บทที่ 1 หมอกวิญญาณ
“การประลองเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของผู้ใช้เวทย์จะเริ่มต้นในอีกสองชั่วโมง ผู้ใดสนใจเชิญเข้ามาลงชื่อเข้าร่วมการแข่งขันได้”
เสียงชายวัยสามสิบต้นซึ่งยืนอยู่หน้าประตูเข้าสู่ลานกว้างใจกลางเมืองร้องบอกผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมา หลายคนรีบซื้ออาหารและเครื่องดื่มเพื่อเข้าไปจับจองที่นั่ง บางคนเดินผ่านไปโดยตั้งใจว่าจะย้อนกลับมาอีกครั้งตอนเริ่มงาน
การแข่งขันประลองเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของเหล่าจอมเวทย์นี้จัดขึ้นทุกสามปี เพียงแต่ในครั้งนี้เป็นการจัดที่พิเศษและยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งเนื่องจากเป็นเทศกาลฉลองที่เมืองไมธีร่ามีอายุได้ 300 ปี ผู้คนจึงหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งเพื่อชมงานรื่นเริงหลายรูปแบบ และเข้าร่วมการแข่งขันสารพัดอย่างไม่ว่าจะเป็นการวิ่งสามขา กระโดดข้ามแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยปลาไหล ยิงธนู ฟันดาบหรือแม้แต่กระทั่งแข่งความเร็วในการกิน
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานสลับกับเสียงดนตรีจากทุกมุมเมืองดังข้ามกำแพงศิลาสูงเข้าไปถึงเขตราชฐานชั้นในของปราสาทแห่งไมธีร่า กษัตริย์วาเก็นซึ่งกำลังปรึกษาพิธีการอยู่กับมหาอำมาตย์จึงแย้มสรวล
“ดูเหมือนชาวเมืองจะสนุกสนานกันใหญ่นะ ออร์เด็น”
มหาอำมาตย์ผู้เป็นทั้งที่ปรึกษาส่วนพระองค์และอนุชาหันหน้าไปทางหน้าต่างแล้วยิ้ม
“ไม่ใช่แค่ชาวเมืองเท่านั้น ในวังของท่านเองก็มีคนตื่นเต้นไม่แพ้กัน”
“ท่านคงหมายถึงเบอร์ทิน่า” กษัตริย์วาเก็นตรัส “ป่านนี้คงเที่ยวชะเง้อดูงานอยู่บนกำแพงแล้วกระมัง”
ทรงหัวเราะเมื่อนึกภาพราชธิดาเพียงองค์เดียวกำลังวิ่งซุกซนไปมาภายในวังอย่างร่าเริง มหาอำมาตย์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ
“แต่ข้าคิดว่าป่านนี้นางคงออกไปนอกวังแล้ว”
“ทหารมีตั้งเยอะแยะ นางจะออกไปง่ายๆได้อย่างไร” กษัตริย์วาเก็นแย้งแต่พระอนุชากลับส่ายหน้า
“ไม่มีใครห้ามเบอร์ทิน่าได้หรอก องค์ราชา”
เป็นไปตามคำกล่าวของมหาอำมาตย์ เพราะในตอนนี้ เบอร์ธิน่า เจ้าหญิงของนครไมธีร่าซึ่งอยู่ในเครื่องแต่งกายแบบสามัญชนกำลังกระโดดโลดเต้นท่ามกลางฝูงชนอย่างร่าเริง โดยมี ราเชน พระสหายวิ่งตาม
“ดูขนมนั่นสิราเชน” เบอร์ทิน่าชี้มือไปที่ร้านด้านตรงกันข้าม “สีของมันน่ากินจังเลยว่าไหม”
เธอถามเหมือนขอความเห็นแต่กลับวิ่งตรงไปที่ร้านและร้องขอขนมซึ่งน่าจะเป็นพวกแป้งอบทรงกลมสีชมพูหวานมาหนึ่งอัน พอได้รับแล้วก็หันกลับมาที่ราเชน “จ่ายให้ด้วย”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี พอหันไปกลับไปที่เจ้าหญิง ปรากฏว่าเธอวิ่งไปยืนดูการแสดงกายกรรมที่ลานกว้างเรียบร้อยแล้ว
“ไวเป็นบ้า” เขาบ่นพร้อมกับรีบเดินตามด้วยความเป็นห่วง แม้ไมธีร่าจะเป็นเมืองสงบสุข ไม่เคยมีเรื่องราวฉกชิงวิ่งราวมาก่อนแต่เทศกาลที่มีคนเป็นจำนวนมากแบบนี้อาจมีมิจฉาชีพปะปนเข้ามาด้วยก็ได้ คิดพลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่พอไปถึงปรากฏว่าเบอร์ทิน่าหายตัวไปแล้ว
“แย่ละสิ” ราเชนบ่นและรีบกวาดตามองไปรอบตัวอย่างลุกลน แต่ฝูงชนที่กำลังเดินขวักไขว่เป็นอุปสรรคทำให้เขามองหาเจ้าหญิงไม่เจอ เด็กหนุ่มใช้วิธีทั้งชะเง้อ ทั้งกระโดด แต่ก็ไม่พบ เมื่อจนปัญญาเขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก
“เบอร์ทิน่า !”
