บทที่ 21 เผยโฉมจอมเวทผู้ชั่วร้าย
http://ppantip.com/topic/31903801
บทที่ 22 หมัดแห่งความแค้นกับเหยื่อที่รอดชีวิต
“ข้าจะฉีกเนื้อพวกเจ้าเพื่อล้างแค้นให้ชาววู้ดแลนด์”
คำประกาศกร้าวของฮันท์ทำให้จอมเวทชั่วทั้งสองหน้าถอดสี หากเป็นตอนแรก พวกเขาคงไม่หวั่นเกรงเท่าใดนัก เพราะด้วยจำนวนคนที่เหนือกว่า สามารถกำราบจอมเวทร่างหมีผู้นี้ได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเหมือนตอนที่บุกวู้ดแลนด์ แต่ในเวลานี้หัวหน้ารวมทั้งคนในกลุ่มเดียวกันถูกจัดการไปจนหมด หนำซ้ำทั้งคู่ยังถูกจอมเวทเก่งๆอย่างอาเซอร์บัส เกรย์และคิลเลอร์ฟรอสต์ห้อมล้อม หากตุกติกหรือเล่นไม่ซื่อ ทั้งสองจะต้องถูกกำจัดอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่ต้องห่วง พวกเขาไม่ยื่นมือมาวุ่นวายกับเจ้าทั้งคนแน่” ฮันท์พูดราวล่วงรู้ในความคิด จอมเวทผู้ใช้พลังพิษหนอนแมลงจึงฝืนยิ้ม
“จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไร”
“พวกเขาสูงส่งกว่าพวกเจ้า” จอมเวทร่างยักษ์ตอบอย่างดูแคลน สีหน้าเหยียดหยามของเขาทำให้จอมเวททั้งสองบังเกิดความโกรธจนต้องกำหมัดแน่น ยืนตัวสั่น
“อย่าลำพองใจไปนัก ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าเคยพ่ายแพ้พวกเรามาแล้วครั้งหนึ่ง” อีกคนพูด ฮันท์ส่งเสียงคำรามในลำคอ
“ข้าจำได้ดี” อากาศรอบตัวเริ่มเคลื่อนไหวกลายเป็นคลื่นมองคล้ายไอร้อนของแดดกลางทะเลทราย “อย่างไม่มีวันลืม”
มือทั้งสองข้างกำแน่นขณะที่ฮันท์ร่ายเวทเรียกพลังของสัตว์เข้ามาประจุ เงาของหมีตัวใหญ่ไหววูบมาซ้อนทับร่าง ทำให้กายของเขาดูสูงใหญ่มากกว่าเดิมอีกเท่าตัว จอมเวทแห่งพิษรีบร่ายเวทเพื่อตั้งรับ พื้นดินใต้เท้าที่ราบเรียบเกิดอาการสั่นไหวเคลื่อนเป็นลอนดุจคลื่นบนผิวน้ำ พริบตาแมลงจำนวนมากก็ชำแรกดินขึ้นมาและกรูเข้าโจมตีฮันท์ในทันที จอมเวทร่างยั้งจึงเงื้อกำปั้นขึ้นทุบลงไปบนพื้นอย่างแรงก่อให้เกิดพลังทำลายอย่างมหาศาลอัดแมลงทุกตัวจนแหลกเละไม่เหลือรอดสักตัว
พอเห็นเวทของเพื่อนถูกทำลาย จอมเวทอีกคนจึงยื่นแขนออกไปข้างหน้าพร้อมกับกล่าวคำอัญเชิญ เกรย์ซึ่งยืนกอดอกดูอยู่หน้าบ้านของไลอ้อนเลิกคิ้วขึ้น เพราะภาษาที่จอมเวทผู้นั้นใช้เป็นแบบชนิดเดียวกับเบอร์ทิน่า
“เจ้านี่เป็นผู้ใช้ดวงดาว” หนุ่มมังกรพึมพำพลางจ้องเขม็งไปยังตัวร้ายตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ถึงจะเคยเห็นพลังเวทดวงดาวของเบอร์ทิน่ามาแล้ว แต่พลังของยังอ่อนนักหากเทียบกับคนในตอนนี้ เพราะนอกจากจะไม่ใช้เหรียญดวงดาวแล้ว คำอัญเชิญทุกประโยคยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชนิดเขาเองยังขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“จะไหวหรือเปล่าเนี่ย” เกรย์พูดพลางมองฮันท์ด้วยความเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายไม่สนใจเลยสักนิด เพราะพอจอมเวทผ้าคลุมสีเทาวาดแขนเป็นวงเพื่อเรียกเทพแห่งดวงดาวออกมา เขาก็เรียกพลังของสัตว์เข้ามาสถิตในร่างและกระแทกกำปั้นตัวเองดังตูม
“เข้ามาเลย” จอมเวทหมีร้องท้า อีกฝ่ายจึงกางนิ้วมือทั้งห้าพร้อมกับตะโกน
“ทอรัส!”
