ในตอนสาย..
หญิงรับใช้กลุ่มอื่นนำผ้าที่ซักจากลำธารเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาให้กลุ่มของแอคเนสนำไปตากแดด เพื่อพวกเธอจะได้พักผ่อนบ้าง ก่อนจะเริ่มทำงานอย่างอื่นต่อไป..ญารินมองบรรดาผ้าในตะกร้าสานนับสิบใบ ซึ่งมีทั้งชุดทหาร ผ้าม่าน ผ้าปูต่างๆ แล้วก็แอบกระซิบถามแอคเนส ขณะช่วยกันยกตะกร้าไปที่ลานตาก
“พี่แอคเนส..พวกนี้มีของ..เอ่อ เสื้อผ้าขององค์อันทาเออัสบ้างไหม”
“ไม่มีหรอก ของพระองค์กับท่านกีจะแยกซักต่างหาก..เจ้าถามทำไม”
“ก็..แค่ถามไปอย่างนั้น” ความผิดหวังเล็กน้อยเจือในน้ำเสียง และเดินไปถึงลานโล่งมีเสาไม้ ขึงเชือกเป็นแนวยาว ไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเลยสักต้น
บรรดาหญิงรับใช้วางตะกร้าลง และช่วยกันตากผ้า..กว่าจะเสร็จ ญารินรู้สึกแสบผิวไปหมด รีบวิ่งกลับมาอาศัยร่มเงาของตัวปราสาท ยกสองมือช่วยพัดความเย็นให้ใบหน้า แลบลิ้นออกมาหวังช่วยระบายความร้อน และจากกริยาของเธอทำให้บรรดาหญิงรับใช้พากันหัวเราะขบขัน ก่อนเดินเลยไป แอคเนสเดินรั้งท้าย พลางส่ายหน้ายิ้มๆ
“เจ้านี่นะ”
แล้วก็ดึงแขนคนที่ทำหน้าเหลอหลาให้ก้าวตามมาด้วย
ยามว่าง..บรรดาหญิงรับใช้ต่างจับกลุ่มพูดคุยบริเวณหน้าลานครัว บางคนก็เอนตัวนอนพักผ่อน
ญารินนั่งฟังบทสนทนาไม่นานนัก เธอก็เลี่ยงออกมาจากกลุ่ม หยิบกระดาษมาวาดรูปให้แอคเนสตามสัญญา แม้จะไม่ค่อยคุ้นชินกับอุปกรณ์ที่ได้มา แต่ก็พยายามวาดจนสุดฝีมือ..หินสีที่เธอพยายามบดเป็นผงละเอียดผสมกับยางไม้ถูกแต่งแต้มผสมผสานจนกลายเป็นรูปเหมือนของแอคเนส
หญิงสาวใช้ปากเป่าให้สีแห้ง พลางเสียดายอยู่ลึกๆว่า คุณภาพสีที่เธอผสมขึ้นมาเองนั้น ถือว่าด้อยคุณภาพมาก หากได้สีและกระดาษที่มีคุณภาพมากกว่านี้ เธอคงสามารถรังสรรค์ความอ่อนโยนและจิตวิญญาณของแอคเนสให้ปรากฏขึ้นในภาพวาดได้ชัดเจนกว่านี้
เป็นจังหวะเดียวกับที่แอคเนสเดินออกมาจากกลุ่ม เมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั่งก้มๆเงยๆทำอะไรอยู่มุมนี้เป็นนานสองนาน
“อ่ะ..ตามสัญญาค่ะ..อันนี้แค่น้ำจิ้มก่อน ไว้ถ้าได้สีเยอะกว่านี้ แล้วก็คุณภาพดีกว่านี้ รับรองว่าฉันจะวาดให้พี่ออกมาได้สวยสมบูรณ์แบบเชียวล่ะ”
ภาพเหมือนของตนถูกส่งให้ด้วยรอยยิ้มภูมิใจของผู้วาด เสียงเจื้อยแจ้วดังอยู่ใกล้หู ทว่า แอคเนส กลับไม่ได้ยิน..สายตาจดจ้องอยู่กับภาพวาด
ผู้หญิงคนนี้คือเธอกระนั้นหรือ !?
เธอไม่รู้จักงานศิลป์...
ไม่รู้จักการร่างลายเส้น..