สิ้นคำเสื้อบริเวณอกก็เกิดอาการยับย่นเหมือนมือใครบางคนขยุ้ม ร่างของราเชนพุ่งฉิวออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วราวถูกกระชาก เด็กหนุ่มพยายามฝืนตัวแต่ไม่สำเร็จ เมื่อหมดหนทางขัดขืนเขาจึงจำต้องวิ่งไปตามแรงและหยุดอย่างฉับพลันต่อหน้าคนที่กำลังหา
“ราเชน” เบอร์ทิน่าเรียกด้วยความแปลกใจตรงกันข้ามกับราเชนที่กำหมัดแน่นและขมวดคิ้วอย่างโกรธจัด
“อาเซอร์บัส !” เขาร้องลั่นพลางส่งสายตาอาฆาตผ่านเบอร์ทิน่าไปยังด้านหลัง ชายหนุ่มในผ้าคลุมสีดำสนิทถือไม้เท้าสีเดียวยืนนิ่งอยู่ ใบหน้าภายใต้ฮู้ตมีรอยยิ้มเยาะบนมุมปาก “นึกบ้าอะไรถึงได้ลากข้ามาแบบนี้”
“หรือจะให้ข้าใช้วิธียกตัวเจ้าลอยข้ามหัวคนอื่น” เสียงทุ้มเย็นถามอย่างยียวน มันแทบจะจุดไฟให้ระเบิดลุกท่วมตัวของราเชนที่กำลังโมโหสุดขีด
“ทำแบบนั้นได้ยังไงละเจ้าบ้า” เขาตะเบ็งเสียงลั่นก่อนกระแทกลมหายใจพรืด “ใช้วิธีแบบคนธรรมดาไม่เป็นหรือไง”
“คนเยอะแบบนี้มัวแต่เรียกเมื่อไหร่จะเจอ” อาเซอร์บัสพูดพลางเลื่อนสายตาไปที่เบอร์ทิน่า “เกือบหลงกันแล้วไหมล่ะ ข้าเตือนแล้วว่าอย่าออกมาก็ไม่เชื่อ”
“คนพูดคือข้าต่างหาก” เบอร์ทิน่าตอบพร้อมกับเมินหน้าหนีไปอีกด้านอย่างรำคาญ “ตัวเซ็งอย่างเจ้าไม่รู้จะตามมาทำไม”
“ข้ามีหน้าที่อารักขาเจ้า” อาเซอร์บัสพูดด้วยเสียงราบเรียบ ราเชนจึงผลักเขาออกก่อนเบียดตัวไปยืนข้างเบอร์ทิน่า
“มันเป็นหน้าที่ของข้าต่างหาก”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มภายใต้ฮู้ตมองอีกฝ่ายเขม็ง
“เจ้าปล่อยให้เบอร์ทิน่าคลาดสายตาแถมยังหาไม่เจอ แบบนี้จะอารักขานางได้ยังไง”
“ข้าแค่เผลอไปนิดเดียวเท่านั้น อีกอย่างข้ายังไม่ทันได้หา เจ้าก็เข้ามายุ่งเสียก่อน”
ระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองคนปะทะคารมกัน เบอร์ทิน่าสังเกตว่ามือของอาเซอร์บัสกำไม้เท้าแน่นขึ้นเรื่อยๆ พอราเชนพูดจบ เขาก็สวนกลับทันควัน
“ขืนรอเจ้า เบอร์ทิน่าคงหลงไปอีกไกล”
“นางอยู่ในเมืองยังไงก็ไม่หายหรอกน่า” เขาขยับเพื่อชวนเจ้าหญิงไปเที่ยวต่อแต่ต้องหยุดเมื่อได้ยินคำพูดของอาเซอร์บัส
“คิดง่ายๆแบบคนโง่”
น้ำเสียงเชิงหยามเหยียดทำให้ราเชนนิ่วหน้าอย่างนึกฉุน เขาหันไปประจันกับจอมเวทย์หนุ่มและร้องท้า