แสงสีส้มสดสว่างวาบขึ้น ร่างสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นของคนที่มีศีรษะเป็นกระทิงยืนจังก้าตรงหน้าเจ้าของเวท มันกระแทกลมหายใจดังฟืดฟาดพร้อมกับฟาดกระบองเหล็กลงกับพื้นด้วยพละกำลังอันมหาศาลทำให้ดินในบริเวณนั้นยุบตัวลงกลายเป็นหลุมลึก
“บอกลาเพื่อนๆได้เลยเจ้าลูกหมี” คนชั่วกล่าวคำหยันและออกคำสั่ง “ขยี้มันให้เละเลยทอรัส”
คนครึ่งกระทิงเปล่งเสียงคำรามขานรับก่อนเงื้อกระบองในมือขึ้นวิ่งเข้าใส่ฮันท์อย่างดุร้าย มุนดากับซาเบลเรียกชื่อเขาด้วยความเป็นห่วงแต่จอมเวทพลังสัตว์มิได้มีความเกรงกลัวเลยสักนิด เขาตั้งท่ายืนหยัดอย่างมั่นคง มือทั้งสองกำหมัดแน่น พอกระทิงปิศาจเหวี่ยงกระบองลงมาเขาก็เบี่ยงตัวหลบและพุ่งหมัดสวนออกไปกระแทกเข้าที่หน้าท้องอย่างจัง พอมันงอตัวลงก็ถูกกำปั้นเสยเข้าที่ปลายคางและโดนอัดซ้ำอีกครั้งจนหน้าสะบัด ร่างสูงใหญ่เซถอยหลังอย่างสิ้นท่าและยืนโอนเอนไปมาสองสามครั้งก่อนล้มลง พอโดนฮันท์กระแทกด้วยส้นเท้า มันก็แตกสลายหายไป
พอกำจัดเวททรงพลังได้ ฮันท์ก็หันไปจ้องจอมเวทชั่วทั้งสองด้วยดวงตาดุดันดุจสัตว์ป่ากระหายเลือด สร้างความหวาดผวาจนคนเห็นต้องถอยหนีโดยไม่รู้ตัว
“ข้าจำได้ว่าเวทของพวกเจ้าร้ายกาจกว่านี้” เขาพูดเสียงกร้าวคล้ายหมีคำราม “แสดงมันออกมาให้หมด ไม่เช่นนั้นข้าจะขยี้พวกเจ้าให้แหลก”
ได้ยินแบบนั้น จอมเวททั้งสองร่ายเวทพร้อมกันและวาดมือไปข้างหน้าสร้างวงเวทขนาดใหญ่ซ้อนกันถึงสองชั้น มันทอแสงระยิบระยับเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าในคืนเดือนมืด แต่ความงดงามนั้นมิได้ทำให้ฮันท์เผลอไผลเลยสักนิด เขาสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดพร้อมกับร่ายเวทเรียกอำนาจของสัตว์ที่อยู่ใต้ดิน และพวกนักล่าให้เข้ามาสถตในร่าง ส่วนแขนทั้งสองข้างอัดแน่นด้วยอำนาจอันร้ายกาจของหมีซึ่งทั้งแข็งแกร่งและทรงพลัง เมื่อหนึ่งในจอมเวทวาดแขนเป็นวง แผ่นดินใต้เท้าของฮันท์ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหมือนคิดเอาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน เขากางมือออกจิกลงไปในดิน และกระชากออกพร้อมลากตัวอะไรบางอย่างขึ้นมาด้วย
“เจ้าตัวนี้เป็นเวทร้ายกาจที่สุดของพวกเจ้าแล้วหรือ” จอมเวทร่างหมีถามพลางบีบมืออย่างแรง ขยี้สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างผสมระหว่างแมงป่องกับงูจนแหลกเละจากนั้นจึงเหวี่ยงเข้าใส่คนชั่วทั้งสอง “ถึงทีของข้าบ้างล่ะ”
เขาเหวี่ยงกำปั้นที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายไปข้างหน้า ซัดทั้งคู่จนหงายหลัง แต่ฮันท์ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาย่างสามขุมเข้าไปคว้าขยุ้มผมยุ่งเหยิงของจอมเวทแห่งดวงดาว จับหัวกระแทกกับพื้นชนิดไม่ยั้งจนใบหน้าเละไม่มีชิ้นดี พอเห็นอีกฝ่ายแน่นิ่งไปแล้วจอมเวทร่างยักษ์จึงลุกขึ้นและกระแทกส้นเท้าลงบนต้นคอของคนบนพื้นอย่างแรงจนกระดูกหัก จากนั้นจึงก้าวเข้าไปหาจอมเวทแห่งพิษที่กำลังตะเกียกตะกายหนีลนลาน
“กลัวด้วยหรือ” ฮันท์ถามพลางวางเท้าบนกลางหลังและออกแรงกดให้อยู่นิ่ง อีกฝ่ายร้องลั่นพร้อมกับอ้อนวอน
“ได้โปรด”
“ชาววู้ดแลนด์ก็เคยพูดคำนี้เหมือนกัน” ฮันท์พูดเสียงต่ำพร้อมกับก้มตัวลง “จำได้หรือเปล่าว่าเจ้าตอบพวกเขายังไง”
น้ำตาของจอมเวทชั่วไหลพราก กายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
“ข้า....”
