บทที่ี่ 17 คำอ้อนวอนของชาคราส
http://ppantip.com/topic/31694155
บทที่ 18 คำสาปร้ายที่มาอย่างเงียบกริบ
งานเลี้ยงในคืนวันนั้นยุติลงอย่างชื่นมื่น จอมเวททุกคนยกเว้นคิลเลอร์ฟรอสต์ต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้กระทั่งฮันท์ซึ่งปรกติจะเป็นคนเงียบขรึมยังเผลออมยิ้มไปกับความทะเล้นของราเชนกับเกรย์อยู่หลายครั้ง การดื่มกินดำเนินไปอย่างราบรื่นกระทั่งล่วงเข้าสู่ยามดึก ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันกลับห้องเพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวเข้าพบมหาอำมาตย์ในวันถัดไป
อาเซอร์บัส เบอร์ทิน่า เกรย์และราเชนเดินพูดคุยกันไปเรื่อยๆจนถึงห้องพัก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วราเชนมักเป็นฝ่ายซักถามและขอให้หนุ่มมังกรเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกภายนอก รวมทั้งการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น เกรย์เองก็ไม่รำคาญคำถามเหล่านั้นเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขายังเสริมแง่คิด มุมมองต่างๆได้อย่างน่าประหลาดใจ ชนิดที่เบอร์ทิน่าเองยังนึกไม่ถึงว่าคนหน้าเป็น ชอบทำเป็นเล่นอยู่ตลอดเวลาจะมีความคิดลึกซึ้งเช่นนี้
มีช่วงหนึ่งเกรย์เล่าว่าเขาเคยไปถึงดินแดนอันเป็นรอยต่อระหว่างแผ่นดินมนุษย์กับอาณาเขตของหุบเขาสีน้ำเงิน ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยสัตว์รูปร่างหน้าตาประหลาด ไม่ว่าจะเป็นเป็ดตัวเท่าม้า หรือกบขนาดเท่าวัว ระหว่างเล่าอยู่นั้น จู่ๆหนุ่มมังกรก็หยุดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเหลือบมองอาเซอร์บัสด้วยหางตาก่อนหันไปทางเบอร์ทิน่าพร้อมกับถาม
“แล้วพรุ่งนี้เจ้าจะทำยังไง”
คำถามที่โพล่งขึ้นมาอย่างมีมีปี่มีขลุ่ยทำให้เบอร์ทิน่ามองเกรย์อย่างงงงัน
“เจ้าพูดเรื่องอะไร”
“พรุ่งนี้เหล่าจอมเวทที่เข้ารอบทั้งสิบ ต้องเข้าพบมหาอำมาตย์ ข้าคิดว่าพวกเสนาบดีใหญ่โตในราชสำนักคงสั่งให้เจ้าถอดหน้ากากออกก่อน” เกรย์พูดและหยุดเว้นระยะเพื่อเปิดรอยยิ้มกวนประสาท “เจ้าคิดเรื่องแก้ตัวเอาไว้แล้วหรือยัง เพราะข้าพนันได้เลยว่าท่านออร์เด็นไม่รู้เรื่องที่หลานสาวคนเก่งปลอมตัวเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้แน่”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” เด็กสาวถามเสียงขุ่น อีกฝ่ายยักไหล่เหมือนต้องการบอกว่าเรื่องแค่นี้ไม่น่าถาม
“ไม่อย่างนั้นเจ้าจะปกปิดตัวเองไปทำไม”
เบอร์ทิน่ายืนนิ่งและเหลือบตาไปทางอาเซอร์บัสโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายจึงกล่าวตัดบท
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”
“ตอบง่ายไปหรือเปล่า” เกรย์แย้งก่อนหันไปมองเด็กสาว “ต่อให้เจ้าหาเหตุผลมาอ้างร้อยแปด คิดหรือว่าพวกผู้ใหญ่จะรับฟัง อีกอย่างพอรู้ตัวจริงท่านมหาอำมาตย์คงไม่ยินดีที่จะให้เจ้าหญิงคนสำคัญของไมธีร่าเดินทางไปเสี่ยงอันตรายด้วยแน่”
เบอร์ทิน่าเตรียมโต้พร้อมยืนยันเจตนาของตัวเองแต่จอมเวทหนุ่มกลับแตะไหล่นางเป็นเชิงห้ามและเป็นฝ่ายตอบเอง
“ข้าถึงได้บอกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” พูดจบเขาก็หันไปทางเด็กสาว “ดึกมากแล้ว เจ้าควรกลับห้องเสียที”