“พูดแบบนี้ดูถูกกันชัดๆ มาซัดกันซักตั้งดีกว่า”
“ข้าเป็นจอมเวทย์ไม่นิยมการใช้กำลัง” อีกฝ่ายพูดอย่างเคร่งขรึม ราเชนเชิดหน้าพร้อมกับเหยียดยิ้มเยาะ
“ข้าว่าเจ้ากลัวมากกว่า พวกจอมเวทย์วันๆเอาแต่ร่ายเวทย์มนต์คาถา คงไม่มีแรงสู้รบปรบมือกับใคร”
อาเซอร์บัสมองราเชนอย่างไม่พอใจ และเตรียมขยับปากโต้แต่เบอร์ทิน่าเดินมาขวางทั้งคู่เอาไว้พร้อมกับยกมือห้าม
“พอได้แล้วทั้งสองคน นี่เป็นงานฉลอง อย่าทะเลาะกันเลย” นางมองหน้าราเชนเหมือนขอร้อง ชายหนุ่มจึงได้แต่ขบกรามและพยักหน้ารับ เมื่อเห็นสหายรักยอมทำตามแล้วเบอร์ทิน่าจึงหันไปทางอาเซอร์บัส แต่เขากลับยืนนิ่ง ไม่แสดงท่าทางอะไรออกมา เด็กสาวจึงนิ่วหน้าและพูดพอให้เขาได้ยิน
“เจ้าเป็นตัวเซ็งจริงๆ”
นางเดินหนีทันทีเมื่อพูดจบ ราเชนจึงรีบก้าวตามแต่อาเซอร์บัสกลับคว้าไหล่ของเขาเอาไว้และก้มหน้าลงกระซิบ
“อย่าให้ข้าได้ยินคำว่าเผลออีก” พูดพลางเพิ่มน้ำหนักมือแน่นขึ้นจนราเชนต้องหลุดปากร้องอุทานออกมาดังลั่น เมื่ออีกฝ่ายปล่อยและเดินตามเจ้าหญิงไปแล้ว เขาจึงนิ่วหน้าพร้อมกับลูบไหล่ของตัวเอง
“มือหนักเป็นบ้า”
เด็กหนุ่มบ่นพึมพำก่อนจะรีบวิ่งตามไปจนทันเบอร์ทิน่าซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าซุ้มทางเข้าลานประลองของเหล่าจอมเวทย์ ขณะตัดสินใจว่าจะเข้าไปชมการแข่งขันหรือไม่อยู่นั้น เสียงเอะอะของคนจากโต๊ะด้านข้างก็ดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นชายสามคนในเครื่องแต่งกายประหลาดกำลังยืนรุมล้อมเจ้าหน้าที่รับสมัครด้วยท่าทางคุกคาม
“ที่ว่าไม่ผ่านมันหมายความว่ายังไง” คนหัวล้านเตียนโล่งพูดพลางทุบโต๊ะดังโครม “พวกข้าขาดคุณสมบัติตรงไหน”
“ก...ก็ตรงที่พวกท่านไม่ใช่ผู้ใช้เวทย์”
หนึ่งในสามแยกเขี้ยวขู่และชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของเจ้าหน้าที่ เขาตาเหลือกร้องลั่นเมื่อเห็นเปลวไฟปะทุขึ้น
“ข้าเรียกไฟได้ แบบนี้ยังไม่เรียกว่าใช้เวทย์อีกหรือ” เขาพูดพลางขยับนิ้วให้เข้าไปใกล้หน้าอีกนิด เจ้าหน้าที่ผู้น่าสงสารสั่นศีรษะ
“แค่เปลวไฟเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
เขาตอบเสียงสั่น คนเรียกไฟได้จึงถ่มน้ำลายลงพื้น
