ในตอนเช้าตรู่..
แอคเนสออกไปเก็บผักที่บรรดาหญิงรับใช้ช่วยกันปลูกไว้ข้างปราสาท นำมาให้แม่ครัวปรุงอาหาร ทว่า ยังเดินไม่ถึงห้องครัว เสียงใสอันคุ้นเคยตะโกนเรียกดังลั่น
“พี่แอคเนส !”
เธอเหลียวมองหาที่มาของเสียง ก็เห็นญารินใช้มือข้างหนึ่งถกชายกระโปรงยาวขึ้น ขณะแขนอีกข้างยกอ้าวิ่งตรงเข้ามาสวมกอด
“อะไรของเจ้าอีกล่ะ ! “
“คิดถึงพี่จะแย่อยู่แล้ว” ญารินบอกพลางถูใบหน้าไปมากับต้นแขนนุ่มของหญิงรุ่นพี่ ที่กำลังใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเธออย่างหมั่นไส้
“เจ้านี่..ทำไมถึงขี้อ้อนนัก เจ้าอายุเท่าไหร่กัน”
ญารินมุ่ยหน้า พลางช่วยรับผักจากแอคเนสมาถือเอง
“ก็เมื่อวานทั้งวันไม่เห็นพี่เลยนี่นา..ฉันต้องนั่งแกร่วคนเดียว เหงาจะแย่”
“แต่เมื่อวาน ข้าได้ยินว่า เจ้าอยู่กับองค์อันทาเออัสตั้งครึ่งวันนะ”
“หูย..จะเหมือนอยู่กับพี่ได้ไงเล่า..ฉันนั่งเกร็งจะแย่” ญารินตอบไปอย่างนั้น แต่กลับอมยิ้มในสีหน้า แล้วรีบหันเดินนำแอคเนสเข้าครัว
ญารินช่วยงานในครัวเท่าที่จะทำได้..หลังอาหารเช้า เธอชวนแอคเนสไปเดินเล่นตรงชายป่าอีกด้านของปราสาท ซึ่งเธอเคยมองออกไปจากหน้าต่างห้องนอนแล้วเห็นน้ำตกไหลลงมาจากภูเขา จึงอยากไปดูใกล้ๆ และแอคเนสก็ยอมตามใจอีกครั้ง
อันทาเออัสยืนบนระเบียง ทอดสายตามองตามหลังญารินที่กำลังเดินคู่กับหญิงรับใช้รุ่นพี่ออกไปนอกปราสาท..ทั้งๆที่เมื่อก่อนเสียงเอะอะมะเทิ่งของเหล่าทหารไม่เคยแว่วเข้าหูเลยสักครั้ง ทว่า เช้าวันนี้ เขากลับสะดุ้งตื่น กับเสียงแหลมยามตะโกนเรียกหาใครอีกคน ดังเสียดเข้ามาในประสาทสัมผัสพิเศษอย่างชัดเจน และหลังจากนั้น สมาธิของเขาก็จดจ่ออยู่กับเสียงของเธอที่กำลังพูดคุยกับหญิงรับใช้ และเลยไปถึงบรรดาคนครัว ซึ่งเสียงของคนอื่นนั้นเขาไม่ได้สนใจฟัง มันเลยกลายเป็นเสียงพึมพำจับใจความไม่ได้ ต่างกับญาริน ที่เขาได้ยินทุกคำพูด รวมทั้งเสียงหัวเราะสดใส ทำให้มุมปากเขาหยัดยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มตั้งจิตเรียกภูตสายลมเพียงอึดใจ ก็เอ่ยคำสั่ง
“ออกมา”
สิ้นเสียง ปรากฏกลุ่มหมอกสีขาวรวมตัวเป็นรูปร่างโปร่งใสของเด็กหนุ่ม
“นายท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ”
“นับจากนี้ เจ้าคอยจับตาดูนางไว้ให้ดี แล้วรายงานข้าทุกวัน”
“นาง..ผู้อ่อนเยาว์คนนั้นใช่หรือไม่”
“ใช่”
“ขอรับ”
ร่างโปร่งใสสลายเป็นกลุ่มหมอกจางๆพุ่งลงจากระเบียงลอยล่องตามหลังญารินไปตามคำสั่งผู้เป็นนาย
ญารินใช้หลังมือยกขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ไหลราวสายน้ำมองไปยังภูเขาเบื้องหน้า..ทั้งๆที่เหมือนอยู่ไม่ไกล แต่ทำไมเดินไม่ถึงสักที.
