการแต่งตัวและบุคลิกท่าทางเจ้าสำอางของคนที่อยู่บนเวทีนั่นมากกว่า ยิ่งเห็นผู้หญิงตะโกนเรียกชื่ออย่างหลงใหลด้วยแล้ว เด็กหนุ่มถึงกับเบ้หน้าอย่างไม่ชอบใจ
“ใช่คนที่คอยแหย่อาเซอร์บัสหรือเปล่า” เบอร์ทิน่าถาม ราเชนผงกศีรษะ “ทำไมเขาต้องทำแบบนั้นด้วย”
เด็กสาวถามต่อ นั่นเองที่ทำให้บุตรชายโหราจารย์ต้องฉุกคิด ตั้งแต่เข้ามาในลานประลอง ผู้ชายคนนี้จับตามองอาเซอร์บัสตลอดเวลา สิ่งที่ราเชนไม่เข้าใจก็คือ เขาทำเพื่ออะไร จะว่ามาทำร้ายก็ไม่น่าใช่เพราะเท่าที่เห็นชายคนนั้นไม่ได้มีท่าทางเป็นปฏิปักษ์ต่อจอมเวทย์แห่งไมธีร่าเลยสักนิด ตรงกันข้าม เขากลับคอยกระเซ้าเย้าแหย่และเฝ้ามองอาเซอร์บัสแทบทุกฝีก้าว ใส่ใจทุกการกระทำ ดังเช่นเมื่อครู่ตอนที่อาเซอร์บัสสังหารคนอย่างเลือดเย็น เขายังแสดงอาการอย่างออกนอกหน้าว่าชื่นชม
หรือหมอนี่เป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกัน
ราเชนขนลุกไปทั้งร่างกับความคิดพิสดารที่ผุดขึ้นมาในหัว โชคดีที่มันยังไม่ทันได้เลยเถิดมากไปกว่านั้น เพราะเสียงจอมเวทย์คนหนึ่งบนสนามประลอง ดังขึ้นมาเสียก่อน
“หยุดเสียทีได้ไหม เจ้าหน้าอ่อน”
ชายหนุ่มหันไปมองทั้งที่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม
“ข้าชื่อเกรย์” เขาพูดพลางค้อมตัวน้อยๆอย่างล้อเลียน แต่ท่าทางแบบนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายโกรธจนแทบลุกเป็นไฟ
“ใครอยากรู้ชื่อของเจ้า” เขาตวาดเสียงดังและหันไปทางกรรมการ “เริ่มการแข่งขันเร็ว ข้าอยากขยี้เจ้าหน้าอ่อนนี่เต็มทีแล้ว”
ดูเหมือนจอมเวทย์สามคนที่เหลือจะมีความคิดแบบเดียวกัน เพราะทุกกคนจ้องเกรย์เขม็ง พร้อมกับตั้งท่าพร้อมโจมตีได้ทันทีเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ และก็เป็นไปตามที่คิด ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้น ทุกคนร่ายเวทย์ปล่อยพลังทำลายออกไปพร้อมกัน แต่ชายหนุ่มยังคงยืนรออย่างใจเย็น พออาวุธอันเกิดจากเวทย์เข้ามาใกล้ เขากลับปัดทั้งหมดออกอย่างง่ายด้วยมือเพียงข้างเดียว
“ตั้งใจสู้กันหน่อยได้ไหม” เกรย์พูดพร้อมกับแคะหูด้วยท่าทางเบื่อหน่าย จอมเวทย์ทั้งสี่ต่างเข่นเขี้ยวเค้ยวฟันด้วยความโกรธจัดและร่ายมนตราเรียกอำนาจทำลายที่มีพลังรุนแรงมากกว่าเดิม ลำพังจอมเวทย์เพียงคนเดียว คงไม่สร้างผลกระทบใดต่อคนรอบข้าง แต่เมื่อพลังอันเกิดจากการร่ายมนต์สี่คนพร้อมกัน อากาศรอบสนามจึงเริ่มเคลื่อนไหว ก่อให้เกิดกระแสลมปั่นป่วนรุนแรง ฝูงชนรอบสนามพากันวิ่งหนีจ้าละหวั่น คนไหนใจกล้าหน่อยก็หาที่กำบังและยื่นหน้าออกมามอง จอมเวทย์ส่วนใหญ่มีอำนาจกล้าแข็ง ก็สร้างเกราะขึ้นมาป้องกันและยืนดูอยู่กับที่ แต่ไม่ใช่ราเชนกับเบอร์ทิน่า เพราะตอนนี้ทั้งสองยกมือขึ้นป้องฝุ่นผงที่ตลบไปทั่วพร้อมกับมองหาที่หลบ
“ไปตรงนั้นกันเถอะ” เด็กนุ่มร้องบอกพร้อมกับชี้ไปที่มุมด้านหนึ่งของสนาม ระหว่างจูงมือเบอร์ทิน่าเพื่อพาไปอยู่นั้น เก้าอี้ตัวหนึ่งก็ปลิวตรงเข้ามาหาคนทั้งสอง เด็กสาวร้องลั่นด้วยความตระหนกพร้อมกับยกแขนขึ้นป้องและสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงปึงดังสนั่น แต่พอไม่มีสิ่งใดมากระทบร่าง นางก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะไม่เพียงสิ่งของต่างๆ กระทั่งกระแสลมยังไม่กระทบตัว