ไม่รู้จักวิธีการไล่สี
ไม่รู้จักอะไรเลยสักอย่าง..รู้แต่เพียงว่า ผู้หญิงในภาพนี้ช่างสวยงามจับตา และไม่นึกไม่ฝัน ว่าทาสอย่างเธอ จะมีภาพเหมือนของตัวเอง เฉกเช่นผู้มีฐานะ
ญารินเห็นแอคเนสเอาแต่จ้องภาพวาด ไม่สนใจฟังตนเองอวดฝีมือเลยสักนิด ก็สะกิดเรียก จนดวงหน้าของสาวรุ่นพี่หันมามองด้วยสีหน้านิ่งขรึม จนเธอใจเสีย
“เอ่อ..พี่ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ..ขอโทษนะ ฉันยังไม่ค่อยชินกับการผสมสีแล้วก็พวกอุปกรณ์น่ะ งั้นเดี๋ยวฉันวาดให้ใหม่นะ คราวนี้พี่มานั่งเป็นแบบให้ฉันเลยดีกว่า ฉันจะได้เก็บรายละเอียดได้มากกว่านี้” พลางยื่นมือไปหมายดึงภาพกลับมา แต่แอคเนสเบี่ยงตัวและยื้อภาพไว้
“ไม่ต้องหรอก..ภาพนี้สวยมาก..สวยเกินกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า และหันกลับมาชื่นชมรูปวาดอีกครั้ง พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“ข้าคิดว่าเจ้าจะวาดพวกต้นไม้ ใบหญ้าให้ข้าเสียอีก..ไม่นึกเลย ว่าชีวิตนางทาสอย่างข้าจะได้เป็นเจ้าของสิ่งล้ำค่าเช่นนี้” แล้วก็ยื่นมือมาจับมือเรียวเล็กนุ่มนวล เปรอะเปื้อนด้วยคราบถ่านและสี
“ขอบใจเจ้ามากนะ..ข้าชอบภาพนี้มาก”
แอคเนส หันไปหาผ้าผืนเล็กชุบน้ำ มาเช็ดคราบเปรอะเปื้อนให้
“ดูสิ วาดรูปแค่ใบเดียว เปื้อนไปหมดทั้งตัวเลย”
ญารินอมยิ้ม ยื่นหน้าให้สาวรุ่นพี่เช็ดราวเด็กน้อย จนอีกฝ่ายใช้สายตาค้อนเสียขวับใหญ่ แต่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเช็ดให้จนสะอาด
บรรดาหญิงรับใช้เห็นภาพเหมือนของแอคเนสแล้วบังเกิดความอยากได้ จึงพากันให้ญารินวาดให้พวกตนบ้าง ซึ่งหญิงสาวก็รับปาก เพราะมันไม่เหลือบ่ากว่าแรง อีกอย่าง เธอก็ว่างด้วย
แต่คนเดือดร้อนกลับเป็นแอคเนส ที่ออกตัวเสียงเข้ม
“พวกเจ้ามีตั้งกี่คน ให้นางวาดรูปให้โดยไม่ยอมเสียอะไรเลยไม่ได้นะ..อย่างน้อย พวกเจ้าต้องมีสี มีกระดาษมาให้นางด้วย”
บรรดาหญิงรับใช้หันไปปรึกษาหารือกันว่าจะหากระดาษ หา สี ได้จากไหน..บางคนพอมีกระดาษก็จะนำมาจากที่บ้าน แต่ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องสี เพราะพวกนางเป็นเพียงชนชั้นล่าง และสีนับเป็นสิ่งหายาก ราคาแพง จึงไม่จำเป็นต้องมีไว้ในบ้าน และไม่มีใครวาดรูปเป็น สีจึงไม่เคยอยู่ในหัวพวกนางเลย..แต่ครั้งนี้ บังเกิดความอยากได้ภาพวาด ซึ่งถือว่าเป็นของล้ำค่าที่แลกมาเพียงกระดาษและสีไม่กี่สีเท่านั้น นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ามาก พวกนางจึงพยายามขวนขวายอยากได้มาประดับบ้าน
“เจ้าใช้หินสีแทนได้ไหม เพราะมันราคาถูกกว่าสีผง..เดี๋ยวพวกข้าจะนั่งฝนให้” หญิงรับใช้คนหนึ่งต่อรอง