“เจ้าไม่พูดอะไรเลยสักคำ แต่กลับให้แมลงชั่วช้าพวกนั้นฉีกร่างพวกเขาทั้งเป็น” พูดพลางคว้าข้อมือข้างหนึ่งและกระชากอย่างแรงจนขาด ตามด้วยแขนอีกข้างโดยไม่สนใจเสียงกรีดร้อง เมื่อจัดการแขนทั้งสองข้างไปเรียบร้อย ฮันท์ก็ถอยไปยืนมองจอมเวทชั่วดิ้นทุรนทุรายอยู่อึดใจ พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มหายใจระรวย เขาก็หงายมือขึ้นและร่ายเวทคำหนึ่งออกมา
“ข้าไม่ให้เจ้าตายง่ายๆหรอก”
ดินรอบตัวคนที่นอนอยู่บนพื้นขยับเคลื่อนไหว พริบตาก็มีแมลงสีดำขนาดเล็กจำนวนมากผุดพรูขึ้นมา พวกมันไต่ขึ้นไปบนลำตัวของจอมเวทชั่วและเริ่มเจาะไชเข้าไปในร่าง กัดกินเนื้อหนังและอวัยวะภายในเขาทั้งเป็น ฮันท์มองร่างที่สั่นกระตุกอย่างสาแก่ใจและเปรยออกมา
“สำหรับชาวเมืองวู้ดแลนด์”
ไม่มีใครรู้ว่าจอมเวทผู้นั้นจะได้ยินหรือไม่ เพราะเขานอนแน่นิ่งไปตั้งแต่คำพูดยังไม่ทันจบประโยค ความรู้สึกของฮันท์ในตอนนี้เหมือนดับเพลิงแห่งความแค้นไปได้อีกหนึ่งกอง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด คิลเลอร์ฟรอสต์ที่เพิ่งแช่แข็งคู่ต่อสู้เสร็จจึงเอ่ยปากถามเกรย์
“เรียบร้อยแล้วหรือ”
“ใช่” หนุ่มมังกรตอบสั้นๆพร้อมกับเรียกไฟขึ้นมาเผาร่างโฉดชั่วทั้งหมดจนมอดไหม้ไม่เหลือแม้เถ้าธุลี “ไลอ้อนจะได้ไม่เหนื่อย”
พูดจบก็เดินไปหาอาเซอร์บัสที่เหมือนกำลังยืนปลอบประโลมสการ์เล็ตในสภาพอาชาเพลิง
“ไง” เกรย์เอ่ยทัก อีกฝ่ายตอบโดยไม่มองหน้า
“นางดีใจที่พวกเราช่วยกำจัดจอมเวทชั่วพวกนั้นให้”
“เรื่องเล็กน้อยน่า” หนุ่มมังกรพูดอย่างอารมณ์ดีพลาเหลือบมองฮันท์ที่กำลังเดินมาสมทบ “อีกอย่างเขาก็ได้ชำระแค้นด้วย”
ประโยคนั้นลอยไปเข้าหูจอมเวทหมี เขาทำเสียงฮึมฮัมในลำคอก่อนตอบ
“ก็แค่ส่วนเดียวเท่านั้น” พูดพลางจ้องอาชาเพลิงเขม็ง “ข้าขอบอกไว้ก่อนว่า คนพวกนี้มีจำนวนไม่น้ย ต่อให้กำจัดกลุ่มนี้เสร็จ ก็จะมีคนใหม่มาสานต่อ เพราะฉะนั้นสการ์เล็ต”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงจัง แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความอบอุ่น “เจ้าจงละจิตจากอาชาเพลิงและยอมให้อาเซอร์บัสประจุมันลงไปในตัวของแคนน่อน เวทของราชาเอ็มโบลเด็นจะได้กลับมาทรงพลังเหมือนอย่างเก่า ไม่ใช่แค่ปกป้องเมืองไมธีร่า แต่เพื่อความปลอดภัยของแคนน่อนและสองพ่อลูกตระกูลวอลล์”
สการ์เล็ตโน้มศีรษะลงเหมือนยอมรับคำแนะนำก่อนหันกลับไปทางอาเซอร์บัส และไซ้ปลายจมูกไปที่ใบหู เขาหยักหน้าช้าๆพลางลูบแผงคอมันอย่างอ่อนโยน เกรย์ยื่นหน้าเข้าไปถามด้วยความอยากรู้
“นางว่าอย่างไร”
“นางยอมแยกจากอาชาเพลิง แต่อยากให้ข้าคงดวงจิตและวิญญาณเอาไว้ เพื่อที่นางจะได้คอยปกป้องดูแลไลอ้อนกับลูซี่”
“เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ พอดึงพลังเวทออกมาแล้ว สการ์เล็ตก็จะเป็นแค่วิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้น และจะแตกสลายไปเมื่อใดก็ได้”
เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อไลอ้อนกับลูซี่เข้ามาใกล้ ทั้งคู่มองอาชาเพลิงกับอาเซอร์บัสสลับกันไปมาอย่างงงัน
“ท่านบอกว่าผนึกเวทลงไปในตัวแคนน่อนตั้งแต่เมื่อคืน แล้วทำไมถึง...”
