บทที่ 14 พลังสะท้อนของกระจกเงา
http://ppantip.com/topic/31516118
บทที่ 15 ตราปิศาจ
พอแยกจากอาเซอร์บัสแล้ว เกรย์ ราเชนและเบอร์ทิน่าก็มุ่งตรงไปยังโรงอาหาร เนื่องจากเป็นช่วงการแข่งขันผู้คนจึงมีไม่มากเปิดโอกาสให้ราเชนกับกับเกรย์เลือกของกินกันอย่างสนุกสนานต่างจากเบอร์ทิน่าซึ่งหยิบแค่ขนมปังกับนมสดเพียงแก้วเดียว
“กินแค่นั้นมันจะไปอิ่มอะไร” เสียงอู้อี้อันเนื่องมากจากเนื้อแกะย่างที่ล้นอยู่ภายในปากของราเชนดังขึ้นขณะที่เขาและเกรย์ช่วยกันวางอาหารซึ่งหอบมาจนเต็มอ้อมแขนไว้บนโต๊ะ เบอร์ทิน่ามองภูเขาของกินตรงหน้าด้วยความสยอง
“คนกินเหรอเนี่ย” นางพึมพำถามพลางมองราเชนกับเกรย์ด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจว่าทั้งคู่เป็นร่างแปลงของตัวอะไรหรือเปล่า แต่หนุ่มมังกรกลับคว้าหมูย่างชิ้นโตส่งเข้าปาก
“นี่ยังน้อยไป” พูดพลางเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่บุตรชายโหราจารย์กัดเนื้อแกะคำโตและถามทั้งที่อาหารยังเต็มปาก
“เอาอะไรเพิ่มอีกไหม” อีกฝ่ายพยักหน้ารับแต่พอเด็กหนุ่มเตรียมลุกแต่ต้องหยุดชะงักเพราะเบอร์ทิน่าตบโต๊ะดังปังพร้อมกับห้ามเสียงห้วน
“พอได้แล้ว !”
ราเชนค่อยๆกลับลงไปนั่งแต่ยังไม่วายบ่นเบาๆ
“แค่นี้ต้องดุกันด้วย”
“ไม่ได้ดุ แต่ห้ามความบ้าของเจ้าสองคนต่างหาก คิดบ้างหรือเปล่าว่าขนของกินมาขนาดนี้ต้องใช้เวลาแค่ไหนกว่าจะหมด และถ้านั่งกันอยู่ตรงนี้เกิดรอบต่อไปเป็นตาของข้าละจะทำยังไง”
ราเชนทำจมูกยุกยิกเพราะอยากเถียงแต่นึกคำพูดไม่ออกต่างจากเกรย์ที่ยังคงหยิบโน่นหยิบนี่ใส่ปากเหมือนไม่ใส่ใจเสียงบ่นของเด็กสาว พอนางจ้องด้วยดวงตาวาววับเขาก็ฉีกยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ยังไงรอบต่อไปก็ไม่ใช่ตาของเจ้าหรอก”
“รู้ได้ยังไง” เบอร์ทิน่าถามเสียงขุ่น หนุ่มมังกรยักไหล่พลางใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ส่วนมืออีกข้างหยิบน่องไก่ขึ้นมาหมุนเล่น
“องครักษ์ของเจ้ายังอยู่ที่สนามประลองไม่ใช่เหรอ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พอเห็นสีหน้างงงันของเด็กสาวจึงเลิกคิ้วเหมือนแปลกใจในท่าทางของนาง “อ้าวนี่เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”
พอเห็นเบอร์ทิน่าขมวดคิ้วด้วยความงงอย่างหนัก เขาจึงหันไปทางราเชนซึ่งก็พบว่าเด็กหนุ่มกำลังทำหน้าแบบเดียวกัน “เจ้าสองคนไม่รู้จริงๆ”
พูดพลางถอนใจออกมาเบาๆก่อนกัดน่องไก่หนึ่งคำและเคี้ยวเนิบๆเหมือนต้องการยั่วให้ความอยากรู้อยากเห็นของคนทั้งสองพลุ่งพล่าน ซึ่งก็ได้ผลเพราะเบอร์ทิน่าคว้าข้อมือข้างที่ถือไก่เอาไว้และบีบอย่างแรง
“บอกมาเดี๋ยวนี้”
เกรย์แสร้งทำเป็นกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเบื่อหน่ายและยอมวางไก่ชิ้นนั้นลงก่อนถาม
“เคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่าว่าทำไมเจ้าสองคน ไม่สิ เจ้าสามคนถึงอยู่คนละกลุ่มและไม่เคยสู้กันเลยสักครั้ง แถมการแข่งรอบสุดท้ายยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน”