“ได้สิพี่..เอาที่พวกพี่สะดวกเลย”
ญารินตอบกลับไป และคิดว่า หากสีในยุคโบราณ มีค่าดั่งทองคำ ก็คงไม่ผิดไปมากนัก เพราะหินสีบางชนิดต้องนำเข้ามาจากเรือสินค้าจากประเทศห่างไกล และมีจำนวนไม่มาก ซึ่งส่วนประกอบที่จะนำมาเป็นส่วนผสมของสีนั้นเป็นตัวกำหนดราคาและคุณค่าของงานศิลป์ เพราะนอกจากการแปรรูปสีจากก้อนหิน เปลือกไม้ ใบไม้ และแมลงแล้ว เฉดสีบางชนิดยังได้มาจากการบดซากมัมมี่จนเป็นผง นำไปผสมกับอำพันและน้ำมันระเหยตามส่วน จะได้สีน้ำตาลเงาใส ซึ่งในช่วงศตวรรษที่17 จะรู้จักเป็นที่กว้างขวางในหมู่ศิลปิน ในชื่อ สีน้ำตาลอียิปต์
แต่สำหรับยุคที่เธอหลงมาอยู่นี้ คาดว่าจะหลุดมาไกลเกินกว่าจะรู้จักสีน้ำตาลอียิปต์ เพราะยุคนี้งานจิตรกรรมมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะปรากฏในรูปแบบของงานสถาปัตยกรรมและงานประติมากรรม ส่วนงานเขียนจะมีให้เห็นตามเครื่องปั้นดินเผาเสียส่วนใหญ่ และนิยมใช้สีแดง เหลือง ขาว บางครั้งมีสีดำเคลือบทับ ดังนั้น หากอยากวาดสีน้ำมัน เธอต้องพยายามขวนขวายหาวัตถุดิบในยุดมืดมนเช่นนี้..แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
บรรดาหญิงรับใช้รวบรวมเงินค่าสี ค่าอุปกรณ์วาดรูปให้แอคเนส เพื่อฝากซื้อสิ่งของเหล่านี้ ยามเธอออกไปซื้อสินค้าในเมืองคนอสซอส
ญารินเดินเกร่ไป-มาตั้งแต่ด้านในปราสาท จนถึงหน้าปราสาท ชะเง้อคอยืดคอยาวมองหาอันทาเออัสมาสองวันแล้ว ด้วยหวังจะขออนุญาตตามแอคเนสออกไปที่ตลาดในเมืองคนอสซอสบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นเขา..เลยลองไปเรียบๆเคียงๆถามกับหญิงรับใช้ที่มีตำแหน่งเสมือนนางต้นห้อง ถึงได้รู้ว่า เขานอนหลับอยู่ในห้อง
‘วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมารับแสงแดดบ้างเลย มิน่า ถึงได้ขาวโบ๊ะปานนั้น’
“เอ..แต่ป่านนี้คงตื่นแล้วมั้ง”
หญิงสาวคาดหวัง และลองขึ้นไปหาที่ห้องนอน เจอเข้ากับทหารยามที่กำลังเดินตรวจตราอยู่บริเวณนั้น
“พระองค์นอนหลับอยู่ เจ้ามีเรื่องสำคัญอันใดล่ะ”
“นี่มันเกือบเย็นแล้วนะ..พระองค์เพิ่งนอนกลางวันเหรอ”
“พระองค์ก็เป็นเช่นนี้ล่ะ แล้วตกลงเจ้ามีธุระอันใด” ทหารยามถามย้ำ
“คือ..มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไหร่หรอก” ตอบออกไปอย่างแสนเสียดาย แต่กระนั้น ความหวังยังคงมีอยู่ “งั้น พี่พอจะรู้ไหม ว่าพระองค์จะตื่นเวลาไหน”
“ไม่แน่นอนหรอก บางครั้งก็สองถึงสามวัน หรือนานสุดก็เต็มเดือน”
“หา !” คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง
‘นอนนานขนาดนั้น ไม่แห้งติดเตียงแล้วเรอะ!’