แม้อยากอธิบายเหตุผลและความตั้งใจของตนเองให้หนุ่มมังกรฟังใจแทบขาด แต่พอเห็นสายตาปรามของอาเซอร์บัส เบอร์ทิน่าจึงจำต้องผงกศีรษะรับและกล่าวคำอำลากับชายหนุ่มทั้งสามก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าห้อง เมื่อเห็นบานประตูปิดสนิท เกรย์เลื่อนสายตาไปทางอาเซอร์บัสและยิ้มอย่างรู้ทัน
“เจ้าเตรียมคำตอบของนางเอาไว้แล้วใช่ไหม”
จอมเวทหนุ่มไม่ตอบแต่ย้อนคำถามกลับ
“ทำไมถึงถามแบบนั้น”
“เหตุผลที่ท่านมหาอำมาตย์ยอมเดินทางรอนแรมไปยังดินแดนอันห่างไกลและเต็มไปด้วยอันตรายอย่างหุบเขาสีน้ำเงิน ก็เพราะไม่ต้องการให้หลานสาวสุดที่รักเป็นคนทำหน้าที่นี้ และคงไม่ยินดีให้นางติดตามไปด้วยแน่ แต่จากที่เห็น เบอร์ทิน่าเองก็มุ่งมั่นจะไปที่นั่น ถึงกับลงทุนปลอมตัวเป็นจอมเวทลงแข่งขัน และคงคิดปิดบังฐานะของตัวเองเอาไว้อย่างนั้น แต่การรายงานตัวก่อนการเดินทางทำให้ความลับต้องแตก เพราะการเข้าพบผู้มีอำนาจอย่างท่านมหาอำมาตย์ จะต้องเปิดเผยตัวจริง ห้ามปกปิด หรือทำตัวมีลับลมคมใน” เขายิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจบท้ายด้วยประโยค “ข้าพูดถูกหรือเปล่า”
คราวนี้อาเซอร์บัสหันมามองหน้าเกรย์เขม็ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างไม่ไว้ใจ
“เจ้ารู้แค่ไหน”
หนุ่มมังกรแสร้งทำเป็นเบิกตาโตเหมือนไม่เข้าใจคำถาม
“เรื่องอะไร”
“อย่ามาทำเป็นไขสือ เจ้าเดาออกว่าทางราชสำนักไม่รู้เรื่องที่เบอร์ทิน่าเข้าร่วมการประลอง และพูดถึงท่านมหาอำมาตย์ตลอดเวลาแต่กลับไม่กล่าวถึงกษัตริย์วาเก็น ซึ่งเป็นพระราชบิดาของนางเลยสักคำ” จอมเวทหนุ่มพูดอย่างเคร่งขรึมและมองหน้าหนุ่มมังกรอย่างจ้องจับผิด “ทำไม”
อีกครั้งที่รอยยิ้มกวนประสาทผุดขึ้นมาบนใบหน้าทะเล้น แต่ดวงตาของเกรย์กลับว่างเปล่าไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา
“เคยบอกแล้วใช่ไหมว่า ข้าไม่ใช่คนโง่ เรื่องราวทั้งหมดมันอ่านง่ายยิ่งกว่าลวดลายบนฝ่ามือ จู่ๆไมธีร่าล้มเลิกงานฉลองประจำปีและจัดการแข่งขันประลองเวทขึ้นมาแทน แถมยังเรื่องการร่วมคณะเพื่อเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงินอีก ต่อให้จอมเวทปัญญาอ่อนที่สุดยังรู้ว่าที่นั่นเป็นดินแดนอาถรรพ์ ไม่มีทางที่คนธรรมดาจะเดินทางไปถึง เรื่องบ่อทองคำก็เหมือนกัน มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ และทุกคนก็รู้ดีว่าผลึกวิญญาณมังกรที่สถิตอยู่ใจกลางหุบเขา นอกจากจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายอันน่ากลัวแล้ว ยังมีพลังในการล้างคำสาป เท่าที่เห็น ชาวไมธีร่าเป็นคนดีทุกคน ฉะนั้นตัดเรื่องการครอบครองพลังมืดออกไปได้ ทีนี้ก็เหลือแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการแก้ไขคำสาป ถ้าไม่ใช่นำมารักษาใครบางคนแล้วพวกเจ้าจะดั้นด้นไปที่นั่นทำไม”
เขายกมือขึ้นกอดอกและพูดอย่างเป็นงานเป็นการ “ข้าได้ยินมาว่า มีเพียงสายเลือดของกษัตริย์แห่งไมธีร่าเท่านั้น ที่สามารถนำผลึกวิญญาณมังกรออกมาได้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่พระอนุชาอย่างมหาอำมาตย์ออร์เด็นเสี่ยงอันตรายไปที่นั่น แต่คนที่มีตำแหน่งสูงระดับนั้นจะลงแรงไปทำไมถ้าไม่ได้นำมารักษาคนสำคัญ และคนที่ว่านี้ต้องมียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่า ซึ่งถ้าเดาไม่ผิด ข้าคิดว่าคงมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับกษัตริย์วาเก็นและราชินีไอด้า”
