บทที่ 6 จอมเวทมังกรไฟ
http://ppantip.com/topic/31380528
บทที่ 7 อิทธิฤทธิ์ของเวทดวงดาว
ตอนที่ได้รับคำปลอบใจจากอาเซอร์บัส เบอร์ทิน่าบังเกิดความโล่งใจและฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง นางพร่ำบอกตัวเองตลอดเวลาว่า ต้องทำได้ แต่พอมายืนต่อหน้าจอมเวทซึ่งดูเหมือนจะมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ถึงสี่คนแล้ว ใจที่เคยพองโตก็แป้วลงอีกครั้ง ครั้นจะหันไปขอกำลังใจจากคนข้างสนาม กลับโดนอำนาจสายตาของจอมเวทตรงหน้าตรึงเอาไว้จนไม่กล้ากระดุกกระดิก เมื่อไม่รู้จะทำยังไงเด็กสาวจึงฝืนส่งยิ้มให้กับทุกคนแต่กลับโดนจอมเวทสาวท่าทางยโสถามเสียงกระด้าง
“ยิ้มอะไร” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคมกริบมองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ริมฝีปากที่ระบายด้วยสีแดงสดเหยียดเยาะ “ใส่เกราะแบบนี้แล้วคิดว่าทำให้ตัวเองน่ารักขึ้นหรือไง”
รอยยิ้มหุบลงฉับพลัน เบอร์ทิน่าค้อนขวับ เมื่อมีอารมณ์โกรธ ความหวาดกลัวก็พอจะสงบลงได้บ้าง เพื่อรวบรวมสมาธิให้ตั้งมั่นไม่วอกแวก นางจึงเฝ้าบอกตัวเองในใจว่า เพื่อท่านพ่อกับท่านแม่แล้ว นางต้องสู้ และต้องชนะ เด็กสาวคิดพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พอสงบจิตใจได้แล้วนางจึงเริ่มมองคู่ต่อสู้ไปทีละคน เพื่อประเมินพลัง คนแรกเป็นผู้ชายผอมสูงผิวซีด ใบหน้าตอบขอบตาคล้ำเหมือนคนอดนอน ดวงตาแข็งกระด้างกลอกไปมาหลุกหลิก สภาพเหมือนศพเดินได้ของเขาทำให้เบอร์ทิน่านึกกลัวขึ้นมา นางจึงรีบเบนหน้าไปยังคนต่อไปซึ่งเป็นจอมเวทหญิงในเครื่องแต่งกายสุภาพหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ มือทั้งสองประสานไว้ข้างหน้าและวนนิ้วหัวแม่มือไปมาเหมือนกำลังกระดากอาย แต่พอรู้ตัวว่าโดนจ้อง นางก็หันมามองและเอียงคอน้อยๆพร้อมกับส่งยิ้มอย่างน่ารักให้เบอร์ทิน่า เด็กสาวจึงยิ้มรับ และนึกโล่งใจว่า อย่างน้อยรอบนี้ก็มีจอมเวทที่ดีบ้าง
คนต่อไปเป็นชายร่างยักษ์สวมชุดตัดจากขนสัตว์มีหัวหมีครอบไว้บนศีรษะ ความน่ากลัวของเขาไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา เสียงลมหายใจฟืดฟาดเหมือนสัตว์ป่า กับท่าทางที่ดูกระเหี้ยนกระหือรืออยู่ตลอดเวลาทำให้เด็กสาวใจฝ่อจนไม่กล้ามองอีกต่อไป คนสุดท้ายเป็นจอมเวทหญิงดวงตาสีน้ำเงินที่ปะทะคารมกันครั้งแรก เครื่องแต่งกายของนางดูแปลกตากว่าคนอื่นเพราะเป็นเสื้อสีขาวที่มีแขนกว้าง กางเกงสีแดงสดตัวโตจนคล้ายกระโปรง นางยืนกอดอกนิ่งไม่ไหวติง แม้ดวงตาก็ดูสงบนิ่งจนอ่านไม่ออกว่าคิดสิ่งใดอยู่ เบอร์ทิน่าพยายามเดาว่าแต่ละคนใช้เวทแบบไหน แต่ความอ่อนด้อยทำให้นางดูไม่ออกเลยว่าแต่ละคนมีอำนาจแบบใด
เสียงระฆังการแข่งขันดังขึ้น จอมเวทหญิงชุดขาวดึงยันต์ในอกเสื้อออกมาโปรยและร่ายมนตราอย่างรัวเร็ว แสงสว่างปะทุวาบขึ้น แผ่นยันต์เหล่านั้นแปรสภาพเป็นสัตว์ร้ายหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว เบอร์ทิน่าผงะถอยหลังด้วยความตระหนก แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นแปลกใจเมื่อสัตว์เหล่านั้นพุ่งเข้ามากระทบกับอะไรบางอย่างและหยุดอยู่แค่นั้น พวกมันตะกายอากาศอย่างบ้าคลั่งเพราะไม่อาจเข้าไปทำร้ายนางได้
