ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 19 อาชาเพลิง

กระทู้สนทนา
บทที่ 18 คำสาปที่มาอย่างเงียบกริบ
http://ppantip.com/topic/31786539

บทที่ 19 อาชาเพลิง
     
  ภายในท้องพระโรง ข้ารับใช้ภายในต่างวิ่งวุ่นนำอาหาร เครื่องดื่มรวมถึงของขบเคี้ยวนานาชนิดมาเอาใจให้กับจอมเวททั้งเจ็ดระหว่างรอ ซึ่งได้ผลสำหรับเกรย์ เพราะเขาสนุกสนานกับการหยิบโน่น โยนนี่เข้าปาก โดยมีมุนดานั่งมองและส่ายหน้าอย่างเอือมระอาอยู่ด้านข้าง ส่วนคิลเลอร์ฟรอสต์กับฮันท์ดื่มแค่น้ำส้มคั้นเพียงหนึ่งแก้วแล้วกอดอกนั่งนิ่ง ต่างจากจอมเวทสาวสุดโหด
เอรา หลังจากดื่มไวน์เข้าไปหนึ่งแก้วก็เริ่มเดินกลับไปกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ยังคงสงวนท่าทีเอาไว้มิได้แสดงอะไรออกมา การรอคอยอันเนิ่นนานทำให้อัลบอร์ตโพล่งขึ้นอย่างหงุดหงิด

“คนพวกนั้นทำอะไรอยู่ จะให้พวกเรารอไปจนถึงเมื่อไหร่”

ซาเบลซึ่งกำลังเติมไวน์ลงในแก้วชำเลืองตามองด้วยความรำคาญ เพราะนับเป็นครั้งที่ห้าแล้วที่เขาได้ยินประโยคนี้

“ใจเย็นน่าอัลบอร์ต ลองเจ้าหญิงลอบเข้าไปแข่งโดยไม่มีใครรู้แบบนี้ คงอีกนานกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง”

“ไร้สาระ ในเมื่อนางอยากไป ก็ปล่อยให้ไปเสียก็สิ้นเรื่อง” อัลบอร์ตพูดพลางกระแทกลมหายใจออกมาอย่างแรง “ให้พวกเรามานั่งรอแบบนี้เสียเวลาเป็นบ้า”

เกรย์มองคนพูดด้วยหางตาอย่างนึกขัน เพราะเท่าที่ผ่านมาอัลบอร์ตดูสุขุมและใจเย็น แต่ที่เห็นในตอนนี้ ตรงกันข้ามกับตอนที่อยู่ในสนามแข่งอย่างสิ้นเชิง คิดพลางหยิบขนมชิ้นหนึ่งโยนเข้าปากก่อนเปรยให้อีกฝ่ายได้ยิน

“พวกเขากำลังมาแล้ว”

ซาเบลมองหน้าเกรย์ด้วยความสงสัยและเตรียมถามว่ารู้ได้ยังไง แต่ต้องชะงักความตั้งใจไว้แค่นั้นเมื่อบานประตูเปิดออก เบอร์ทินาเดินนำเข้ามาก่อน ส่วนอาเซอร์บัสกับเราเชนก้าวตามหลังมาตามลำดับ ปิดท้ายด้วยโหราจารย์และโซลแดท

“มาเสียที” อัลบอร์ตพูดอย่างสิ้นความอดทนพลางกวาดตามองหา “ท่านมหาอำมาตย์ล่ะ”

เบอร์ทิน่าไม่ตอบแต่กลับเดินไปหยุดยืนกลางห้อง รอจนทุกคนยุติการซักถามและมองมาที่นางเป็นตาเดียวแล้ว เด็กสาวจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน

“พวกท่านคงทราบแล้วว่าข้าคือเจ้าหญิงแห่งไมธีร่า และรู้ว่าข้าปลอมตัวเข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้ การกระทำดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับกษัตริย์วาเก็น ราชินีไอด้ารวมถึงมหาอำมาตย์ออร์เด็นเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าทุกพระองค์ต่างไม่ยินยอมให้ข้าออกเดินทาง แต่พออธิบายเหตุผลให้ฟังแล้ว พวกเขาจึงเข้าใจ และเปลี่ยนผู้นำคณะจากท่านมหาอำมาตย์มาเป็นข้า ดังนั้นจึงมีคำถามว่า พวกเจ้ายอมรับได้หรือไม่”