“งั้นข้าจะแสดงการเผาคนให้เจ้าดู จะได้ช่วยให้คุณสมบัติของพวกข้าเพิ่มมากขึ้น”
ไม่พูดเปล่า ชายคนนั้นยังเอานิ้วจิ้มลงไปบนหน้าของคนเคราะห์ร้าย เขาหลับตาแน่นส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น แต่เมื่อรู้สึกว่าไม่มีเปลวไฟลุกท่วมอย่างที่หวาดกลัวจึงลืมตาขึ้นและกะพริบปริบๆด้วยความแปลกใจ ตรงกันข้ามกับคนก่อเรื่องที่กำลังมองนิ้วตัวเองอย่างฉงน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมไฟของข้าจึงดับ”
ยังไม่ทันจบประโยคมันกลับเป็นฝ่ายร้องลั่นเมื่อจู่ๆมีเปลวเพลิงสีดำลุกท่วมตัวและลามไปยังเพื่อนอีกสองคนที่มาด้วยกัน ทั้งสามกรีดร้องโหยหวนและล้มลงดิ้นทุรนทุราย
“ช่วยด้วย ดับไฟให้เราที!”
เจ้าคนหัวโล้นตะเบ็งเสียงร้องจนแหบแห้ง มีบางคนราดน้ำลงไปทั้งถังเพื่อดับไฟแต่ไม่ได้ผล เพลิงสีดำยังคงลุกโชติช่วงอย่างไม่มีวี่แววว่าจะมอดดับลง ที่น่าแปลกก็คือแม้คนทั้งสามจะรู้สึกร้อนจนแทบทนไม่ได้ แต่ร่างกายของพวกเขากลับไม่มีอาการไหม้เกรียมเลยสักนัก ไม่มีแม้กระทั่งรอยพุพอง เบอร์ทิน่าจึงหันไปทางอาเซอร์บัส
“พอได้แล้วน่ะ”
จอมเวทย์หนุ่มส่งยิ้มยียวนก่อนขยับนิ้วชี้เล็กน้อย ไฟทั้งหมดก็ดับสนิท ไม่หลงเหลือร่องรอยใด คนทั้งสามหยุดดิ้นและมองหน้ากันอย่างงุนงง แต่พอหันมาเห็นจอมเวทย์ในเครื่องแต่งกายสีดำกำลังจ้องมาด้วยดวงตาวาววับ ทั้งหมดจึงรู้ว่าเปลวเพลิงนั้นมาจากที่ใด ไม่ต้องรอให้บอก ชายทั้งสามรีบลุกขึ้นโกยอ้าวออกไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
“คุณสมบัติไม่ผ่านจริงๆ” ราเชนพูดอย่างดูถูกก่อนชำเลืองมองอาเซอร์บัสด้วยหางตา “เจ้าน่าจะเข้าแข่งขันด้วยนะ ฝีมือกับนิสัยแบบนี้รับรองว่าไม่มีใครสู้ได้แน่”
“ไร้สาระ” อีกฝ่ายตอบก่อนมองอีกฝ่ายด้วยกริยาเดียวกัน “ที่ว่านิสัยมันหมายความว่ายังไง”
ราเชนไม่ตอบแต่แกล้งทำเป็นผิวปากไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก่อนที่สงครามระหว่างคนทั้งสองจะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เบอร์ทิน่าก็รีบคว้าแขนเด็กหนุ่มลากเข้าไปในลานประลอง แต่ยังไม่ทันพ้นซุ้มประตู อาเซอร์บัสก็คว้าไหล่ของนางเอาไว้พร้อมกับห้าม
“เดี๋ยว !”