ราเชนยืนฟังอ้าปากค้าง เพราะนึกไม่ถึงว่าเกรย์จะอ่านทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง ตรงกันข้ามกับอาเซอร์บัสซึ่งยังคงมีสีหน้าสงบ หนุ่มมังกรจึงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของจอมเวทแห่งไมธีร่าพร้อมกับถาม “ทีนี้เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
เขามองอาเซอร์บัสนิ่งราวคาดคั้น ส่วนราเชนมองจอมเวทหนุ่มเชิงขอร้อง
“เราน่าจะบอกเขาได้นะ”
“ไม่จำเป็น” จอมเวทแห่งไมธีร่าตอบอย่างไม่ลังเลเลยสักนิดก่อนหมุนตัวเพื่อละจากชายหนุ่มทั้งสอง แต่เขากลับหยุดชะงักและเอี้ยวศีรษะไปทางราเชน “ปิดปากให้สนิท ไม่เช่นนั้นข้าจะสาปให้เจ้ากลายเป็นกบแล้วโยนเข้าโรงครัว”
ขู่เสร็จก็สะบัดผ้าคลุมเดินจากไป เกรย์มองค้อนด้วยความหมั่นไส้ส่วนราเชนยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด
“พวกจอมเวทสาปคนได้ด้วยเหรอ” เขาถามด้วยใบหน้ากังวลระคนหวาดกลัว หนุ่มมังกรมองอย่างนึกขันก่อนปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นและตบไหล่เด็กหนุ่มสองสามครั้ง จากนั้นจึงเดินเข้าห้องโดยไม่พูดอะไร
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อจัดการกับมื้อเช้ากันครบทุกคนแล้ว โหราจารย์จึงนำจอมเวททั้งสิบคนไปยังท้องพระโรง โดยเชิญให้ทุกคนนั่งรอบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้ ผ่านไปชั่วอึดใจ มหาอำมาตย์จึงก้าวผ่านประตูอันเป็นทางเดินของเชื้อพระวงศ์ ทุกคนจึงลุกขึ้นพร้อมกันและค้อมศีรษะเพื่อแสดงความเคารพ เมื่อนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งแล้วออร์เด็นจึงผายมือเป็นเชิงอนุญาตให้ทุกคนนั่งลง โหราจารย์จึงก้าวไปยืนกลางห้องและค้อมศีรษะลงพร้อมกับกล่าวรายงาน
“เรียนท่านมหาอำมาตย์ การประลองเวทเพื่อคัดเลือกผู้เหมาะสมร่วมเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงินได้เสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราได้จอมเวทผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนสิบคน และตอนนี้พวกเขาได้นั่งอยู่ตรงหน้าท่านมหาอำมาตย์เพื่อกล่าวรายงานตัว”
ออร์เด็นผงกศีรษะรับอย่างแช่มช้าพลางกวาดตามองจอมเวทไล่ไปทีละคน จากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน
“ข้าขอต้อนรับจอมเวททุกท่าน และขอแสดงความยินดีที่ทุกคนผ่านเข้ารอบ พวกท่านทุกคนคงทราบถึงจุดประสงค์ของการแข่งขันในครั้งนี้ และคงรู้ดีว่าเส้นทางสู่หุบเขาสีน้ำเงินนั้นอันตรายเพียงใด มิใช่เป็นการดูแคลน แต่หากจอมเวทท่านใดไม่แน่ใจหรือคิดว่ามันเป็นการเดินทางที่เสี่ยงจนเกินความจำเป็น ก็ขอให้ถอนตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะหากพ้นประตูเมืองไปแล้ว ข้าไม่ขอรับประกันความปลอดภัยกับชีวิตของทุกคน”
มหาอำมาตย์แห่งไมธีร่ากวาดสายตามองจอมเวททั้งสิบอีกครั้งเมื่อกล่าวจบ เมื่อเห็นทุกคนยังนั่งนิ่ง เขาจึงพยักหน้า
“ในเมื่อไม่มีผู้ใดเปลี่ยนใจ ข้าจะขอสรุปสั้นๆ เราจะเดินทางออกจากเมืองวันนี้ตอนเที่ยงตรง ดังนั้นขอให้ทุกท่านเตรียมตัวไว้ให้พร้อม และเพื่อความปลอดภัย ข้าได้จัดทหารร่วมทางไปด้วยสิบคน ข้ารู้ดีว่าจอมเวทอย่างพวกท่านมีฝีมือเก่งกาจ แต่การเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ย่อมดีกว่ากลุ่มย่อย อย่างน้อยพวกเขายังจัดการเรื่องที่พัก อาหารได้ หวังว่าทุกท่านจะเต็มใจยอมรับข้อเสนอนี้”