“ข้าสร้างภาพลวงตาเพื่อหลอกให้จอมเวทพวกนั้นตายใจ” จอมเวทหนุ่มตอบ “ขอโทษที่สร้างเรื่อ
งโกหกทำให้เจ้าสองคนตกใจ”
จอมเวทหนุ่มพูดพลางก้มศีรษะลงน้อยๆป็นเชิงลุแก่โทษ ไลอ้อนรีบโบกมือเป็นพัลวัน
“ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ ถ้าไม่ใช่เพราะเราสองพ่อลูก ป่านนี้พวกท่านคงเดินทางไปจนถึงชายแดนแล้ว”
พูดพลางหันไปมองอาชาเพลิงที่ยืนอยู่ข้างๆแคนน่อนและนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนถาม
“แล้วตอนนี้พวกท่านจะทำอย่างไรต่อไป”
“จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยแล้วออกเดินทางต่อ”
อาเซอร์บัสตอบ ไลอ้อนมองลูกม้าตัวน้อยที่เคลียคลออยู่กับอาชาเพลิง ราวกับรู้ว่านั่นคือแม่ของมัน
“สการ์เล็ตพร้อมแล้วหรือ” เขาถาม จอมเวทหนุ่มส่ายหน้า
“ยัง”
คิ้วของไลอ้อนขมวดคิ้วหากันด้วยความสงสัย
“ทำไมล่ะ ในเมื่อจอมเวทชั่วพวกนั้นถูกจัดการไปจนหมดแล้ว สการ์เล็ตก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไรอีก”
“นางยังห่วงเจ้าทั้งสองคนเหมือนเช่นเดิม จึงขอร้องให้ข้าคงดวงจิตและวิญญาณของมันเอาไว้ในรูปของม้าไฟ” เขาหันไปทางเกรย์ “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องขอให้เจ้าช่วย”
หนุ่มมังกรเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“การผนึกเวทของเอ็มโบลเด็นลงไปในตัวแคนน่อนต้องใช้พลังของจอมเวทสายมืดเท่านั้น ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
“ข้าพูดถึงสการ์เล็ต” อาเซอร์บัสขัดด้วยความรำคาญ เพราะรู้ดีว่าเกรย์เข้าใจในสิ่งที่กำลังพูด แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ทำได้ไหม”
“อะไร”
“ใช้ไฟมังกรของเจ้าสร้างอาชาเพลิงขึ้นมาอีกตัวเพื่อให้เป็นที่สถิตดวงวิญญาณของสการ์เล็ต ถ้ามีทั้งนางและพลังป้องกันจากเวทของเอ็มโบลเด็น สมุนของดรากูลจะบุกเข้ามาในที่แห่งนี้ไม่ได้อีกต่อไป”
เกรย์ยิ้มกริ่มแต่ยังไม่ยอมตอบตกลง มุนดาซึ่งยืนฟังอยู่นานจึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“เจ้าทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ”
“สบายมาก” หนุ่มมังกรตอบทันควันและเปิดรอยยิ้มกว้างเมื่อเห็นหญิงสาวด้วยสายตาชื่นชม
“คิดว่าเวทมังกรไฟเชี่ยวชาญแต่เรื่องทำลายล้างเสียอีก”
“ถ้าเวทไฟทั่วไปก็คงจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า แต่ข้าเป็นร่างสถิตของพลังมังกร จึงเป็นได้ทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย”
เขาพูดด้วยความภาคภูมิ มุนดาส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นก่อนพูดไม่ดังนัก
“ข้าอยากเห็นแล้วสิ”
“ได้เลย” ไม่พูดเปล่าเกรย์ยังหงายมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับร่ายมนต์ด้วยคำพูดที่ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร เมื่อเปลวเพลิงปะทุบนฝ่ามือเขาก็ประกบเข้าด้วยกันและกำแน่น พอไฟเปลี่ยนสีจากแดงเป็นฟ้า เขาก็คลายมือออกปล่อยให้มันลอยอยู่กลางอากาศจากนั้นจึงหันไปทางอาเซอร์บัส
“ตาเจ้าแล้ว”
จอมเวทหนุ่มเหลือบตามองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกทั้งนึกชมและหมั่นไส้ก่อนปักไม้เท้าที่ถือประจำลงบนดิน มือทั้งสองยื่นออกไปหาอาชาเพลิง พอมันเปลี่ยนรูปกลายเป็นดวงไฟ เขาก็ชักมือข้างหนึ่งออก ส่วนอีกข้างรวบกลุ่มเพลิงสีส้มเอาไว้จากนั้นจึงนำไปผนึกที่กลางอกของแคนน่อน และร่ายเวทกำกับซ้ำอีกครั้ง พอดูจนแน่ใจแล้วว่ามันสามารถรับพลังอันแข็งแกร่งของพลังป้องกันด้านมือได้ เขาจึงหันไปทางกลุ่มไฟสีฟ้า อัดกลุ่มควันขาวหม่นที่อยู่ในอุ้งมือลงไป