“เกราะแคปปริโคนัส” อีกฝ่ายพูดพลางยกมือข้างหนึ่งและร่ายเวท ร่างกายของสัตว์อสูรมีหนามแหลมคมผุดขึ้นทั้งตัว มันแยกเขี้ยวส่งเสียงร้องคำรามอย่างดุร้ายและกระโจนเข้าโจมตีเบอร์ทิน่าอีกครั้ง แต่กลับถูกเผาจนพินาศด้วยเปลวไฟที่พุ่งมาจากด้านข้าง
“มาสู้กับข้าดีกว่าเจ้าคนทรง” ชายในชุดขนหมีพูดเสียงดังพลางเหวี่ยงหมัดที่หุ้มด้วยหินไปข้างหน้า แรงกระแทกที่อัดลงไปอากาศอย่างแรงสร้างคลื่นทำลายขนาดใหญ่พุ่งออกไปหมายฉีกร่างคู่ต่อสู้ให้เป็นชิ้น แต่จอมเวทหญิงกลับสะบัดแถบกระดาษให้หมุนเป็นวงรอบตัว สะท้อนแรงนั้นจนสลาย อีกฝ่ายแสยะยิ้ม
“คิดจะสู้กับข้าด้วยกระดาษพวกนี้หรือ”
“อย่าประมาทไปนักเจ้าสัตว์ป่า” นางกล่าวพร้อมกับวาดแขนเป็นวงและกรีดนิ้ว “กระดาษบางๆสามารถเชือดคอคนได้”
แถบกระดาษที่หมุนวนรอบตัวเคลื่อนไหวไปมาเหมือนมีชีวิต ส่วนปลายของมันพับงอลงจนดูคล้ายส่วนหัวของงู ตอนแรกมันพุ่งเข้าไปหาเบอร์ทิน่าแต่อำนาจของแคปปริทำให้มันไม่อานผ่านกำแพงป้องกันเข้าไปได้ งูเวทจึงเบนเป้าหมายไปที่ชายชุดหมี เขารีบเรียกก้อนหินให้ก่อตัวเป็นโล่เพื่อป้องกันการโจมตีในขณะเดียวกันก็ร่ายเวทสร้างลิ่มศิลาเพื่อจู่โจมคนทรง
ระหว่างที่ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด อีกด้านหนึ่งของสนาม จอมเวทหน้าผีกับนักเวทหญิงน่ารักกำลังยืนจ้องตากันอยู่ คนธรรมดาอาจมองว่ามันเป็นเพียงการตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่สำหรับผู้ใช้เวทด้วยกันแล้วสามารถรับรู้ถึงพลังรุนแรงแผ่ออกมาจากกายของคนทั้งสอง สร้างแรงกดดันอันมหาศาลบีบอัดเข้าไปในดวงจิตของอีกฝ่าย แต่ก็เพียงระยะเวลาสั้นๆ เมื่อไม่มีใครด้อยกว่าใคร ชายหน้าผีจึงเริ่มร่ายมนต์ สร้างวงแหวนอักขระล้อมรอบตัวจอมเวทหญิงเอาไว้ นางจึงยกมือขึ้นเพื่อสร้างม่านปกป้อง แต่พอขยับ วงแหวนมนตราก็กลายสภาพเป็นกงจักรสังหารหมุนเข้าไปหา จอมเวทหญิงรีบเบี่ยงตัวหลบแต่ไม่พ้น กงจักรอันหนึ่งจึงเชือดต้นแขนของนางเป็นรอยแผลยาว พอเห็นคู่ต่อสู้ตั้งรับไม่ทัน ชายหน้าผีจึงเร่งร่ายเวทพร้อมกับวาดมือไปมา กงจักรที่เหลือโฉบร่อนไปรอบตัวราวกับมีชีวิตก่อนวิ่งรี่เข้าใส่จอมเวทหญิงพร้อมกัน ครั้งนี้นางไม่หลบ แต่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวและหายเข้าไปในรอยแยกของอากาศที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน กงจักรทั้งหมดจึงปะทะกันเองจนแตกกระจายหายไป
“อะไรน่ะ”
นักเวทหน้าตอบอุทานพร้อมกับหมุนศีรษะมองไปรอบตัว จึงไม่ทันรู้ตัวว่าบัดนี้ทางด้านหลัง อากาศกำลังปริแยกออกจากกัน และมีมือผอมเกร็งสีดำสนิทราวกับมือปิศาจโผล่ออกมา มันคว้าหัวของชายหน้าผีเอาไว้ ฉุดกระชากเข้าไปในช่องว่างสีดำ เขาส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดดังลั่น และเงียบหายไปพร้อมรอยปริที่ประสานเข้าหากันจนสนิท กลายเป็นสนามประลองปรกติตามเดิม
ภาพที่เห็นทำให้เบอร์ทิน่ายืนตัวแข็ง และไม่ทันสังเกตว่าบัดนี้ รอยแยกปรากฏอยู่ด้านหลังแล้ว มือปิศาจที่น่าเกลียดน่ากลัวเหยียดยื่นออกมาหมายคว้าร่างเล็กๆของนาง แต่ต้องหดกลับเมื่อม่านพลังของแคปปริโคนัส ยิงประกายไฟแลบแปลบปลาบออกมา เสียงลั่นเปรียะทำให้เด็กสาวหันกลับไปมองและเบิกตากว้างเมื่อเห็นมือมรณะกำลังหดหายไป
“นั่นมันอะไรกันน่ะ” ราเชนซึ่งยืนให้กำลังใจอยู่ขอบสนามถาม พลางไล่สายตามองไปรอบตัวเบอร์ทิน่าอย่างหวาดระแวงเพราะไม่รู้ว่าเจ้าช่องว่างกับมือปิศาจจะโผล่มาตรงไหน และตอนไหน อาเซอร์บัสซึ่งยืนจ้องอย่างเคร่งขรึมตอบเสียงครียด
