Diablo Immortal Lore Master -Splintered souls Part III-

-Splintered souls Part III-


นักผจญภัยเดินทางหนีกลับมาถึงบริเวณที่พักของ "Marenna" จนได้พบกับนาง จึงได้พูดคุยกันและนางได้ถามขึ้นเพราะสีหน้าของนักผจญภัยนั้นดูไม่ค่อยดีเลย นักผจญภัยจึงตอบไปว่าค่ายของ "Geoffrey" นั้นถูกโจมตี โดย "Laird Aymer" ได้นำทหารมาจู่โจมด้วยตนเอง หลายคนถูกสังหาร บางคนหนีมาได้ แต่เจฟฟรีย์นั้นหนีมาไม่ทันและไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เมื่อฟังเช่นนั้นมาเรนน่าไม่รอช้า เดินเข้าไปยังกระโจมของนางและกลับมาด้วยชุดพร้อมรบเต็มอัตราศึก รูปลักษณ์เช่นนี้นั้นแน่นอน นางบอกว่านางคือชาว "Barbarian" ที่อาศัยอยู่ที่นี่หลังจากที่บ้านเกิดพังพินาศและได้พบรักกับสามีในที่แห่งนี้ จึงปกปิดตนเองและทุกคนได้คิดว่านางเป็นหมอผู้รักษา เก็บขวานไว้เพื่อไม่ให้ใครหวาดกลัว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาหลบซ่อน นางจะไปรวบรวมผู้คนและฝ่ายต่อต้านและบอกให้นักผจญภัยไปตามหาคนที่เจฟฟรีย์เคยบอกให้ไปช่วยหาไว้ เพื่อจะได้จบการปฏิวัตินี้เสียที นักผจญภัยจึงออกเดินทางไปยัง "Grayward" ในทันทีหลังรับคำ  

เมื่อเดินทางมาถึงที่หมายนักผจญภัยก็ได้ออกตามหาและได้ช่วยเหลือผู้คนที่ถูกเหล่า "Outcast" จับตัวไว้และได้ออกตามหา "Larkey" จนพบเข้าจนได้ และได้บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากช่วยเหลือเจ้าคนขนของเถื่อนนี่ทันที พอทราบเรื่องเขาก็ได้รับปากว่าจะตอบแทนอย่างแน่นอน แต่พอเวลาไปกระจายข่าวเรื่องนี้ก่อน หลังจากนั้นไปเจอกันที่นัดหมาย ที่หน้าประตูเมือง "Staalbreak" จากนั้นคนทั้งคู่ก็ได้แยกกันเดินทางไปยังจุดหมายของตน


มาเรนน่าและกองกำลังต่อต้านและคนจากเผ่าของนางได้มารวมตัวกันในค่ายร้างที่ถูกทิ้งไว้หลังการโจมตี ทุกคนดูเหมือนจะมีหวังขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้เห็นนักผจญภัยเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยและนำข่าวเกี่ยวกับผู้ที่จะช่วยเปิดประตูเมืองกลับมาด้วย มาเรนน่าที่ในตอนนี้ถือว่าเป็นผู้นำในการปฏิวัติแล้วก็ยังมีความไม่มั่นใจ กลัวว่าการทำสงครามครั้งนี้จะนำพาคนทั้งหมดนี้สู้กับคนของตัวเองจนตายกันหมด แต่นักผจญภัยได้บอกว่าให้นึกถึงสิ่งที่เจฟฟรี่ย์ได้ทำและเป้าหมายของเขาไว้ให้ดี อย่ายึดติดกับอดีตและความผิดพลาดที่ยังมาไม่ถึงเด็ดขาด ความมั่นใจของนางจึงกลับมาและได้บอกให้ทุกคนสู้เพื่ออิสระเสรีภาพของคนทุกคน ที่อยู่นอกและในกำแพง ก่อนจะเริ่มเคลื่อนพลไปที่หน้าประตูเมืองทันที