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 1 หมอกวิญญาณ
“การประลองเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของผู้ใช้เวทย์จะเริ่มต้นในอีกสองชั่วโมง ผู้ใดสนใจเชิญเข้ามาลงชื่อเข้าร่วมการแข่งขันได้”
เสียงชายวัยสามสิบต้นซึ่งยืนอยู่หน้าประตูเข้าสู่ลานกว้างใจกลางเมืองร้องบอกผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมา หลายคนรีบซื้ออาหารและเครื่องดื่มเพื่อเข้าไปจับจองที่นั่ง บางคนเดินผ่านไปโดยตั้งใจว่าจะย้อนกลับมาอีกครั้งตอนเริ่มงาน
การแข่งขันประลองเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของเหล่าจอมเวทย์นี้จัดขึ้นทุกสามปี เพียงแต่ในครั้งนี้เป็นการจัดที่พิเศษและยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งเนื่องจากเป็นเทศกาลฉลองที่เมืองไมธีร่ามีอายุได้ 300 ปี ผู้คนจึงหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งเพื่อชมงานรื่นเริงหลายรูปแบบ และเข้าร่วมการแข่งขันสารพัดอย่างไม่ว่าจะเป็นการวิ่งสามขา กระโดดข้ามแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยปลาไหล ยิงธนู ฟันดาบหรือแม้แต่กระทั่งแข่งความเร็วในการกิน
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานสลับกับเสียงดนตรีจากทุกมุมเมืองดังข้ามกำแพงศิลาสูงเข้าไปถึงเขตราชฐานชั้นในของปราสาทแห่งไมธีร่า กษัตริย์วาเก็นซึ่งกำลังปรึกษาพิธีการอยู่กับมหาอำมาตย์จึงแย้มสรวล
“ดูเหมือนชาวเมืองจะสนุกสนานกันใหญ่นะ ออร์เด็น”
มหาอำมาตย์ผู้เป็นทั้งที่ปรึกษาส่วนพระองค์และอนุชาหันหน้าไปทางหน้าต่างแล้วยิ้ม
“ไม่ใช่แค่ชาวเมืองเท่านั้น ในวังของท่านเองก็มีคนตื่นเต้นไม่แพ้กัน”
“ท่านคงหมายถึงเบอร์ทิน่า” กษัตริย์วาเก็นตรัส “ป่านนี้คงเที่ยวชะเง้อดูงานอยู่บนกำแพงแล้วกระมัง”
ทรงหัวเราะเมื่อนึกภาพราชธิดาเพียงองค์เดียวกำลังวิ่งซุกซนไปมาภายในวังอย่างร่าเริง มหาอำมาตย์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ
“แต่ข้าคิดว่าป่านนี้นางคงออกไปนอกวังแล้ว”
“ทหารมีตั้งเยอะแยะ นางจะออกไปง่ายๆได้อย่างไร” กษัตริย์วาเก็นแย้งแต่พระอนุชากลับส่ายหน้า
“ไม่มีใครห้ามเบอร์ทิน่าได้หรอก องค์ราชา”
เป็นไปตามคำกล่าวของมหาอำมาตย์ เพราะในตอนนี้ เบอร์ธิน่า เจ้าหญิงของนครไมธีร่าซึ่งอยู่ในเครื่องแต่งกายแบบสามัญชนกำลังกระโดดโลดเต้นท่ามกลางฝูงชนอย่างร่าเริง โดยมี ราเชน พระสหายวิ่งตาม
“ดูขนมนั่นสิราเชน” เบอร์ทิน่าชี้มือไปที่ร้านด้านตรงกันข้าม “สีของมันน่ากินจังเลยว่าไหม”
เธอถามเหมือนขอความเห็นแต่กลับวิ่งตรงไปที่ร้านและร้องขอขนมซึ่งน่าจะเป็นพวกแป้งอบทรงกลมสีชมพูหวานมาหนึ่งอัน พอได้รับแล้วก็หันกลับมาที่ราเชน “จ่ายให้ด้วย”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี พอหันไปกลับไปที่เจ้าหญิง ปรากฏว่าเธอวิ่งไปยืนดูการแสดงกายกรรมที่ลานกว้างเรียบร้อยแล้ว
“ไวเป็นบ้า” เขาบ่นพร้อมกับรีบเดินตามด้วยความเป็นห่วง แม้ไมธีร่าจะเป็นเมืองสงบสุข ไม่เคยมีเรื่องราวฉกชิงวิ่งราวมาก่อนแต่เทศกาลที่มีคนเป็นจำนวนมากแบบนี้อาจมีมิจฉาชีพปะปนเข้ามาด้วยก็ได้ คิดพลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่พอไปถึงปรากฏว่าเบอร์ทิน่าหายตัวไปแล้ว
“แย่ละสิ” ราเชนบ่นและรีบกวาดตามองไปรอบตัวอย่างลุกลน แต่ฝูงชนที่กำลังเดินขวักไขว่เป็นอุปสรรคทำให้เขามองหาเจ้าหญิงไม่เจอ เด็กหนุ่มใช้วิธีทั้งชะเง้อ ทั้งกระโดด แต่ก็ไม่พบ เมื่อจนปัญญาเขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก
“เบอร์ทิน่า !”