“ถ้าไม่มีธุระสำคัญเร่งด่วน เจ้าก็ไปเถอะ”
ญารินหน้าม่อย ครุ่นคิดหลายอึดใจ..รอยยิ้มแห่งความหวังบรรเจิดขึ้นอีกครั้ง รีบตรงดิ่งลงมาถามหา กี กับทหารยาม
กีมองสบดวงตากลมใส ความหวังเปล่งประกายระยิบระยับ ฟุ้งกระจายเกลื่อนทั่วดวงหน้าอ่อนเยาว์..รอยยิ้มเอ็นดูเจือบนใบหน้าคมเข้ม พลางถอนหายใจอย่างนึกสงสาร
“ข้าไม่อาจให้คำอนุญาตกับเจ้าได้ เพราะอำนาจเด็จขาดขึ้นกับอันทาเออัสเพียงผู้เดียวเท่านั้น..เจ้าก็หาอะไรทำแก้เบื่อไปก่อนเถอะ แม่สาวน้อย”
ร่างสูงใหญ่ไพล่มือไปด้านหลัง ตอบพลางโคลงศีรษะเล็กน้อยอันเป็นเอกลักษณ์เปี่ยมเสน่ห์ของเขา แล้วก็หันเดินจากไป
ญารินได้แต่มองตามตาละห้อย ถ้อยคำคัดค้านค้างติดในลำคอ ความหวังที่มีอยู่น้อยนิดถูกโยนลงหลุมให้ใจห่อเหี่ยว
“ชิ !!”
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องรอต่อไป และไม่เชื่อว่า อันทาเออัสจะกักขังเธอไว้ในปราสาทนี้ไปจนแก่ตายหรอก
ปากก็บ่นกระปอดกระแปด เท้าก็เตะหินเตะหญ้าไปเรื่อย โดยไม่รู้ว่ากำลังถูกจับตามองจากบุคคลบนยอดปราสาท ซึ่งตื่นจากภวังค์แห่งการหลับใหลตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงเธอเอื้อนเอ่ยกับทหารยาม ริมฝีปากบางสีเรื่อยิ้มยก สายตาทอดมองร่างเล็กแบบบางสว่างไสว ราวกับเธอเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่ต่างกับบันทึกการเดินทางของนักเดินเรือ
(ต่อค่ะ)
ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #12#
หญิงรับใช้กลุ่มอื่นนำผ้าที่ซักจากลำธารเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาให้กลุ่มของแอคเนสนำไปตากแดด เพื่อพวกเธอจะได้พักผ่อนบ้าง ก่อนจะเริ่มทำงานอย่างอื่นต่อไป..ญารินมองบรรดาผ้าในตะกร้าสานนับสิบใบ ซึ่งมีทั้งชุดทหาร ผ้าม่าน ผ้าปูต่างๆ แล้วก็แอบกระซิบถามแอคเนส ขณะช่วยกันยกตะกร้าไปที่ลานตาก
“พี่แอคเนส..พวกนี้มีของ..เอ่อ เสื้อผ้าขององค์อันทาเออัสบ้างไหม”
“ไม่มีหรอก ของพระองค์กับท่านกีจะแยกซักต่างหาก..เจ้าถามทำไม”
“ก็..แค่ถามไปอย่างนั้น” ความผิดหวังเล็กน้อยเจือในน้ำเสียง และเดินไปถึงลานโล่งมีเสาไม้ ขึงเชือกเป็นแนวยาว ไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเลยสักต้น
บรรดาหญิงรับใช้วางตะกร้าลง และช่วยกันตากผ้า..กว่าจะเสร็จ ญารินรู้สึกแสบผิวไปหมด รีบวิ่งกลับมาอาศัยร่มเงาของตัวปราสาท ยกสองมือช่วยพัดความเย็นให้ใบหน้า แลบลิ้นออกมาหวังช่วยระบายความร้อน และจากกริยาของเธอทำให้บรรดาหญิงรับใช้พากันหัวเราะขบขัน ก่อนเดินเลยไป แอคเนสเดินรั้งท้าย พลางส่ายหน้ายิ้มๆ
“เจ้านี่นะ”
แล้วก็ดึงแขนคนที่ทำหน้าเหลอหลาให้ก้าวตามมาด้วย