ลาร์กี้ได้ยืนรอทุกคนอยู่หน้าประตูเมือง Staalbreak มาเรนน่าเห็นเช่นนั้นจึงรับรู้ได้ทันที และนำกำลังพลทั้งหมดไปรอหน้าประตูเมือง นักผจญภัยได้ถามถึงเหตุที่หายไป ว่าไปทำอะไรมา ลาร์กี้ตอบว่าเขาไปกระจายข่าวเรื่องราวความจริง จากทั้งในจดหมายและคำพูดของมาเรนน่า จากผู้คนไม่กี่คนก็กลายเป็นหลายสิบ คราวนี้ก็มีคนที่จะร่วมสู้กับกองกำลังต่อต้านและไม่ยอมที่จะเชื่อฟังเอมเมอร์อีกต่อไป และข่าวดีเขายังมีเส้นทางลับเพื่อพานักผจญภัยไปยังจุดที่ไว้สำหรับเปิดประตูเมืองด้วย จากนั้นคนทั้งคู่จึงฝ่าทหารและผ่านรูใต้กำแพงที่มีพุ่มไม้บังไว้ ก่อนจากกันลาร์กี้บอกขอให้นักผจญภัยโชคดีและ "อย่าบอกคนอื่นเชียวล่ะ ว่าข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย นี่ฝีมือข้า นักขนของที่เก่งกาจที่สุดในแดนเหนือ" ลากันเสร็จนักผจญภัยพุ่งไปเปิดประตูเมืองทันที


มาเรนน่าที่เห็นประตูเมืองเปิดก็ได้ส่งสัญญาณให้ทุกคน ทุกเผ่าบุกเข้าไปยังตัวเมืองด้านในและบอกกับทุกคนไว้ว่า "จงมอบความปราณีให้กับผู้ที่วางอาวุธ" และจากนั้นจึงได้กล่าวต่อด้วยว่า "ส่วนพวกที่คิดสู้ก็ส่งพวกมันไปหาบรรพบุรุษซะให้หมด" เสียงโห่ร้องก้องดังกังวาน กองกำลังต่อต้านในตอนนี้ไม่มีอะไรหยุดได้อีกแล้ว

ภายในเมืองเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ผู้คนภายในกำแพงไม่สามารถสู้กับกองกำลังต่อต้านได้เลยและกำลังพ่ายแพ้ลง ส่วนใหญ่ยอมวางอาวุธและไม่มีจิตใจคิดสู้อีกต่อไป ส่วนพวกที่สู้ก็ถูกสังหารดวงวิญญาณกลับไปหาพระเจ้าเป็นที่เรียบร้อย เอมเมอร์ที่กำลังมองความพ่ายแพ้อยู่ก็ได้บอกว่า "เจ้าทำลายตัวเจ้าเอง เจ้าทำลายกำแพงพวกนั้น เจ้าทำลายทุกทุกสิ่ง เจ้าจะต้องถูกลงทันฑ์" มาเรนน่าและนักผจญภัยได้ฝ่ากองทหารมาได้จนหมดสิ้นและรีบรุดตามเอมเมอร์ไปทันที


เมื่อทั้งคู่มาถึงก็ได้พบว่าเจฟฟรีย์นั้นยังมีชีวิตอยู่ แม้จะถูกทรมานแต่เขาก็ยังไม่ตายทั้งยังบอกว่า "เครื่องรางที่เอมเมอร์พกติดตัวไว้ สิ่งนั้นมันทำให้เขาสามารถต้านทานพายุได้ และมันอาจปกป้องเมืองทั้งเมืองได้ด้วย ต้องรีบไปเอามา เพราะตอนนี้เขาเสียเมืองนี้ไปแล้ว สิ่งนั้นไม่จำเป็นสำหรับตัวเขาคนเดียวอีกแล้ว" มาเรนน่าจึงบอกให้นักผจญภัยรีบติดตามไป นางจะรักษาบาดแผลนี้ของสามีและรีบตามไปในทันที


