ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 13 พลังเร้นลับของด้านมืด

กระทู้สนทนา
บทที่ 12 เปลือกอสรพิษ
http://ppantip.com/topic/31483799

บทที่ 13 พลังเร้นลับของด้านมืด

ช่วงที่อาเซอร์บัสกำลังไล่เวทอสรพิษออกจากกายอยู่นั้น ทางด้านสนามประลองกรรมการได้แจ้งการประชันเวทคู่สุดท้ายของนัดที่สองซึ่งก็คือกลุ่มเซอร์เพ้นท์กับกลุ่มลูปัส และชื่อของผู้เข้าแข่งในรอบนี้คืออาเซอร์บัส

เนื่องจากจุดที่จอมเวทแห่งไมธีร่ายืนอยู่กับสนามประลองอยู่ห่างกันมาก เขาจึงไม่ได้ยินการประกาศ พอกรรมการเรียกเป็นครั้งที่สองราเชนจึงแจ้นออกไปหา เมื่อเห็นอาเซอร์บัสเขาก็ร้องเรียก

“ไปอยู่ไหนมา กรรมการเรียกเจ้าหลายครั้งแล้วนะ เดี๋ยวก็โดนตัดสิทธิ์หรอก”

เด็กหนุ่มบ่นตามเป็นชุดแต่อาเซอร์บัสไม่สนใจฟังหรือกล่าวตอบโต้อะไรทั้งนั้น นอกจากเร่งเท้าให้ก้าวเร็วขึ้น พอเห็นดังนั้นราเชนจึงออกวิ่งนำหน้าเมื่อไปถึงสนามประลองก็โบกไม้โบกมือให้กับคณะกรรมการพร้อมกับตะโกนลั่น

“มาแล้ว มาแล้ว !”

ทุกคนหันมามองจอมเวทหนุ่มเป็นตาเดียวและจ้องจนกระทั่งเขาเดินไปหยุดยืนกลางสนามประจันหน้ากับคู่ต่อสู้แล้ว ทั้งหมดจึงเริ่มหันไปวิพากษ์วิจารณ์กันเพราะจอมเวทที่พบกับอาเซอร์บัสในรอบนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูแปลกตา คือนุ่งเพียงกางเกงขายาว สวมรองเท้าหนังสัตว์รัดข้อ และมีผ้าสีสดพาดไหล่ไว้หนึ่งผืน ผมสีดำหยิกเป็นลอนยาวประบ่า ใบหน้าผิวกายดูคล้ำกว่าจอมเวททั่วไป ซ้ำยังมีรูปร่างกำยำล่ำสันเหมือนนักรบมากกว่าผู้ใช้เวท ตรงกลางหน้าผากมีแต้มรูปหยดน้ำสีดำ ดวงตาคมเข้มทรงพลัง การยืนก็เป็นไปอย่างสำรวม ไม่วอกแวกหรือแสดงอาการใดออกมา ท่าทางที่เต็มไปด้วยความสุขุมของเขาทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าจอมเวทลึกลับผู้นี้ดูมีฝีมือมากกว่าทุกคนที่สู้กับอาเซอร์บัส บางคนถึงกับคาดหวังว่าอาจได้เห็นเขาถูกโค่น พอเห็นจอมเวทแห่งไมธีร่าก้าวเข้ามาในสนามแล้วกรรมการจึงลุกขึ้นกางแขนเพื่อให้ทุกคนเงียบ จากนั้นจึงกล่าวเสียงดัง  

“ขณะนี้ผู้แข่งขันทั้งสองคนเข้าประจำที่เรียบร้อยแล้ว ขอประกาศให้ทุกท่านได้ทราบอีกครั้งหนึ่งว่า นี่เป็นการประลองคู่สุดท้ายของรอบที่สอง นัดนี้เป็นการประชันฝีมือระหว่าง ชาคราสจากกลุ่มลูปัสกับ อาเซอร์บัสจากกลุ่มเซอร์เพ้นท์ เมื่อทั้งคู่พร้อมแล้ว ให้สู้กันได้เมื่อได้ยินสัญญาณ”