เบอร์ทิน่านิ่วหน้าและนิ่งคิด ส่วนราเชนเบิกตากว้างเหมือนเข้าใจความหมายที่หนุ่มมังกรพูดแทบจะทันที
“อาเซอร์บัส”
“หัวไวดีนี่” เกรย์เอ่ยชมและมองเด็กสาว พอเห็นนางยังคงทำหน้างงเขาจึงอธิบาย “จริงอยู่ที่กฎกติกาการแข่งขันทั้งหมดเป็นงานของท่านโหราจารย์กับคณะกรรมการ แต่จัดลำดับผู้เข้าแข่งขันเป็นฝีมือองครักษ์ของเจ้า ดังนั้นต่อให้ต้องสู้กันกี่รอบ เจ้าทั้งสามก็ไม่มีทางได้เจอกัน รวมทั้งไม่มีโอกาสชนกับข้าและจอมเวทเก่งๆอย่างคิลเลอร์ฟรอสต์ด้วย”
เบอร์ทิน่าอ้าปากค้างเพราะคิดไม่ถึงผิดกับราเชนที่ผงกศีรษะช้าๆ
“มิน่าหมอนั่นถึงแวบหายไปตลอด แต่เขาจะทำแบบนั้นไปทำไม”
“คำตอบง่ายๆ เพื่อช่วยนาง” เกรย์พูดพร้อมกับขยับตัวนั่งตรงและจ้องเด็กสาวเขม็งด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดเจ้าหญิงแห่งไมธีร่าจึงเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ด้วย จะบอกว่าเพียงเพราะต้องการร่วมเดินทางก็ไม่น่าเป็นไปได้ ด้วยตำแหน่งของนางแค่เอ่ยปากคำเดียวก็ได้แล้ว”
เบอร์ทิน่าชักมือกลับอย่างเร็วและรีบเบือนหน้าหนี ราเชนจึงเป็นฝ่ายตอบแทน
“ก็แค่อยากพิสูจน์อะไรนิดหน่อย”
“แล้วไอ้นิดหน่อยที่ว่ามันคืออะไร” เกรย์พูดพลางมองอีกฝ่ายด้วยหางตา “ถ้าแค่ต้องการให้ทุกคนเห็นว่าตัวเองสามารถใช้เวทได้ ก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดใบหน้า”
“ทุกคนก็รู้กันหมดสิว่านางคือเจ้าหญิง”
“แล้วไง” เกรย์ย้อนถามทันควัน “อย่าลืมสิว่าการประลองในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อคัดคนเข้าร่วมเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงิน โดยมีทองคำจำนวนมหาศาลเป็นตัวล่อ รางวัลมีค่าขนาดนี้ทำให้พวกจอมเวทต่อสู้กันอย่างทุ่มสุดตัว และไม่สนหรอกว่านางเป็นใคร ถ้าเพื่อต้องการพิสูจน์พลังเวทของตัวเอง ทำไมลูกชายโหราจารย์กับจอมเวทแห่งไมธีร่าจึงต้องตามมาแข่งด้วย”
ราเชนขยับเพื่ออธิบายแต่ต้องอ้าปากค้างเมื่อเสียงทุ้มของอาเซอร์บัสตอบขึ้นมาแทน
“เพราะมันเป็นหน้าที่ของผู้อารักขา”
หนุ่มมังกรยิ้มมุมปากและย้อนถามโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง
“แล้วเจ้าหนูนี่เล่า เขาเป็นแค่ลูกโหรประจำเมืองไม่ใช่องครํกษ์สักหน่อย จะตามมาแข่งด้วยทำไม”
“มันเป็นความบ้าอย่างไม่เข้าท่า” จอมเวทแห่งไมธีร่าตอบเชิงประชดพร้อมกับมองเกรย์
อย่างจ้องจับผิดก่อนลดน้ำเสียงให้ต่ำลง “แล้วเจ้าละ มาเพื่ออะไร ทองคำหรือผลึกวิญญาณมังกร”
“ข้าไม่สนของไร้สาระพรรค์นั้นหรอก” เกรย์ตอบและเอี้ยวศีรษะไปจ้องประสานตาอาเซอร์บัส “แค่หาเรื่องทำแก้เบื่อเท่านั้น”
“งั้นก็ไม่จำเป็นต้องซักไซ้เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการแข่งขัน” จอมเวทหนุ่มพูดพลางเรียกเปลวไฟสีดำขึ้นมาเผาเนื้อย่างในจานจนไหม้เป็นจุณเหมือนต้องการขู่อีกฝ่ายว่าหากยังขืนวุ่นวายต่อไป อาจเจอแบบนี้ แต่เกรย์หันไปมองและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไฟของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” พูดพลางเกาคางด้วยท่าทางกวนประสาท “แต่ก็อย่างที่เจ้าพูด อยากสนุกก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการแข่งขัน”