หลังจากเข้ามาในตัวปราสาทก็ได้พบกับประตูกลและหาทางเปิดมันได้ ก็พบเข้ากับเอมเมอร์ที่กำลังนั่งรออยู่ รอบรอบตัวมีซากของเหล่า "Shardborne" เอมเมอร์จึงได้กล่าวว่า "เจ้ารู้ความจริงแล้วสินะ เจ้าได้ยินเสียงนั้นเหมือนข้าใช่ไหม นิมิตรนั้นก็ด้วย พายุนั้นจะพัดผ่านเราทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ที่นี่ก็ตาม และหากพวกเขาทนมันได้ก็จะ....กลายเป็นเหมือนกับพวกนั้น" เมื่อเขาพูดจบ จากนั้นก็เปิดผ้าที่ปิดส่วนล่างของร่างกายไว้ เผยเห็นร่างที่แท้จริงทันที 


เอมเมอร์ได้กลายเป็นปิศาจไปนานแล้ว เขาได้ต่อสู้กับนักผจญภัยและได้บอกว่านี่คือหนทางเดียวที่จะทนต่อพายุนั้นได้และบอกว่าทุกคนต้องเข้าร่วมกับสิ่งนี้ เขาจะปกป้องทุกคนจากมันเอง การต่อสู้ก็เริ่มขึ้นและจบอย่างรวดเร็วด้วยพลังของนักผจญภัยที่มีมากกว่า


เครื่องรางตกแตกเอมเมอร์หวนหามัน และคิดจะเข้าไปจับมันอีกครั้ง ในจังหวะเดียวกับที่มาเรนน่าและเจฟฟรี่ย์บุกเข้ามาถึงทันที มันได้ใช้พลังที่เหลือปลุกเหล่าปิศาจที่อยู่รอบห้องออกมาโจมตีถ่วงเวลาให้ตนเองหนีข้ามมิติไป มาเรนน่าได้บอกให้นักผจญภัยรีบตามไป แต่กลับมาคำพูดส่วนออกมา "ไม่ ครั้งนี้ข้าจะไม่ทิ้งพวกท่านคนไหนอีก" และร่วมกันต่อสู้ช่วยเหลือกันในทันที

คนทั้งหมดในห้องจัดการกับปิศาจจนราบเป็นหน้ากอง มาเรนน่าได้บอกว่าเครื่องรางนั้นไม่ได้ช่วยปกป้องเอมเมอร์ไว้ มันปกปิดสิ่งที่เขาเป็นและทำให้สภาพร่างกายที่เหลือยังคงเป็นมนุษย์ และตอนนี้มันได้แตกสลาย แต่ยังพอมีพลังอยู่บ้าง นางจะใช้มันเพื่อเปิดประตูมิติและมอบพลังจากสิ่งนี้ทั้งหมดให้กับนักผจญภัยเพื่อเดินทางไปจัดการกับเอมเมอร์ให้ได้ นักผจญภัยจึงเข้าประตูมิติตามไปทันที


เมื่อตามมาถึง พบกับเอมเมอร์ที่ในตอนนี้กลายสภาพเป็นปิศาจเต็มตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้ต่อสู้และขัดขวางไม่ให้นักผจญภัยได้เข้าใกล้กับบางสิ่งที่อยู่ด้านหลัง มันก็คือ "El' Druin" ดาบที่นักผจญภัยตามหานั่นเอง มันกำลังเผาไหม้ความชั่วร้ายที่พยายามจะแตะต้องมันรวมทั้งตัวของเมอร์ด้วย การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้ยากกว่าครั้งก่อน เพราะตัวเอมเมอร์สามารถทรงพลังขึ้นได้เรื่อยเรื่อยเมื่อใกล้ตาย แต่ท้ายที่สุดก็ถูกนักผจญภัยสังหารลงได้ในที่สุด