นางไล่สายตามองจอมเวททุกคน เอราเบ้หน้าน้อยๆแต่ไม่ได้พูดอะไร ในขณะที่มุนดา
คิลเลอร์ฟรอสต์กับฮันท์นั่งนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา ส่วนเกรย์ยังคงส่งรอยยิ้มทะเล้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ซาเบลกับอัลบอร์ตหันไปสบตากัน และฝ่ายหลังเป็นคนพูด  

“จะเป็นใครไม่สำคัญ ขอแค่พาเราไปให้ถึงที่นั่นก็พอ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ การเดินทางจะเป็นไปตามกำหนดการเดิม ขอให้พวกท่านไปเตรียมตัวให้พร้อม อีกหนึ่งชั่วโมงไปเจอกันที่ลานหน้าปราสาท เราจะออกจากเมืองตอนเที่ยงตรง"

เบอร์ทิน่ามองจอมเวททุกคนอีกครั้ง เมื่อไม่มีใครสงสัยหรือตั้งคำถาม เด็กสาวจึงออกจากห้องเพื่อจัดเตรียมสิ่งของสำหรับการเดินทาง อันที่จริงนางจัดการทุกอย่างเสร็จตั้งแต่เมื่อคืน แต่พออาเซอร์บัสเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยและเห็นกองสัมภาระสูงท่วมหัวเท่านั้นก็นิ่วหน้า

“เจ้าจะขนไปทำไมตั้งเยอะแยะ”

“เยอะที่ไหน แค่เสื้อผ้าสองหีบกับกระเป๋าใส่เครื่องใช้กระจุกกระจิกอีกห้าใบเท่านั้น” เด็กสาวเถียง อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนอยากเขกศีรษะนางด้วยไม้เท้าในมือแต่พยายามระงับใจเอาไว้ก่อนพูดเสียงเรียบ

“เราไม่ได้ไปเที่ยวนะเจ้าหญิง แค่เสื้อผ้าสองสามชุดกับของใช้จำเป็นนิดหน่อยเท่านั้นก็พอ”

“เสื้อผ้าสองสามชุดมันจะไปพออะไร” เบอร์ทิน่าเถียง อีกฝ่ายส่ายหน้า

“ยังไงเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนมันทุกวันอยู่แล้ว รื้อออกแล้วจัดใหม่ เอาชุดที่คล่องตัวและให้ความอบอุ่นมากที่สุด อย่าลืมผ้าคลุมกับรองเท้าสำรอง เผื่อเปียกน้ำเจ้าจะได้มีเปลี่ยน”

เขาสั่งและทำท่าจะออกจากห้องแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเบอร์ทิน่ายืนนิ่ง “ทำไมยังไม่จัดการอีกละ เจ้าหญิง”

“ทำไมข้าต้องทำตามที่เจ้าสั่งด้วย” เด็กสาวย้อนก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงและยกมือขึ้นกอดอกด้วยกิริยาของสาวน้อยเอาแต่ใจ “ข้าจะขนเสื้อผ้าไปให้หมดตู้เลย”

“แล้วจะให้ใครช่วยถือ” จอมเวทหนุ่มถาม อีกฝ่ายเชิดหน้าขึ้น

“เรามีทหารไปด้ววยตั้งสิบคน แบ่งกันถือคนละใบสองใบก็ได้”

“แล้วกระเป๋าของพวกเขาล่ะ” อาเซอร์บัสถาม เบอร์ทิน่ายักไหล่

“เจ้าก็ไปบอกเขาสิว่าให้เอาเสื้อผ้าไปแค่สองสามชุด ผู้ชายใส่แค่นั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