“ดาร์คชามเบอร์”
คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากัน เขาหันไปมองอีกฝ่ายอย่างฉงน
“มันคืออะไร”
“รอยแยกที่ถูกสร้างขึ้นในห้วงมิติ คนที่ถูกดึงเข้าไปในนั้นจะถูกฆ่า หรือหลงวนเวียนอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาลหรือถ้าโชคร้าย”
คำอธิบายถูกขัดด้วยเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก ตามมาด้วยเสียงตะโกนโหยหวนเหมือนคนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส มันทำให้ราเชนต้องหันหน้าไปมองและอ้าปากค้างเมื่อเห็นชายในชุดหมี เหลือร่างแค่ครึ่งตัวด้านบน เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักออกมาจากส่วนลำตัวท่อนล่างที่ถูกลากเข้าไปในรอยแยกซึ่งปิดฉับลง
“จะถูกมันแยกร่าง และตายอย่างทรมาน” อาเซอร์บัสกล่าวต่อ ราเชนกลืนน้ำลายด้วยความสยองเมื่อเห็นชายในชุดหมีพยายามตะเกียกตะกายพาร่างที่เหลือเพียงครึ่งท่อนของตัวเองออกจากสนาม แต่รอยปริกลับปรากฏขึ้นตรงหน้า มือมรณะยื่นออกมาตะบปร่างเขาไว้ กระชากเข้าไปสู่ห้วงมิติแห่งความตาย
จุดจบสยองขวัญที่เกิดขึ้นกับจอมเวททั้งสองทำให้คนที่เหลือต้องขยับมายืนใกล้กัน เบอร์ทิน่ากวาดตามองไปรอบตัวพลางหยิบเหรียญขึ้นมากำเอาไว้ ส่วนปากก็เอ่ยถาม
“รู้หรือเปล่าว่ามันคืออะไร”
นักเวทหญิงดวงตาสีน้ำเงินไม่ตอบแต่กลับดึงกระดาษที่ถูกตัดเป็นรูปคนออกมาโปรยไปรอบๆพร้อมกับร่ายมนต์ เมื่อเวทคำสุดท้ายหลุดจากปาก กระดาษเหล่านั้นก็กลายเป็นคน ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนร่างทรงหญิงผู้นั้นไม่ผิดเพี้ยน ทั้งหมดวิ่งกรูมายืนล้อมรอบนางกับเบอร์ทิน่าเอาไว้ และทำท่าทางให้คล้ายกับคนจริงๆ
“ดูไม่ออกเลยว่าอันไหนคือตุ๊กตา อันไหนเป็นคน” ราเชนซึ่งมองตามอยู่ตลอดเวลาหลุดปากพูดอย่างทึ่งจัดแต่อาเซร์บัสกลับส่ายหน้า
“ไม่ได้ผลหรอก”
จริงดังคำพูด เพราะชั่วพริบตา รอยแยกของอากาศก็เปิดขึ้นอีกครั้ง ลากตัวคนทรงหญิงเข้าไป เมื่อไร้คนร่ายเวท ร่างจำแลงเหล่านั้นก็คืนสภาพกลับเป็นตุ๊กตากระดาษตามเดิม มันปลิวว่อนในอากาศรายรอบตัวเบอร์ทิน่าซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในความหวาดกลัว
“ทำยังไงดี” นางพึมพำกับตัวเองและกำเหรียญในมือแน่น สมองไล่ลำดับดวงดาวที่มีอยู่จ้าละหวั่นเพื่อหาอันที่เหมาะสม แต่ความประหวั่นพรั่นพรึงที่อัดแน่นอยู่เต็มอก ทำให้หัวของเด็กสาวเกิดอาการตื้อตันนึกอะไรไม่ออก
“อย่าขัดขืนอีกต่อไปเลย”
เสียงกระซิบแผ่วดังแว่วอยู่ในอากาศ เบอร์ทิน่าหมุนตัวมองหา
“เจ้าอยู่ที่ไหน” นางร้องถามและสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงลั่นเปรียะจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปมองจึงทันเห็นจอมเวทหน้าตาน่ารักคนนั้นกำลังหดตัวหายเข้าไปในรอยแยก “อย่าทำแบบนี้ได้ไหม”
“ทำอะไร” เสียงเย็นเยือกเต็มไปด้วยความอำมหิตถาม เบอร์ทิน่าเม้มปากตัวเองเพื่อผลักความหวาดกลัวกลับเข้าไปในอกก่อนตอบ
“ทำตัวเหมือนพวกปิศาจร้าย ฆ่าคนได้อย่างหน้าตาเฉย”
เสียงหัวเราะดังก้องกังวานไปทั่วสนาม อากาศปริแยกออกอีกครั้ง ใบหน้าแสนน่ารักของจอมเวทหญิงโผล่ออกมา