ยามว่าง..บรรดาหญิงรับใช้ต่างจับกลุ่มพูดคุยบริเวณหน้าลานครัว บางคนก็เอนตัวนอนพักผ่อน
ญารินนั่งฟังบทสนทนาไม่นานนัก เธอก็เลี่ยงออกมาจากกลุ่ม หยิบกระดาษมาวาดรูปให้แอคเนสตามสัญญา แม้จะไม่ค่อยคุ้นชินกับอุปกรณ์ที่ได้มา แต่ก็พยายามวาดจนสุดฝีมือ..หินสีที่เธอพยายามบดเป็นผงละเอียดผสมกับยางไม้ถูกแต่งแต้มผสมผสานจนกลายเป็นรูปเหมือนของแอคเนส
หญิงสาวใช้ปากเป่าให้สีแห้ง พลางเสียดายอยู่ลึกๆว่า คุณภาพสีที่เธอผสมขึ้นมาเองนั้น ถือว่าด้อยคุณภาพมาก หากได้สีและกระดาษที่มีคุณภาพมากกว่านี้ เธอคงสามารถรังสรรค์ความอ่อนโยนและจิตวิญญาณของแอคเนสให้ปรากฏขึ้นในภาพวาดได้ชัดเจนกว่านี้
เป็นจังหวะเดียวกับที่แอคเนสเดินออกมาจากกลุ่ม เมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั่งก้มๆเงยๆทำอะไรอยู่มุมนี้เป็นนานสองนาน
“อ่ะ..ตามสัญญาค่ะ..อันนี้แค่น้ำจิ้มก่อน ไว้ถ้าได้สีเยอะกว่านี้ แล้วก็คุณภาพดีกว่านี้ รับรองว่าฉันจะวาดให้พี่ออกมาได้สวยสมบูรณ์แบบเชียวล่ะ”
ภาพเหมือนของตนถูกส่งให้ด้วยรอยยิ้มภูมิใจของผู้วาด เสียงเจื้อยแจ้วดังอยู่ใกล้หู ทว่า แอคเนส กลับไม่ได้ยิน..สายตาจดจ้องอยู่กับภาพวาด
ผู้หญิงคนนี้คือเธอกระนั้นหรือ !?
เธอไม่รู้จักงานศิลป์...
ไม่รู้จักการร่างลายเส้น..
ไม่รู้จักวิธีการไล่สี
ไม่รู้จักอะไรเลยสักอย่าง..รู้แต่เพียงว่า ผู้หญิงในภาพนี้ช่างสวยงามจับตา และไม่นึกไม่ฝัน ว่าทาสอย่างเธอ จะมีภาพเหมือนของตัวเอง เฉกเช่นผู้มีฐานะ
ญารินเห็นแอคเนสเอาแต่จ้องภาพวาด ไม่สนใจฟังตนเองอวดฝีมือเลยสักนิด ก็สะกิดเรียก จนดวงหน้าของสาวรุ่นพี่หันมามองด้วยสีหน้านิ่งขรึม จนเธอใจเสีย
“เอ่อ..พี่ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ..ขอโทษนะ ฉันยังไม่ค่อยชินกับการผสมสีแล้วก็พวกอุปกรณ์น่ะ งั้นเดี๋ยวฉันวาดให้ใหม่นะ คราวนี้พี่มานั่งเป็นแบบให้ฉันเลยดีกว่า ฉันจะได้เก็บรายละเอียดได้มากกว่านี้” พลางยื่นมือไปหมายดึงภาพกลับมา แต่แอคเนสเบี่ยงตัวและยื้อภาพไว้
“ไม่ต้องหรอก..ภาพนี้สวยมาก..สวยเกินกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า และหันกลับมาชื่นชมรูปวาดอีกครั้ง พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“ข้าคิดว่าเจ้าจะวาดพวกต้นไม้ ใบหญ้าให้ข้าเสียอีก..ไม่นึกเลย ว่าชีวิตนางทาสอย่างข้าจะได้เป็นเจ้าของสิ่งล้ำค่าเช่นนี้” แล้วก็ยื่นมือมาจับมือเรียวเล็กนุ่มนวล เปรอะเปื้อนด้วยคราบถ่านและสี
“ขอบใจเจ้ามากนะ..ข้าชอบภาพนี้มาก”
แอคเนส หันไปหาผ้าผืนเล็กชุบน้ำ มาเช็ดคราบเปรอะเปื้อนให้
“ดูสิ วาดรูปแค่ใบเดียว เปื้อนไปหมดทั้งตัวเลย”
