บทที่ 13 พลังเร้นลับของด้านมืด
http://ppantip.com/topic/31501742
บทที่ 14 พลังสะท้อนของกระจกเงา
เสียงโห่ร้องของคนดูดังสนั่นขึ้นทันทีเมื่อราเชนก้าวเข้าไปในสนามประลอง เพราะพอยืนประจันหน้ากับคู่ต่อสู้แล้วเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ฟร็อกแมนมีร่างกายใหญ่โตราวกับยักษ์ปักหลั่น ถึงจะค่อนไปทางท้วมสักเล็กน้อยก็เถอะ แขนแต่ละข้างอวบล่ำมีขนาดพอๆกับตัวของราเชนเลยทีเดียว ผู้ชมส่วนใหญ่ร้องเตือนให้เด็กหนุ่มยอมแพ้แต่โดยดี ส่วนคนที่เคยเห็นเขาใช้เวทผลึกซัดจนฟร็อกแมนหงายท้องมาแล้วกลับไม่คิดเช่นนั้น บางคนป้องปากตะโกนบอกให้ราเชนอัดจอมเวทขี้โวยวายให้น่วมเนื่องจากหมั่นไส้มานานแล้ว
พอยืนอยูบนสนามประลอง ราเชนกลับดูสุขุมกว่าตอนอยู่ข้างนอกมาก อย่างหนึ่งก็คือเขารู้พลังเวทของเจ้าฟร็อกแมนจอมโวคนนี้ดีและคิดว่ากำราบได้ไม่ยาก อีกประการหนึ่งก็คือ นี่เป็นรอบตัดสิน ถ้าเขาไม่ประมาทและชนะ ก็จะเป็นหนึ่งในสิบของคณะเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงิน เมื่อเสียงระฆังเริ่มการแข่งขันดังขึ้น ราเชนจึงเพ่งจิตดึงพลังของผลึกจากหินที่อยู่ในบริเวณนั้นออกมา แต่ยังช้ากว่าฟร็อกแมน เพราะทันทีที่เสียงระฆังดังเขาก็ร่ายเวทสร้างแส้จากน้ำฟาดเด็กหนุ่มจนล้มกลิ้ง เท่านั้นยังไม่พอ นักเวทจอมโวยยังอ้าปากกว้างพ่นน้ำลายเหนียวหนืดออกมา ราเชนร้องลั่นและเบี่ยงตัวหลบ จึงพบว่าของเหลวนั้นดึงดินทรายให้รวมตัวกันเป็นก้อน ก่อนเปลี่ยนสภาพไปเป็นโคลน
“เวทอะไรกันเนี่ย” เด็กหนุ่มร้องเชิงอุทานมากกว่าเป็นการถาม เกรย์ซึ่งยืนกอดอกดูอย่างสบายใจป้องปากตะโกนบอก
“กบ”
พอได้ยินแบบนั้น เด็กหนุ่มก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว “น่าขยะแขยงเป็นบ้า” บ่นพลางกลิ้งตัวหลบเมือกเป็นพัลวัน จนหล่นตูมลงไปในบ่อน้ำที่ถูกฟร็อกแมนสร้างขึ้นมาตอนไหนไม่รู้
“บ่อนี่มาจากไหน !” เด็กหนุ่มร้องลั่นเมื่อโผล่พรวดขึ้นมาหายใจและตะกายขึ้นจากบ่อแต่ฟร้อกแมนซึ่งเดินเข้ามาใกล้ใช้เท้าถีบเขาจนหงายหลังลงไปอีกครั้ง
“อย่างเพิ่งขึ้นมาไอ้หนู” พูดพลางโปรยเม็ดสีดำเล็กๆตามลงไปพร้อมกับร่ายเวท เจ้าลูกกลมๆทั้งหมดเริ่มมีดวงตางอกออกมา ตามด้วยปาก และหาง พอเป็นรูปเป็นร่างอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ฟร็อกแมนก็ฉีกยิ้ม “เอ้า ! จัดการกับอาหารของพวกเจ้าซะ”
ตัวประหลาดไม่ใหญ่ไปกว่าเม็ดอัลมอนด์ว่ายรี่เข้าไปหาราเชนทันที เขาจึงเห็นว่ามันเป็นลูกอ๊อด แต่พอตัวแรกอ้าปากงับต้นแขนกัดเนื้อจนแหว่งเท่านั้น เด็กหนุ่มจึงสำนึกได้ว่าเขากำลังเป็นอาหารอันโอชะของลูกกบพันธ์สยอง ราเชนทั้งเตะทั้งถีบเป็นพัลวันพร้อมกับเกาะขอบบ่อเพื่อปีนหนี แต่ก็โดนฟร็อกแมนถีบกลับลงไปทุกครั้ง ไม่นานเด็กหนุ่มก็โดนแทะจนเป็นแผลเหวอะหวะทั่วตัว