เขายื่นมือไปฉีกเนื้อแกะย่างชิ้นโต “เพราะพอชนะ ข้าก็ต้องรู้เรื่องทุกอย่างอยู่ดี”
ไฟสีดำปะทุวาบขึ้นเผาเนื้อในมือจนกลายเป็นผงถ่านสีเทา
“แค่บางเรื่องเท่านั้น”
อาเซอร์บัสพูด คิ้วสีเข้มของเกรย์เลิกขึ้นด้วยความตระหนกก่อนเปลี่ยนเป็นขมวดเข้าหากันอย่างนึกฉุน
“พูดเฉยๆไม่เป็นหรือไง” เขามองเถ้าบนโต๊ะ “เสียดายชะมัด เนื้อนี่อร่อยมากด้วย”
“ยังมีแกะอีกเป็นฝูง ถ้าชอบเดี๋ยวข้าจะเผามาให้” อาเซอร์บัสตอบด้วยสีหน้ายียวนไม้แพ้กัน แต่เกรย์กลับยิ้ม
“ฝีมือทำอาหารของเจ้ามันห่วยจนข้ากินไม่ลง” พูดจบก็หยิบแฮมใส่ปากสองสามชิ้นตามด้วยน้ำผลไม้แก้วใบโตจากนั้นจึงลุกขึ้น “ไปกันหรือยัง”
“อะไรนะ” ราเชนถามพลางมองกองอาหารบนโต๊ะ “แต่เรายัง...”
“รอบต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว” หนุ่มมังกรพูด ท่าทางเป็นคู่น่าสนใจเสียด้วย ใช่ไหม” ประโยคสุดท้ายหันไปทางจอมเวทแห่งไมธีร่า เขาผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม
“ฮันท์กับจอมเวทที่ข้าไม่รู้จัก แต่พลังของเขาแรงไม่ใช่เล่น”
“ถ้าเรื่องแค่นั้นเจ้าคงไม่ถ่อสังขารมาตามข้าหรอก” เกรย์พูดพลางมองอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน อาเซอร์บัสทำหน้าเหมือนอยากร่ายเวทเรียกไฟดำขึ้นมาเผาคนตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้แต่ก็ระงับใจเอาไว้ก่อนตอบ
“ข้าได้กลิ่นไม่ค่อยดี”
“หมอนั่นไม่ได้อาบน้ำมาแหง” ราเชนพูดอย่างคะนองและปิดปากเงียบเมื่อเห็นสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของอาเซอร์บัส พอเห็นท่าไม่ดีเบอร์ทิน่าจึงรีบตัดบท
“งั้นรีบไปกันเถอะ”
ราเชนเดินลิ่วนำหน้าออกไปทันที ทั้งหมดไปถึงสนามประลองเวลาเดียวกันกับที่ฮันท์กับคู่แข่งกำลังเดินเข้าไปในสนาม ซึ่งเป็นจริงอย่างที่อาเซอร์บัสพูด แม้จอมเวทผู้นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนชายฉกรรจ์วัยสามสิบต้นทั่วไป แต่เครื่องแต่งกายที่ปกคลุมอย่างมิดชิดกับใบหน้าสงบนิ่งราวกับรูปปั้นก่อให้เกิดความน่าสะพรึงได้อย่างน่าประหลาด ยิ่งได้เห็นดวงตาสีแดงก่ำภายใต้เบ้าลึกด้วยแล้ว ทุกคนยิ่งรู้สึกว่าจอมเวทผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา หรือถ้าเป็นมนุษย์ ก็คงเป็นพวกที่ถูกเวทสายมืดกลืนกินวิญญาณไปจนหมดความเป็นคน
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนก็คือ ผู้ลงมือคนแรกกลับเป็นฮันท์ พอเสียงระฆังดังขึ้นเขาก็ใช้ร่ายเวทสร้างเข็มสีดำแหลมเล็กคล้ายขนเม่นขึ้นมาเป็นจำนวนมากและส่งเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ทันที อีกฝ่ายเพียงยกมือขึ้นสร้างวงแหวนมนตราเป็นโล่กำบัง สลายเข็มเหล่านั้นจนป่นเป็นผง แทนที่จะลงมือตอบโต้เขากลับยืนนิ่งรอให้ฮันท์จู่โจมอีกครั้ง และทำลายมันลงด้วยวงแหวนมนตราอันเดียวกันนั้นเอง