สิ้นคำเสื้อบริเวณอกก็เกิดอาการยับย่นเหมือนมือใครบางคนขยุ้ม ร่างของราเชนพุ่งฉิวออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วราวถูกกระชาก เด็กหนุ่มพยายามฝืนตัวแต่ไม่สำเร็จ เมื่อหมดหนทางขัดขืนเขาจึงจำต้องวิ่งไปตามแรงและหยุดอย่างฉับพลันต่อหน้าคนที่กำลังหา
“ราเชน” เบอร์ทิน่าเรียกด้วยความแปลกใจตรงกันข้ามกับราเชนที่กำหมัดแน่นและขมวดคิ้วอย่างโกรธจัด
“อาเซอร์บัส !” เขาร้องลั่นพลางส่งสายตาอาฆาตผ่านเบอร์ทิน่าไปยังด้านหลัง ชายหนุ่มในผ้าคลุมสีดำสนิทถือไม้เท้าสีเดียวยืนนิ่งอยู่ ใบหน้าภายใต้ฮู้ตมีรอยยิ้มเยาะบนมุมปาก “นึกบ้าอะไรถึงได้ลากข้ามาแบบนี้”
“หรือจะให้ข้าใช้วิธียกตัวเจ้าลอยข้ามหัวคนอื่น” เสียงทุ้มเย็นถามอย่างยียวน มันแทบจะจุดไฟให้ระเบิดลุกท่วมตัวของราเชนที่กำลังโมโหสุดขีด
“ทำแบบนั้นได้ยังไงละเจ้าบ้า” เขาตะเบ็งเสียงลั่นก่อนกระแทกลมหายใจพรืด “ใช้วิธีแบบคนธรรมดาไม่เป็นหรือไง”
“คนเยอะแบบนี้มัวแต่เรียกเมื่อไหร่จะเจอ” อาเซอร์บัสพูดพลางเลื่อนสายตาไปที่เบอร์ทิน่า “เกือบหลงกันแล้วไหมล่ะ ข้าเตือนแล้วว่าอย่าออกมาก็ไม่เชื่อ”
“คนพูดคือข้าต่างหาก” เบอร์ทิน่าตอบพร้อมกับเมินหน้าหนีไปอีกด้านอย่างรำคาญ “ตัวเซ็งอย่างเจ้าไม่รู้จะตามมาทำไม”
“ข้ามีหน้าที่อารักขาเจ้า” อาเซอร์บัสพูดด้วยเสียงราบเรียบ ราเชนจึงผลักเขาออกก่อนเบียดตัวไปยืนข้างเบอร์ทิน่า
“มันเป็นหน้าที่ของข้าต่างหาก”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มภายใต้ฮู้ตมองอีกฝ่ายเขม็ง
“เจ้าปล่อยให้เบอร์ทิน่าคลาดสายตาแถมยังหาไม่เจอ แบบนี้จะอารักขานางได้ยังไง”
“ข้าแค่เผลอไปนิดเดียวเท่านั้น อีกอย่างข้ายังไม่ทันได้หา เจ้าก็เข้ามายุ่งเสียก่อน”
ระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองคนปะทะคารมกัน เบอร์ทิน่าสังเกตว่ามือของอาเซอร์บัสกำไม้เท้าแน่นขึ้นเรื่อยๆ พอราเชนพูดจบ เขาก็สวนกลับทันควัน
“ขืนรอเจ้า เบอร์ทิน่าคงหลงไปอีกไกล”
“นางอยู่ในเมืองยังไงก็ไม่หายหรอกน่า” เขาขยับเพื่อชวนเจ้าหญิงไปเที่ยวต่อแต่ต้องหยุดเมื่อได้ยินคำพูดของอาเซอร์บัส
“คิดง่ายๆแบบคนโง่”
น้ำเสียงเชิงหยามเหยียดทำให้ราเชนนิ่วหน้าอย่างนึกฉุน เขาหันไปประจันกับจอมเวทย์หนุ่มและร้องท้า