“ราเชน !” เบอร์ทิน่าร้องเรียกด้วยความเป็นห่วงพลางดึงเหรียญดวงดาวออกมาหมายช่วยแตอาเซอร์บัสคว้าข้อมือนางเอาไว้พร้อมกับห้าม
“อย่าทำแบบนั้นเป็นอันขาด”
“แต่ราเชนกำลังจะตาย” เด็กสาวเถียง จอมเวทแห่งไมธีร่าส่ายหน้า
“ตัวแสบอย่างเจ้านั่นไม่เสร็จใครง่ายๆหรอก”
เบอร์ทิน่าขยับจะเถียงแต่พอเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของอาเซอร์บัสจึงยอมลดแขนลงและเก็บเหรียญกลับเข้าซอง กระนั้นก็ยังอดถามย้ำด้วยความเป็นกังวลไม่ได้
“แน่ใจหรือ”
“ข้ามั่นใจ” จอมเวทหนุ่มตอบพลางคลายมือและหมุนตัวหันไปที่ลานประลองอีกครั้ง ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ความจริงแล้วเขาอดเป็นห่วงราเชนไม่ได้ แม้เวทของฟร็อกแมนจะมีพลังไม่ถึงครึ่งของอำนาจผลึกแต่ความเจ้าเล่ห์นั้นมีมากกว่า ครั้งแรกที่เห็นเจ้าจอมเวทขี้โอ่นั่นสร้างบ่อน้ำ อาเซอร์บัสก็พอจะเดาออกว่าเป็นการตัดกำลังอย่างหนึ่งซึ่งแก้ไขได้ไม่ยาก แต่นึกไม่ถึงว่าฟร็อกแมนจะเล่นวิธีสกปรกด้วยการโปรยไข่กบยักษ์ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อตามลงไป ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าหากทำแบบนั้น จอมเวทอ่อนหัดอย่างราเชนไม่มีทางคิดหาหนทางตอบโต้หรือป้องกันตัวเองได้ทันอย่างแน่นอน เพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่ม อาเซอร์บัสจึงเตรียมร่ายมนตร์เพื่อส่งพลังเข้าไปกำจัดลูกกบปิศาจ ยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยอักขระ เกรย์ซึ่งนั่งเหยียดขาดูอย่างสบายอกสบายใจก็เอื้อมมือมายึดผ้าคลุมเขาเอาไว้พร้อมกับเปรยเบาๆ
“เจ้านั่นไม่มีทางแพ้หรอก”
อาเซอร์บัสมองหนุ่มมังกรด้วยหางตาและยอมหยุดร่ายเวท แต่พอเห็นราเชนหยุดดิ้นรนและยอมปล่อยให้ตัวเองจมหายลงไปในบ่อเหลือเพียงฟองน้ำเล็กๆผุดพรายขึ้นมา เขาก็กำไม้เท้าแน่นและเตรียมร่ายเวทแต่ต้องหยุดอีกครั้งเมื่อสัมผัสถึงพลังบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากสนามประลอง
“เริ่มแล้ว”
เกรย์พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและมองฟร็อกแมนที่กำลังเต้นแร้งเต้นกาด้วยความดีใจด้วยแววตาหยามหยัน เพราะพริบตานั้นเองพื้นดินทั้งหมดก็เกิดอาการสั่นสะเทือนจนน้ำกระฉอกออกมาจากบ่อ ทุกคนที่ยืนโดยรอบต่างอุทานด้วยความตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น”
พวกเขาต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กระทั่งบางคนชี้มือไปที่สนามพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“ดูนั่นสิ !”