“มันเป็นเรื่องปรกติ จอมเวทสู้กันก็ต้องมีตายบ้างเป็นธรรมดา” นางกล่าวอย่างไม่แยแสพลางส่งยิ้มให้ ในสายตาของเบอร์ทิน่า มันเป็นรอยยิ้มที่น่าขนลุก ต่างจากรอยยิ้มที่นางเห็นในครั้งแรก
“ตอนที่เจ้าส่งยิ้มให้ ข้าคิดว่าเราน่าจะคุยกันได้” เด็กสาวพูดต่อ อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเหมือนรู้ดีอยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร
“คุย” นางกล่าวเสียงเยาะและเหยียดริมฝีปากยิ้ม ดวงตาทอประกายแวววาวราวสัตว์ล่าเนื้อ “เจ้ามีแผนหว่านล้อมข้าให้ยอมแพ้แต่โดยดีเพื่อจะได้ติดตามท่านอำมาตย์ไปยังหุบเขาสีน้ำเงินใช่หรือไม่”
รอยยิ้มเลือนหายไป ความน่ารักบนใบหน้า แปรเปลี่ยนเป็นความดุร้ายจนน่ากลัว “อย่าฝันไปเลยนังแมวน้อย ข้าไม่ตอบตกลงอะไรกับเจ้าทั้งนั้น สมบัติทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือผลึกวิเศษ ต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
ระหว่างที่นางพูด ช่องอากาศด้านหลังของเบอร์ทิน่าก็ปริออกเพิ่มขึ้นอีกรอย มือแห้งเหี่ยวสีดำจำนวนมากพุ่งกรูออกมาหมายลากร่างเด็กสาวเข้าไปในความมืด แต่อำนาจของแคปปริโคนัส ปกป้องเบอร์ทิน่าไว้ได้อีกครั้ง นักเวทสาวคำรามลั่นด้วยความโกรธและนิ่งคิดก่อนลดสายตาลง จ้องไปยังพื้นดิน
“แย่แล้ว” อาเซอร์บัสหลุดปากพึมพำออกมา ราเชนมองด้วยความสงสัย แต่พอเห็นอีกฝ่ายจ้องเบอร์ทิน่าเขม็งเขาจึงมองตามและเบิกตากว้างเมื่อเห็นพื้นสนามใต้ร่างของเบอร์ทิน่าในตอนนี้ เริ่มแยกออกจากกัน
“มันกำลังบุกเข้าไปจับตัวเบอร์ทิน่า” เด็กหนุ่มอุทาน “มันทำได้ยังไง เบอร์ทิน่ามีเหรียญแคปปริโคนัสคุ้มครองอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“มันคุ้มกันได้แต่ด้านบนเท่านั้น” จอมเวทแห่งไมธีร่าตอบด้วยใบหน้าเครียดเพราะพยายามคิดหาวิธีช่วยเบอร์ทิน่า และขมวดคิ้วเมื่อเห็นราเชนล้วงผลึกออกจากถุง “ถ้าเจ้าใช้เวทผลึกตอนนี้ นางจะถูกตัดออกจากการแข่งขันทันที”
“แต่ถ้าไม่ช่วย เบอร์ทิน่าก็จะเป็นอันตราย”
เด็กหนุ่มเถียงพลางกำผลึกในมือแน่น เขาอยากช่วยเบอร์ทิน่าใจแทบขาด แต่หากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับผิดกติกา ทั้งเขาและนางจะถูกไล่ออกจากการแข่งขัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เบอร์ทิน่าคงไม่มีวันให้อภัยเขาแน่
“เจ้าส่งพลังไปช่วยได้ไหม” เมื่อไม่อาจลงมือทำได้ ราเชนจึงหันไปถามอาเซอร์บัส เพราะคิดว่าคงไม่มีใครจับพลังเวทของเขาได้ แต่จอมเวทแห่งไมธีร่ากลับส่ายหน้า
“ถึงเป็นเวทด้านมืดก็ใช่ว่าจะไม่มีใครตรวจพบ อย่างน้อยหมอนั่นก็รู้” พูดพลางเหลือบตาไปทางเกรย์ อีกฝ่ายมองกลับมาเหมือนรู้ว่า เขาคิดจะทำอะไร
“ให้ตายเถอะ ขืนปล่อยไว้แบบนี้เบอร์ทิน่าถูกมันฆ่าตายกันพอดี” ราเชนโพล่งออกมาอย่างหลืออด และหันขวับไปที่สนามประลองเมื่อได้ยินเสียงร้องของเด็กสาว
“เบอร์ทิน่า !” เด็กหนุ่มตะโกนเรียกอย่างลืมตัวเมื่อเห็นมือจำนวนมากผุดขึ้นจากดินเพื่อไขว่คว้าหาเยื่อ เมื่อตะครุบเบอร์ทิน่าได้ พวกมันก็ช่วยกันกลุ้มรุมเพื่อลากนางลงไปยังใต้ดิน เด็กสาวทั้งเตะ ทั้งถีบเป็นพัลวัน มือควานไปตามเข็มขัดเพื่อหาเหรียญที่พอจะช่วยได้ อารามตกใจทำให้นางทำมันหล่นกระจายเกลื่อนพื้น จอมเวทหญิงมองเบอร์ทิน่าอย่างสมเพชก่อนพูดเสียงเย็น
“ลาก่อนเจ้าแมวน้อย”