“เสียแรงเปล่าน่าฮันท์ ไม่ว่าเจ้าจะลงมือกี่ครั้งผลของมันก็เหมือนเดิม” จอมเวทนิรนามกล่าวด้วยน้ำเสียงหยาดเหยียด แต่สิ่งที่ทำให้ฮันท์โกรธจนตัวสั่นคือประโยคต่อมา “ไม่ต่างไปจากตอนที่เราสู้กันในวู้ดแลนด์”
ชื่อเมืองที่หลุดออกจากปากทำให้เกรย์ขยับตัวอย่างหวาดระแวงในทันที
“เจ้านั่นรู้เรื่องนั้นได้ยังไง”
“คงเป็นพวกเดียวกัน” อาเซอร์บัสพูด ราเชนมองทั้งสองอย่างงุนงงก่อนเอ่ยปากถาม
“เรื่องอะไรเหรอ”
“ความพินาศของวู้ดแลนด์” หนุ่มมังกรตอบด้วยใบหน้านิ่ง แต่ราเชนกลับเห็นอะไรบางอย่างเต้นระริกอยู่ในดวงตา ซึ่งเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นความหวาดกลัว หรือตื่นเต้น
“เมืองคู่ค้าของไมธีร่า ที่เกิดแผ่นดินไหวจนหายไปทั้งเมืองน่ะเหรอ แต่นั้นมันนานมาแล้วนี่”
“ไม่ใช่แผ่นดินไหว แต่ถูกคนกลุ่มหนึ่งใช้พลังชั่วร้ายทำลายจนย่อยยับไปทั้งเมือง ได้ยินมาว่ามีจอมเวทคนหนึ่งยืนหยัดสู้จนวาระสุดท้าย แต่ก็ไม่มีใครรอด” เกรย์อธิบายพลางเลื่อนสายตาจ้องฮันท์นิ่ง “หรือตาลุงนั่นคือ”
คนที่พูดถึงยืนกำหมัดแน่น ดวงที่มองคู่ต่อสู้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างแสนสาหัสจนแทบถลนออกมานอกเบ้า
“ข้าไม่ใช่ฮันท์คนเดิม” คลื่นพิฆาตพวยพุ่งออกจากร่างสร้างกระแสลมหมุนปั่นป่วนอย่างรุนแรง แต่อีกฝ่ายกลับไม่แสดงอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับปลดวงแหวนมนตราลงและกางแขนทั้งสองข้างออกเหมือนพร้อมรับการโจมตีของฮันท์ด้วยซ้ำ
“ลงมือได้เลย”
จอมเวทนิรนามร้องท้า ฮันท์คำรามลั่นด้วยความโกรธ เขายื่นแขนไปข้างหน้าและรวบมือเข้าด้วยกันดึงคลื่นพิฆาตให้รวมตัวกันเป็นก้อนกลม มันเปลี่ยนรูปร่างเป็นส่วนหัวของพญาช้างสารก่อนพุ่งเข้ากระแทกร่างผอมสูงของคู่ต่อสู้จนถอยหลังไปสองสามก้าว และหมุนคว้างอยู่อย่างนั้นกระทั่งอีกฝ่ายตะครุบมันเอาไว้ด้วยมือเปล่าก่อนฉีกจนเป็นชิ้น
“เหลือเชื่อ” เกรย์พึมพำด้วยความตระหนก ต่างกับฮันท์ที่ขบกรามด้วยความแค้น พอเห็นว่าลำพังพลังเวทไม่สามารถทำอะไรคู่ต่อสู้ได้เขาจึงร่ายมนตร์เรียกกำลังของหมีมาสถิตที่แขนทั้งสองข้างจากนั้นก็วิ่งเข้าใส่จอมเวทนิรนามพร้อมกับเงื้อกำปั้นขึ้นเพื่อตะบันให้น่วมไปทั้งตัว เมื่อเข้าในไประยะประชิด ฮันท์เหวี่ยงหมัดแรกไปที่ใบหน้าแต่อีกฝ่ายกลับถอยฉากหลบไปได้อย่างเฉียดฉิว หมัดที่สองจึงเล็งไปที่ลำตัว ซึ่งจอมเวทผู้นั้นก็เบี่ยงตัวหนีด้วยความว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อ พอพลาดเป้าซ้อนกันถึงสองหมัด ฮันท์จึงเปลี่ยนการบุกโดยใช้วิธีเตะ คราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาไม่หลบ แต่กลับรับท่อนขาใหญ่โตนั่นเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว แม้ร่างกายจะเล็กกว่าแต่พละกำลังของจอมเวทผู้นั้นกลับมากมายอย่างเหลือเชื่อ ฮันท์พยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงขาข้างนั้นกลับแต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าใด มันก็ไม่หลุดจากมือผอมเกร็งที่ขยุ้มข้อเท้าเอาไว้ราวกับขาแมงมุม พอเห็นเขาดิ้นรนจนเหงื่อท่วมตัวจอมเวทนิรนามผู้นั้นก็ฉีกยิ้ม