เบอร์ทิน่าค่อยๆลดแขนลง จึงเห็นเก้าอี้ตัวนั้นร่วงลงไปกองกับพื้น เศษสิ่งของที่ปลิวว่อนก็เช่นกัน แทนที่จะวิ่งเข้ามาชน กันกลับกระทบกับอะไรบางอย่าง ที่กั้นตัวนางเอาไว้
“ทำไมไม่เรียกพลังดวงดาวออกมาป้องกัน” เสียงทุ้มของอาเซอร์บัสดังอยู่ข้างหลัง ทั้งคู่จึงรู้ว่าเขาเองที่เป็นคนสร้างม่านพลังคุ้มครอง
“ข้าไม่ทันนึกนี่นา” เด็กสาวพูดอุบอิบพลางก้มหน้าลงหลบสายตา จอมเวทย์หนุ่มจึงหันไปทางราเชน
“ผลึกที่มีอำนาจคุ้มครองก็มี ทำไมไม่ดึงออกมาใช้”
“ข้าหยิบไม่ทัน อีกอย่างยังไงเจ้าก็ต้องเข้ามาช่วยอยู่แล้ว” เขาตอบอย่างยียวน อาเซอร์บัสกำไม้เท้าแน่นเหมือนอยากจะประเคนลงบนหัวคนปากดีสักสองสามตุบด้วยความหมั่นไส้ แต่แสงไฟที่สว่างวาบขึ้นทำให้เขาเบนความสนใจกลับไปยังสนามประลอง เราเชนมองตามและเบิกตา
กว้างเมื่อพบว่า ทั้งสนามถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง
“อะไรน่ะ” เด็กหนุ่มหลุดปากถามออกมา อาเซอร์บัสจึงตอบ
“อัคคีมรณะ” เขายิ้มมุมปาก ดวงตาฉายความพึงพอใจออกมาอย่างชัดแจ้ง “พลังของมังกรไฟ”
ราเชนมองด้วยความประหลาดใจ เพราะไฟที่ว่าหมุนอยู่ภายในบริเวณสนามประลองเท่านั้น ไม่ลามเลียไปถึงสิ่งอื่นเลยแม้แต่น้อย น่าอัศจรรย์คือแม้จะลุกโชติช่วงสูงท่วมหัวซ้ำตัวเขาเองยังอยู่ใกล้ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความร้อนเลยสักนิด จะว่าเป็นเพราะกำแพงมนต์ของอาเซอร์บัสช่วยกันเอาไว้ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเขายังรับรู้ถึงกลิ่นที่โชยเข้ามาได้บ้าง ตอนนั้นเองที่จู่ๆไฟทั้งหมดดับวูบลง เช่นเดียวกับกระแสลมที่ยุติความปั่นป่วนอย่างฉับพลัน เมื่อทุกคนมองเข้าไปในสนามก็พบเกรย์ยืนอยู่เพียงคนเดียว
“คนอื่นหายไปไหน” กรรมการคนหนึ่งถาม ชายหนุ่มหงายมือทั้งสองข้างพร้อมกับยักไหล่
“ระเหยไปหมดแล้ว”
เขาเดินทอดน่องออกจากสนามแต่ยังไม่วายชำเลืองตาไปทางอาเซอร์บัส ใบหน้าคมเข้มเชิดขึ้นเล็กน้อยขณะที่เจ้าตัวขยิบตาให้ เหมือนจะบอกว่า ของกล้วยๆ ก่อนเดินไปนั่งเหยียดขาอย่างสบายอกสบายใจบนโต๊ะ ราเชนจ้องทุกอิริยาบถของชายหนุ่มอย่างไม่ไว้วางใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และหันไปโปรยเสน่ห์กับสาวๆแล้ว จึงหันไปถามอาเซอร์บัส
“อัคคีมรณะคืออะไร แล้วมังกรไฟคือเวทย์ประเภทไหน” จอมเวทย์หนุ่มก้มหน้าลงมองเหมือนนึกไม่ถึงว่าราเชนจะไม่รู้ อีกฝ่ายหน้าเข้ม “ถึงข้าจะเป็นลูกโหราจารย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอบรู้ไปหมดทุกอย่าง”
เด็กหนุ่มออกตัวและนึกโมโหขึ้นมาเมื่อเห็นจอมเวทย์แห่งไมธีร่ายิ้มมุมปาก เขาเกือบจะโพล่งออกไปแล้วว่า ไม่ต้องบอกก็ได้ แต่เสียงขานชื่อผู้แข่งขันรอบต่อไปดังขัดขึ้นมาเสียก่อน อาเซอร์บัสจึงกล่าวเตือน
“ถึงตาเจ้าแล้ว”
ราเชนนิ่วหน้า เท่าที่ผ่านมาความเชื่อมั่นในพลังมาลาไคท์ทำให้เขาไม่รู้สึกกลัวมากนัก แต่พอเห็นพลังของอาเซอร์บัสกับชายหนุ่มเมื่อครู่ ทำให้เกิดความวิตกขึ้นมา หากพลาดท่าถูกจอมเวทย์สังหารแล้วจะทำยังไง เด็กหนุ่มไม่ห่วงชีวิตของตัวเองเท่าไหร่ สิ่งที่ทำให้เขาไม่สบายใจคือ ความปลอดภัยของเบอร์ทิน่า ถ้าเขาตายขึ้นมาแล้วใครจะคอยคุ้มครอง
ดูเหมือนอาเซอร์บัสจะเข้าใจความกังวลของราเชน เพราะเขาใช้ไม้เท้าเคาะกำไลมาลาไคท์เบาๆพร้อมกับกล่าวคำที่ฟังเหมือนให้กำลังใจ
“จงเชื่อมั่นในอำนาจของมัน คิดให้เร็ว ใช้ให้ดี ทำอย่างถูกต้อง แล้วเจ้าจะชนะ”