ออร์เด็นหยุดพูดและมองหน้าจอมเวทอีกครั้งโดยเจาะจงไปที่อาเซอร์บัส เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีอะไรแล้ว เขาจึงยิ้ม
“ขอบคุณที่ไม่คัดค้าน ทีนี้ข้าขอเชิญพวกท่านลุกขึ้นกล่าวแนะนำตัว เพื่อทำความรู้จักกัน”
กล่าวจบมหาอำมาตย์ได้ผายมือไปยังซาเบลซึ่งนั่งอยู่หัวแถว เขาลุกขึ้นและก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้มีตำแหน่งสูงกว่าก่อนกล่าว
“ซาเบลจากเมืองเมทัล เชี่ยวชาญเวทอาวุธ”
เขาค้อมศีรษะอีกครั้งก่อนนั่งลง อัลบอร์ตลุกขึ้นเป็นคนต่อไป
“อัลบอร์ต จากริเวอร์แลนด์ เวทน้ำ”
ออร์เด็นพยักหน้าช้าๆและเลื่อนสายตาไปยังจอมเวทคนต่อไป
“กราวิตี้ มุนดา อดีตนักล่าจากไฮพรีสต์ เวทแรงโน้มถ่วง”
“ไฮพรีสต์” มหาอำมาตย์แห่งไมธีร่าพึมพำออกมาด้วยใบหน้าตระหนก “ข้าเคยได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นนักล่าเงินรางวัล เหตุใดจึงส่งคนมาเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้”
ถามพลางจ้องจอมเวทสาวอย่างระแวง นางก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมก่อนอธิบาย
“ข้าตัดสินใจลงแข่งเอง ทางไฮพรีสต์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น”
เมื่อมุนดากล่าวจบ โหราจารย์ซึ่งยืนเคียงข้างได้หันไปกระซิบเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างการประลองให้มหาอำมาตย์ฟัง พอรู้เรื่องที่นางได้ถอนตัวออกจากการเป็นมือสังหารและกำลังโดนคนกลุ่มนี้ตามล่า เขาจึงนิ่วหน้าอย่างหนักใจ
“ตอนนี้เจ้ากำลังถูกไฮพรีสต์หมายหัว” ออร์เด็นพูดพลางหันไปมองหน้าจอมเวทสาว “คนกลุ่มนี้ไม่เคยปล่อยให้เป้าหมายหลุดมือ พวกเขาจะต้องหาโอกาสเล่นงานเจ้าระหว่างการเดินทางแน่ ดังนั้นข้าคงไม่อาจให้เจ้าเข้าร่วม...”
“คณะเดินทางของท่านมีจอมเวทเก่งกาจถึงสิบคน กลัวอะไรกับมือสังหารกระจอกแค่กลุ่มเดียว”
เสียงเกรย์ทะลุกลางปล้องขึ้นมา มหาอำมาตย์แห่งไมธีร่ามองเขาอย่างนึกแปลกใจ
“เจ้าคือ”
“เกรย์” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ และอมยิ้มเมื่อเห็นโหราจารย์รีบก้มลงไปอธิบายว่าเขาคือใคร ยังไม่ทันที่ออร์เด็นจะกล่าวอะไรหนุ่มมังกรก็พูดต่อ “อย่างที่ท่านผู้เฒ่านั่นบอก ข้าเป็นผู้ใช้เวทเพลิงมังกร ดังนั้นขอให้แน่ใจได้เลยว่า พวกไฮพรีสต์ไม่มีทางเข้ามารบกวนการเดินทางของเราแน่”
“จะให้ข้ามั่นใจได้อย่างไร” ออร์เด็นถาม เกรย์ยักไหล่ก่อนเหลือบตามองเพดานท้องพระโรงและลากสายตาไล่เรื่อยไปโดยรอบพร้อมกับพูด
“ความจริงข้าเองก็อยากแสดงให้ท่านเห็น แต่สถานที่มันไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก เอาเป็นว่า” เขาหยุดพูดพร้อมกับมองหน้ามหาอำมาตย์แห่งไมธีร่าแน่วนิ่ง ประกายไฟสีทองเต้นระริกอยู่ในดวงตาสีเทา “ข้าสามารถเผาปราสาทหลังนี้ให้เป็นจุณได้เพียงชั่วแค่ท่านกะพริบตา”
ออร์เด็นเหลือบตาไปทางอาเซอร์บัสโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงเตือนแล้วเขาจึงหันกลับมาทางเกรย์อีกครั้ง
“คำขู่ที่พูดมาทั้งหมดเพื่อให้ข้ากลัวจนต้องยอมรับจอมเวทหญิงผู้นี้ใช่ไหม” เขาถามเหมือนต้องการหยั่งเชิง เกรย์ยักไหล่
“จะกลัวไปทำไม ข้าไม่ใช่ตัวประหลาดสักหน่อย”