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 7 อิทธิฤทธิ์ของเวทดวงดาว
http://ppantip.com/topic/31380528
บทที่ 7 อิทธิฤทธิ์ของเวทดวงดาว
ตอนที่ได้รับคำปลอบใจจากอาเซอร์บัส เบอร์ทิน่าบังเกิดความโล่งใจและฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง นางพร่ำบอกตัวเองตลอดเวลาว่า ต้องทำได้ แต่พอมายืนต่อหน้าจอมเวทซึ่งดูเหมือนจะมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ถึงสี่คนแล้ว ใจที่เคยพองโตก็แป้วลงอีกครั้ง ครั้นจะหันไปขอกำลังใจจากคนข้างสนาม กลับโดนอำนาจสายตาของจอมเวทตรงหน้าตรึงเอาไว้จนไม่กล้ากระดุกกระดิก เมื่อไม่รู้จะทำยังไงเด็กสาวจึงฝืนส่งยิ้มให้กับทุกคนแต่กลับโดนจอมเวทสาวท่าทางยโสถามเสียงกระด้าง
“ยิ้มอะไร” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคมกริบมองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ริมฝีปากที่ระบายด้วยสีแดงสดเหยียดเยาะ “ใส่เกราะแบบนี้แล้วคิดว่าทำให้ตัวเองน่ารักขึ้นหรือไง”
รอยยิ้มหุบลงฉับพลัน เบอร์ทิน่าค้อนขวับ เมื่อมีอารมณ์โกรธ ความหวาดกลัวก็พอจะสงบลงได้บ้าง เพื่อรวบรวมสมาธิให้ตั้งมั่นไม่วอกแวก นางจึงเฝ้าบอกตัวเองในใจว่า เพื่อท่านพ่อกับท่านแม่แล้ว นางต้องสู้ และต้องชนะ เด็กสาวคิดพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พอสงบจิตใจได้แล้วนางจึงเริ่มมองคู่ต่อสู้ไปทีละคน เพื่อประเมินพลัง คนแรกเป็นผู้ชายผอมสูงผิวซีด ใบหน้าตอบขอบตาคล้ำเหมือนคนอดนอน ดวงตาแข็งกระด้างกลอกไปมาหลุกหลิก สภาพเหมือนศพเดินได้ของเขาทำให้เบอร์ทิน่านึกกลัวขึ้นมา นางจึงรีบเบนหน้าไปยังคนต่อไปซึ่งเป็นจอมเวทหญิงในเครื่องแต่งกายสุภาพหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ มือทั้งสองประสานไว้ข้างหน้าและวนนิ้วหัวแม่มือไปมาเหมือนกำลังกระดากอาย แต่พอรู้ตัวว่าโดนจ้อง นางก็หันมามองและเอียงคอน้อยๆพร้อมกับส่งยิ้มอย่างน่ารักให้เบอร์ทิน่า เด็กสาวจึงยิ้มรับ และนึกโล่งใจว่า อย่างน้อยรอบนี้ก็มีจอมเวทที่ดีบ้าง
คนต่อไปเป็นชายร่างยักษ์สวมชุดตัดจากขนสัตว์มีหัวหมีครอบไว้บนศีรษะ ความน่ากลัวของเขาไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา เสียงลมหายใจฟืดฟาดเหมือนสัตว์ป่า กับท่าทางที่ดูกระเหี้ยนกระหือรืออยู่ตลอดเวลาทำให้เด็กสาวใจฝ่อจนไม่กล้ามองอีกต่อไป คนสุดท้ายเป็นจอมเวทหญิงดวงตาสีน้ำเงินที่ปะทะคารมกันครั้งแรก เครื่องแต่งกายของนางดูแปลกตากว่าคนอื่นเพราะเป็นเสื้อสีขาวที่มีแขนกว้าง กางเกงสีแดงสดตัวโตจนคล้ายกระโปรง นางยืนกอดอกนิ่งไม่ไหวติง แม้ดวงตาก็ดูสงบนิ่งจนอ่านไม่ออกว่าคิดสิ่งใดอยู่ เบอร์ทิน่าพยายามเดาว่าแต่ละคนใช้เวทแบบไหน แต่ความอ่อนด้อยทำให้นางดูไม่ออกเลยว่าแต่ละคนมีอำนาจแบบใด
เสียงระฆังการแข่งขันดังขึ้น จอมเวทหญิงชุดขาวดึงยันต์ในอกเสื้อออกมาโปรยและร่ายมนตราอย่างรัวเร็ว แสงสว่างปะทุวาบขึ้น แผ่นยันต์เหล่านั้นแปรสภาพเป็นสัตว์ร้ายหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว เบอร์ทิน่าผงะถอยหลังด้วยความตระหนก แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นแปลกใจเมื่อสัตว์เหล่านั้นพุ่งเข้ามากระทบกับอะไรบางอย่างและหยุดอยู่แค่นั้น พวกมันตะกายอากาศอย่างบ้าคลั่งเพราะไม่อาจเข้าไปทำร้ายนางได้