คราวนี้จอมเวทหนุ่มหันหน้ามาประจันกับนาง และมองด้วยดวงตาที่เบอร์ทิน่าไม่ชอบเลยสักนิด

“ทหารมีหน้าที่ปกป้องพวกเราทั้งสิบคน ไม่ว่างพอจะถือสัมภาระให้ใครหรอก เจ้าหญิง และอย่าหวังให้คนอื่นช่วย เพราะเมื่อพ้นจากประตูวัง เจ้าก็จะเหมือนกับทุกคน คือเป็นเพียงจอมเวทคนหนึ่งที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง”

“ข้ามีราเชน”

เบอร์ทิน่าเถียงอย่างไม่ลดละ อาเซอร์บัสไม่โต้อะไร แต่กลับกล่าวเสียงดุ

“จะยอมรื้อออกดีๆ หรือให้ข้าเผามันให้หมด”

สีหน้าและน้ำเสียงของจอมเวทหนุ่มในตอนนั้น ทำให้เด็กสาวนึกกลัวขึ้นมา แม้จะไม่พอใจแต่นางก็ยอมรื้อของทุกอย่างออกและจัดเตรียมใหม่ โดยเลือกเฉพาะของจำเป็นแต่ก็ยังไม่วายเพิ่มเสื้อไปอีกสองชุด เหมือนแสดงอาการพยศต่อคนสั่งกลายๆ

พอนึกถึงตรงนี้แล้วเบอร์ทิน่าก็อดที่จะชำเลืองมองอาเซอร์บัสด้วยหางตาไม่ได้ เขาจะดูออกหรือเปล่าว่ากระเป๋าของนางใบโตกว่าคนอื่น หรือรู้หรือไม่ว่านางแอบขัดคำสั่งด้วยการเพิ่มชุด และถ้ารู้แล้วเขาจะทำยังไง เผามันตามที่ขู่ หรือโยนทิ้งข้างทาง  

โชคดีที่คนถูกนึกถึงไม่รู้ตัวเลยสักนิด เขายังคงเดินเคียงข้างโดยรักษาระห่างพอสมควร เดินไปได้สักพัก ทั้งหมดต้องหยุดเมื่อเกรย์ซึ่งตามมาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ได้ร้องเรียก

“เฮ้ !”

ทั้งหมดหันไปพร้อมกัน พอเห็นว่าเป็นใคร ราเชนก็ยิ้มกว้างพร้อมกับโบกมือให้ส่วนอาเซอร์บัส ทำหน้าเหมือนอยากสาปให้อีกฝ่ายหายวับไป เพราะสายตาของเกรย์แสดงอย่างแจ่มชัดว่า รู้ระแคะระคายบางอย่าง เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น

“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามพอให้คนทั้งสามได้ยิน พอเห็นเบอร์ทิน่าหันไปสบตาอาเซอร์บัสเหมือนลังเลว่าควรพูดดีหรือไม่ ก็รีบอธิบาย “ข้าสัมผัสถึงจิตของพวกเจ้าตั้งแต่ออกจากห้อง แต่สักพัก จิตของมหาอำมาตย์ออร์เด็นหายไป ถ้าเดาไม่ผิด ตอนนี้เขาคงอยู่ในสภาพเดียวกับจอมเวทที่สู้กับฮันท์ ไม่อย่างนั้คงไม่มีทางปล่อยให้เจ้าหญิงเดินทางไปกับพวกเราแน่”

พูดพลางหันไปจ้องอาเซอร์บัสเชิงคาดคั้น หลังจากนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจเขาจึงผงกศีรษะช้าๆ

“เจ้าพูดถูกทั้งหมด ท่านออร์เด็นถูกคำสาปจนกลายเป็นหินไปแล้ว”

“เหมือนกษัตริย์วาเก็นกับราชินีไอด้า” เกรย์ต่อประโยคและยิ้มเมื่อเห็นดวงตาวาววับของจอมเวทหนุ่ม “เจ้าปิดไม่ได้หรอกอาเซอร์บัส เพราะข้าจับจิตของทั้งสองพระองค์ไม่ได้ตั้งแต่กอนย่างเท้าเข้าเมืองแล้ว”