ผฝึกวิญญาณมังกร บทที่ 22 หมัดแห่งความแค้นกับเหยื่อที่รอดชีวิต
http://ppantip.com/topic/31903801
บทที่ 22 หมัดแห่งความแค้นกับเหยื่อที่รอดชีวิต
“ข้าจะฉีกเนื้อพวกเจ้าเพื่อล้างแค้นให้ชาววู้ดแลนด์”
คำประกาศกร้าวของฮันท์ทำให้จอมเวทชั่วทั้งสองหน้าถอดสี หากเป็นตอนแรก พวกเขาคงไม่หวั่นเกรงเท่าใดนัก เพราะด้วยจำนวนคนที่เหนือกว่า สามารถกำราบจอมเวทร่างหมีผู้นี้ได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเหมือนตอนที่บุกวู้ดแลนด์ แต่ในเวลานี้หัวหน้ารวมทั้งคนในกลุ่มเดียวกันถูกจัดการไปจนหมด หนำซ้ำทั้งคู่ยังถูกจอมเวทเก่งๆอย่างอาเซอร์บัส เกรย์และคิลเลอร์ฟรอสต์ห้อมล้อม หากตุกติกหรือเล่นไม่ซื่อ ทั้งสองจะต้องถูกกำจัดอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่ต้องห่วง พวกเขาไม่ยื่นมือมาวุ่นวายกับเจ้าทั้งคนแน่” ฮันท์พูดราวล่วงรู้ในความคิด จอมเวทผู้ใช้พลังพิษหนอนแมลงจึงฝืนยิ้ม
“จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไร”
“พวกเขาสูงส่งกว่าพวกเจ้า” จอมเวทร่างยักษ์ตอบอย่างดูแคลน สีหน้าเหยียดหยามของเขาทำให้จอมเวททั้งสองบังเกิดความโกรธจนต้องกำหมัดแน่น ยืนตัวสั่น
“อย่าลำพองใจไปนัก ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าเคยพ่ายแพ้พวกเรามาแล้วครั้งหนึ่ง” อีกคนพูด ฮันท์ส่งเสียงคำรามในลำคอ
“ข้าจำได้ดี” อากาศรอบตัวเริ่มเคลื่อนไหวกลายเป็นคลื่นมองคล้ายไอร้อนของแดดกลางทะเลทราย “อย่างไม่มีวันลืม”
มือทั้งสองข้างกำแน่นขณะที่ฮันท์ร่ายเวทเรียกพลังของสัตว์เข้ามาประจุ เงาของหมีตัวใหญ่ไหววูบมาซ้อนทับร่าง ทำให้กายของเขาดูสูงใหญ่มากกว่าเดิมอีกเท่าตัว จอมเวทแห่งพิษรีบร่ายเวทเพื่อตั้งรับ พื้นดินใต้เท้าที่ราบเรียบเกิดอาการสั่นไหวเคลื่อนเป็นลอนดุจคลื่นบนผิวน้ำ พริบตาแมลงจำนวนมากก็ชำแรกดินขึ้นมาและกรูเข้าโจมตีฮันท์ในทันที จอมเวทร่างยั้งจึงเงื้อกำปั้นขึ้นทุบลงไปบนพื้นอย่างแรงก่อให้เกิดพลังทำลายอย่างมหาศาลอัดแมลงทุกตัวจนแหลกเละไม่เหลือรอดสักตัว
พอเห็นเวทของเพื่อนถูกทำลาย จอมเวทอีกคนจึงยื่นแขนออกไปข้างหน้าพร้อมกับกล่าวคำอัญเชิญ เกรย์ซึ่งยืนกอดอกดูอยู่หน้าบ้านของไลอ้อนเลิกคิ้วขึ้น เพราะภาษาที่จอมเวทผู้นั้นใช้เป็นแบบชนิดเดียวกับเบอร์ทิน่า
“เจ้านี่เป็นผู้ใช้ดวงดาว” หนุ่มมังกรพึมพำพลางจ้องเขม็งไปยังตัวร้ายตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ถึงจะเคยเห็นพลังเวทดวงดาวของเบอร์ทิน่ามาแล้ว แต่พลังของยังอ่อนนักหากเทียบกับคนในตอนนี้ เพราะนอกจากจะไม่ใช้เหรียญดวงดาวแล้ว คำอัญเชิญทุกประโยคยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชนิดเขาเองยังขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“จะไหวหรือเปล่าเนี่ย” เกรย์พูดพลางมองฮันท์ด้วยความเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายไม่สนใจเลยสักนิด เพราะพอจอมเวทผ้าคลุมสีเทาวาดแขนเป็นวงเพื่อเรียกเทพแห่งดวงดาวออกมา เขาก็เรียกพลังของสัตว์เข้ามาสถิตในร่างและกระแทกกำปั้นตัวเองดังตูม
“เข้ามาเลย” จอมเวทหมีร้องท้า อีกฝ่ายจึงกางนิ้วมือทั้งห้าพร้อมกับตะโกน
“ทอรัส!”