“โอย..หิวน้ำ”
แอคเนสหันมายิ้ม
“อะไร เจ้าหมดแรงแล้วเหรอ”
“ก็ไม่รู้ว่าจะไกลขนาดนี้นี่นา”
เธอโอดครวญ แล้วก็หันไปยิ้มทักทายกับชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาบนถนนที่สร้างจากการถมดินขึ้นมาและใช้หินแผ่นหินเรียงทับอีกชั้น มีขนาดกว้างพอให้รถม้าวิ่งสวนกันได้ ซึ่งระหว่างทาง แอคเนสเล่าให้ฟังว่า อันทาเออัสจะให้ครอบครัวทหารอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันจนกลายเป็นหมู่บ้านขนาดย่อม และจะแบ่งพื้นที่สำหรับทำกิน ทั้งเกษตรกรรมและปศุสัตว์ ซึ่งเธอได้เห็นจากสองข้างทางที่เดินผ่านมา ส่วนใครอยากเป็นชาวประมง ก็จะอาศัยอยู่อีกด้านใกล้กับวิหารเทพเจ้าโปเซดอน ซึ่งวันที่ไปบูชาเทพเจ้าเธอไม่รู้ว่าถ้าเดินเลาะหน้าผาไปก็จะเป็นหมู่บ้านของชาวประมง ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่พลาดที่จะไปสำรวจที่นั่นในภายหลัง
“อืม..ฟังดูแล้ว เจ้านายของพี่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ..แต่บางครั้ง ก็ดูน่ากลัวไปหน่อย”
“ใช่..ยิ่งผู้คนในเมืองคนอสซอสจะหวาดกลัวพระองค์มาก”
“หืม..นอกจากหมู่บ้านที่ปราสาทนี้แล้ว ยังมีที่อื่นอีกเหรอคะ”
“ใช่..นอกปราสาทยังมีอีกหลายหมู่บ้าน แต่ที่ใหญ่สุดก็เป็นหมู่บ้านในเมืองคนอสซอส พระราชวังก็ยิ่งใหญ่และสวยงามมาก ผู้คนในเมืองล้วนแต่มีฐานะ แต่สำหรับข้าไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ เพราะมันดูวุ่นวายสับสน..ยกเว้นการไปดูของในตลาดน่ะ เป็นสิ่งที่ข้าชอบมาก เพราะมีของแปลกๆมาจากพวกเรือสินค้าให้ดูไม่เบื่อเลย”
ญารินฟังแล้ว ดวงตาเป็นประกาย
“โห..อยากไปจังเลย”
“เจ้าต้องได้รับคำอนุญาตจากองค์อันทาเออัสเสียก่อน ถึงจะออกนอกอาณาเขตได้”
ญารินได้ฟังก็ถอนใจเฮือก..คงต้องรอให้เขาเชื่อใจเธออีกสักหน่อย ถึงจะกล้าขออนุญาตเขาออกนอกปราสาท
“เฮ้อ ! เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน..ตอนนี้ฉันสนใจน้ำตกมากกว่า” แล้วก็หันไปยิ้มกว้างให้แอคเนส พากันเดินต่อไป
เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย สองข้างทางเริ่มครึ้มจากบรรดาต้นไม้ที่แผ่ปกคลุม เสียงน้ำตกแว่วมาให้ได้ยิน ทำให้ญารินรีบจูงมือแอคเนสตรงไปยังจุดหมาย แล้วก็รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งกับภาพความสวยงามอลังการตรงหน้า โขดหินใหญ่สูงตระหง่านไล่ลงมาเป็นชั้นให้สายน้ำตกทิ้งตัวกระแทกลงสู่แอ่งน้ำขนาดใหญ่เบื้องล่าง และแตกแขนงล้นออกไปเป็นลำธารสายเล็ก ให้ความชุ่มชื้นกับผืนป่า
เสียงหัวเราะ หยอกเย้าดังมาจากกลุ่มหญิงชาวบ้าน ที่กำลังพากันขึ้นจากน้ำ ญารินถึงกับอ้าปากเหวอ รีบหันหลัง ตกใจกับร่างเปล่าเปลือยอวบอิ่ม หลายไซส์หลายขนาดละลานตาไปหมด ใบหน้าร้อนวูบวาบ
แอคเนสหันมากระเซ้า
“ทำไม..เจ้าอายเรอะ”
ญารินยกสองมือขึ้นกุมสองข้างแก้มยังร้อนผ่าว ยามหันมาตอบ
“ก็ฉันไม่เคยเห็นใครมาแก้ผ้าต่อหน้านี่นา มันน่าอายจะตาย..แล้วพี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
“มันเป็นเรื่องปกติ เหตุใดข้าต้องอาย”
“อ้าว..เป็นเรื่องปกติเหรอ” เธอพึมพำ นึกถึงบรรดาภาพวาดในเทพปกรณัม ที่ชาย-หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยกับการทำกิจกรรมในหลายๆอย่าง..ก็ไม่คิดว่าเธอจะต้องมาเห็นของจริงด้วยตาตนเองเช่นนี้ มันก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดาน่ะสิ และรีบหลีกทางให้บรรดาหญิงชาวบ้าน ซึ่งสวมเสื้อผ้าเปียกชื้นกลุ่มนั้นเดินผ่านไป
“เจ้าจะเล่นน้ำไหม”
แอคเนสเอ่ยถาม ขณะเดินไปยอบตัวนั่งบนโขดหิน จุ่มเท้าเปล่าแช่น้ำลงไปอย่างผ่อนคลาย ญารินเดินไปนั่งเคียงข้าง และทำตามบ้าง ใบหน้าสัมผัสถึงความสดชื่นจากละอองน้ำตก
“ก็..อยากอยู่นะ..แต่..”