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 18 คำสาปร้ายที่มาอย่างเงียบกริบ
http://ppantip.com/topic/31694155
บทที่ 18 คำสาปร้ายที่มาอย่างเงียบกริบ
งานเลี้ยงในคืนวันนั้นยุติลงอย่างชื่นมื่น จอมเวททุกคนยกเว้นคิลเลอร์ฟรอสต์ต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้กระทั่งฮันท์ซึ่งปรกติจะเป็นคนเงียบขรึมยังเผลออมยิ้มไปกับความทะเล้นของราเชนกับเกรย์อยู่หลายครั้ง การดื่มกินดำเนินไปอย่างราบรื่นกระทั่งล่วงเข้าสู่ยามดึก ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันกลับห้องเพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวเข้าพบมหาอำมาตย์ในวันถัดไป
อาเซอร์บัส เบอร์ทิน่า เกรย์และราเชนเดินพูดคุยกันไปเรื่อยๆจนถึงห้องพัก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วราเชนมักเป็นฝ่ายซักถามและขอให้หนุ่มมังกรเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกภายนอก รวมทั้งการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น เกรย์เองก็ไม่รำคาญคำถามเหล่านั้นเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขายังเสริมแง่คิด มุมมองต่างๆได้อย่างน่าประหลาดใจ ชนิดที่เบอร์ทิน่าเองยังนึกไม่ถึงว่าคนหน้าเป็น ชอบทำเป็นเล่นอยู่ตลอดเวลาจะมีความคิดลึกซึ้งเช่นนี้
มีช่วงหนึ่งเกรย์เล่าว่าเขาเคยไปถึงดินแดนอันเป็นรอยต่อระหว่างแผ่นดินมนุษย์กับอาณาเขตของหุบเขาสีน้ำเงิน ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยสัตว์รูปร่างหน้าตาประหลาด ไม่ว่าจะเป็นเป็ดตัวเท่าม้า หรือกบขนาดเท่าวัว ระหว่างเล่าอยู่นั้น จู่ๆหนุ่มมังกรก็หยุดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเหลือบมองอาเซอร์บัสด้วยหางตาก่อนหันไปทางเบอร์ทิน่าพร้อมกับถาม
“แล้วพรุ่งนี้เจ้าจะทำยังไง”
คำถามที่โพล่งขึ้นมาอย่างมีมีปี่มีขลุ่ยทำให้เบอร์ทิน่ามองเกรย์อย่างงงงัน
“เจ้าพูดเรื่องอะไร”
“พรุ่งนี้เหล่าจอมเวทที่เข้ารอบทั้งสิบ ต้องเข้าพบมหาอำมาตย์ ข้าคิดว่าพวกเสนาบดีใหญ่โตในราชสำนักคงสั่งให้เจ้าถอดหน้ากากออกก่อน” เกรย์พูดและหยุดเว้นระยะเพื่อเปิดรอยยิ้มกวนประสาท “เจ้าคิดเรื่องแก้ตัวเอาไว้แล้วหรือยัง เพราะข้าพนันได้เลยว่าท่านออร์เด็นไม่รู้เรื่องที่หลานสาวคนเก่งปลอมตัวเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้แน่”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” เด็กสาวถามเสียงขุ่น อีกฝ่ายยักไหล่เหมือนต้องการบอกว่าเรื่องแค่นี้ไม่น่าถาม
“ไม่อย่างนั้นเจ้าจะปกปิดตัวเองไปทำไม”
เบอร์ทิน่ายืนนิ่งและเหลือบตาไปทางอาเซอร์บัสโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายจึงกล่าวตัดบท
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”
“ตอบง่ายไปหรือเปล่า” เกรย์แย้งก่อนหันไปมองเด็กสาว “ต่อให้เจ้าหาเหตุผลมาอ้างร้อยแปด คิดหรือว่าพวกผู้ใหญ่จะรับฟัง อีกอย่างพอรู้ตัวจริงท่านมหาอำมาตย์คงไม่ยินดีที่จะให้เจ้าหญิงคนสำคัญของไมธีร่าเดินทางไปเสี่ยงอันตรายด้วยแน่”
เบอร์ทิน่าเตรียมโต้พร้อมยืนยันเจตนาของตัวเองแต่จอมเวทหนุ่มกลับแตะไหล่นางเป็นเชิงห้ามและเป็นฝ่ายตอบเอง
“ข้าถึงได้บอกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” พูดจบเขาก็หันไปทางเด็กสาว “ดึกมากแล้ว เจ้าควรกลับห้องเสียที”