ทั้งหมดจึงหันไปมองพร้อมกันและอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างของราเชนค่อยๆโผล่จากน้ำลอยขึ้นไปในอากาศ โดยมีเจ้าลูกกบปิศาจที่ถูกครอบด้วยแสงสีฟ้าอ่อนทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสลอยวนอยู่โดยรอบ เมื่อปลายเท้าพ้นจากผิวน้ำ เด็กหนุ่มก็กระแทกฝ่ามือทั้งสองลงมายังด้านล่าง น้ำในบ่อก็แห้งเหือดอย่างรวดเร็วเหมือนถูกสูบ ในขณะเดียวกัน พื้นดินด้านล่างก็ดันตัวเองขึ้นจนมีระดับเดียวกับพื้นสนามด้านบน
เมื่อกลบบ่อน้ำมรณะได้แล้ว ร่างของราเชนก็กลับลงมายืนบนพื้น ส่วนบรรดาลูกอ๊อดสยองขวัญยังคงลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ดวงตาที่ปูดโปนของฟร็อกแมนเบิกกว้างมากขึ้นจนแทบถลนออกมานอกเบ้าด้วยความฉงนอย่างที่สุด
“เป็นไปไม่ได้” เขามองแสงสี่เหลี่ยมที่ครอบบริวารน้อยของตัวเองเอาไว้ “เจ้าใช้เวทแบบไหนกันเนี่ย”
“ไม่ใช่เวท แต่เป็นพลังของผลึก” ราเชนตอบพร้อมกับดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ก้อนแสงทั้งหมดก็หดเล็กลง บีบอัดลูกกบปิศาจจนบี้แบนและแตกสลายหายไป พอเห็นดังนั้นฟร็อกแมนถึงกับตะโกนลั่นด้วยความโกรธ
“เจ้าเด็กบ้า กล้าดียังไงถึงทำแบบนี้”
ราเชนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาชิงชังพลางยื่นแขนข้างที่สวมกำไลมาลาไคท์ไปข้างหน้า และพึมพำมนตราที่ผุดขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ท่าทางของเขาทำให้ฟร็อกแมนขยับถอยหลังอย่างหวาดระแวง และเริ่มร่ายเวทตั้งรับแต่ก็ทำได้เพียงอ้าปากค้างเมื่อเห็นแผ่นดินตรงหน้าของเด็กหนุ่มนูนขึ้นและเคลื่อนที่ดุจระลอกคลื่นวิ่งตรงไปที่เขา เมื่ออยู่ในระยะห่างราวหนึ่งศอกมันก็ยุบตัวลง แต่พื้นดินใต้เท้ากลับพ่นก้อนกรวดจำนวนมหาศาลขึ้นมาแทน ฟร็อกแมนร้องลั่นด้วยความรู้สึกทั้งหวาดกลัวและเจ็บปวดพร้อมกับใช้มือปัดเป็นพัลวัน ความตระหนกในสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาลืมเวทไปจนหมดสิ้นและพยายามวิ่งออกจากสนามท่าเดียว
“ไม่ให้หนีไปไหนหรอก” ราเชนพูดพร้อมกับหมุนข้อมือ กรวดทั้งหมดพุ่งพรูเข้าห่อหุ้มร่างกายของฟร็อกแมนจนกลายเป็นตุ๊กตาหิน ยืนแข็งทื่ออยู่กลางสนาม มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังคงกลิ้งกลอกไปมาอย่างหวาดกลัว พอจัดการคู่ต่อสู้สำเร็จแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินกะโผลกกะเผลกออกจากสนามโดยไม่รอฟังเสียงขานชื่อจากกรรมการ
บาดแผลทั่วร่างทำให้ราเชนเจ็บปวดเจียนขาดใจ แต่พอเห็นเบอร์ทินาซึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหา เขากลับส่งยิ้มกว้างพร้อมกับกล่าวอย่างร่าเริง
“ข้าชนะแล้ว ลิงคซ”
“ยังจะมาทำพูดดีอีก” เด็กสาวต่อว่าด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับถลาเข้าไปประคอง แต่เด็กหนุ่มกลับขืนตัวเอาไว้และส่ายหน้า
“ข้าไม่เป็นไร”
“แต่เจ้าบาดเจ็บ” เบอร์ทิน่าพูดพลางมองสภาพร่างกายของสหายรักที่อยู่ในลักษณะโทรมสุดขีดด้วยความเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายกลับส่งยิ้มให้
“แผลแค่นี้เอง”
“แค่นี้ที่ไหน” เบอร์ทิน่าแย้งพลางมองรอยกัดที่กระจายอยู่ทั่วตัว บางแห่งถูกกัดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดไหลโกรกราวกับน้ำ “เจ้าเจ็บมาก”