เสียงระฆังเริ่มการแข่งขันดังก้องกังวาน อาเซอร์บัสยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ในขณะที่ชาคราสเองก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน ทั้งคู่ต่างยืนเหมือนหยั่งเชิงของอีกฝ่ายกันอยู่นานจนหลายคนเริ่มหงุดหงิด มีเสียงหนึ่งแว่วออกมา

“มัวรออะไรอยู่ เมื่อไหร่จะสู้กันเสียที”

แรงดันอ่อนๆแผ่ออกจากตัวของอาเซอร์บัส แผ่กระจายเป็นวงคลื่นวิ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้อย่างเงียบงัน มันเป็นพลังโจมตีที่ใช้ประเมินฝีมือคู่ต่อสู้ หากด้อยกว่าก็จะถูกซัดจนตกเวที หรือหากมีเวททัดเทียมกัน ก็โดนกระแทกจนเซไปสองสามก้าว แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะพอคลื่นดังกล่าวเข้าใกล้ร่างของชาคราส มันก็กลายสภาพจากพลังโจมตี เป็นสายลมเอื่อยพัดวนรอบตัวและถูกดูดกลืนเข้าไปในกายของเขา พอเห็นดังนั้นจอมเวทแห่งไมธีร่าจึงเปลี่ยนการจู่โจมจากพลังคลื่นเป็นพลังไฟ เปลวเพลิงสีแดงฉานพุ่งปราดออกไปลุกโหมท่วมตัวของชาคราสหมายเผาให้ดับดิ้น แต่พอเขายื่นมือออกไปข้างหน้า เปลวเพลิงทั้งหมดก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ก่อนหมุนวนเป็นวงล้อและถูกดูดเข้าไปในช่องที่มีรูปลักษณ์เหมือนกงจักรที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า จากนั้นชาคราสจึงยกมือทั้งสองข้างเสมอออก บริเวณลิ้นปี่ก็ปรากฏดวงไฟสีเหลืองสดขึ้น เป็นรูปดอกบัว 10 กลีบ มันเปล่งแสงออกมาวูบหนึ่ง สนามประลองแห่งนั้นก็กลายสภาพเป็นทะเลเพลิง

ความร้อนดุจไฟนรกทำให้ผู้ชมต่างถอยหนี ยกเว้นนักเวทบางคนที่มีพลังกล้าแข็งก็สร้างกำแพงขึ้นมาป้องกัน ราเชนเองก็เช่นเดียวกัน เขารีบหยิบคริสตัลสีฟ้าออกมาจากถุงและสร้างม่านพลังคุ้มครองทั้งเขาและเบอร์ทิน่า แต่เพราะพลังของชาคราสมีอำนาจทำลายแข็งแกร่งหรืออำนาจผลึกที่มีอยู่น้อยเกินไปก็ไม่อาจรู้ได้ ป้องกันได้เพียงชั่วครู่ความร้อนก็ทะลุทะลวงม่านพลังเข้ามา เกรย์จึงรีบกางอาณาเขตให้พร้อมกับพูด

“พลังของบลูอาเกตสู้อำนาจไฟจักระไม่ได้หรอก”

“พลังของอะไรนะ” ราเชนย้อนถามด้วยความสงสัย อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มที่เหมือนเด็กเจอของเล่นถูกใจก่อนตอบ

“จักระ”

“มันคืออะไรเหรอ” เบอร์ทิน่าถามพลางมองอาเซอร์บัสซึ่งบัดนี้ตกอยู่ท่ามกลางเปลวไฟด้วยความเป็นห่วง เพราะนับตั้งแต่เริ่มการประลอง นี่เป็นครั้งแรกที่พลังของเขาไม่สามารถทำอะไรคู่ต่อสู้ได้ แถมยังโดนตีโต้ด้วยเวทไฟที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน เกรย์มองสีหน้ากังวลของเด็กสาวและตอบอย่างรู้ใจ