แม้อยากอธิบายเหตุผลและความตั้งใจของตนเองให้หนุ่มมังกรฟังใจแทบขาด แต่พอเห็นสายตาปรามของอาเซอร์บัส เบอร์ทิน่าจึงจำต้องผงกศีรษะรับและกล่าวคำอำลากับชายหนุ่มทั้งสามก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าห้อง เมื่อเห็นบานประตูปิดสนิท เกรย์เลื่อนสายตาไปทางอาเซอร์บัสและยิ้มอย่างรู้ทัน
“เจ้าเตรียมคำตอบของนางเอาไว้แล้วใช่ไหม”
จอมเวทหนุ่มไม่ตอบแต่ย้อนคำถามกลับ
“ทำไมถึงถามแบบนั้น”
“เหตุผลที่ท่านมหาอำมาตย์ยอมเดินทางรอนแรมไปยังดินแดนอันห่างไกลและเต็มไปด้วยอันตรายอย่างหุบเขาสีน้ำเงิน ก็เพราะไม่ต้องการให้หลานสาวสุดที่รักเป็นคนทำหน้าที่นี้ และคงไม่ยินดีให้นางติดตามไปด้วยแน่ แต่จากที่เห็น เบอร์ทิน่าเองก็มุ่งมั่นจะไปที่นั่น ถึงกับลงทุนปลอมตัวเป็นจอมเวทลงแข่งขัน และคงคิดปิดบังฐานะของตัวเองเอาไว้อย่างนั้น แต่การรายงานตัวก่อนการเดินทางทำให้ความลับต้องแตก เพราะการเข้าพบผู้มีอำนาจอย่างท่านมหาอำมาตย์ จะต้องเปิดเผยตัวจริง ห้ามปกปิด หรือทำตัวมีลับลมคมใน” เขายิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจบท้ายด้วยประโยค “ข้าพูดถูกหรือเปล่า”
คราวนี้อาเซอร์บัสหันมามองหน้าเกรย์เขม็ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างไม่ไว้ใจ
“เจ้ารู้แค่ไหน”
หนุ่มมังกรแสร้งทำเป็นเบิกตาโตเหมือนไม่เข้าใจคำถาม
“เรื่องอะไร”
“อย่ามาทำเป็นไขสือ เจ้าเดาออกว่าทางราชสำนักไม่รู้เรื่องที่เบอร์ทิน่าเข้าร่วมการประลอง และพูดถึงท่านมหาอำมาตย์ตลอดเวลาแต่กลับไม่กล่าวถึงกษัตริย์วาเก็น ซึ่งเป็นพระราชบิดาของนางเลยสักคำ” จอมเวทหนุ่มพูดอย่างเคร่งขรึมและมองหน้าหนุ่มมังกรอย่างจ้องจับผิด “ทำไม”
อีกครั้งที่รอยยิ้มกวนประสาทผุดขึ้นมาบนใบหน้าทะเล้น แต่ดวงตาของเกรย์กลับว่างเปล่าไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา
“เคยบอกแล้วใช่ไหมว่า ข้าไม่ใช่คนโง่ เรื่องราวทั้งหมดมันอ่านง่ายยิ่งกว่าลวดลายบนฝ่ามือ จู่ๆไมธีร่าล้มเลิกงานฉลองประจำปีและจัดการแข่งขันประลองเวทขึ้นมาแทน แถมยังเรื่องการร่วมคณะเพื่อเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงินอีก ต่อให้จอมเวทปัญญาอ่อนที่สุดยังรู้ว่าที่นั่นเป็นดินแดนอาถรรพ์ ไม่มีทางที่คนธรรมดาจะเดินทางไปถึง เรื่องบ่อทองคำก็เหมือนกัน มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ และทุกคนก็รู้ดีว่าผลึกวิญญาณมังกรที่สถิตอยู่ใจกลางหุบเขา นอกจากจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายอันน่ากลัวแล้ว ยังมีพลังในการล้างคำสาป เท่าที่เห็น ชาวไมธีร่าเป็นคนดีทุกคน ฉะนั้นตัดเรื่องการครอบครองพลังมืดออกไปได้ ทีนี้ก็เหลือแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการแก้ไขคำสาป ถ้าไม่ใช่นำมารักษาใครบางคนแล้วพวกเจ้าจะดั้นด้นไปที่นั่นทำไม”
เขายกมือขึ้นกอดอกและพูดอย่างเป็นงานเป็นการ “ข้าได้ยินมาว่า มีเพียงสายเลือดของกษัตริย์แห่งไมธีร่าเท่านั้น ที่สามารถนำผลึกวิญญาณมังกรออกมาได้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่พระอนุชาอย่างมหาอำมาตย์ออร์เด็นเสี่ยงอันตรายไปที่นั่น แต่คนที่มีตำแหน่งสูงระดับนั้นจะลงแรงไปทำไมถ้าไม่ได้นำมารักษาคนสำคัญ และคนที่ว่านี้ต้องมียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่า ซึ่งถ้าเดาไม่ผิด ข้าคิดว่าคงมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับกษัตริย์วาเก็นและราชินีไอด้า”