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 15 ตราปิศาจ
http://ppantip.com/topic/31516118
บทที่ 15 ตราปิศาจ
พอแยกจากอาเซอร์บัสแล้ว เกรย์ ราเชนและเบอร์ทิน่าก็มุ่งตรงไปยังโรงอาหาร เนื่องจากเป็นช่วงการแข่งขันผู้คนจึงมีไม่มากเปิดโอกาสให้ราเชนกับกับเกรย์เลือกของกินกันอย่างสนุกสนานต่างจากเบอร์ทิน่าซึ่งหยิบแค่ขนมปังกับนมสดเพียงแก้วเดียว
“กินแค่นั้นมันจะไปอิ่มอะไร” เสียงอู้อี้อันเนื่องมากจากเนื้อแกะย่างที่ล้นอยู่ภายในปากของราเชนดังขึ้นขณะที่เขาและเกรย์ช่วยกันวางอาหารซึ่งหอบมาจนเต็มอ้อมแขนไว้บนโต๊ะ เบอร์ทิน่ามองภูเขาของกินตรงหน้าด้วยความสยอง
“คนกินเหรอเนี่ย” นางพึมพำถามพลางมองราเชนกับเกรย์ด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจว่าทั้งคู่เป็นร่างแปลงของตัวอะไรหรือเปล่า แต่หนุ่มมังกรกลับคว้าหมูย่างชิ้นโตส่งเข้าปาก
“นี่ยังน้อยไป” พูดพลางเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่บุตรชายโหราจารย์กัดเนื้อแกะคำโตและถามทั้งที่อาหารยังเต็มปาก
“เอาอะไรเพิ่มอีกไหม” อีกฝ่ายพยักหน้ารับแต่พอเด็กหนุ่มเตรียมลุกแต่ต้องหยุดชะงักเพราะเบอร์ทิน่าตบโต๊ะดังปังพร้อมกับห้ามเสียงห้วน
“พอได้แล้ว !”
ราเชนค่อยๆกลับลงไปนั่งแต่ยังไม่วายบ่นเบาๆ
“แค่นี้ต้องดุกันด้วย”
“ไม่ได้ดุ แต่ห้ามความบ้าของเจ้าสองคนต่างหาก คิดบ้างหรือเปล่าว่าขนของกินมาขนาดนี้ต้องใช้เวลาแค่ไหนกว่าจะหมด และถ้านั่งกันอยู่ตรงนี้เกิดรอบต่อไปเป็นตาของข้าละจะทำยังไง”
ราเชนทำจมูกยุกยิกเพราะอยากเถียงแต่นึกคำพูดไม่ออกต่างจากเกรย์ที่ยังคงหยิบโน่นหยิบนี่ใส่ปากเหมือนไม่ใส่ใจเสียงบ่นของเด็กสาว พอนางจ้องด้วยดวงตาวาววับเขาก็ฉีกยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ยังไงรอบต่อไปก็ไม่ใช่ตาของเจ้าหรอก”
“รู้ได้ยังไง” เบอร์ทิน่าถามเสียงขุ่น หนุ่มมังกรยักไหล่พลางใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ส่วนมืออีกข้างหยิบน่องไก่ขึ้นมาหมุนเล่น
“องครักษ์ของเจ้ายังอยู่ที่สนามประลองไม่ใช่เหรอ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พอเห็นสีหน้างงงันของเด็กสาวจึงเลิกคิ้วเหมือนแปลกใจในท่าทางของนาง “อ้าวนี่เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”
พอเห็นเบอร์ทิน่าขมวดคิ้วด้วยความงงอย่างหนัก เขาจึงหันไปทางราเชนซึ่งก็พบว่าเด็กหนุ่มกำลังทำหน้าแบบเดียวกัน “เจ้าสองคนไม่รู้จริงๆ”
พูดพลางถอนใจออกมาเบาๆก่อนกัดน่องไก่หนึ่งคำและเคี้ยวเนิบๆเหมือนต้องการยั่วให้ความอยากรู้อยากเห็นของคนทั้งสองพลุ่งพล่าน ซึ่งก็ได้ผลเพราะเบอร์ทิน่าคว้าข้อมือข้างที่ถือไก่เอาไว้และบีบอย่างแรง
“บอกมาเดี๋ยวนี้”
เกรย์แสร้งทำเป็นกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเบื่อหน่ายและยอมวางไก่ชิ้นนั้นลงก่อนถาม
“เคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่าว่าทำไมเจ้าสองคน ไม่สิ เจ้าสามคนถึงอยู่คนละกลุ่มและไม่เคยสู้กันเลยสักครั้ง แถมการแข่งรอบสุดท้ายยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน”