“ไม่ต้องห่วง ไฟนั่นทำอะไรเขาไม่ได้หรอก” พูดพลางเอนตัวพิงเสาอย่างไม่อนาทรร้อนใจกับทะเลเพลิงตรงหน้า ราเชนจึงขยับเข้าไปใกล้

“แล้วจักระที่เจ้าพูดถึงมันคืออะไร เป็นเวทชนิดไหน”

“มันไม่ใช่เวท มันคือศูนย์รวมของพลังงานภายในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งละเอียดอ่อน ไม่สามารถสัมผัสได้ มนุษย์มีจักระจำนวนมากอยู่ในร่างกาย แต่ที่สำคัญและส่งผลกับการใช้เวทนั้นมีอยู่ด้วยกัน 7 ตำแหน่ง อย่างไฟที่ชาคราสใช้ดึงมากจากจักระมณีปุระ อยู่แถวท้อง แต่อย่าถามว่าตรงไหน เพราะข้าเองก็ไม่รู้ละเอียดถึงขนาดนั้น”

เกรย์หยุดอธิบายและจ้องกองไฟกลางสนามเหมือนคอยดูว่าอาเซอร์บัสจะหาทางออกด้วยวิธีใด แต่ราเชนยังคงซักไม่เลิก

“เจ้าบอกว่ามันเป็นพลังที่อยู่ในตัวของมนุษย์ แสดงว่าทุกคนสามารถใช้จักระที่ว่านี้ได้สิ”

หนุ่มมังกรส่ายหน้า

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกราเชน ต่อให้มีก็ใช่ว่าทุกคนจะดึงจักระออกมาใช้ได้ มันก็เหมือนกับการเรียนเวทมนตร์ที่ต้องผ่านการฝึกฝน ศึกษาวิธีใช้จนช่ำชอง ยิ่งถ้านำมารวมกับการร่ายเวทด้วยแล้ว เจ้าต้องมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ อย่างไฟจากมณีปุระที่ข้าพูดถึงก็ไม่ได้เกิดจากการร่ายมนตร์ธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานระหว่างเวท กับพลังจากจักระในตำแหน่งมณีปุระ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไฟ ยิ่งผู้ใช้มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้ามากเท่าใด พลังไฟก็มีความเข้มแข็งมากขึ้นตามไปด้วย จะกำราบไฟแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องต้องอาศัยการร่ายเวทขั้นสูงเข้าต้าน และใช้พลังจิตในระดับเดียวกันสยบ”

มังกรหนุ่มอธิบายทั้งที่ยังคงจ้องทะเลเพลิงไม่วางตา พอเห็นมันหมุนวนไปในทิศทางเดียวกันก่อนถูกดูดหายไปในช่องว่างสีดำที่ปรากฏเหนือสนามประลองแล้ว เขาก็ยิ้มออกมา

“ดูเหมือนเขาจะจัดการกับมันได้”

ไม่ต้องบอกราเชนก็รู้ดีว่า ‘เขา’ ที่เกรย์พูดถึงคืออาเซอร์บัส ซึ่งพอจัดการกับไฟกองนั้นได้เขาก็ร่ายเวทเรียกลูกธนูขนาดยักษ์สีดำออกมาและส่งมันไปหาชาคราสทันที เหมือนอีกฝ่ายจะเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้วเพราะเขาประกบมือทั้งสองไว้บนอก พออาวุธของขอมเวทแห่งไมธีร่าพุ่งเข้ามาใกล้เขาก็หงายมือทั้งสองข้างออกสร้างช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นมา ตรงใจกลางมีดอกบัวสีเขียวขนาดใหญ่หมุนด้วยความเร็วคล้ายกงจักร ส่งคลื่นออกมาดึงธนูทุกดอกหายวับเข้าไปในใจกลางวังวน