ญารินอมยิ้ม ยื่นหน้าให้สาวรุ่นพี่เช็ดราวเด็กน้อย จนอีกฝ่ายใช้สายตาค้อนเสียขวับใหญ่ แต่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเช็ดให้จนสะอาด
บรรดาหญิงรับใช้เห็นภาพเหมือนของแอคเนสแล้วบังเกิดความอยากได้ จึงพากันให้ญารินวาดให้พวกตนบ้าง ซึ่งหญิงสาวก็รับปาก เพราะมันไม่เหลือบ่ากว่าแรง อีกอย่าง เธอก็ว่างด้วย
แต่คนเดือดร้อนกลับเป็นแอคเนส ที่ออกตัวเสียงเข้ม
“พวกเจ้ามีตั้งกี่คน ให้นางวาดรูปให้โดยไม่ยอมเสียอะไรเลยไม่ได้นะ..อย่างน้อย พวกเจ้าต้องมีสี มีกระดาษมาให้นางด้วย”
บรรดาหญิงรับใช้หันไปปรึกษาหารือกันว่าจะหากระดาษ หา สี ได้จากไหน..บางคนพอมีกระดาษก็จะนำมาจากที่บ้าน แต่ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องสี เพราะพวกนางเป็นเพียงชนชั้นล่าง และสีนับเป็นสิ่งหายาก ราคาแพง จึงไม่จำเป็นต้องมีไว้ในบ้าน และไม่มีใครวาดรูปเป็น สีจึงไม่เคยอยู่ในหัวพวกนางเลย..แต่ครั้งนี้ บังเกิดความอยากได้ภาพวาด ซึ่งถือว่าเป็นของล้ำค่าที่แลกมาเพียงกระดาษและสีไม่กี่สีเท่านั้น นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ามาก พวกนางจึงพยายามขวนขวายอยากได้มาประดับบ้าน
“เจ้าใช้หินสีแทนได้ไหม เพราะมันราคาถูกกว่าสีผง..เดี๋ยวพวกข้าจะนั่งฝนให้” หญิงรับใช้คนหนึ่งต่อรอง
“ได้สิพี่..เอาที่พวกพี่สะดวกเลย”
ญารินตอบกลับไป และคิดว่า หากสีในยุคโบราณ มีค่าดั่งทองคำ ก็คงไม่ผิดไปมากนัก เพราะหินสีบางชนิดต้องนำเข้ามาจากเรือสินค้าจากประเทศห่างไกล และมีจำนวนไม่มาก ซึ่งส่วนประกอบที่จะนำมาเป็นส่วนผสมของสีนั้นเป็นตัวกำหนดราคาและคุณค่าของงานศิลป์ เพราะนอกจากการแปรรูปสีจากก้อนหิน เปลือกไม้ ใบไม้ และแมลงแล้ว เฉดสีบางชนิดยังได้มาจากการบดซากมัมมี่จนเป็นผง นำไปผสมกับอำพันและน้ำมันระเหยตามส่วน จะได้สีน้ำตาลเงาใส ซึ่งในช่วงศตวรรษที่17 จะรู้จักเป็นที่กว้างขวางในหมู่ศิลปิน ในชื่อ สีน้ำตาลอียิปต์
แต่สำหรับยุคที่เธอหลงมาอยู่นี้ คาดว่าจะหลุดมาไกลเกินกว่าจะรู้จักสีน้ำตาลอียิปต์ เพราะยุคนี้งานจิตรกรรมมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะปรากฏในรูปแบบของงานสถาปัตยกรรมและงานประติมากรรม ส่วนงานเขียนจะมีให้เห็นตามเครื่องปั้นดินเผาเสียส่วนใหญ่ และนิยมใช้สีแดง เหลือง ขาว บางครั้งมีสีดำเคลือบทับ ดังนั้น หากอยากวาดสีน้ำมัน เธอต้องพยายามขวนขวายหาวัตถุดิบในยุดมืดมนเช่นนี้..แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
บรรดาหญิงรับใช้รวบรวมเงินค่าสี ค่าอุปกรณ์วาดรูปให้แอคเนส เพื่อฝากซื้อสิ่งของเหล่านี้ ยามเธอออกไปซื้อสินค้าในเมืองคนอสซอส