“ไม่เจ็บเลยสักนิด” ราเชนพูดพลางตบแผลเหล่านั้นด้วยกำปั้นและกัดฟันแน่นเมื่อความเจ็บแปลบวิ่งพล่านไปทั่วร่าง เบอร์ทิน่าซึ่งเห็นอาการนั้นมุ่นคิ้วและเม้มปากอย่างขัดใจ
“ยังมาทำเป็นปากดีอีก” นางคว้าแขนเด็กหนุ่มลากให้เดินไปด้วยกัน “ไปทำแผลเร็ว”
เมื่อถึงจุดที่พวกตนเองนั่งเป็นประจำ เด็กสาวก็ดันให้ราเชนนั่งลงจากนั้นจึงดึงเหรียญออกมาร่ายเวทอัญเชิญพลังรักษา แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนกับตอนที่นางรักษาให้มุนดา เพราะไม่ว่าจะทุ่มเทพลังมากเท่าใด บาดแผลเหล่านั้นก็ไม่ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย กระนั้นเบอร์ทิน่าก็ยังไม่ยอมแพ้ นางเค้นพลังกายและใจทั้งหมดในการกล่าวคำอัญเชิญเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับเหรียญดวงดาว พอเห็นเด็กสาวทุ่มสุดตัวอาเซอร์บัสจึงแตะไหล่นางพร้อมกับห้าม
“พอแค่นี้ดีกว่า”
“ไม่ !” เบอร์ทิน่าปฏิเสธและสะบัดออกแต่อีกฝ่ายกลับยึดแน่น
“เจ้าต้องหยุด ไม่อย่างนั้นแล้วจะเสียพลังไปโดยเปล่าประโยชน์”
คำเตือนของจอมเวทหนุ่มทำให้เด็กสาวฉุนขึ้นมาในทันที นางหันไปจ้องเขาด้วยดวงตาวาววับเพราะความโกรธ
“เจ้ากำลังจะบอกว่า การช่วยเพื่อนเป็นเรื่องไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ”
“ข้าบอกว่าเจ้าจะเสียพลังไปโดยเปล่าประโยชน์ต่างหาก” อาเซอร์บัสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางดึงนางให้ถอยห่างจากราเชน แต่เด็กสาวกลับฝืนตัวอย่างดื้อดึงและเตรียมเถียงแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเกรย์เอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ทำตามที่เขาบอกดีกว่า เจ้าหญิง”
เบอร์ทิน่ากระแทกลมหายใจอย่างขุ่นเคืองและยืนนิ่งไม่ยอมขยับ หนุ่มมังกรจึงลุกจากเก้าอี้และยื่นแขนไปโอบรอบเอวนางเอาไว้พร้อมกับออกแรงลากให้ถอยออกมา พอเด็กสาวสะบัดตัวและทำท่าจะโวยเขาก็จุ๊ปากเป็นเชิงห้ามและชี้ไปที่อาเซอร์บัส
“ใจเย็นๆ แล้วดูให้ดี”
การกระทำอันจาบจ้วงของเกรย์ทำให้เบอร์ทิน่าโกรธจนอยากจะใช้กำปั้นเสยปลายคางให้หน้าหงาย แต่น้ำเสียงกับแววตาจริงจังแต่แฝงความอยากรู้อยากเห็นของเขาขณะมองตรงไปยัง
อาเซอร์บัสทำให้เด็กสาวละความคิดดังกล่าวและมองตาม ภาพที่เห็นทำให้นางยืนตะลึงงันอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
ไม่ใช่เบอร์ทิน่าเท่านั้นที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ราเชนเองก็เช่นกัน ตอนแรกเขาคิดจะลุกเดินหนีเพราะไม่อยากให้คนอื่นต้องมาพลอยวุ่นวายแต่กลับถูกอาเซอร์บัสผลักให้นั่งลง จากนั้นทั้งร่างก็เกิดอาการแข็งเกร็งจนไม่สามารถขยับได้ เมื่อเหลือกตาขึ้นมองจอมเวทแห่งไมธีร่าเด็กหนุ่มก็ใจหายวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะใบหน้าขาวซีดที่เฉยชาสงบนิ่งอยู่เป็นนิจแปรเปลี่ยนเป็นดวงหน้าเผือดขาวโพลนน่าสยดสยองดุจหุ่นขี้ผึ้ง สร้างความรู้สึกหลากหลายที่แม้ราเชนเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า มันเป็นความรู้สึกใดกันแน่ ระหว่างความอบอุ่น ห่วงใยหรือเย็นชา อำมหิต นับเป็นครั้งแรกที่เขาหวาดกลัวอาเซอร์บัสจนอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นแต่อำนาจประหลาดที่ตรึงร่างเอาไว้ทำให้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งตัวแข็งมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่จ้องประสานตากับจอมเวทแห่งไมธีร่า พอเห็นเขาขยับไม้เท้าราเชนก็สะดุ้งเฮือกสุดตัว ความเจ็บปวดทั่วสารพางค์กายเมื่อครู่มลายหายไปจนสิ้น คำถามเดียวที่วิ่งอยู่ในหัวคือ จอมเวทแห่งความมืดผู้นี้กำลังจะทำอะไร