“อนาหตะ”เกรย์พูดอย่างตื่นเต้น “จอมเวทระดับสูงเท่านั้นถึงเรียกจักระชนิดนี้ออกมาได้ เจ้าชาคราสนี่ไม่ใช่ย่อยเลยแฮะ”

ขณะที่หนุ่มมังกรสนุกไปกับเวทประหลาดของจอมเวทนามชาคราส อาเซอร์บัสกลับเริ่มตกอยู่ในความกังวล เพราะสภาพร่างกายที่อ่อนแออันเกิดจากการใช้เวทโบราณกำจัดพิษของ
นากินีออกจากร่างทำให้เขาไม่สามารถใช้เวทได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเวทที่มีพลังทำลายรุนแรงอย่างไฟหรือสายฟ้าดำซึ่งต้องใช้ทั้งพลังกายสมบูรณ์พร้อม เมื่อไม่อาจใช้พลังสองชนิดนี้ได้ตอนแรกจอมเวทหนุ่มจึงเปลี่ยนวิธีการโจมตีเป็นดึงอณูวิญญาณในอากาศให้มารวมตัวกันและสร้างคลื่นทำลายกระแทกคู่ต่อสู้ให้หมดสติ แต่กลับถูกทำลายด้วยมูลธารจักระของชาคราส แถมยังโดนตีโต้ด้วยเพลิงมณีปุระ ซึ่งต้องใช้เวทขั้นสูงในการต้าน นั่นยิ่งทำให้เขาอ่อนกำลังลง พลังเวทอันแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ทำให้เอาเซอร์บัสแทบมองไม่เห็นหนทางชนะในครั้งนี้เลย

    “ยอมแพ้ตอนนี้ยังทันนะ” เสียงทุ้มเนิบของชาคราสกล่าวขึ้นมา ทำให้ผู้ชมรอบสนามยืนมองอย่างตื่นตะลึง เพราะเท่าที่เห็น จอมเวทแห่งไมธีร่าทั้งตอบรับและโต้กลับได้อย่างสบาย ไม่มีวี่แววว่าทั้งคู่จะได้บาดเจ็บหรือเพลี่ยงพล้ำเลยแม้แต่น้อย  

    “ไม่” อาเซอร์บัสพูดเสียงแทบไม่หลุดจากปาก ชาคราสถอนใจยาวและมองอีกฝ่ายอย่างสมเพช

    “ชีวิตของเจ้ามีค่ามากมายกว่าทองคำพวกนั้น”

    “เจ้าเองก็เช่นกัน” จอมเวทหนุ่มกล่าวเสียงห้วน อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อยและส่ายหน้าช้าๆ

    “ข้าไม่สนใจของพรรค์นั้น” ชาคราสพูดด้วยใบหน้านิ่ง อาเซอร์บัสยิ้มมุมปากเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินเท่าใด

    “ถ้าไม่สนแล้วเจ้าสมัครเข้ามาทำไม”

    ชาคราสไม่ตอบแต่กลับหมุนแขนเป็นวงก่อนประกบมือไว้กลางอกจากนั้นจึงหลับตาลง และร่ายเวทรัวเร็วในภาษาที่อาเซอร์บัสไม่เคยได้ยินมาก่อน น้ำเสียงต่ำทุ้มดุจเสียงแตรเขาสัตว์อันทรงพลังทำให้อากาศรอบตัวมีความหนาแน่นเพิ่มมากขึ้น จนทำให้จอมเวทหนุ่มรู้สึกเหมือนจมอยู่ใต้น้ำ แรงกดดันมหาศาลบีบอัดจนเขาหายใจแทบไม่ได้ แม้ร่ายเวทขึ้นมาต้านก็ไม่เป็นผล ถึงอย่างนั้นอาเซอร์บัสก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจใช้วิธีสุดท้ายคือดึงอำนาจของเนบิวล่าสโตน ผลึกสีดำบนยอดไม้เท้าออกมาแต่ยังไม่ทันลงมือ จอมเวทหนุ่มต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าแผ่ออกมาจากตัวของชาคราส ลำพังแสงยังไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ และเขาแทบไม่เชื่อสายตาเลยว่าจะเห็นคือ แต้มรูปหยดน้ำสีดำกลางหน้าผากของชาคราสซึ่งบัดนี้ปริออกจากกัน กลายเป็นดวงตาที่สามซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่ากลัว