ญารินเดินเกร่ไป-มาตั้งแต่ด้านในปราสาท จนถึงหน้าปราสาท ชะเง้อคอยืดคอยาวมองหาอันทาเออัสมาสองวันแล้ว ด้วยหวังจะขออนุญาตตามแอคเนสออกไปที่ตลาดในเมืองคนอสซอสบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นเขา..เลยลองไปเรียบๆเคียงๆถามกับหญิงรับใช้ที่มีตำแหน่งเสมือนนางต้นห้อง ถึงได้รู้ว่า เขานอนหลับอยู่ในห้อง
‘วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมารับแสงแดดบ้างเลย มิน่า ถึงได้ขาวโบ๊ะปานนั้น’
“เอ..แต่ป่านนี้คงตื่นแล้วมั้ง”
หญิงสาวคาดหวัง และลองขึ้นไปหาที่ห้องนอน เจอเข้ากับทหารยามที่กำลังเดินตรวจตราอยู่บริเวณนั้น
“พระองค์นอนหลับอยู่ เจ้ามีเรื่องสำคัญอันใดล่ะ”
“นี่มันเกือบเย็นแล้วนะ..พระองค์เพิ่งนอนกลางวันเหรอ”
“พระองค์ก็เป็นเช่นนี้ล่ะ แล้วตกลงเจ้ามีธุระอันใด” ทหารยามถามย้ำ
“คือ..มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไหร่หรอก” ตอบออกไปอย่างแสนเสียดาย แต่กระนั้น ความหวังยังคงมีอยู่ “งั้น พี่พอจะรู้ไหม ว่าพระองค์จะตื่นเวลาไหน”
“ไม่แน่นอนหรอก บางครั้งก็สองถึงสามวัน หรือนานสุดก็เต็มเดือน”
“หา !” คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง
‘นอนนานขนาดนั้น ไม่แห้งติดเตียงแล้วเรอะ!’
“ถ้าไม่มีธุระสำคัญเร่งด่วน เจ้าก็ไปเถอะ”
ญารินหน้าม่อย ครุ่นคิดหลายอึดใจ..รอยยิ้มแห่งความหวังบรรเจิดขึ้นอีกครั้ง รีบตรงดิ่งลงมาถามหา กี กับทหารยาม
กีมองสบดวงตากลมใส ความหวังเปล่งประกายระยิบระยับ ฟุ้งกระจายเกลื่อนทั่วดวงหน้าอ่อนเยาว์..รอยยิ้มเอ็นดูเจือบนใบหน้าคมเข้ม พลางถอนหายใจอย่างนึกสงสาร
“ข้าไม่อาจให้คำอนุญาตกับเจ้าได้ เพราะอำนาจเด็จขาดขึ้นกับอันทาเออัสเพียงผู้เดียวเท่านั้น..เจ้าก็หาอะไรทำแก้เบื่อไปก่อนเถอะ แม่สาวน้อย”
ร่างสูงใหญ่ไพล่มือไปด้านหลัง ตอบพลางโคลงศีรษะเล็กน้อยอันเป็นเอกลักษณ์เปี่ยมเสน่ห์ของเขา แล้วก็หันเดินจากไป
ญารินได้แต่มองตามตาละห้อย ถ้อยคำคัดค้านค้างติดในลำคอ ความหวังที่มีอยู่น้อยนิดถูกโยนลงหลุมให้ใจห่อเหี่ยว
“ชิ !!”
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องรอต่อไป และไม่เชื่อว่า อันทาเออัสจะกักขังเธอไว้ในปราสาทนี้ไปจนแก่ตายหรอก
ปากก็บ่นกระปอดกระแปด เท้าก็เตะหินเตะหญ้าไปเรื่อย โดยไม่รู้ว่ากำลังถูกจับตามองจากบุคคลบนยอดปราสาท ซึ่งตื่นจากภวังค์แห่งการหลับใหลตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงเธอเอื้อนเอ่ยกับทหารยาม ริมฝีปากบางสีเรื่อยิ้มยก สายตาทอดมองร่างเล็กแบบบางสว่างไสว ราวกับเธอเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่ต่างกับบันทึกการเดินทางของนักเดินเรือ
(ต่อค่ะ)