สิ่งที่ได้ยินอยู่เหนือความคาดหมายของจอมเวทแห่งไมธีร่า เพราะเขามองเกรย์อย่างประหลาดใจก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปนความทึ่งเล็กน้อย

“เจ้าอ่านใจคนได้ด้วยหรือ”

“นิดหน่อย แล้วก็เป็นการสัมผัสจิตมากกว่าอ่านใจ” เกรย์ตอบพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง “มันเป็นความสามารถพิเศษของพวกมังกรน่ะ”  

“แบบนี้เจ้าก็เก่งกว่าอาเซอร์บัสน่ะสิ” ราเชนพูดอย่างกระตือรือร้น แต่หนุ่มมังกรกลับส่ายหน้า

“เขาเก่งกว่าข้ามาก”

“ว้า” เด็กหนุ่มร้องออกมาด้วยความเสียดายและรีบหลบไปยืนข้างหลังเบอร์ทิน่าทันทีเพื่อให้พ้นรัศมีไม้เท้าของอาเซอร์บัส แต่อีกฝ่ายไม่ได้เหลือบแลเลยสักนิด เพราะมัวมุ่งความสนใจไปที่เกรย์

“นอกจากเจ้าแล้วมีใครรู้อีกบ้าง”

“ไม่มี”

“ทำไมถึงมั่นใจนัก”

จอมเวทหนุ่มถาม เกรย์ยักไหล่

“ก็ถ้ารู้ เขาจะถามถึงมหาอำมาตย์ไปทำไม” เขามองอาเซอร์บัสด้วยสายตาอยากรู้ก่อนเอ่ยปากถาม “กษัตริย์กับมหาอำมาตย์กลายเป็นหิน ส่วนเจ้าหญิงเดินทางออกจากเมือง แบบนี้จะไม่เป็นไรหรือ”

“ข้าให้ท่านโหราจารย์เป็นผู้ดูแลแทน” จอมเวทแห่งไมธีร่าตอบ หนุ่มมังกรมุ่นคิ้วด้วยความสงสัยและคลายออกแทบจะในทันทีเหมือนเข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง

“เวทมายา” พูดพลางฉีกยิ้มกว้าง “เจ้าเล่ห์ไม่เบาเลยนะ”

“ลดเสียงลงหนอยได้ไหม” อาเซอร์บัสติงเสียงขุ่นก่อนหันไปทางเบอร์ทิน่า “เจ้าไปเตรียมของให้เรียบร้อย เสร็จแล้วไปเจอกันที่ลานกว้าง”

“แล้วเจ้าล่ะ” เด็กสาวถาม อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับหมุนตัวเดินออกจากที่นั่นโดยไม่ลืมคว้าคอเสื้อราเชนแล้วลากให้ตามไปด้วยกัน พอเห็นดังนั้นนางก็บ่นอุบ “มีลับลมคมในกันเหลือเกิน”

“เขาลงไปตรวจความเรียบร้อยก่อนออกเดินทางน่ะ” เกรย์พูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มทะเล้นให้ “ได้ยินว่าเจ้ายังจัดกระเป๋าไม่เสร็จ ให้ข้าไปช่วยไหม”

เบอร์ทิน่าค้อนขวับและกระแทกเสียงตอบ

“ไปจัดการของเจ้าเถอะ”

ประชดเสร็จก็สะบัดหน้าเดินจากไป หนุ่มมังกรมองตาและหัวเราะหึ หึในลำคอด้วยความขบขันในท่าทางกระเง้ากระงอดของเจ้าหญิงก่อนเดินย้อนกลับไปที่ห้องเพื่อหยิบสัมภาระที่เตรียมไว้ โดยปรกติแล้วเกรย์มักเดินทางโดยมีแค่น้ำดื่มกับเหรียญทองในกระเป๋าเท่านั้น เสื้อผ้าก็มีเพียงชุดหนังสีขาว ไม่จำเป็นต้องมีผ้าคลุมให้รุ่มร่าม แต่เนื่องจากชุดตัวเก่งเสียหายจนใช้การไม่ได้ ประกอบกับการเดินทางในครั้งนี้มีจอมเวทร่วมด้วยถึงเก้าคน โดยสองในนั้นกับทหารอีกกลุ่มเป็นเพียงมนุษยธรรมดา เขาจึงต้องจัดเตรียมของบางอย่างสำหรับใช้ในยามฉุกเฉิน