แต่แล้วก็มีภาพนิมิตรบางอย่างเกิดขึ้น นักผจญภัยได้เห็นภาพของ "Verathiel" เทวทูตที่เคยช่วยเหลือตนไว้ในตอนที่อยู่ใน "Realm of Damnation" จากน้ำมือของจอมมาร และผู้ที่กำลังทรมานนางอยู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ "Diablo" ในสภาพของวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ แต่มันยังทรงพลังอำนาจและส่งพลังงานความชั่วร้ายมาเล่นงานนักผจญภัยจนแทบสิ้นสภาพตกอยู่ใต้ความมืด ร่วงหล่นสู่พื้นมืดดำอันว่างเปล่า....


"ไม่ว่าเงามืดจะครอบงำจิตใจเพียงใด จงอย่าได้กลัว" เสียงของ "Tyreal" และแสงสว่างเริ่มฉายลงมา

"ความยุติธรรมอยู่เคียงข้างเจ้า เจ้าได้พิสูจน์ตนแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน"


จากนั้นนักผจญภัยได้ฟื้นสภาพและได้พบกับทีเรียลที่ได้มาช่วยเหลือตนไว้ เขาบอกให้ไปหยิบดาบซะ แต่แล้วเมื่อยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกแปลก เมื่อจะสัมผัสกับดาบกลายเป็นเหมือนถูกเผา จนดาบ "เอล'ดูอิน" ได้เคลื่อนย้ายตนเองไปทีอื่น นักผจญภัยจึงถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทีเรียลจึงได้รู้ความจริงและกล่าวว่า "วิญญาณของเจ้านั้นแปดเปื้อนไปด้วยพลังจากเศษชิ้นส่วนที่แตกสลาย ทุกอนูในตัวเจ้ากำลังต่อต้านความชั่วร้าย เหตุนั้นเอล'ดูอิน จึงไม่ยอมรับเจ้า" หลังจากรับรู้นักผจญภัยก็เข้าใจ ทีเรียลยังบอกอีกว่าความยุติธรรมและความถูกต้องที่ทำนั้นดีแล้ว แต่มันก็มีผลที่ตามมาเช่นกัน เขาได้บอกให้นักผจญภัยกลับไปพักได้แล้ว

เมื่อเดินทางกลับมามาถึงแคมป์นอกเมือง "Staalbreak" ก็ได้พบกับเจฟฟรี่ย์และมาเรนน่า ทั้งคู่ได้กล่าวขอบคุณกับสิ่งที่นักผจญภัยได้ทำ มันช่วยคนเป็นร้อยอาจจะเป็นพันต่อจากนี้ที่รักษาเมืองโดดเดี่ยวแห่งแดนเหนือนี้ไว้ เจฟฟรีย์กล่าวต่อด้วยว่าเขากำลังมีแผนขยายเมือง ให้มีพื้นที่รองรับผู้คนให้ใหญ่จนถึง Grayward และจัดทำสภาปกครองเพื่อดูแลเมืองนี้ต่อไป และจะมีงานเลี้ยงขอบคุณนักผจญภัยด้วย เจฟฟรีย์ยังถามถึงสิ่งที่นักผจญภัยตามหาว่าเจอไหม แต่ก็ได้คำตอบว่าเจอ แต่มันไม่ได้มีประโยชน์สำหรับตนแล้ว ตัวนักผจญภัยนั้นอ่อนล้า ทั้งร่างกายและวิญญาณ มันแหลกสลายและกำลังหมดพลัง เสียงที่เปล่งตอบย้ำชัด "ข้ายินดีกับพวกเจ้า แต่ข้าขอกลับไปพักก่อน" ทุกคนจึงแยกย้าย แต่แล้วก็มีบางอย่างแปลกไป


"เสียงนี้มันจะทำให้เจ้าแข็งแกร่ง เจ้าจะแกร่งขึ้น ตามข้ามา" เสียงและภาพของ "Albrecht" ปรากฏขึ้น


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่