“พูดแบบนี้ดูถูกกันชัดๆ มาซัดกันซักตั้งดีกว่า”
“ข้าเป็นจอมเวทย์ไม่นิยมการใช้กำลัง” อีกฝ่ายพูดอย่างเคร่งขรึม ราเชนเชิดหน้าพร้อมกับเหยียดยิ้มเยาะ
“ข้าว่าเจ้ากลัวมากกว่า พวกจอมเวทย์วันๆเอาแต่ร่ายเวทย์มนต์คาถา คงไม่มีแรงสู้รบปรบมือกับใคร”
อาเซอร์บัสมองราเชนอย่างไม่พอใจ และเตรียมขยับปากโต้แต่เบอร์ทิน่าเดินมาขวางทั้งคู่เอาไว้พร้อมกับยกมือห้าม
“พอได้แล้วทั้งสองคน นี่เป็นงานฉลอง อย่าทะเลาะกันเลย” นางมองหน้าราเชนเหมือนขอร้อง ชายหนุ่มจึงได้แต่ขบกรามและพยักหน้ารับ เมื่อเห็นสหายรักยอมทำตามแล้วเบอร์ทิน่าจึงหันไปทางอาเซอร์บัส แต่เขากลับยืนนิ่ง ไม่แสดงท่าทางอะไรออกมา เด็กสาวจึงนิ่วหน้าและพูดพอให้เขาได้ยิน
“เจ้าเป็นตัวเซ็งจริงๆ”
นางเดินหนีทันทีเมื่อพูดจบ ราเชนจึงรีบก้าวตามแต่อาเซอร์บัสกลับคว้าไหล่ของเขาเอาไว้และก้มหน้าลงกระซิบ
“อย่าให้ข้าได้ยินคำว่าเผลออีก” พูดพลางเพิ่มน้ำหนักมือแน่นขึ้นจนราเชนต้องหลุดปากร้องอุทานออกมาดังลั่น เมื่ออีกฝ่ายปล่อยและเดินตามเจ้าหญิงไปแล้ว เขาจึงนิ่วหน้าพร้อมกับลูบไหล่ของตัวเอง
“มือหนักเป็นบ้า”
เด็กหนุ่มบ่นพึมพำก่อนจะรีบวิ่งตามไปจนทันเบอร์ทิน่าซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าซุ้มทางเข้าลานประลองของเหล่าจอมเวทย์ ขณะตัดสินใจว่าจะเข้าไปชมการแข่งขันหรือไม่อยู่นั้น เสียงเอะอะของคนจากโต๊ะด้านข้างก็ดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นชายสามคนในเครื่องแต่งกายประหลาดกำลังยืนรุมล้อมเจ้าหน้าที่รับสมัครด้วยท่าทางคุกคาม
“ที่ว่าไม่ผ่านมันหมายความว่ายังไง” คนหัวล้านเตียนโล่งพูดพลางทุบโต๊ะดังโครม “พวกข้าขาดคุณสมบัติตรงไหน”
“ก...ก็ตรงที่พวกท่านไม่ใช่ผู้ใช้เวทย์”
หนึ่งในสามแยกเขี้ยวขู่และชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของเจ้าหน้าที่ เขาตาเหลือกร้องลั่นเมื่อเห็นเปลวไฟปะทุขึ้น
“ข้าเรียกไฟได้ แบบนี้ยังไม่เรียกว่าใช้เวทย์อีกหรือ” เขาพูดพลางขยับนิ้วให้เข้าไปใกล้หน้าอีกนิด เจ้าหน้าที่ผู้น่าสงสารสั่นศีรษะ
“แค่เปลวไฟเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
เขาตอบเสียงสั่น คนเรียกไฟได้จึงถ่มน้ำลายลงพื้น