“เกราะแคปปริโคนัส” อีกฝ่ายพูดพลางยกมือข้างหนึ่งและร่ายเวท ร่างกายของสัตว์อสูรมีหนามแหลมคมผุดขึ้นทั้งตัว มันแยกเขี้ยวส่งเสียงร้องคำรามอย่างดุร้ายและกระโจนเข้าโจมตีเบอร์ทิน่าอีกครั้ง แต่กลับถูกเผาจนพินาศด้วยเปลวไฟที่พุ่งมาจากด้านข้าง
“มาสู้กับข้าดีกว่าเจ้าคนทรง” ชายในชุดขนหมีพูดเสียงดังพลางเหวี่ยงหมัดที่หุ้มด้วยหินไปข้างหน้า แรงกระแทกที่อัดลงไปอากาศอย่างแรงสร้างคลื่นทำลายขนาดใหญ่พุ่งออกไปหมายฉีกร่างคู่ต่อสู้ให้เป็นชิ้น แต่จอมเวทหญิงกลับสะบัดแถบกระดาษให้หมุนเป็นวงรอบตัว สะท้อนแรงนั้นจนสลาย อีกฝ่ายแสยะยิ้ม
“คิดจะสู้กับข้าด้วยกระดาษพวกนี้หรือ”
“อย่าประมาทไปนักเจ้าสัตว์ป่า” นางกล่าวพร้อมกับวาดแขนเป็นวงและกรีดนิ้ว “กระดาษบางๆสามารถเชือดคอคนได้”
แถบกระดาษที่หมุนวนรอบตัวเคลื่อนไหวไปมาเหมือนมีชีวิต ส่วนปลายของมันพับงอลงจนดูคล้ายส่วนหัวของงู ตอนแรกมันพุ่งเข้าไปหาเบอร์ทิน่าแต่อำนาจของแคปปริทำให้มันไม่อานผ่านกำแพงป้องกันเข้าไปได้ งูเวทจึงเบนเป้าหมายไปที่ชายชุดหมี เขารีบเรียกก้อนหินให้ก่อตัวเป็นโล่เพื่อป้องกันการโจมตีในขณะเดียวกันก็ร่ายเวทสร้างลิ่มศิลาเพื่อจู่โจมคนทรง
ระหว่างที่ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด อีกด้านหนึ่งของสนาม จอมเวทหน้าผีกับนักเวทหญิงน่ารักกำลังยืนจ้องตากันอยู่ คนธรรมดาอาจมองว่ามันเป็นเพียงการตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่สำหรับผู้ใช้เวทด้วยกันแล้วสามารถรับรู้ถึงพลังรุนแรงแผ่ออกมาจากกายของคนทั้งสอง สร้างแรงกดดันอันมหาศาลบีบอัดเข้าไปในดวงจิตของอีกฝ่าย แต่ก็เพียงระยะเวลาสั้นๆ เมื่อไม่มีใครด้อยกว่าใคร ชายหน้าผีจึงเริ่มร่ายมนต์ สร้างวงแหวนอักขระล้อมรอบตัวจอมเวทหญิงเอาไว้ นางจึงยกมือขึ้นเพื่อสร้างม่านปกป้อง แต่พอขยับ วงแหวนมนตราก็กลายสภาพเป็นกงจักรสังหารหมุนเข้าไปหา จอมเวทหญิงรีบเบี่ยงตัวหลบแต่ไม่พ้น กงจักรอันหนึ่งจึงเชือดต้นแขนของนางเป็นรอยแผลยาว พอเห็นคู่ต่อสู้ตั้งรับไม่ทัน ชายหน้าผีจึงเร่งร่ายเวทพร้อมกับวาดมือไปมา กงจักรที่เหลือโฉบร่อนไปรอบตัวราวกับมีชีวิตก่อนวิ่งรี่เข้าใส่จอมเวทหญิงพร้อมกัน ครั้งนี้นางไม่หลบ แต่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวและหายเข้าไปในรอยแยกของอากาศที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน กงจักรทั้งหมดจึงปะทะกันเองจนแตกกระจายหายไป
“อะไรน่ะ”
นักเวทหน้าตอบอุทานพร้อมกับหมุนศีรษะมองไปรอบตัว จึงไม่ทันรู้ตัวว่าบัดนี้ทางด้านหลัง อากาศกำลังปริแยกออกจากกัน และมีมือผอมเกร็งสีดำสนิทราวกับมือปิศาจโผล่ออกมา มันคว้าหัวของชายหน้าผีเอาไว้ ฉุดกระชากเข้าไปในช่องว่างสีดำ เขาส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดดังลั่น และเงียบหายไปพร้อมรอยปริที่ประสานเข้าหากันจนสนิท กลายเป็นสนามประลองปรกติตามเดิม
ภาพที่เห็นทำให้เบอร์ทิน่ายืนตัวแข็ง และไม่ทันสังเกตว่าบัดนี้ รอยแยกปรากฏอยู่ด้านหลังแล้ว มือปิศาจที่น่าเกลียดน่ากลัวเหยียดยื่นออกมาหมายคว้าร่างเล็กๆของนาง แต่ต้องหดกลับเมื่อม่านพลังของแคปปริโคนัส ยิงประกายไฟแลบแปลบปลาบออกมา เสียงลั่นเปรียะทำให้เด็กสาวหันกลับไปมองและเบิกตากว้างเมื่อเห็นมือมรณะกำลังหดหายไป