แสงสีส้มสดสว่างวาบขึ้น ร่างสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นของคนที่มีศีรษะเป็นกระทิงยืนจังก้าตรงหน้าเจ้าของเวท มันกระแทกลมหายใจดังฟืดฟาดพร้อมกับฟาดกระบองเหล็กลงกับพื้นด้วยพละกำลังอันมหาศาลทำให้ดินในบริเวณนั้นยุบตัวลงกลายเป็นหลุมลึก
“บอกลาเพื่อนๆได้เลยเจ้าลูกหมี” คนชั่วกล่าวคำหยันและออกคำสั่ง “ขยี้มันให้เละเลยทอรัส”
คนครึ่งกระทิงเปล่งเสียงคำรามขานรับก่อนเงื้อกระบองในมือขึ้นวิ่งเข้าใส่ฮันท์อย่างดุร้าย มุนดากับซาเบลเรียกชื่อเขาด้วยความเป็นห่วงแต่จอมเวทพลังสัตว์มิได้มีความเกรงกลัวเลยสักนิด เขาตั้งท่ายืนหยัดอย่างมั่นคง มือทั้งสองกำหมัดแน่น พอกระทิงปิศาจเหวี่ยงกระบองลงมาเขาก็เบี่ยงตัวหลบและพุ่งหมัดสวนออกไปกระแทกเข้าที่หน้าท้องอย่างจัง พอมันงอตัวลงก็ถูกกำปั้นเสยเข้าที่ปลายคางและโดนอัดซ้ำอีกครั้งจนหน้าสะบัด ร่างสูงใหญ่เซถอยหลังอย่างสิ้นท่าและยืนโอนเอนไปมาสองสามครั้งก่อนล้มลง พอโดนฮันท์กระแทกด้วยส้นเท้า มันก็แตกสลายหายไป
พอกำจัดเวททรงพลังได้ ฮันท์ก็หันไปจ้องจอมเวทชั่วทั้งสองด้วยดวงตาดุดันดุจสัตว์ป่ากระหายเลือด สร้างความหวาดผวาจนคนเห็นต้องถอยหนีโดยไม่รู้ตัว
“ข้าจำได้ว่าเวทของพวกเจ้าร้ายกาจกว่านี้” เขาพูดเสียงกร้าวคล้ายหมีคำราม “แสดงมันออกมาให้หมด ไม่เช่นนั้นข้าจะขยี้พวกเจ้าให้แหลก”
ได้ยินแบบนั้น จอมเวททั้งสองร่ายเวทพร้อมกันและวาดมือไปข้างหน้าสร้างวงเวทขนาดใหญ่ซ้อนกันถึงสองชั้น มันทอแสงระยิบระยับเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าในคืนเดือนมืด แต่ความงดงามนั้นมิได้ทำให้ฮันท์เผลอไผลเลยสักนิด เขาสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดพร้อมกับร่ายเวทเรียกอำนาจของสัตว์ที่อยู่ใต้ดิน และพวกนักล่าให้เข้ามาสถตในร่าง ส่วนแขนทั้งสองข้างอัดแน่นด้วยอำนาจอันร้ายกาจของหมีซึ่งทั้งแข็งแกร่งและทรงพลัง เมื่อหนึ่งในจอมเวทวาดแขนเป็นวง แผ่นดินใต้เท้าของฮันท์ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหมือนคิดเอาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน เขากางมือออกจิกลงไปในดิน และกระชากออกพร้อมลากตัวอะไรบางอย่างขึ้นมาด้วย
“เจ้าตัวนี้เป็นเวทร้ายกาจที่สุดของพวกเจ้าแล้วหรือ” จอมเวทร่างหมีถามพลางบีบมืออย่างแรง ขยี้สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างผสมระหว่างแมงป่องกับงูจนแหลกเละจากนั้นจึงเหวี่ยงเข้าใส่คนชั่วทั้งสอง “ถึงทีของข้าบ้างล่ะ”
เขาเหวี่ยงกำปั้นที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายไปข้างหน้า ซัดทั้งคู่จนหงายหลัง แต่ฮันท์ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาย่างสามขุมเข้าไปคว้าขยุ้มผมยุ่งเหยิงของจอมเวทแห่งดวงดาว จับหัวกระแทกกับพื้นชนิดไม่ยั้งจนใบหน้าเละไม่มีชิ้นดี พอเห็นอีกฝ่ายแน่นิ่งไปแล้วจอมเวทร่างยักษ์จึงลุกขึ้นและกระแทกส้นเท้าลงบนต้นคอของคนบนพื้นอย่างแรงจนกระดูกหัก จากนั้นจึงก้าวเข้าไปหาจอมเวทแห่งพิษที่กำลังตะเกียกตะกายหนีลนลาน
“กลัวด้วยหรือ” ฮันท์ถามพลางวางเท้าบนกลางหลังและออกแรงกดให้อยู่นิ่ง อีกฝ่ายร้องลั่นพร้อมกับอ้อนวอน
“ได้โปรด”
“ชาววู้ดแลนด์ก็เคยพูดคำนี้เหมือนกัน” ฮันท์พูดเสียงต่ำพร้อมกับก้มตัวลง “จำได้หรือเปล่าว่าเจ้าตอบพวกเขายังไง”
น้ำตาของจอมเวทชั่วไหลพราก กายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
“ข้า....”