ราเชนยืนฟังอ้าปากค้าง เพราะนึกไม่ถึงว่าเกรย์จะอ่านทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง ตรงกันข้ามกับอาเซอร์บัสซึ่งยังคงมีสีหน้าสงบ หนุ่มมังกรจึงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของจอมเวทแห่งไมธีร่าพร้อมกับถาม “ทีนี้เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
เขามองอาเซอร์บัสนิ่งราวคาดคั้น ส่วนราเชนมองจอมเวทหนุ่มเชิงขอร้อง
“เราน่าจะบอกเขาได้นะ”
“ไม่จำเป็น” จอมเวทแห่งไมธีร่าตอบอย่างไม่ลังเลเลยสักนิดก่อนหมุนตัวเพื่อละจากชายหนุ่มทั้งสอง แต่เขากลับหยุดชะงักและเอี้ยวศีรษะไปทางราเชน “ปิดปากให้สนิท ไม่เช่นนั้นข้าจะสาปให้เจ้ากลายเป็นกบแล้วโยนเข้าโรงครัว”
ขู่เสร็จก็สะบัดผ้าคลุมเดินจากไป เกรย์มองค้อนด้วยความหมั่นไส้ส่วนราเชนยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด
“พวกจอมเวทสาปคนได้ด้วยเหรอ” เขาถามด้วยใบหน้ากังวลระคนหวาดกลัว หนุ่มมังกรมองอย่างนึกขันก่อนปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นและตบไหล่เด็กหนุ่มสองสามครั้ง จากนั้นจึงเดินเข้าห้องโดยไม่พูดอะไร
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อจัดการกับมื้อเช้ากันครบทุกคนแล้ว โหราจารย์จึงนำจอมเวททั้งสิบคนไปยังท้องพระโรง โดยเชิญให้ทุกคนนั่งรอบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้ ผ่านไปชั่วอึดใจ มหาอำมาตย์จึงก้าวผ่านประตูอันเป็นทางเดินของเชื้อพระวงศ์ ทุกคนจึงลุกขึ้นพร้อมกันและค้อมศีรษะเพื่อแสดงความเคารพ เมื่อนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งแล้วออร์เด็นจึงผายมือเป็นเชิงอนุญาตให้ทุกคนนั่งลง โหราจารย์จึงก้าวไปยืนกลางห้องและค้อมศีรษะลงพร้อมกับกล่าวรายงาน
“เรียนท่านมหาอำมาตย์ การประลองเวทเพื่อคัดเลือกผู้เหมาะสมร่วมเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงินได้เสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราได้จอมเวทผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนสิบคน และตอนนี้พวกเขาได้นั่งอยู่ตรงหน้าท่านมหาอำมาตย์เพื่อกล่าวรายงานตัว”
ออร์เด็นผงกศีรษะรับอย่างแช่มช้าพลางกวาดตามองจอมเวทไล่ไปทีละคน จากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน
“ข้าขอต้อนรับจอมเวททุกท่าน และขอแสดงความยินดีที่ทุกคนผ่านเข้ารอบ พวกท่านทุกคนคงทราบถึงจุดประสงค์ของการแข่งขันในครั้งนี้ และคงรู้ดีว่าเส้นทางสู่หุบเขาสีน้ำเงินนั้นอันตรายเพียงใด มิใช่เป็นการดูแคลน แต่หากจอมเวทท่านใดไม่แน่ใจหรือคิดว่ามันเป็นการเดินทางที่เสี่ยงจนเกินความจำเป็น ก็ขอให้ถอนตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะหากพ้นประตูเมืองไปแล้ว ข้าไม่ขอรับประกันความปลอดภัยกับชีวิตของทุกคน”
มหาอำมาตย์แห่งไมธีร่ากวาดสายตามองจอมเวททั้งสิบอีกครั้งเมื่อกล่าวจบ เมื่อเห็นทุกคนยังนั่งนิ่ง เขาจึงพยักหน้า
“ในเมื่อไม่มีผู้ใดเปลี่ยนใจ ข้าจะขอสรุปสั้นๆ เราจะเดินทางออกจากเมืองวันนี้ตอนเที่ยงตรง ดังนั้นขอให้ทุกท่านเตรียมตัวไว้ให้พร้อม และเพื่อความปลอดภัย ข้าได้จัดทหารร่วมทางไปด้วยสิบคน ข้ารู้ดีว่าจอมเวทอย่างพวกท่านมีฝีมือเก่งกาจ แต่การเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ย่อมดีกว่ากลุ่มย่อย อย่างน้อยพวกเขายังจัดการเรื่องที่พัก อาหารได้ หวังว่าทุกท่านจะเต็มใจยอมรับข้อเสนอนี้”