“นั่งนิ่งๆ”
เสียงต่ำทุ้มหลุดออกมาจากปากที่แทบจะไม่เผยอเลยสักนิด ดวงตาวาววับเหมือนนึกรู้ว่าราเชนกำลังตะเบ็งเสียงเถียงอยู่ในใจว่า ตอนนี้เขาเองก็กระดิกกระเดี้ยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งเห็นอาเซอร์บัสทำปากขมุบขมิบพร้อมกับกระชับไม้เท้าในมือก่อนเลื่อนเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มก็ยิ่งหวาดกลัวจนอยากตะโกนร้องให้ดังลั่นไปทั้งสนามประลอง แต่ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อไอเย็นที่ครอบคลุมทั่วร่างกายเมื่อครู่กลับกลายเป็นความอบอุ่น ซ้ำยังมีกลิ่นหอมอันแสนสะอาดบริสุทธิ์เหมือนอากาศยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย
ความแปลกประหลาดมิได้มีเพียงแค่นั้น เพราะคริสตัลบนยอดไม้เท้าซึ่งเคยเป็นสีดำสนิทกลับเปล่งแสงสีเขียวสว่างเรืองรอง พริบตามันก็แผ่ขยายออกมาปกคลุมไปทั่วกายสร้างความอบอุ่นและสุขสบายให้กับราเชนอย่างเหลือล้นจนเขาลืมความเจ็บปวดทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 14 พลังสะท้อนของกระจกเงา
http://ppantip.com/topic/31501742
บทที่ 14 พลังสะท้อนของกระจกเงา
เสียงโห่ร้องของคนดูดังสนั่นขึ้นทันทีเมื่อราเชนก้าวเข้าไปในสนามประลอง เพราะพอยืนประจันหน้ากับคู่ต่อสู้แล้วเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ฟร็อกแมนมีร่างกายใหญ่โตราวกับยักษ์ปักหลั่น ถึงจะค่อนไปทางท้วมสักเล็กน้อยก็เถอะ แขนแต่ละข้างอวบล่ำมีขนาดพอๆกับตัวของราเชนเลยทีเดียว ผู้ชมส่วนใหญ่ร้องเตือนให้เด็กหนุ่มยอมแพ้แต่โดยดี ส่วนคนที่เคยเห็นเขาใช้เวทผลึกซัดจนฟร็อกแมนหงายท้องมาแล้วกลับไม่คิดเช่นนั้น บางคนป้องปากตะโกนบอกให้ราเชนอัดจอมเวทขี้โวยวายให้น่วมเนื่องจากหมั่นไส้มานานแล้ว
พอยืนอยูบนสนามประลอง ราเชนกลับดูสุขุมกว่าตอนอยู่ข้างนอกมาก อย่างหนึ่งก็คือเขารู้พลังเวทของเจ้าฟร็อกแมนจอมโวคนนี้ดีและคิดว่ากำราบได้ไม่ยาก อีกประการหนึ่งก็คือ นี่เป็นรอบตัดสิน ถ้าเขาไม่ประมาทและชนะ ก็จะเป็นหนึ่งในสิบของคณะเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงิน เมื่อเสียงระฆังเริ่มการแข่งขันดังขึ้น ราเชนจึงเพ่งจิตดึงพลังของผลึกจากหินที่อยู่ในบริเวณนั้นออกมา แต่ยังช้ากว่าฟร็อกแมน เพราะทันทีที่เสียงระฆังดังเขาก็ร่ายเวทสร้างแส้จากน้ำฟาดเด็กหนุ่มจนล้มกลิ้ง เท่านั้นยังไม่พอ นักเวทจอมโวยยังอ้าปากกว้างพ่นน้ำลายเหนียวหนืดออกมา ราเชนร้องลั่นและเบี่ยงตัวหลบ จึงพบว่าของเหลวนั้นดึงดินทรายให้รวมตัวกันเป็นก้อน ก่อนเปลี่ยนสภาพไปเป็นโคลน
“เวทอะไรกันเนี่ย” เด็กหนุ่มร้องเชิงอุทานมากกว่าเป็นการถาม เกรย์ซึ่งยืนกอดอกดูอย่างสบายใจป้องปากตะโกนบอก
“กบ”
พอได้ยินแบบนั้น เด็กหนุ่มก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว “น่าขยะแขยงเป็นบ้า” บ่นพลางกลิ้งตัวหลบเมือกเป็นพัลวัน จนหล่นตูมลงไปในบ่อน้ำที่ถูกฟร็อกแมนสร้างขึ้นมาตอนไหนไม่รู้
“บ่อนี่มาจากไหน !” เด็กหนุ่มร้องลั่นเมื่อโผล่พรวดขึ้นมาหายใจและตะกายขึ้นจากบ่อแต่ฟร้อกแมนซึ่งเดินเข้ามาใกล้ใช้เท้าถีบเขาจนหงายหลังลงไปอีกครั้ง