    “แย่แล้ว” เกรย์อุทานและลุกพรวดขึ้น “อย่าจ้องมันเป็นอันขาดอาเซอร์บัส !”

    อาเซอร์บัสได้ยินคำเตือนแต่ก็สายเกินไป เพียงครั้งแรกที่มองเขาก็ไม่อาจละสายตาไปจากเนตรดวงนั้นได้ อำนาจบางอย่างที่ถูกปล่อยออกมาตรึงกายของจอมเวทหนุ่มให้ยืนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวหรือแม้แต่กะพริบตา สิ่งที่สร้างความอัศจรรย์กว่านั้นก็คือ แสงสีขาวในตอนแรกนั้น มิได้เปล่งออกมาจากตัวของชาคราส แต่มาจากนัยน์ตากลางหน้าผากของเขานั่นเอง ความเจิดจ้าเพิ่มทวีคูณมากขึ้นทุกทีและเริ่มโอบล้อมตัวเขาเอาไว้ ทำให้ดวงตาพร่าเลือนจนมองไม่เห็นอะไรอีกเลย  

เมื่อรู้ตัวอีกที อาเซอร์บัสจึงพบว่าสนามประลองอันตรธานไปแล้ว และตัวเขาเองในตอนนี้กำลังยืนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีแต่แสงสว่างขาวโพลน รอบตัวไม่มีผนัง พื้น เพดานหรือท้องฟ้า ไม่มีผู้คนหรือเสียงตะโกนโห่ร้อง ทุกอย่างเงียบสงบ เหมือนอยู่ในโลกของมิติมายา

พอคิดได้เช่นนั้นจอมเวทหนุ่มจึงกระชับไม้เท้าแน่นเริ่มร่ายเวท แค่เอ่ยออกมาเพียงคำเดียว เท่านั้น แสงสีทองก็สว่างวาบขึ้น กระแทกตัวเขาจนเซ กระนั้นอาเซอร์บัสก็ยังไม่ยอมหยุด เขาพยายามรวบรวมกำลังร่ายเวทอีกครั้ง แสงสีทองก็ฉายวาบลงมาอีก แต่เพิ่มความร้อนและความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมจนทำให้จอมเวทหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเข่า เขากล้ำกลืนความเจ็บปวดฝืนกายยืนขึ้นและเหยียดริมฝีปากยิ้มอย่างสมใจ แม้ต้องเจ็บตัวถึงสองครั้งแต่ก็ทำให้เขารู้แล้วว่า แสงนั่นคือสิ่งใด  

เมื่อแสงสว่างจากเนตรที่สามดับลง ผู้ชมต่างส่งเสียงกันอื้ออึงเมื่อพบว่าในสนามเหลือแค่ชาคราสยืนอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีร่องรอยของอาเซอร์บัสที่เคยยืนอยู่บนนั้น เหมือนเขาถูกแสงสีขาวนั่นทำลายจนไม่เหลือซาก เหล่าจอมเวทต่างวิพากษ์วิจารณ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าจอมเวทแห่งไมธีร่าซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพลังแกร่งกล้าและเก่งกาจมากที่สุดจะมาพ่ายแพ้ต่อจอมเวทนิรนาม กับวิชาประหลาดที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่