ออร์เด็นหยุดพูดและมองหน้าจอมเวทอีกครั้งโดยเจาะจงไปที่อาเซอร์บัส เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีอะไรแล้ว เขาจึงยิ้ม
“ขอบคุณที่ไม่คัดค้าน ทีนี้ข้าขอเชิญพวกท่านลุกขึ้นกล่าวแนะนำตัว เพื่อทำความรู้จักกัน”
กล่าวจบมหาอำมาตย์ได้ผายมือไปยังซาเบลซึ่งนั่งอยู่หัวแถว เขาลุกขึ้นและก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้มีตำแหน่งสูงกว่าก่อนกล่าว
“ซาเบลจากเมืองเมทัล เชี่ยวชาญเวทอาวุธ”
เขาค้อมศีรษะอีกครั้งก่อนนั่งลง อัลบอร์ตลุกขึ้นเป็นคนต่อไป
“อัลบอร์ต จากริเวอร์แลนด์ เวทน้ำ”
ออร์เด็นพยักหน้าช้าๆและเลื่อนสายตาไปยังจอมเวทคนต่อไป
“กราวิตี้ มุนดา อดีตนักล่าจากไฮพรีสต์ เวทแรงโน้มถ่วง”
“ไฮพรีสต์” มหาอำมาตย์แห่งไมธีร่าพึมพำออกมาด้วยใบหน้าตระหนก “ข้าเคยได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นนักล่าเงินรางวัล เหตุใดจึงส่งคนมาเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้”
ถามพลางจ้องจอมเวทสาวอย่างระแวง นางก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมก่อนอธิบาย
“ข้าตัดสินใจลงแข่งเอง ทางไฮพรีสต์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น”
เมื่อมุนดากล่าวจบ โหราจารย์ซึ่งยืนเคียงข้างได้หันไปกระซิบเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างการประลองให้มหาอำมาตย์ฟัง พอรู้เรื่องที่นางได้ถอนตัวออกจากการเป็นมือสังหารและกำลังโดนคนกลุ่มนี้ตามล่า เขาจึงนิ่วหน้าอย่างหนักใจ
“ตอนนี้เจ้ากำลังถูกไฮพรีสต์หมายหัว” ออร์เด็นพูดพลางหันไปมองหน้าจอมเวทสาว “คนกลุ่มนี้ไม่เคยปล่อยให้เป้าหมายหลุดมือ พวกเขาจะต้องหาโอกาสเล่นงานเจ้าระหว่างการเดินทางแน่ ดังนั้นข้าคงไม่อาจให้เจ้าเข้าร่วม...”
“คณะเดินทางของท่านมีจอมเวทเก่งกาจถึงสิบคน กลัวอะไรกับมือสังหารกระจอกแค่กลุ่มเดียว”
เสียงเกรย์ทะลุกลางปล้องขึ้นมา มหาอำมาตย์แห่งไมธีร่ามองเขาอย่างนึกแปลกใจ
“เจ้าคือ”
“เกรย์” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ และอมยิ้มเมื่อเห็นโหราจารย์รีบก้มลงไปอธิบายว่าเขาคือใคร ยังไม่ทันที่ออร์เด็นจะกล่าวอะไรหนุ่มมังกรก็พูดต่อ “อย่างที่ท่านผู้เฒ่านั่นบอก ข้าเป็นผู้ใช้เวทเพลิงมังกร ดังนั้นขอให้แน่ใจได้เลยว่า พวกไฮพรีสต์ไม่มีทางเข้ามารบกวนการเดินทางของเราแน่”
“จะให้ข้ามั่นใจได้อย่างไร” ออร์เด็นถาม เกรย์ยักไหล่ก่อนเหลือบตามองเพดานท้องพระโรงและลากสายตาไล่เรื่อยไปโดยรอบพร้อมกับพูด
“ความจริงข้าเองก็อยากแสดงให้ท่านเห็น แต่สถานที่มันไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก เอาเป็นว่า” เขาหยุดพูดพร้อมกับมองหน้ามหาอำมาตย์แห่งไมธีร่าแน่วนิ่ง ประกายไฟสีทองเต้นระริกอยู่ในดวงตาสีเทา “ข้าสามารถเผาปราสาทหลังนี้ให้เป็นจุณได้เพียงชั่วแค่ท่านกะพริบตา”
ออร์เด็นเหลือบตาไปทางอาเซอร์บัสโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงเตือนแล้วเขาจึงหันกลับมาทางเกรย์อีกครั้ง
“คำขู่ที่พูดมาทั้งหมดเพื่อให้ข้ากลัวจนต้องยอมรับจอมเวทหญิงผู้นี้ใช่ไหม” เขาถามเหมือนต้องการหยั่งเชิง เกรย์ยักไหล่
“จะกลัวไปทำไม ข้าไม่ใช่ตัวประหลาดสักหน่อย”