“นั่นมันอะไรกันน่ะ” ราเชนซึ่งยืนให้กำลังใจอยู่ขอบสนามถาม พลางไล่สายตามองไปรอบตัวเบอร์ทิน่าอย่างหวาดระแวงเพราะไม่รู้ว่าเจ้าช่องว่างกับมือปิศาจจะโผล่มาตรงไหน และตอนไหน อาเซอร์บัสซึ่งยืนจ้องอย่างเคร่งขรึมตอบเสียงครียด
“ดาร์คชามเบอร์”
คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากัน เขาหันไปมองอีกฝ่ายอย่างฉงน
“มันคืออะไร”
“รอยแยกที่ถูกสร้างขึ้นในห้วงมิติ คนที่ถูกดึงเข้าไปในนั้นจะถูกฆ่า หรือหลงวนเวียนอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาลหรือถ้าโชคร้าย”
คำอธิบายถูกขัดด้วยเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก ตามมาด้วยเสียงตะโกนโหยหวนเหมือนคนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส มันทำให้ราเชนต้องหันหน้าไปมองและอ้าปากค้างเมื่อเห็นชายในชุดหมี เหลือร่างแค่ครึ่งตัวด้านบน เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักออกมาจากส่วนลำตัวท่อนล่างที่ถูกลากเข้าไปในรอยแยกซึ่งปิดฉับลง
“จะถูกมันแยกร่าง และตายอย่างทรมาน” อาเซอร์บัสกล่าวต่อ ราเชนกลืนน้ำลายด้วยความสยองเมื่อเห็นชายในชุดหมีพยายามตะเกียกตะกายพาร่างที่เหลือเพียงครึ่งท่อนของตัวเองออกจากสนาม แต่รอยปริกลับปรากฏขึ้นตรงหน้า มือมรณะยื่นออกมาตะบปร่างเขาไว้ กระชากเข้าไปสู่ห้วงมิติแห่งความตาย
จุดจบสยองขวัญที่เกิดขึ้นกับจอมเวททั้งสองทำให้คนที่เหลือต้องขยับมายืนใกล้กัน เบอร์ทิน่ากวาดตามองไปรอบตัวพลางหยิบเหรียญขึ้นมากำเอาไว้ ส่วนปากก็เอ่ยถาม
“รู้หรือเปล่าว่ามันคืออะไร”
นักเวทหญิงดวงตาสีน้ำเงินไม่ตอบแต่กลับดึงกระดาษที่ถูกตัดเป็นรูปคนออกมาโปรยไปรอบๆพร้อมกับร่ายมนต์ เมื่อเวทคำสุดท้ายหลุดจากปาก กระดาษเหล่านั้นก็กลายเป็นคน ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนร่างทรงหญิงผู้นั้นไม่ผิดเพี้ยน ทั้งหมดวิ่งกรูมายืนล้อมรอบนางกับเบอร์ทิน่าเอาไว้ และทำท่าทางให้คล้ายกับคนจริงๆ
“ดูไม่ออกเลยว่าอันไหนคือตุ๊กตา อันไหนเป็นคน” ราเชนซึ่งมองตามอยู่ตลอดเวลาหลุดปากพูดอย่างทึ่งจัดแต่อาเซร์บัสกลับส่ายหน้า
“ไม่ได้ผลหรอก”
จริงดังคำพูด เพราะชั่วพริบตา รอยแยกของอากาศก็เปิดขึ้นอีกครั้ง ลากตัวคนทรงหญิงเข้าไป เมื่อไร้คนร่ายเวท ร่างจำแลงเหล่านั้นก็คืนสภาพกลับเป็นตุ๊กตากระดาษตามเดิม มันปลิวว่อนในอากาศรายรอบตัวเบอร์ทิน่าซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในความหวาดกลัว
“ทำยังไงดี” นางพึมพำกับตัวเองและกำเหรียญในมือแน่น สมองไล่ลำดับดวงดาวที่มีอยู่จ้าละหวั่นเพื่อหาอันที่เหมาะสม แต่ความประหวั่นพรั่นพรึงที่อัดแน่นอยู่เต็มอก ทำให้หัวของเด็กสาวเกิดอาการตื้อตันนึกอะไรไม่ออก
“อย่าขัดขืนอีกต่อไปเลย”
เสียงกระซิบแผ่วดังแว่วอยู่ในอากาศ เบอร์ทิน่าหมุนตัวมองหา
“เจ้าอยู่ที่ไหน” นางร้องถามและสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงลั่นเปรียะจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปมองจึงทันเห็นจอมเวทหน้าตาน่ารักคนนั้นกำลังหดตัวหายเข้าไปในรอยแยก “อย่าทำแบบนี้ได้ไหม”
“ทำอะไร” เสียงเย็นเยือกเต็มไปด้วยความอำมหิตถาม เบอร์ทิน่าเม้มปากตัวเองเพื่อผลักความหวาดกลัวกลับเข้าไปในอกก่อนตอบ
“ทำตัวเหมือนพวกปิศาจร้าย ฆ่าคนได้อย่างหน้าตาเฉย”
เสียงหัวเราะดังก้องกังวานไปทั่วสนาม อากาศปริแยกออกอีกครั้ง ใบหน้าแสนน่ารักของจอมเวทหญิงโผล่ออกมา