เบอร์ทิน่านิ่วหน้าและนิ่งคิด ส่วนราเชนเบิกตากว้างเหมือนเข้าใจความหมายที่หนุ่มมังกรพูดแทบจะทันที
“อาเซอร์บัส”
“หัวไวดีนี่” เกรย์เอ่ยชมและมองเด็กสาว พอเห็นนางยังคงทำหน้างงเขาจึงอธิบาย “จริงอยู่ที่กฎกติกาการแข่งขันทั้งหมดเป็นงานของท่านโหราจารย์กับคณะกรรมการ แต่จัดลำดับผู้เข้าแข่งขันเป็นฝีมือองครักษ์ของเจ้า ดังนั้นต่อให้ต้องสู้กันกี่รอบ เจ้าทั้งสามก็ไม่มีทางได้เจอกัน รวมทั้งไม่มีโอกาสชนกับข้าและจอมเวทเก่งๆอย่างคิลเลอร์ฟรอสต์ด้วย”
เบอร์ทิน่าอ้าปากค้างเพราะคิดไม่ถึงผิดกับราเชนที่ผงกศีรษะช้าๆ
“มิน่าหมอนั่นถึงแวบหายไปตลอด แต่เขาจะทำแบบนั้นไปทำไม”
“คำตอบง่ายๆ เพื่อช่วยนาง” เกรย์พูดพร้อมกับขยับตัวนั่งตรงและจ้องเด็กสาวเขม็งด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดเจ้าหญิงแห่งไมธีร่าจึงเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ด้วย จะบอกว่าเพียงเพราะต้องการร่วมเดินทางก็ไม่น่าเป็นไปได้ ด้วยตำแหน่งของนางแค่เอ่ยปากคำเดียวก็ได้แล้ว”
เบอร์ทิน่าชักมือกลับอย่างเร็วและรีบเบือนหน้าหนี ราเชนจึงเป็นฝ่ายตอบแทน
“ก็แค่อยากพิสูจน์อะไรนิดหน่อย”
“แล้วไอ้นิดหน่อยที่ว่ามันคืออะไร” เกรย์พูดพลางมองอีกฝ่ายด้วยหางตา “ถ้าแค่ต้องการให้ทุกคนเห็นว่าตัวเองสามารถใช้เวทได้ ก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดใบหน้า”
“ทุกคนก็รู้กันหมดสิว่านางคือเจ้าหญิง”
“แล้วไง” เกรย์ย้อนถามทันควัน “อย่าลืมสิว่าการประลองในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อคัดคนเข้าร่วมเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงิน โดยมีทองคำจำนวนมหาศาลเป็นตัวล่อ รางวัลมีค่าขนาดนี้ทำให้พวกจอมเวทต่อสู้กันอย่างทุ่มสุดตัว และไม่สนหรอกว่านางเป็นใคร ถ้าเพื่อต้องการพิสูจน์พลังเวทของตัวเอง ทำไมลูกชายโหราจารย์กับจอมเวทแห่งไมธีร่าจึงต้องตามมาแข่งด้วย”
ราเชนขยับเพื่ออธิบายแต่ต้องอ้าปากค้างเมื่อเสียงทุ้มของอาเซอร์บัสตอบขึ้นมาแทน
“เพราะมันเป็นหน้าที่ของผู้อารักขา”
หนุ่มมังกรยิ้มมุมปากและย้อนถามโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง
“แล้วเจ้าหนูนี่เล่า เขาเป็นแค่ลูกโหรประจำเมืองไม่ใช่องครํกษ์สักหน่อย จะตามมาแข่งด้วยทำไม”
“มันเป็นความบ้าอย่างไม่เข้าท่า” จอมเวทแห่งไมธีร่าตอบเชิงประชดพร้อมกับมองเกรย์
อย่างจ้องจับผิดก่อนลดน้ำเสียงให้ต่ำลง “แล้วเจ้าละ มาเพื่ออะไร ทองคำหรือผลึกวิญญาณมังกร”
“ข้าไม่สนของไร้สาระพรรค์นั้นหรอก” เกรย์ตอบและเอี้ยวศีรษะไปจ้องประสานตาอาเซอร์บัส “แค่หาเรื่องทำแก้เบื่อเท่านั้น”
“งั้นก็ไม่จำเป็นต้องซักไซ้เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการแข่งขัน” จอมเวทหนุ่มพูดพลางเรียกเปลวไฟสีดำขึ้นมาเผาเนื้อย่างในจานจนไหม้เป็นจุณเหมือนต้องการขู่อีกฝ่ายว่าหากยังขืนวุ่นวายต่อไป อาจเจอแบบนี้ แต่เกรย์หันไปมองและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไฟของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” พูดพลางเกาคางด้วยท่าทางกวนประสาท “แต่ก็อย่างที่เจ้าพูด อยากสนุกก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการแข่งขัน”