“อย่างเพิ่งขึ้นมาไอ้หนู” พูดพลางโปรยเม็ดสีดำเล็กๆตามลงไปพร้อมกับร่ายเวท เจ้าลูกกลมๆทั้งหมดเริ่มมีดวงตางอกออกมา ตามด้วยปาก และหาง พอเป็นรูปเป็นร่างอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ฟร็อกแมนก็ฉีกยิ้ม “เอ้า ! จัดการกับอาหารของพวกเจ้าซะ”
ตัวประหลาดไม่ใหญ่ไปกว่าเม็ดอัลมอนด์ว่ายรี่เข้าไปหาราเชนทันที เขาจึงเห็นว่ามันเป็นลูกอ๊อด แต่พอตัวแรกอ้าปากงับต้นแขนกัดเนื้อจนแหว่งเท่านั้น เด็กหนุ่มจึงสำนึกได้ว่าเขากำลังเป็นอาหารอันโอชะของลูกกบพันธ์สยอง ราเชนทั้งเตะทั้งถีบเป็นพัลวันพร้อมกับเกาะขอบบ่อเพื่อปีนหนี แต่ก็โดนฟร็อกแมนถีบกลับลงไปทุกครั้ง ไม่นานเด็กหนุ่มก็โดนแทะจนเป็นแผลเหวอะหวะทั่วตัว
“ราเชน !” เบอร์ทิน่าร้องเรียกด้วยความเป็นห่วงพลางดึงเหรียญดวงดาวออกมาหมายช่วยแตอาเซอร์บัสคว้าข้อมือนางเอาไว้พร้อมกับห้าม
“อย่าทำแบบนั้นเป็นอันขาด”
“แต่ราเชนกำลังจะตาย” เด็กสาวเถียง จอมเวทแห่งไมธีร่าส่ายหน้า
“ตัวแสบอย่างเจ้านั่นไม่เสร็จใครง่ายๆหรอก”
เบอร์ทิน่าขยับจะเถียงแต่พอเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของอาเซอร์บัสจึงยอมลดแขนลงและเก็บเหรียญกลับเข้าซอง กระนั้นก็ยังอดถามย้ำด้วยความเป็นกังวลไม่ได้
“แน่ใจหรือ”
“ข้ามั่นใจ” จอมเวทหนุ่มตอบพลางคลายมือและหมุนตัวหันไปที่ลานประลองอีกครั้ง ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ความจริงแล้วเขาอดเป็นห่วงราเชนไม่ได้ แม้เวทของฟร็อกแมนจะมีพลังไม่ถึงครึ่งของอำนาจผลึกแต่ความเจ้าเล่ห์นั้นมีมากกว่า ครั้งแรกที่เห็นเจ้าจอมเวทขี้โอ่นั่นสร้างบ่อน้ำ อาเซอร์บัสก็พอจะเดาออกว่าเป็นการตัดกำลังอย่างหนึ่งซึ่งแก้ไขได้ไม่ยาก แต่นึกไม่ถึงว่าฟร็อกแมนจะเล่นวิธีสกปรกด้วยการโปรยไข่กบยักษ์ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อตามลงไป ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าหากทำแบบนั้น จอมเวทอ่อนหัดอย่างราเชนไม่มีทางคิดหาหนทางตอบโต้หรือป้องกันตัวเองได้ทันอย่างแน่นอน เพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่ม อาเซอร์บัสจึงเตรียมร่ายมนตร์เพื่อส่งพลังเข้าไปกำจัดลูกกบปิศาจ ยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยอักขระ เกรย์ซึ่งนั่งเหยียดขาดูอย่างสบายอกสบายใจก็เอื้อมมือมายึดผ้าคลุมเขาเอาไว้พร้อมกับเปรยเบาๆ
“เจ้านั่นไม่มีทางแพ้หรอก”
อาเซอร์บัสมองหนุ่มมังกรด้วยหางตาและยอมหยุดร่ายเวท แต่พอเห็นราเชนหยุดดิ้นรนและยอมปล่อยให้ตัวเองจมหายลงไปในบ่อเหลือเพียงฟองน้ำเล็กๆผุดพรายขึ้นมา เขาก็กำไม้เท้าแน่นและเตรียมร่ายเวทแต่ต้องหยุดอีกครั้งเมื่อสัมผัสถึงพลังบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากสนามประลอง
“เริ่มแล้ว”
เกรย์พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและมองฟร็อกแมนที่กำลังเต้นแร้งเต้นกาด้วยความดีใจด้วยแววตาหยามหยัน เพราะพริบตานั้นเองพื้นดินทั้งหมดก็เกิดอาการสั่นสะเทือนจนน้ำกระฉอกออกมาจากบ่อ ทุกคนที่ยืนโดยรอบต่างอุทานด้วยความตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น”
พวกเขาต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กระทั่งบางคนชี้มือไปที่สนามพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“ดูนั่นสิ !”