แอคเนสหัวเราะ “เจ้าจะอายอะไร” พลางลุกขึ้น ถอดเสื้อผ้ากองบนโขดหิน
แม้ผิวกายจะไม่ได้ขาวละเอียดผุดผ่อง แต่ความลาดโค้งอวบอิ่มของเรือนร่างอ่อนช้อย มีความสวยงามจับตาไม่น้อย สองขาเรียวเดินลงผืนน้ำจนจมไปครึ่งเอว เส้นผมยาวเป็นลอนแผ่บนผิวน้ำกระเพื่อมไหว ใบหน้างามสมวัยหันมายิ้มอ่อน ก่อนวักน้ำสาด
“มาสิ..เจ้าอุตส่าห์มาถึงที่นี่ แล้วจะไม่ลงเล่นน้ำเรอะ” และทิ้งตัวลงแหวกว่าย ไม่สนใจเพื่อนรุ่นน้องอีก
(ต่อค่ะ)
ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #11#
แอคเนสออกไปเก็บผักที่บรรดาหญิงรับใช้ช่วยกันปลูกไว้ข้างปราสาท นำมาให้แม่ครัวปรุงอาหาร ทว่า ยังเดินไม่ถึงห้องครัว เสียงใสอันคุ้นเคยตะโกนเรียกดังลั่น
“พี่แอคเนส !”
เธอเหลียวมองหาที่มาของเสียง ก็เห็นญารินใช้มือข้างหนึ่งถกชายกระโปรงยาวขึ้น ขณะแขนอีกข้างยกอ้าวิ่งตรงเข้ามาสวมกอด
“อะไรของเจ้าอีกล่ะ ! “
“คิดถึงพี่จะแย่อยู่แล้ว” ญารินบอกพลางถูใบหน้าไปมากับต้นแขนนุ่มของหญิงรุ่นพี่ ที่กำลังใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเธออย่างหมั่นไส้
“เจ้านี่..ทำไมถึงขี้อ้อนนัก เจ้าอายุเท่าไหร่กัน”
ญารินมุ่ยหน้า พลางช่วยรับผักจากแอคเนสมาถือเอง
“ก็เมื่อวานทั้งวันไม่เห็นพี่เลยนี่นา..ฉันต้องนั่งแกร่วคนเดียว เหงาจะแย่”
“แต่เมื่อวาน ข้าได้ยินว่า เจ้าอยู่กับองค์อันทาเออัสตั้งครึ่งวันนะ”
“หูย..จะเหมือนอยู่กับพี่ได้ไงเล่า..ฉันนั่งเกร็งจะแย่” ญารินตอบไปอย่างนั้น แต่กลับอมยิ้มในสีหน้า แล้วรีบหันเดินนำแอคเนสเข้าครัว
ญารินช่วยงานในครัวเท่าที่จะทำได้..หลังอาหารเช้า เธอชวนแอคเนสไปเดินเล่นตรงชายป่าอีกด้านของปราสาท ซึ่งเธอเคยมองออกไปจากหน้าต่างห้องนอนแล้วเห็นน้ำตกไหลลงมาจากภูเขา จึงอยากไปดูใกล้ๆ และแอคเนสก็ยอมตามใจอีกครั้ง
อันทาเออัสยืนบนระเบียง ทอดสายตามองตามหลังญารินที่กำลังเดินคู่กับหญิงรับใช้รุ่นพี่ออกไปนอกปราสาท..ทั้งๆที่เมื่อก่อนเสียงเอะอะมะเทิ่งของเหล่าทหารไม่เคยแว่วเข้าหูเลยสักครั้ง ทว่า เช้าวันนี้ เขากลับสะดุ้งตื่น กับเสียงแหลมยามตะโกนเรียกหาใครอีกคน ดังเสียดเข้ามาในประสาทสัมผัสพิเศษอย่างชัดเจน และหลังจากนั้น สมาธิของเขาก็จดจ่ออยู่กับเสียงของเธอที่กำลังพูดคุยกับหญิงรับใช้ และเลยไปถึงบรรดาคนครัว ซึ่งเสียงของคนอื่นนั้นเขาไม่ได้สนใจฟัง มันเลยกลายเป็นเสียงพึมพำจับใจความไม่ได้ ต่างกับญาริน ที่เขาได้ยินทุกคำพูด รวมทั้งเสียงหัวเราะสดใส ทำให้มุมปากเขาหยัดยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มตั้งจิตเรียกภูตสายลมเพียงอึดใจ ก็เอ่ยคำสั่ง