“เจ้าไม่พูดอะไรเลยสักคำ แต่กลับให้แมลงชั่วช้าพวกนั้นฉีกร่างพวกเขาทั้งเป็น” พูดพลางคว้าข้อมือข้างหนึ่งและกระชากอย่างแรงจนขาด ตามด้วยแขนอีกข้างโดยไม่สนใจเสียงกรีดร้อง เมื่อจัดการแขนทั้งสองข้างไปเรียบร้อย ฮันท์ก็ถอยไปยืนมองจอมเวทชั่วดิ้นทุรนทุรายอยู่อึดใจ พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มหายใจระรวย เขาก็หงายมือขึ้นและร่ายเวทคำหนึ่งออกมา
“ข้าไม่ให้เจ้าตายง่ายๆหรอก”
ดินรอบตัวคนที่นอนอยู่บนพื้นขยับเคลื่อนไหว พริบตาก็มีแมลงสีดำขนาดเล็กจำนวนมากผุดพรูขึ้นมา พวกมันไต่ขึ้นไปบนลำตัวของจอมเวทชั่วและเริ่มเจาะไชเข้าไปในร่าง กัดกินเนื้อหนังและอวัยวะภายในเขาทั้งเป็น ฮันท์มองร่างที่สั่นกระตุกอย่างสาแก่ใจและเปรยออกมา
“สำหรับชาวเมืองวู้ดแลนด์”
ไม่มีใครรู้ว่าจอมเวทผู้นั้นจะได้ยินหรือไม่ เพราะเขานอนแน่นิ่งไปตั้งแต่คำพูดยังไม่ทันจบประโยค ความรู้สึกของฮันท์ในตอนนี้เหมือนดับเพลิงแห่งความแค้นไปได้อีกหนึ่งกอง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด คิลเลอร์ฟรอสต์ที่เพิ่งแช่แข็งคู่ต่อสู้เสร็จจึงเอ่ยปากถามเกรย์
“เรียบร้อยแล้วหรือ”
“ใช่” หนุ่มมังกรตอบสั้นๆพร้อมกับเรียกไฟขึ้นมาเผาร่างโฉดชั่วทั้งหมดจนมอดไหม้ไม่เหลือแม้เถ้าธุลี “ไลอ้อนจะได้ไม่เหนื่อย”
พูดจบก็เดินไปหาอาเซอร์บัสที่เหมือนกำลังยืนปลอบประโลมสการ์เล็ตในสภาพอาชาเพลิง
“ไง” เกรย์เอ่ยทัก อีกฝ่ายตอบโดยไม่มองหน้า
“นางดีใจที่พวกเราช่วยกำจัดจอมเวทชั่วพวกนั้นให้”
“เรื่องเล็กน้อยน่า” หนุ่มมังกรพูดอย่างอารมณ์ดีพลาเหลือบมองฮันท์ที่กำลังเดินมาสมทบ “อีกอย่างเขาก็ได้ชำระแค้นด้วย”
ประโยคนั้นลอยไปเข้าหูจอมเวทหมี เขาทำเสียงฮึมฮัมในลำคอก่อนตอบ
“ก็แค่ส่วนเดียวเท่านั้น” พูดพลางจ้องอาชาเพลิงเขม็ง “ข้าขอบอกไว้ก่อนว่า คนพวกนี้มีจำนวนไม่น้ย ต่อให้กำจัดกลุ่มนี้เสร็จ ก็จะมีคนใหม่มาสานต่อ เพราะฉะนั้นสการ์เล็ต”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงจัง แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความอบอุ่น “เจ้าจงละจิตจากอาชาเพลิงและยอมให้อาเซอร์บัสประจุมันลงไปในตัวของแคนน่อน เวทของราชาเอ็มโบลเด็นจะได้กลับมาทรงพลังเหมือนอย่างเก่า ไม่ใช่แค่ปกป้องเมืองไมธีร่า แต่เพื่อความปลอดภัยของแคนน่อนและสองพ่อลูกตระกูลวอลล์”
สการ์เล็ตโน้มศีรษะลงเหมือนยอมรับคำแนะนำก่อนหันกลับไปทางอาเซอร์บัส และไซ้ปลายจมูกไปที่ใบหู เขาหยักหน้าช้าๆพลางลูบแผงคอมันอย่างอ่อนโยน เกรย์ยื่นหน้าเข้าไปถามด้วยความอยากรู้
“นางว่าอย่างไร”
“นางยอมแยกจากอาชาเพลิง แต่อยากให้ข้าคงดวงจิตและวิญญาณเอาไว้ เพื่อที่นางจะได้คอยปกป้องดูแลไลอ้อนกับลูซี่”
“เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ พอดึงพลังเวทออกมาแล้ว สการ์เล็ตก็จะเป็นแค่วิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้น และจะแตกสลายไปเมื่อใดก็ได้”
เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อไลอ้อนกับลูซี่เข้ามาใกล้ ทั้งคู่มองอาชาเพลิงกับอาเซอร์บัสสลับกันไปมาอย่างงงัน
“ท่านบอกว่าผนึกเวทลงไปในตัวแคนน่อนตั้งแต่เมื่อคืน แล้วทำไมถึง...”