เขายื่นมือไปฉีกเนื้อแกะย่างชิ้นโต “เพราะพอชนะ ข้าก็ต้องรู้เรื่องทุกอย่างอยู่ดี”
ไฟสีดำปะทุวาบขึ้นเผาเนื้อในมือจนกลายเป็นผงถ่านสีเทา
“แค่บางเรื่องเท่านั้น”
อาเซอร์บัสพูด คิ้วสีเข้มของเกรย์เลิกขึ้นด้วยความตระหนกก่อนเปลี่ยนเป็นขมวดเข้าหากันอย่างนึกฉุน
“พูดเฉยๆไม่เป็นหรือไง” เขามองเถ้าบนโต๊ะ “เสียดายชะมัด เนื้อนี่อร่อยมากด้วย”
“ยังมีแกะอีกเป็นฝูง ถ้าชอบเดี๋ยวข้าจะเผามาให้” อาเซอร์บัสตอบด้วยสีหน้ายียวนไม้แพ้กัน แต่เกรย์กลับยิ้ม
“ฝีมือทำอาหารของเจ้ามันห่วยจนข้ากินไม่ลง” พูดจบก็หยิบแฮมใส่ปากสองสามชิ้นตามด้วยน้ำผลไม้แก้วใบโตจากนั้นจึงลุกขึ้น “ไปกันหรือยัง”
“อะไรนะ” ราเชนถามพลางมองกองอาหารบนโต๊ะ “แต่เรายัง...”
“รอบต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว” หนุ่มมังกรพูด ท่าทางเป็นคู่น่าสนใจเสียด้วย ใช่ไหม” ประโยคสุดท้ายหันไปทางจอมเวทแห่งไมธีร่า เขาผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม
“ฮันท์กับจอมเวทที่ข้าไม่รู้จัก แต่พลังของเขาแรงไม่ใช่เล่น”
“ถ้าเรื่องแค่นั้นเจ้าคงไม่ถ่อสังขารมาตามข้าหรอก” เกรย์พูดพลางมองอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน อาเซอร์บัสทำหน้าเหมือนอยากร่ายเวทเรียกไฟดำขึ้นมาเผาคนตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้แต่ก็ระงับใจเอาไว้ก่อนตอบ
“ข้าได้กลิ่นไม่ค่อยดี”
“หมอนั่นไม่ได้อาบน้ำมาแหง” ราเชนพูดอย่างคะนองและปิดปากเงียบเมื่อเห็นสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของอาเซอร์บัส พอเห็นท่าไม่ดีเบอร์ทิน่าจึงรีบตัดบท
“งั้นรีบไปกันเถอะ”
ราเชนเดินลิ่วนำหน้าออกไปทันที ทั้งหมดไปถึงสนามประลองเวลาเดียวกันกับที่ฮันท์กับคู่แข่งกำลังเดินเข้าไปในสนาม ซึ่งเป็นจริงอย่างที่อาเซอร์บัสพูด แม้จอมเวทผู้นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนชายฉกรรจ์วัยสามสิบต้นทั่วไป แต่เครื่องแต่งกายที่ปกคลุมอย่างมิดชิดกับใบหน้าสงบนิ่งราวกับรูปปั้นก่อให้เกิดความน่าสะพรึงได้อย่างน่าประหลาด ยิ่งได้เห็นดวงตาสีแดงก่ำภายใต้เบ้าลึกด้วยแล้ว ทุกคนยิ่งรู้สึกว่าจอมเวทผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา หรือถ้าเป็นมนุษย์ ก็คงเป็นพวกที่ถูกเวทสายมืดกลืนกินวิญญาณไปจนหมดความเป็นคน
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนก็คือ ผู้ลงมือคนแรกกลับเป็นฮันท์ พอเสียงระฆังดังขึ้นเขาก็ใช้ร่ายเวทสร้างเข็มสีดำแหลมเล็กคล้ายขนเม่นขึ้นมาเป็นจำนวนมากและส่งเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ทันที อีกฝ่ายเพียงยกมือขึ้นสร้างวงแหวนมนตราเป็นโล่กำบัง สลายเข็มเหล่านั้นจนป่นเป็นผง แทนที่จะลงมือตอบโต้เขากลับยืนนิ่งรอให้ฮันท์จู่โจมอีกครั้ง และทำลายมันลงด้วยวงแหวนมนตราอันเดียวกันนั้นเอง