“ออกมา”
สิ้นเสียง ปรากฏกลุ่มหมอกสีขาวรวมตัวเป็นรูปร่างโปร่งใสของเด็กหนุ่ม
“นายท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ”
“นับจากนี้ เจ้าคอยจับตาดูนางไว้ให้ดี แล้วรายงานข้าทุกวัน”
“นาง..ผู้อ่อนเยาว์คนนั้นใช่หรือไม่”
“ใช่”
“ขอรับ”
ร่างโปร่งใสสลายเป็นกลุ่มหมอกจางๆพุ่งลงจากระเบียงลอยล่องตามหลังญารินไปตามคำสั่งผู้เป็นนาย
ญารินใช้หลังมือยกขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ไหลราวสายน้ำมองไปยังภูเขาเบื้องหน้า..ทั้งๆที่เหมือนอยู่ไม่ไกล แต่ทำไมเดินไม่ถึงสักที.
“โอย..หิวน้ำ”
แอคเนสหันมายิ้ม
“อะไร เจ้าหมดแรงแล้วเหรอ”
“ก็ไม่รู้ว่าจะไกลขนาดนี้นี่นา”
เธอโอดครวญ แล้วก็หันไปยิ้มทักทายกับชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาบนถนนที่สร้างจากการถมดินขึ้นมาและใช้หินแผ่นหินเรียงทับอีกชั้น มีขนาดกว้างพอให้รถม้าวิ่งสวนกันได้ ซึ่งระหว่างทาง แอคเนสเล่าให้ฟังว่า อันทาเออัสจะให้ครอบครัวทหารอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันจนกลายเป็นหมู่บ้านขนาดย่อม และจะแบ่งพื้นที่สำหรับทำกิน ทั้งเกษตรกรรมและปศุสัตว์ ซึ่งเธอได้เห็นจากสองข้างทางที่เดินผ่านมา ส่วนใครอยากเป็นชาวประมง ก็จะอาศัยอยู่อีกด้านใกล้กับวิหารเทพเจ้าโปเซดอน ซึ่งวันที่ไปบูชาเทพเจ้าเธอไม่รู้ว่าถ้าเดินเลาะหน้าผาไปก็จะเป็นหมู่บ้านของชาวประมง ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่พลาดที่จะไปสำรวจที่นั่นในภายหลัง
“อืม..ฟังดูแล้ว เจ้านายของพี่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ..แต่บางครั้ง ก็ดูน่ากลัวไปหน่อย”
“ใช่..ยิ่งผู้คนในเมืองคนอสซอสจะหวาดกลัวพระองค์มาก”
“หืม..นอกจากหมู่บ้านที่ปราสาทนี้แล้ว ยังมีที่อื่นอีกเหรอคะ”
“ใช่..นอกปราสาทยังมีอีกหลายหมู่บ้าน แต่ที่ใหญ่สุดก็เป็นหมู่บ้านในเมืองคนอสซอส พระราชวังก็ยิ่งใหญ่และสวยงามมาก ผู้คนในเมืองล้วนแต่มีฐานะ แต่สำหรับข้าไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ เพราะมันดูวุ่นวายสับสน..ยกเว้นการไปดูของในตลาดน่ะ เป็นสิ่งที่ข้าชอบมาก เพราะมีของแปลกๆมาจากพวกเรือสินค้าให้ดูไม่เบื่อเลย”
ญารินฟังแล้ว ดวงตาเป็นประกาย
“โห..อยากไปจังเลย”
“เจ้าต้องได้รับคำอนุญาตจากองค์อันทาเออัสเสียก่อน ถึงจะออกนอกอาณาเขตได้”