“มันเป็นเรื่องปรกติ จอมเวทสู้กันก็ต้องมีตายบ้างเป็นธรรมดา” นางกล่าวอย่างไม่แยแสพลางส่งยิ้มให้ ในสายตาของเบอร์ทิน่า มันเป็นรอยยิ้มที่น่าขนลุก ต่างจากรอยยิ้มที่นางเห็นในครั้งแรก
“ตอนที่เจ้าส่งยิ้มให้ ข้าคิดว่าเราน่าจะคุยกันได้” เด็กสาวพูดต่อ อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเหมือนรู้ดีอยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร
“คุย” นางกล่าวเสียงเยาะและเหยียดริมฝีปากยิ้ม ดวงตาทอประกายแวววาวราวสัตว์ล่าเนื้อ “เจ้ามีแผนหว่านล้อมข้าให้ยอมแพ้แต่โดยดีเพื่อจะได้ติดตามท่านอำมาตย์ไปยังหุบเขาสีน้ำเงินใช่หรือไม่”
รอยยิ้มเลือนหายไป ความน่ารักบนใบหน้า แปรเปลี่ยนเป็นความดุร้ายจนน่ากลัว “อย่าฝันไปเลยนังแมวน้อย ข้าไม่ตอบตกลงอะไรกับเจ้าทั้งนั้น สมบัติทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือผลึกวิเศษ ต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
ระหว่างที่นางพูด ช่องอากาศด้านหลังของเบอร์ทิน่าก็ปริออกเพิ่มขึ้นอีกรอย มือแห้งเหี่ยวสีดำจำนวนมากพุ่งกรูออกมาหมายลากร่างเด็กสาวเข้าไปในความมืด แต่อำนาจของแคปปริโคนัส ปกป้องเบอร์ทิน่าไว้ได้อีกครั้ง นักเวทสาวคำรามลั่นด้วยความโกรธและนิ่งคิดก่อนลดสายตาลง จ้องไปยังพื้นดิน
“แย่แล้ว” อาเซอร์บัสหลุดปากพึมพำออกมา ราเชนมองด้วยความสงสัย แต่พอเห็นอีกฝ่ายจ้องเบอร์ทิน่าเขม็งเขาจึงมองตามและเบิกตากว้างเมื่อเห็นพื้นสนามใต้ร่างของเบอร์ทิน่าในตอนนี้ เริ่มแยกออกจากกัน
“มันกำลังบุกเข้าไปจับตัวเบอร์ทิน่า” เด็กหนุ่มอุทาน “มันทำได้ยังไง เบอร์ทิน่ามีเหรียญแคปปริโคนัสคุ้มครองอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“มันคุ้มกันได้แต่ด้านบนเท่านั้น” จอมเวทแห่งไมธีร่าตอบด้วยใบหน้าเครียดเพราะพยายามคิดหาวิธีช่วยเบอร์ทิน่า และขมวดคิ้วเมื่อเห็นราเชนล้วงผลึกออกจากถุง “ถ้าเจ้าใช้เวทผลึกตอนนี้ นางจะถูกตัดออกจากการแข่งขันทันที”
“แต่ถ้าไม่ช่วย เบอร์ทิน่าก็จะเป็นอันตราย”
เด็กหนุ่มเถียงพลางกำผลึกในมือแน่น เขาอยากช่วยเบอร์ทิน่าใจแทบขาด แต่หากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับผิดกติกา ทั้งเขาและนางจะถูกไล่ออกจากการแข่งขัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เบอร์ทิน่าคงไม่มีวันให้อภัยเขาแน่
“เจ้าส่งพลังไปช่วยได้ไหม” เมื่อไม่อาจลงมือทำได้ ราเชนจึงหันไปถามอาเซอร์บัส เพราะคิดว่าคงไม่มีใครจับพลังเวทของเขาได้ แต่จอมเวทแห่งไมธีร่ากลับส่ายหน้า
“ถึงเป็นเวทด้านมืดก็ใช่ว่าจะไม่มีใครตรวจพบ อย่างน้อยหมอนั่นก็รู้” พูดพลางเหลือบตาไปทางเกรย์ อีกฝ่ายมองกลับมาเหมือนรู้ว่า เขาคิดจะทำอะไร
“ให้ตายเถอะ ขืนปล่อยไว้แบบนี้เบอร์ทิน่าถูกมันฆ่าตายกันพอดี” ราเชนโพล่งออกมาอย่างหลืออด และหันขวับไปที่สนามประลองเมื่อได้ยินเสียงร้องของเด็กสาว
“เบอร์ทิน่า !” เด็กหนุ่มตะโกนเรียกอย่างลืมตัวเมื่อเห็นมือจำนวนมากผุดขึ้นจากดินเพื่อไขว่คว้าหาเยื่อ เมื่อตะครุบเบอร์ทิน่าได้ พวกมันก็ช่วยกันกลุ้มรุมเพื่อลากนางลงไปยังใต้ดิน เด็กสาวทั้งเตะ ทั้งถีบเป็นพัลวัน มือควานไปตามเข็มขัดเพื่อหาเหรียญที่พอจะช่วยได้ อารามตกใจทำให้นางทำมันหล่นกระจายเกลื่อนพื้น จอมเวทหญิงมองเบอร์ทิน่าอย่างสมเพชก่อนพูดเสียงเย็น
“ลาก่อนเจ้าแมวน้อย”