ทั้งหมดจึงหันไปมองพร้อมกันและอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างของราเชนค่อยๆโผล่จากน้ำลอยขึ้นไปในอากาศ โดยมีเจ้าลูกกบปิศาจที่ถูกครอบด้วยแสงสีฟ้าอ่อนทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสลอยวนอยู่โดยรอบ เมื่อปลายเท้าพ้นจากผิวน้ำ เด็กหนุ่มก็กระแทกฝ่ามือทั้งสองลงมายังด้านล่าง น้ำในบ่อก็แห้งเหือดอย่างรวดเร็วเหมือนถูกสูบ ในขณะเดียวกัน พื้นดินด้านล่างก็ดันตัวเองขึ้นจนมีระดับเดียวกับพื้นสนามด้านบน
เมื่อกลบบ่อน้ำมรณะได้แล้ว ร่างของราเชนก็กลับลงมายืนบนพื้น ส่วนบรรดาลูกอ๊อดสยองขวัญยังคงลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ดวงตาที่ปูดโปนของฟร็อกแมนเบิกกว้างมากขึ้นจนแทบถลนออกมานอกเบ้าด้วยความฉงนอย่างที่สุด
“เป็นไปไม่ได้” เขามองแสงสี่เหลี่ยมที่ครอบบริวารน้อยของตัวเองเอาไว้ “เจ้าใช้เวทแบบไหนกันเนี่ย”
“ไม่ใช่เวท แต่เป็นพลังของผลึก” ราเชนตอบพร้อมกับดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ก้อนแสงทั้งหมดก็หดเล็กลง บีบอัดลูกกบปิศาจจนบี้แบนและแตกสลายหายไป พอเห็นดังนั้นฟร็อกแมนถึงกับตะโกนลั่นด้วยความโกรธ
“เจ้าเด็กบ้า กล้าดียังไงถึงทำแบบนี้”
ราเชนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาชิงชังพลางยื่นแขนข้างที่สวมกำไลมาลาไคท์ไปข้างหน้า และพึมพำมนตราที่ผุดขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ท่าทางของเขาทำให้ฟร็อกแมนขยับถอยหลังอย่างหวาดระแวง และเริ่มร่ายเวทตั้งรับแต่ก็ทำได้เพียงอ้าปากค้างเมื่อเห็นแผ่นดินตรงหน้าของเด็กหนุ่มนูนขึ้นและเคลื่อนที่ดุจระลอกคลื่นวิ่งตรงไปที่เขา เมื่ออยู่ในระยะห่างราวหนึ่งศอกมันก็ยุบตัวลง แต่พื้นดินใต้เท้ากลับพ่นก้อนกรวดจำนวนมหาศาลขึ้นมาแทน ฟร็อกแมนร้องลั่นด้วยความรู้สึกทั้งหวาดกลัวและเจ็บปวดพร้อมกับใช้มือปัดเป็นพัลวัน ความตระหนกในสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาลืมเวทไปจนหมดสิ้นและพยายามวิ่งออกจากสนามท่าเดียว
“ไม่ให้หนีไปไหนหรอก” ราเชนพูดพร้อมกับหมุนข้อมือ กรวดทั้งหมดพุ่งพรูเข้าห่อหุ้มร่างกายของฟร็อกแมนจนกลายเป็นตุ๊กตาหิน ยืนแข็งทื่ออยู่กลางสนาม มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังคงกลิ้งกลอกไปมาอย่างหวาดกลัว พอจัดการคู่ต่อสู้สำเร็จแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินกะโผลกกะเผลกออกจากสนามโดยไม่รอฟังเสียงขานชื่อจากกรรมการ
บาดแผลทั่วร่างทำให้ราเชนเจ็บปวดเจียนขาดใจ แต่พอเห็นเบอร์ทินาซึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหา เขากลับส่งยิ้มกว้างพร้อมกับกล่าวอย่างร่าเริง
“ข้าชนะแล้ว ลิงคซ”
“ยังจะมาทำพูดดีอีก” เด็กสาวต่อว่าด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับถลาเข้าไปประคอง แต่เด็กหนุ่มกลับขืนตัวเอาไว้และส่ายหน้า
“ข้าไม่เป็นไร”
“แต่เจ้าบาดเจ็บ” เบอร์ทิน่าพูดพลางมองสภาพร่างกายของสหายรักที่อยู่ในลักษณะโทรมสุดขีดด้วยความเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายกลับส่งยิ้มให้
“แผลแค่นี้เอง”
“แค่นี้ที่ไหน” เบอร์ทิน่าแย้งพลางมองรอยกัดที่กระจายอยู่ทั่วตัว บางแห่งถูกกัดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดไหลโกรกราวกับน้ำ “เจ้าเจ็บมาก”
“ไม่เจ็บเลยสักนิด” ราเชนพูดพลางตบแผลเหล่านั้นด้วยกำปั้นและกัดฟันแน่นเมื่อความเจ็บแปลบวิ่งพล่านไปทั่วร่าง เบอร์ทิน่าซึ่งเห็นอาการนั้นมุ่นคิ้วและเม้มปากอย่างขัดใจ
“ยังมาทำเป็นปากดีอีก” นางคว้าแขนเด็กหนุ่มลากให้เดินไปด้วยกัน “ไปทำแผลเร็ว”
เมื่อถึงจุดที่พวกตนเองนั่งเป็นประจำ เด็กสาวก็ดันให้ราเชนนั่งลงจากนั้นจึงดึงเหรียญออกมาร่ายเวทอัญเชิญพลังรักษา แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนกับตอนที่นางรักษาให้มุนดา เพราะไม่ว่าจะทุ่มเทพลังมากเท่าใด บาดแผลเหล่านั้นก็ไม่ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย กระนั้นเบอร์ทิน่าก็ยังไม่ยอมแพ้ นางเค้นพลังกายและใจทั้งหมดในการกล่าวคำอัญเชิญเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับเหรียญดวงดาว พอเห็นเด็กสาวทุ่มสุดตัวอาเซอร์บัสจึงแตะไหล่นางพร้อมกับห้าม