หยิบกระเป๋าได้ก็ออกจากห้อง ตรงไปยังลานกว้างหน้าปราสาทจึงพบว่า อาเซอร์บัสกับราเชนกำลังตรวจสัมภาระกับความพร้อมของทหาร ไม่นานคิลเลอร์ฟรอสต์กับฮันท์ก็ตามมาสมทบ ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงจอมเวทก็มารวมตัวกันครบทุกคน โดยเบอร์ทิน่าลงมาเป็นคนสุดท้าย

เมื่อพร้อมกันแล้ว เบอร์ทิน่าจึงกล่าวอำลาโหราจารย์ซึ่งอยู่ในสภาพของมหาอำมาตย์ จากนั้นคณะเดินทางจึงเคลื่อนขบวนออกจากเมือง มุ่งหน้าไปยังทิศใต้อันเป็นที่ตั้งของหุบเขาสีน้ำเงิน

การเดินทางในช่วงแรกเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะเส้นทางที่ใช้เป็นถนนของไมธีร่า ซึ่งราบเรียบ และมีความกว้างพอให้รถเทียมม้าสองคันวิ่งสวนกันได้อย่างสบาย  แต่พอพ้นเขตเมือง ถนนดังกล่าวก็เริ่มแคบลง กระทั่งถึงช่วงหนึ่งอาเซอร์บัสก็พาคณะทั้งหมดออกจากทางสัญจร ตรงเข้าไปในป่า ตอนเข้าไปใหม่ๆเบอร์ทิน่ากับราเชนต่างพากันชี้ชวนให้ดูสัตว์น้อยใหญ่อย่างเช่นกระรอก นกและกวางอย่างสนุกสนาน แต่พอเดินลึกเข้าไป ความหนาทึบของต้นไม้แทบกั้นแสงตะวันมิให้ส่องผ่านลงมายังพื้น บรรยากาศจึงดูสลัวจนน่าขนลุก บรรดาสรรพสัตว์ที่เคยวิ่งเล่นหยอกล้อไปตามกิ่งไม้เริ่มน้อยลง และมีสัตว์บางอย่างที่น่าสะพรึงผ่านเข้ามาแทน

หลายครั้งที่ทั้งหมดต้องหยุดเพื่อให้หมูป่าเขี้ยวโง้งเดินผ่าน ความน่ากลัวของมันทำให้ราเชนกับเบอร์ทิน่าถึงกับยืนตัวแข็ง ส่วนเกรย์กลับแสดงอาการกระตือรือร้นที่จะจับสัตว์อ้วนพีตัวนั้นมาเป็นอาหาร ดีที่อาเซอร์บัสห้ามเอาไว้ด้วยเหตุผลว่า แถวนี้ไม่มีแหล่งน้ำ เขาจึงจำต้องมองหมูป่าที่วิ่งห่างออกไปด้วยความเสียดาย

ดวงตะวันที่อ่อนแสงลงทำให้ผืนป่าเริ่มตกอยู่ในความมืด เสียงอัลบอร์ตเปรยออกมาพอให้ทุกคนได้ยินว่าควรหาที่พัก แต่อาเซอร์บัสกลับไม่เห็นด้วย เขายังคงเดินนำทุกคนไปเรื่อยๆ ผ่านดงไม้ที่ออกผลสีแดงสด ราเชนแอบปลิดมาชิมหนึ่งผลและยิ้มกับรสชาติอันหวานฉ่ำ แต่พอจะส่งให้เบอร์ทิน่า ก็ถูกอาเซอร์บัสคว้าข้อมือเอาไว้

“จะกินอะไรให้ถามข้าก่อน”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่