ญารินได้ฟังก็ถอนใจเฮือก..คงต้องรอให้เขาเชื่อใจเธออีกสักหน่อย ถึงจะกล้าขออนุญาตเขาออกนอกปราสาท
“เฮ้อ ! เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน..ตอนนี้ฉันสนใจน้ำตกมากกว่า” แล้วก็หันไปยิ้มกว้างให้แอคเนส พากันเดินต่อไป
เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย สองข้างทางเริ่มครึ้มจากบรรดาต้นไม้ที่แผ่ปกคลุม เสียงน้ำตกแว่วมาให้ได้ยิน ทำให้ญารินรีบจูงมือแอคเนสตรงไปยังจุดหมาย แล้วก็รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งกับภาพความสวยงามอลังการตรงหน้า โขดหินใหญ่สูงตระหง่านไล่ลงมาเป็นชั้นให้สายน้ำตกทิ้งตัวกระแทกลงสู่แอ่งน้ำขนาดใหญ่เบื้องล่าง และแตกแขนงล้นออกไปเป็นลำธารสายเล็ก ให้ความชุ่มชื้นกับผืนป่า
เสียงหัวเราะ หยอกเย้าดังมาจากกลุ่มหญิงชาวบ้าน ที่กำลังพากันขึ้นจากน้ำ ญารินถึงกับอ้าปากเหวอ รีบหันหลัง ตกใจกับร่างเปล่าเปลือยอวบอิ่ม หลายไซส์หลายขนาดละลานตาไปหมด ใบหน้าร้อนวูบวาบ
แอคเนสหันมากระเซ้า
“ทำไม..เจ้าอายเรอะ”
ญารินยกสองมือขึ้นกุมสองข้างแก้มยังร้อนผ่าว ยามหันมาตอบ
“ก็ฉันไม่เคยเห็นใครมาแก้ผ้าต่อหน้านี่นา มันน่าอายจะตาย..แล้วพี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
“มันเป็นเรื่องปกติ เหตุใดข้าต้องอาย”
“อ้าว..เป็นเรื่องปกติเหรอ” เธอพึมพำ นึกถึงบรรดาภาพวาดในเทพปกรณัม ที่ชาย-หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยกับการทำกิจกรรมในหลายๆอย่าง..ก็ไม่คิดว่าเธอจะต้องมาเห็นของจริงด้วยตาตนเองเช่นนี้ มันก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดาน่ะสิ และรีบหลีกทางให้บรรดาหญิงชาวบ้าน ซึ่งสวมเสื้อผ้าเปียกชื้นกลุ่มนั้นเดินผ่านไป
“เจ้าจะเล่นน้ำไหม”
แอคเนสเอ่ยถาม ขณะเดินไปยอบตัวนั่งบนโขดหิน จุ่มเท้าเปล่าแช่น้ำลงไปอย่างผ่อนคลาย ญารินเดินไปนั่งเคียงข้าง และทำตามบ้าง ใบหน้าสัมผัสถึงความสดชื่นจากละอองน้ำตก
“ก็..อยากอยู่นะ..แต่..”
แอคเนสหัวเราะ “เจ้าจะอายอะไร” พลางลุกขึ้น ถอดเสื้อผ้ากองบนโขดหิน
แม้ผิวกายจะไม่ได้ขาวละเอียดผุดผ่อง แต่ความลาดโค้งอวบอิ่มของเรือนร่างอ่อนช้อย มีความสวยงามจับตาไม่น้อย สองขาเรียวเดินลงผืนน้ำจนจมไปครึ่งเอว เส้นผมยาวเป็นลอนแผ่บนผิวน้ำกระเพื่อมไหว ใบหน้างามสมวัยหันมายิ้มอ่อน ก่อนวักน้ำสาด
“มาสิ..เจ้าอุตส่าห์มาถึงที่นี่ แล้วจะไม่ลงเล่นน้ำเรอะ” และทิ้งตัวลงแหวกว่าย ไม่สนใจเพื่อนรุ่นน้องอีก
(ต่อค่ะ)