“เสียแรงเปล่าน่าฮันท์ ไม่ว่าเจ้าจะลงมือกี่ครั้งผลของมันก็เหมือนเดิม” จอมเวทนิรนามกล่าวด้วยน้ำเสียงหยาดเหยียด แต่สิ่งที่ทำให้ฮันท์โกรธจนตัวสั่นคือประโยคต่อมา “ไม่ต่างไปจากตอนที่เราสู้กันในวู้ดแลนด์”
ชื่อเมืองที่หลุดออกจากปากทำให้เกรย์ขยับตัวอย่างหวาดระแวงในทันที
“เจ้านั่นรู้เรื่องนั้นได้ยังไง”
“คงเป็นพวกเดียวกัน” อาเซอร์บัสพูด ราเชนมองทั้งสองอย่างงุนงงก่อนเอ่ยปากถาม
“เรื่องอะไรเหรอ”
“ความพินาศของวู้ดแลนด์” หนุ่มมังกรตอบด้วยใบหน้านิ่ง แต่ราเชนกลับเห็นอะไรบางอย่างเต้นระริกอยู่ในดวงตา ซึ่งเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นความหวาดกลัว หรือตื่นเต้น
“เมืองคู่ค้าของไมธีร่า ที่เกิดแผ่นดินไหวจนหายไปทั้งเมืองน่ะเหรอ แต่นั้นมันนานมาแล้วนี่”
“ไม่ใช่แผ่นดินไหว แต่ถูกคนกลุ่มหนึ่งใช้พลังชั่วร้ายทำลายจนย่อยยับไปทั้งเมือง ได้ยินมาว่ามีจอมเวทคนหนึ่งยืนหยัดสู้จนวาระสุดท้าย แต่ก็ไม่มีใครรอด” เกรย์อธิบายพลางเลื่อนสายตาจ้องฮันท์นิ่ง “หรือตาลุงนั่นคือ”
คนที่พูดถึงยืนกำหมัดแน่น ดวงที่มองคู่ต่อสู้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างแสนสาหัสจนแทบถลนออกมานอกเบ้า
“ข้าไม่ใช่ฮันท์คนเดิม” คลื่นพิฆาตพวยพุ่งออกจากร่างสร้างกระแสลมหมุนปั่นป่วนอย่างรุนแรง แต่อีกฝ่ายกลับไม่แสดงอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับปลดวงแหวนมนตราลงและกางแขนทั้งสองข้างออกเหมือนพร้อมรับการโจมตีของฮันท์ด้วยซ้ำ
“ลงมือได้เลย”
จอมเวทนิรนามร้องท้า ฮันท์คำรามลั่นด้วยความโกรธ เขายื่นแขนไปข้างหน้าและรวบมือเข้าด้วยกันดึงคลื่นพิฆาตให้รวมตัวกันเป็นก้อนกลม มันเปลี่ยนรูปร่างเป็นส่วนหัวของพญาช้างสารก่อนพุ่งเข้ากระแทกร่างผอมสูงของคู่ต่อสู้จนถอยหลังไปสองสามก้าว และหมุนคว้างอยู่อย่างนั้นกระทั่งอีกฝ่ายตะครุบมันเอาไว้ด้วยมือเปล่าก่อนฉีกจนเป็นชิ้น
“เหลือเชื่อ” เกรย์พึมพำด้วยความตระหนก ต่างกับฮันท์ที่ขบกรามด้วยความแค้น พอเห็นว่าลำพังพลังเวทไม่สามารถทำอะไรคู่ต่อสู้ได้เขาจึงร่ายมนตร์เรียกกำลังของหมีมาสถิตที่แขนทั้งสองข้างจากนั้นก็วิ่งเข้าใส่จอมเวทนิรนามพร้อมกับเงื้อกำปั้นขึ้นเพื่อตะบันให้น่วมไปทั้งตัว เมื่อเข้าในไประยะประชิด ฮันท์เหวี่ยงหมัดแรกไปที่ใบหน้าแต่อีกฝ่ายกลับถอยฉากหลบไปได้อย่างเฉียดฉิว หมัดที่สองจึงเล็งไปที่ลำตัว ซึ่งจอมเวทผู้นั้นก็เบี่ยงตัวหนีด้วยความว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อ พอพลาดเป้าซ้อนกันถึงสองหมัด ฮันท์จึงเปลี่ยนการบุกโดยใช้วิธีเตะ คราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาไม่หลบ แต่กลับรับท่อนขาใหญ่โตนั่นเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว แม้ร่างกายจะเล็กกว่าแต่พละกำลังของจอมเวทผู้นั้นกลับมากมายอย่างเหลือเชื่อ ฮันท์พยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงขาข้างนั้นกลับแต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าใด มันก็ไม่หลุดจากมือผอมเกร็งที่ขยุ้มข้อเท้าเอาไว้ราวกับขาแมงมุม พอเห็นเขาดิ้นรนจนเหงื่อท่วมตัวจอมเวทนิรนามผู้นั้นก็ฉีกยิ้ม