“ข้าสร้างภาพลวงตาเพื่อหลอกให้จอมเวทพวกนั้นตายใจ” จอมเวทหนุ่มตอบ “ขอโทษที่สร้างเรื่อ
งโกหกทำให้เจ้าสองคนตกใจ”
จอมเวทหนุ่มพูดพลางก้มศีรษะลงน้อยๆป็นเชิงลุแก่โทษ ไลอ้อนรีบโบกมือเป็นพัลวัน
“ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ ถ้าไม่ใช่เพราะเราสองพ่อลูก ป่านนี้พวกท่านคงเดินทางไปจนถึงชายแดนแล้ว”
พูดพลางหันไปมองอาชาเพลิงที่ยืนอยู่ข้างๆแคนน่อนและนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนถาม
“แล้วตอนนี้พวกท่านจะทำอย่างไรต่อไป”
“จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยแล้วออกเดินทางต่อ”
อาเซอร์บัสตอบ ไลอ้อนมองลูกม้าตัวน้อยที่เคลียคลออยู่กับอาชาเพลิง ราวกับรู้ว่านั่นคือแม่ของมัน
“สการ์เล็ตพร้อมแล้วหรือ” เขาถาม จอมเวทหนุ่มส่ายหน้า
“ยัง”
คิ้วของไลอ้อนขมวดคิ้วหากันด้วยความสงสัย
“ทำไมล่ะ ในเมื่อจอมเวทชั่วพวกนั้นถูกจัดการไปจนหมดแล้ว สการ์เล็ตก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไรอีก”
“นางยังห่วงเจ้าทั้งสองคนเหมือนเช่นเดิม จึงขอร้องให้ข้าคงดวงจิตและวิญญาณของมันเอาไว้ในรูปของม้าไฟ” เขาหันไปทางเกรย์ “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องขอให้เจ้าช่วย”
หนุ่มมังกรเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“การผนึกเวทของเอ็มโบลเด็นลงไปในตัวแคนน่อนต้องใช้พลังของจอมเวทสายมืดเท่านั้น ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
“ข้าพูดถึงสการ์เล็ต” อาเซอร์บัสขัดด้วยความรำคาญ เพราะรู้ดีว่าเกรย์เข้าใจในสิ่งที่กำลังพูด แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ทำได้ไหม”
“อะไร”
“ใช้ไฟมังกรของเจ้าสร้างอาชาเพลิงขึ้นมาอีกตัวเพื่อให้เป็นที่สถิตดวงวิญญาณของสการ์เล็ต ถ้ามีทั้งนางและพลังป้องกันจากเวทของเอ็มโบลเด็น สมุนของดรากูลจะบุกเข้ามาในที่แห่งนี้ไม่ได้อีกต่อไป”
เกรย์ยิ้มกริ่มแต่ยังไม่ยอมตอบตกลง มุนดาซึ่งยืนฟังอยู่นานจึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“เจ้าทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ”
“สบายมาก” หนุ่มมังกรตอบทันควันและเปิดรอยยิ้มกว้างเมื่อเห็นหญิงสาวด้วยสายตาชื่นชม
“คิดว่าเวทมังกรไฟเชี่ยวชาญแต่เรื่องทำลายล้างเสียอีก”
“ถ้าเวทไฟทั่วไปก็คงจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า แต่ข้าเป็นร่างสถิตของพลังมังกร จึงเป็นได้ทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย”
เขาพูดด้วยความภาคภูมิ มุนดาส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นก่อนพูดไม่ดังนัก
“ข้าอยากเห็นแล้วสิ”
“ได้เลย” ไม่พูดเปล่าเกรย์ยังหงายมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับร่ายมนต์ด้วยคำพูดที่ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร เมื่อเปลวเพลิงปะทุบนฝ่ามือเขาก็ประกบเข้าด้วยกันและกำแน่น พอไฟเปลี่ยนสีจากแดงเป็นฟ้า เขาก็คลายมือออกปล่อยให้มันลอยอยู่กลางอากาศจากนั้นจึงหันไปทางอาเซอร์บัส
“ตาเจ้าแล้ว”
จอมเวทหนุ่มเหลือบตามองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกทั้งนึกชมและหมั่นไส้ก่อนปักไม้เท้าที่ถือประจำลงบนดิน มือทั้งสองยื่นออกไปหาอาชาเพลิง พอมันเปลี่ยนรูปกลายเป็นดวงไฟ เขาก็ชักมือข้างหนึ่งออก ส่วนอีกข้างรวบกลุ่มเพลิงสีส้มเอาไว้จากนั้นจึงนำไปผนึกที่กลางอกของแคนน่อน และร่ายเวทกำกับซ้ำอีกครั้ง พอดูจนแน่ใจแล้วว่ามันสามารถรับพลังอันแข็งแกร่งของพลังป้องกันด้านมือได้ เขาจึงหันไปทางกลุ่มไฟสีฟ้า อัดกลุ่มควันขาวหม่นที่อยู่ในอุ้งมือลงไป