“งั้นข้าจะแสดงการเผาคนให้เจ้าดู จะได้ช่วยให้คุณสมบัติของพวกข้าเพิ่มมากขึ้น”
ไม่พูดเปล่า ชายคนนั้นยังเอานิ้วจิ้มลงไปบนหน้าของคนเคราะห์ร้าย เขาหลับตาแน่นส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น แต่เมื่อรู้สึกว่าไม่มีเปลวไฟลุกท่วมอย่างที่หวาดกลัวจึงลืมตาขึ้นและกะพริบปริบๆด้วยความแปลกใจ ตรงกันข้ามกับคนก่อเรื่องที่กำลังมองนิ้วตัวเองอย่างฉงน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมไฟของข้าจึงดับ”
ยังไม่ทันจบประโยคมันกลับเป็นฝ่ายร้องลั่นเมื่อจู่ๆมีเปลวเพลิงสีดำลุกท่วมตัวและลามไปยังเพื่อนอีกสองคนที่มาด้วยกัน ทั้งสามกรีดร้องโหยหวนและล้มลงดิ้นทุรนทุราย
“ช่วยด้วย ดับไฟให้เราที!”
เจ้าคนหัวโล้นตะเบ็งเสียงร้องจนแหบแห้ง มีบางคนราดน้ำลงไปทั้งถังเพื่อดับไฟแต่ไม่ได้ผล เพลิงสีดำยังคงลุกโชติช่วงอย่างไม่มีวี่แววว่าจะมอดดับลง ที่น่าแปลกก็คือแม้คนทั้งสามจะรู้สึกร้อนจนแทบทนไม่ได้ แต่ร่างกายของพวกเขากลับไม่มีอาการไหม้เกรียมเลยสักนัก ไม่มีแม้กระทั่งรอยพุพอง เบอร์ทิน่าจึงหันไปทางอาเซอร์บัส
“พอได้แล้วน่ะ”
จอมเวทย์หนุ่มส่งยิ้มยียวนก่อนขยับนิ้วชี้เล็กน้อย ไฟทั้งหมดก็ดับสนิท ไม่หลงเหลือร่องรอยใด คนทั้งสามหยุดดิ้นและมองหน้ากันอย่างงุนงง แต่พอหันมาเห็นจอมเวทย์ในเครื่องแต่งกายสีดำกำลังจ้องมาด้วยดวงตาวาววับ ทั้งหมดจึงรู้ว่าเปลวเพลิงนั้นมาจากที่ใด ไม่ต้องรอให้บอก ชายทั้งสามรีบลุกขึ้นโกยอ้าวออกไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
“คุณสมบัติไม่ผ่านจริงๆ” ราเชนพูดอย่างดูถูกก่อนชำเลืองมองอาเซอร์บัสด้วยหางตา “เจ้าน่าจะเข้าแข่งขันด้วยนะ ฝีมือกับนิสัยแบบนี้รับรองว่าไม่มีใครสู้ได้แน่”
“ไร้สาระ” อีกฝ่ายตอบก่อนมองอีกฝ่ายด้วยกริยาเดียวกัน “ที่ว่านิสัยมันหมายความว่ายังไง”
ราเชนไม่ตอบแต่แกล้งทำเป็นผิวปากไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก่อนที่สงครามระหว่างคนทั้งสองจะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เบอร์ทิน่าก็รีบคว้าแขนเด็กหนุ่มลากเข้าไปในลานประลอง แต่ยังไม่ทันพ้นซุ้มประตู อาเซอร์บัสก็คว้าไหล่ของนางเอาไว้พร้อมกับห้าม
“เดี๋ยว !”