“พอแค่นี้ดีกว่า”
“ไม่ !” เบอร์ทิน่าปฏิเสธและสะบัดออกแต่อีกฝ่ายกลับยึดแน่น
“เจ้าต้องหยุด ไม่อย่างนั้นแล้วจะเสียพลังไปโดยเปล่าประโยชน์”
คำเตือนของจอมเวทหนุ่มทำให้เด็กสาวฉุนขึ้นมาในทันที นางหันไปจ้องเขาด้วยดวงตาวาววับเพราะความโกรธ
“เจ้ากำลังจะบอกว่า การช่วยเพื่อนเป็นเรื่องไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ”
“ข้าบอกว่าเจ้าจะเสียพลังไปโดยเปล่าประโยชน์ต่างหาก” อาเซอร์บัสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางดึงนางให้ถอยห่างจากราเชน แต่เด็กสาวกลับฝืนตัวอย่างดื้อดึงและเตรียมเถียงแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเกรย์เอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ทำตามที่เขาบอกดีกว่า เจ้าหญิง”
เบอร์ทิน่ากระแทกลมหายใจอย่างขุ่นเคืองและยืนนิ่งไม่ยอมขยับ หนุ่มมังกรจึงลุกจากเก้าอี้และยื่นแขนไปโอบรอบเอวนางเอาไว้พร้อมกับออกแรงลากให้ถอยออกมา พอเด็กสาวสะบัดตัวและทำท่าจะโวยเขาก็จุ๊ปากเป็นเชิงห้ามและชี้ไปที่อาเซอร์บัส
“ใจเย็นๆ แล้วดูให้ดี”
การกระทำอันจาบจ้วงของเกรย์ทำให้เบอร์ทิน่าโกรธจนอยากจะใช้กำปั้นเสยปลายคางให้หน้าหงาย แต่น้ำเสียงกับแววตาจริงจังแต่แฝงความอยากรู้อยากเห็นของเขาขณะมองตรงไปยัง
อาเซอร์บัสทำให้เด็กสาวละความคิดดังกล่าวและมองตาม ภาพที่เห็นทำให้นางยืนตะลึงงันอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
ไม่ใช่เบอร์ทิน่าเท่านั้นที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ราเชนเองก็เช่นกัน ตอนแรกเขาคิดจะลุกเดินหนีเพราะไม่อยากให้คนอื่นต้องมาพลอยวุ่นวายแต่กลับถูกอาเซอร์บัสผลักให้นั่งลง จากนั้นทั้งร่างก็เกิดอาการแข็งเกร็งจนไม่สามารถขยับได้ เมื่อเหลือกตาขึ้นมองจอมเวทแห่งไมธีร่าเด็กหนุ่มก็ใจหายวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะใบหน้าขาวซีดที่เฉยชาสงบนิ่งอยู่เป็นนิจแปรเปลี่ยนเป็นดวงหน้าเผือดขาวโพลนน่าสยดสยองดุจหุ่นขี้ผึ้ง สร้างความรู้สึกหลากหลายที่แม้ราเชนเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า มันเป็นความรู้สึกใดกันแน่ ระหว่างความอบอุ่น ห่วงใยหรือเย็นชา อำมหิต นับเป็นครั้งแรกที่เขาหวาดกลัวอาเซอร์บัสจนอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นแต่อำนาจประหลาดที่ตรึงร่างเอาไว้ทำให้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งตัวแข็งมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่จ้องประสานตากับจอมเวทแห่งไมธีร่า พอเห็นเขาขยับไม้เท้าราเชนก็สะดุ้งเฮือกสุดตัว ความเจ็บปวดทั่วสารพางค์กายเมื่อครู่มลายหายไปจนสิ้น คำถามเดียวที่วิ่งอยู่ในหัวคือ จอมเวทแห่งความมืดผู้นี้กำลังจะทำอะไร
“นั่งนิ่งๆ”
เสียงต่ำทุ้มหลุดออกมาจากปากที่แทบจะไม่เผยอเลยสักนิด ดวงตาวาววับเหมือนนึกรู้ว่าราเชนกำลังตะเบ็งเสียงเถียงอยู่ในใจว่า ตอนนี้เขาเองก็กระดิกกระเดี้ยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งเห็นอาเซอร์บัสทำปากขมุบขมิบพร้อมกับกระชับไม้เท้าในมือก่อนเลื่อนเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มก็ยิ่งหวาดกลัวจนอยากตะโกนร้องให้ดังลั่นไปทั้งสนามประลอง แต่ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อไอเย็นที่ครอบคลุมทั่วร่างกายเมื่อครู่กลับกลายเป็นความอบอุ่น ซ้ำยังมีกลิ่นหอมอันแสนสะอาดบริสุทธิ์เหมือนอากาศยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย
ความแปลกประหลาดมิได้มีเพียงแค่นั้น เพราะคริสตัลบนยอดไม้เท้าซึ่งเคยเป็นสีดำสนิทกลับเปล่งแสงสีเขียวสว่างเรืองรอง พริบตามันก็แผ่ขยายออกมาปกคลุมไปทั่วกายสร้างความอบอุ่นและสุขสบายให้กับราเชนอย่างเหลือล้นจนเขาลืมความเจ็บปวดทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง