บทที่ 1 แหวนศักดิ์สิทธิ์กับภูตวิหค
http://ppantip.com/topic/30132632
บทที่ 2 ลักพาตัว
http://ppantip.com/topic/30134184
บทที่ 3 ถ้ำหินขาว
http://ppantip.com/topic/30140347
บทที่ 4 หมู่บ้านมนต์ขาว
http://ppantip.com/topic/30158845
บทที่ 5 วิหารมนต์ขาว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ตื่นได้แล้ว อาหารเช้าเย็นหมดแล้วนะ” เสียงเรียกของเอดิออทผ่านพ้นประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงแผ่นไม้แข็งถูกเคาะรัว ปลุกเจ้าหญิงจากห้วงฝันอันเสมือนจริงจนน่าแคลงใจ
แทนที่จะลืมตาตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่ด้วยความเบิกบานแจ่มใส เจ้าของผมแดงสยายยาวสะบัดหน้ารูปไข่ ส่งสายตาขุ่นขวางไปตรงตำแหน่งประตูที่ยังคงปิดสนิท ประหนึ่งจะส่งกระแสคลื่นความไม่พอใจให้ทะลุทะลวงถึงผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ประตูบานนั้น
“มาปลุกเราเอาตอนสำคัญ เลยไม่ได้เห็นว่าเหตุการณ์ต่อไปจะอย่างไร มันน่านักเชียว เอดิออทนี่”
เธอบ่นอุบแล้วพลิกผ้าห่มออกจากตัว โดยไม่แยแสว่าต้องเก็บพับให้เรียบร้อย ด้วยความเคยชินที่เคยมีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง ทำทุกอย่างให้เมื่ออยู่ในพระราชวัง
“เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ เลือกเอาที่พอสวมได้เปลี่ยนซะ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วรีบลงมาล่ะ เอ้อ ผ้าเช็ดตัวผืนใหม่อยู่ในลิ้นชักซ้ายมือนะ”
ฟาลเนียเดินปรี่ไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่เจ้าของอนุญาตให้เลือกเอาตามชอบใจ หลายชุดมีสีขาวสะอาดตา มีบางตัวสีเข้มหม่นกว่าตัวอื่นเล็กน้อย แต่ก็ล้วนเป็นชุดโทนสีพื้นด้วยกันทั้งหมด สายตากวาดมองหาชุดที่พอสวมใส่ได้ ก็สะดุดเข้ากับเสื้อคลุมยาวตัวหนึ่ง
“ตัวนี้น่าจะพอใส่ได้” หญิงสาวผู้มีนามว่าของขวัญจากพระเจ้า หยิบชุดยาวคลุมเท้ามาทาบร่างเพรียวระหง
ส่วนสูงเจ้าหล่อนน้อยกว่าเจ้าของชุดนี้ไป3นิ้วครึ่งโดยประมาณ
เธอค่อยๆถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น แล้วลองสวมชุดคลุมตัวนั้น แขนสองข้างยาวเลยข้อที่สองของนิ้วมือไป คอเสื้อตัววีมีฮู้ดเย็บติดกับเสื้ออย่างหยาบๆ ในความรู้สึกของเธอเป็นชุดที่เรียบและธรรมดามาก ทั้งการตัดเย็บและเนื้อผ้าก็หยาบ เมื่อเทียบกับอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยช่างฝีมือลือนามอย่างละเอียดประณีต อันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ติดตัวเธอมา
หมุนตัวดูเงาในกระจกก็รู้สึกไม่เลวร้าย “ชุดนี้ก็ดี เหมือนชุดจอมเวทย์ แปลกไปอีกแบบ”
จากนั้นจึงถอดออกแล้ววางพาดไว้บนเก้าอี้ เดินลับเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับผ้าเช็ดตัว ที่ดูเหมือนกับผ้าถูพื้นเสียมากกว่าในมุมมองของราชนิกูลสูงศักดิ์ ผู้ใช้ผ้าเช็ดตัวกำมะหยี่อยู่ปรกติเป็นประจำ
ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆขนาดของมันเท่ากับโต๊ะวางแจกันดอกไม้ที่อยู่ในปราสาท พื้นปูด้วยกระเบื้องดินเผาสีขาวเคลือบเงา บางชิ้นแตกพังไปบ้างตามอายุขัยของวัตถุ มีท่อระบายน้ำเล็กๆมุมสุด ใกล้กับถังไม้ที่บรรจุน้ำสำหรับชำระล้างร่างกาย ประตูก็เก่าจนกลอนประตูขึ้นสนิมไม่พอดีลงล็อกของมัน แทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือห้องอาบน้ำ
‘ซมซ่อที่สุดที่เคยพบ’ หล่อนคิดพลางถอนใจเฮือกใหญ่ หลับตาลงพลันภาพสัญญาเก่าก็ปรากฏแจ่มชัดในมโนนึก
ในวังนั้นการอาบน้ำราวกับเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ พื้นหินอ่อนสีชมพูอ่อนจางเหมือนแก้มของหญิงสาวพรหมจรรย์ ขั้นบันไดสี่ทิศตัดลงมาสู่อ่างน้ำแร่ที่เจาะเป็นวงกลมตรงกลางห้อง ความร้อน และความเปียกลื่นของน้ำสัมผัสผิวกายบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างอ่อนโยน เจ้าหญิงคือเทพธิดาที่จะต้องได้รับการชำระทั้งกายและใจให้หมดจด กลีบดอกไม้ถูกโปรยลงในน้ำร้อนที่ระเหยเป็นไอแม้ในฤดูอันหนาวเหน็บ พร้อมกับกลิ่นน้ำปรุงอันหอมฟุ้ง และเสียงพิณหวานเพราะดีดแว่วให้ยลยิน
กลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง พื้นกระเบื้องมีคราบคร่ำสกปรกให้เห็น แม้เพียงเล็กน้อยแต่เธอก็จ้องมันเหมือนกับเห็นแมงมุมไต่ผ่าน เจ้าหญิงเหยียบลงบนพื้นกระเบื้องอย่างไม่เต็มฝ่าเท้าราวกับกลัวอะไรทิ่มตำ หยิบลังไม้ขนาดเล็กที่วางอยู่บนพื้น ตัดน้ำจากถังใหญ่แล้วราดลงบนศีรษะ
“กรี๊ดดดดด!” เสียงหวีดแหลมทำให้บ้านทั้งหลังแทบโยกคลอน เอดิออทกำลังขลุกตัวอยู่ในครัวด้านล่าง ทิ้งอุปกรณ์เก็บกวาดลงทันใด ตรงรี่ขึ้นมาชั้นบน เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาในห้อง ผลักประตูห้องน้ำที่กลอนประตูหมดปัญญาจะล็อคเปิดอ้า เพื่อให้เห็นว่าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
ราวกับว่าเอดิออทได้สบตาของเมดูซ่าเข้าแล้ว เขายืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก ลืมแม้กระทั่งวิธีหายใจ ตาเบิกโตมองร่างขาวโพลนที่ปรากฏตรงหน้าด้วยอาการตะลึงงัน
“ลืมไปว่าเธออาบน้ำอยู่” เอดิออทอึกอักหลุดมาทีละคำ
“ตาบ้าโรคจิต!” ฟาลเนียร้องลั่นบ้าน โยนลังไม้ใส่หน้าแล้ว แล้วผลักประตูปิดดังโครม
“เธอนั่นแหล่ะบ้า ร้องซะดังลั่นนึกว่าตัวอะไรเข้ามาบีบคอ เรารึเป็นห่วงถึงรีบขึ้นมาดู มาว่าเราโรคจิตอีก” เขาพูดเสียงดังเหมือนว่าโกรธเธอ แต่อันที่จริงเขารู้สึกโกรธตัวเองที่เซ่อซ่า ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ไม่เคยมีผู้หญิงเข้ามาอยู่ในห้องของเขา โดยเฉพาะผู้หญิงเอาแต่ใจขี้โวยวายเช่นหล่อน เขานึกพลางกุมขมับซ้ายส่ายหน้า
“ออกไปเลย ไม่ต้องเข้ามาในห้องถ้าเรายังอยู่ เราเป็นแขกพิเศษนะ หัดมีมารยาทเสียบ้างสิ” เจ้าหญิงพูดลิ้นรัวหน้าแดงก่ำ คว้าผ้าเช็ดตัวที่พาดกับไม้ข้างบานประตูมาห่อหุ้มกาย
“พอกันที เลิกอาบ”
เจ้าหญิงเดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าปั้นปึ่ง ปรายตามองที่โต๊ะอาหาร เห็นเอดิออทนั่งทำหน้านิ่งจิบน้ำชา ถ้วยที่มีซุปเต็มสามถ้วยวางอยู่บนโต๊ะ แต่ไม่มีร่องรอยของบุคคลที่สามปรากฏ เจ้าหญิงเลื่อนเก้าอี้ทิ้งตัวลงนั่งด้วยใบหน้าที่ยังคงบึ้งตึง
“ไม่ต้องทำหน้าบึ้งแบบนั้นหรอก ไม่สวยอยู่แล้วจะยิ่งไม่สวยเข้าไปใหญ่” ชายหนุ่มสัพยอก
ได้ยินเช่นนั้นตาสีน้ำทะเลก็กลายเป็นเขียวปัด กำมือแน่นทำท่าจะปล่อยหมัด
“ว่าแต่เธอไม่เคยอาบน้ำรึไง ร้องลั่นอย่างกับไก่ถูกเชือด” เอดิออทพูดเย้าต่อ
“ใครจะเหมือนเธอล่ะ อาบน้ำเย็นเหมือนม้าเหมือนลา” เจ้าหญิงกล่าวสะบัดๆ “เย็นอย่างกับน้ำในลำธาร เราไม่เคยอาบหรอกนะแบบนั้น”
เขานิ่งฟังพลางอมยิ้ม นึกขำหล่อนมากกว่าที่จะถือโกรธ “เอาละๆ ทานซุปให้หมดซะ ก่อนที่มันจะเย็นชืดเหมือนน้ำที่เธออาบ”
องค์หญิงฟาเนีย มองดูซุปข้นๆสีเหลืองที่มีก้อนอะไรบางอย่างผสมอยู่ด้วย หยิบช้อนซุปขึ้นคนไปเขี่ยมา ด้วยความแคลงใจว่าจะใช่อาหารสำหรับคนแน่หรือ
‘เหมือนอาหารเลี้ยงม้าเสียมากกว่า’ เธอนึกอย่างปลงๆ แต่ด้วยความหิวจึงตักเนื้อซุปขึ้นมาแตะที่ปลายเพื่อลิ้มรสชาติ กลิ่นหอมของเครื่องเทศและสมุนไพร ผสมกลมกลืนอยู่ในเนื้อเนียนข้น ก้อนที่ผสมอยู่เมื่อบดเคี้ยวก็พบว่าเป็นพืชตระกูลถั่วมีรสชาติหวานมันกรุบ กรอบเข้ากับดีกับซุปชนิดนี้
“เอ๊ะ อร่อยนี่” เธอเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ใครทำหรือ?”
“คิดว่าใครล่ะ” เขาถามย้อนกลับ
เจ้าหญิงเขม้นมองดูเขาอย่างไม่เชื่อ สลับกับถ้วยซุปที่อยู่บนโต๊ะ “เธอน่ะหรือจะทำซุปได้อร่อยแบบนี้”
มีเสียงก้าวเท้าไม่รีบเร่งแต่ก็ไม่เนิบช้าอย่างคนในวังเดินเหินลงบันได
ความสนใจของเธอก็แปรเปลี่ยนไปจับร่างที่โผล่พ้นประตู จ้องตามร่างของหญิง ชราผู้มีผมสีดอกเลา สวมชุดคลุมยาวสีขาว มือหนึ่งถือไม้เท้า ก้าวเท้าอย่างมั่นคงลงมาทีละขั้น ภาพที่ปรากฏในความฝันซ้อนทับกับร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลายเป็นภาพเดียวกัน
ด้วยความตะลึงพรึงเพริด ช้อนที่ถือในมือหล่อนร่วงลงสู่พื้นดัง เคร้ง
“ซุ่มซ่ามจริง พื้นเปื้อนหมดแล้ว” ชายหนุ่มก้มลงไปเก็บช้อนขึ้นมาบ่นอุบ
แต่ฟาลเนียหูหนวกเป็นใบ้ไปเสียแล้ว โลกทั้งโลกเวลานี้หยุดนิ่งลงตรงที่หญิงชรายืนอยู่ นางขยับเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ร่วมโต๊ะอาหาร มองดูฟาลเนียด้วยแววตาเป็นประกายล้ำลึกเปี่ยมด้วยเมตตา
“ขออภัยที่มิได้ต้องรับให้สมเกียรติ เราไม่มีบ้านใหญ่หรือห้องรับแขกที่โอ่โถง หากแต่เรายินดียิ่งที่ได้รองรับท่าน องค์หญิงฟาลเนีย แห่งกลามีธีส” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ก็พอดีกับเสียงเคาะประตูดังขึ้น เอดิออทลุกจากโต๊ะไปเปิดประตู ฟาลเนียชะเง้อมองดูว่าใครมาก็เห็นหญิงสาวหน้าแชล่ม ผมสีขาวดุจหิมะฟูยุ่งเล็กน้อย ตาสีน้ำตาลกลมโตสดใส ในมือถือตระกล้าใส่ผลไม้ มีแอปเปิ้ลสีเขียวลูกใหญ่หลายลูก ตามเนื้อตัวมีรอยฟกช้ำที่เข่า และข้อศอกเหมือนไปหกล้มที่ไหนมา
“บรุยเน่ย์!” เอดิออทร้องทัก “ไปทำอะไรมา ดูสิข้อศอกเขียวช้ำหมด”
หญิงสาวหัวเราะร่า “ต้นแอปเปิ้ลในสวนผลดกเต็มต้น ข้าเลยปีนขึ้นไปเก็บแต่ดันลื่นตกลงมาน่ะสิ”
“ซนอย่างกับลิง ไม่เป็นกุลสตรีเอาซะเลย” ชายหนุ่มผมสีเข้มส่ายหัวหน่ายๆ รับตระกร้าผลไม้มาถือไว้ หลีกทางให้เจ้าหล่อนเดินเข้ามาข้างใน แต่แล้วก็หยุดชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ในห้อง
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ บรุยเนย์” แม่เฒ่ากล่าวทัก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านแม่เฒ่า” เธอตอบน้ำเสียงสดใส แล้วหันไปทางฟาลเนียที่ส่งยิ้มมาให้ด้วยแววตาฉงน “ใครกันนั่น?”
“แขกพิเศษของเรา องค์หญิงฟาลเนีย” เอดิออทกล่าวแนะนำให้รู้จักกับแขกพิเศษที่นั่งอยู่
สาวน้อยเขม้นมองดูองค์หญิงด้วยความฉงายถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“องค์หญิงจากต่างแดนหรือนี่ แล้วเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
“เรื่องมันยาว เอาไว้ค่อยเล่าทีหลัง” เอดิออทบอกปัดๆ อย่างเหนื่อยหน่าย
(มีต่อ)
The Light of Darkness บทที่ 5
บทที่ 2 ลักพาตัว http://ppantip.com/topic/30134184
บทที่ 3 ถ้ำหินขาว http://ppantip.com/topic/30140347
บทที่ 4 หมู่บ้านมนต์ขาว http://ppantip.com/topic/30158845
บทที่ 5 วิหารมนต์ขาว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ตื่นได้แล้ว อาหารเช้าเย็นหมดแล้วนะ” เสียงเรียกของเอดิออทผ่านพ้นประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงแผ่นไม้แข็งถูกเคาะรัว ปลุกเจ้าหญิงจากห้วงฝันอันเสมือนจริงจนน่าแคลงใจ
แทนที่จะลืมตาตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่ด้วยความเบิกบานแจ่มใส เจ้าของผมแดงสยายยาวสะบัดหน้ารูปไข่ ส่งสายตาขุ่นขวางไปตรงตำแหน่งประตูที่ยังคงปิดสนิท ประหนึ่งจะส่งกระแสคลื่นความไม่พอใจให้ทะลุทะลวงถึงผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ประตูบานนั้น
“มาปลุกเราเอาตอนสำคัญ เลยไม่ได้เห็นว่าเหตุการณ์ต่อไปจะอย่างไร มันน่านักเชียว เอดิออทนี่”
เธอบ่นอุบแล้วพลิกผ้าห่มออกจากตัว โดยไม่แยแสว่าต้องเก็บพับให้เรียบร้อย ด้วยความเคยชินที่เคยมีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง ทำทุกอย่างให้เมื่ออยู่ในพระราชวัง
“เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ เลือกเอาที่พอสวมได้เปลี่ยนซะ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วรีบลงมาล่ะ เอ้อ ผ้าเช็ดตัวผืนใหม่อยู่ในลิ้นชักซ้ายมือนะ”
ฟาลเนียเดินปรี่ไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่เจ้าของอนุญาตให้เลือกเอาตามชอบใจ หลายชุดมีสีขาวสะอาดตา มีบางตัวสีเข้มหม่นกว่าตัวอื่นเล็กน้อย แต่ก็ล้วนเป็นชุดโทนสีพื้นด้วยกันทั้งหมด สายตากวาดมองหาชุดที่พอสวมใส่ได้ ก็สะดุดเข้ากับเสื้อคลุมยาวตัวหนึ่ง
“ตัวนี้น่าจะพอใส่ได้” หญิงสาวผู้มีนามว่าของขวัญจากพระเจ้า หยิบชุดยาวคลุมเท้ามาทาบร่างเพรียวระหง
ส่วนสูงเจ้าหล่อนน้อยกว่าเจ้าของชุดนี้ไป3นิ้วครึ่งโดยประมาณ
เธอค่อยๆถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น แล้วลองสวมชุดคลุมตัวนั้น แขนสองข้างยาวเลยข้อที่สองของนิ้วมือไป คอเสื้อตัววีมีฮู้ดเย็บติดกับเสื้ออย่างหยาบๆ ในความรู้สึกของเธอเป็นชุดที่เรียบและธรรมดามาก ทั้งการตัดเย็บและเนื้อผ้าก็หยาบ เมื่อเทียบกับอาภรณ์ที่ตัดเย็บด้วยช่างฝีมือลือนามอย่างละเอียดประณีต อันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ติดตัวเธอมา
หมุนตัวดูเงาในกระจกก็รู้สึกไม่เลวร้าย “ชุดนี้ก็ดี เหมือนชุดจอมเวทย์ แปลกไปอีกแบบ”
จากนั้นจึงถอดออกแล้ววางพาดไว้บนเก้าอี้ เดินลับเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับผ้าเช็ดตัว ที่ดูเหมือนกับผ้าถูพื้นเสียมากกว่าในมุมมองของราชนิกูลสูงศักดิ์ ผู้ใช้ผ้าเช็ดตัวกำมะหยี่อยู่ปรกติเป็นประจำ
ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆขนาดของมันเท่ากับโต๊ะวางแจกันดอกไม้ที่อยู่ในปราสาท พื้นปูด้วยกระเบื้องดินเผาสีขาวเคลือบเงา บางชิ้นแตกพังไปบ้างตามอายุขัยของวัตถุ มีท่อระบายน้ำเล็กๆมุมสุด ใกล้กับถังไม้ที่บรรจุน้ำสำหรับชำระล้างร่างกาย ประตูก็เก่าจนกลอนประตูขึ้นสนิมไม่พอดีลงล็อกของมัน แทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือห้องอาบน้ำ
‘ซมซ่อที่สุดที่เคยพบ’ หล่อนคิดพลางถอนใจเฮือกใหญ่ หลับตาลงพลันภาพสัญญาเก่าก็ปรากฏแจ่มชัดในมโนนึก
ในวังนั้นการอาบน้ำราวกับเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ พื้นหินอ่อนสีชมพูอ่อนจางเหมือนแก้มของหญิงสาวพรหมจรรย์ ขั้นบันไดสี่ทิศตัดลงมาสู่อ่างน้ำแร่ที่เจาะเป็นวงกลมตรงกลางห้อง ความร้อน และความเปียกลื่นของน้ำสัมผัสผิวกายบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างอ่อนโยน เจ้าหญิงคือเทพธิดาที่จะต้องได้รับการชำระทั้งกายและใจให้หมดจด กลีบดอกไม้ถูกโปรยลงในน้ำร้อนที่ระเหยเป็นไอแม้ในฤดูอันหนาวเหน็บ พร้อมกับกลิ่นน้ำปรุงอันหอมฟุ้ง และเสียงพิณหวานเพราะดีดแว่วให้ยลยิน
กลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง พื้นกระเบื้องมีคราบคร่ำสกปรกให้เห็น แม้เพียงเล็กน้อยแต่เธอก็จ้องมันเหมือนกับเห็นแมงมุมไต่ผ่าน เจ้าหญิงเหยียบลงบนพื้นกระเบื้องอย่างไม่เต็มฝ่าเท้าราวกับกลัวอะไรทิ่มตำ หยิบลังไม้ขนาดเล็กที่วางอยู่บนพื้น ตัดน้ำจากถังใหญ่แล้วราดลงบนศีรษะ
“กรี๊ดดดดด!” เสียงหวีดแหลมทำให้บ้านทั้งหลังแทบโยกคลอน เอดิออทกำลังขลุกตัวอยู่ในครัวด้านล่าง ทิ้งอุปกรณ์เก็บกวาดลงทันใด ตรงรี่ขึ้นมาชั้นบน เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาในห้อง ผลักประตูห้องน้ำที่กลอนประตูหมดปัญญาจะล็อคเปิดอ้า เพื่อให้เห็นว่าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
ราวกับว่าเอดิออทได้สบตาของเมดูซ่าเข้าแล้ว เขายืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก ลืมแม้กระทั่งวิธีหายใจ ตาเบิกโตมองร่างขาวโพลนที่ปรากฏตรงหน้าด้วยอาการตะลึงงัน
“ลืมไปว่าเธออาบน้ำอยู่” เอดิออทอึกอักหลุดมาทีละคำ
“ตาบ้าโรคจิต!” ฟาลเนียร้องลั่นบ้าน โยนลังไม้ใส่หน้าแล้ว แล้วผลักประตูปิดดังโครม
“เธอนั่นแหล่ะบ้า ร้องซะดังลั่นนึกว่าตัวอะไรเข้ามาบีบคอ เรารึเป็นห่วงถึงรีบขึ้นมาดู มาว่าเราโรคจิตอีก” เขาพูดเสียงดังเหมือนว่าโกรธเธอ แต่อันที่จริงเขารู้สึกโกรธตัวเองที่เซ่อซ่า ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ไม่เคยมีผู้หญิงเข้ามาอยู่ในห้องของเขา โดยเฉพาะผู้หญิงเอาแต่ใจขี้โวยวายเช่นหล่อน เขานึกพลางกุมขมับซ้ายส่ายหน้า
“ออกไปเลย ไม่ต้องเข้ามาในห้องถ้าเรายังอยู่ เราเป็นแขกพิเศษนะ หัดมีมารยาทเสียบ้างสิ” เจ้าหญิงพูดลิ้นรัวหน้าแดงก่ำ คว้าผ้าเช็ดตัวที่พาดกับไม้ข้างบานประตูมาห่อหุ้มกาย
“พอกันที เลิกอาบ”
เจ้าหญิงเดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าปั้นปึ่ง ปรายตามองที่โต๊ะอาหาร เห็นเอดิออทนั่งทำหน้านิ่งจิบน้ำชา ถ้วยที่มีซุปเต็มสามถ้วยวางอยู่บนโต๊ะ แต่ไม่มีร่องรอยของบุคคลที่สามปรากฏ เจ้าหญิงเลื่อนเก้าอี้ทิ้งตัวลงนั่งด้วยใบหน้าที่ยังคงบึ้งตึง
“ไม่ต้องทำหน้าบึ้งแบบนั้นหรอก ไม่สวยอยู่แล้วจะยิ่งไม่สวยเข้าไปใหญ่” ชายหนุ่มสัพยอก
ได้ยินเช่นนั้นตาสีน้ำทะเลก็กลายเป็นเขียวปัด กำมือแน่นทำท่าจะปล่อยหมัด
“ว่าแต่เธอไม่เคยอาบน้ำรึไง ร้องลั่นอย่างกับไก่ถูกเชือด” เอดิออทพูดเย้าต่อ
“ใครจะเหมือนเธอล่ะ อาบน้ำเย็นเหมือนม้าเหมือนลา” เจ้าหญิงกล่าวสะบัดๆ “เย็นอย่างกับน้ำในลำธาร เราไม่เคยอาบหรอกนะแบบนั้น”
เขานิ่งฟังพลางอมยิ้ม นึกขำหล่อนมากกว่าที่จะถือโกรธ “เอาละๆ ทานซุปให้หมดซะ ก่อนที่มันจะเย็นชืดเหมือนน้ำที่เธออาบ”
องค์หญิงฟาเนีย มองดูซุปข้นๆสีเหลืองที่มีก้อนอะไรบางอย่างผสมอยู่ด้วย หยิบช้อนซุปขึ้นคนไปเขี่ยมา ด้วยความแคลงใจว่าจะใช่อาหารสำหรับคนแน่หรือ
‘เหมือนอาหารเลี้ยงม้าเสียมากกว่า’ เธอนึกอย่างปลงๆ แต่ด้วยความหิวจึงตักเนื้อซุปขึ้นมาแตะที่ปลายเพื่อลิ้มรสชาติ กลิ่นหอมของเครื่องเทศและสมุนไพร ผสมกลมกลืนอยู่ในเนื้อเนียนข้น ก้อนที่ผสมอยู่เมื่อบดเคี้ยวก็พบว่าเป็นพืชตระกูลถั่วมีรสชาติหวานมันกรุบ กรอบเข้ากับดีกับซุปชนิดนี้
“เอ๊ะ อร่อยนี่” เธอเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ใครทำหรือ?”
“คิดว่าใครล่ะ” เขาถามย้อนกลับ
เจ้าหญิงเขม้นมองดูเขาอย่างไม่เชื่อ สลับกับถ้วยซุปที่อยู่บนโต๊ะ “เธอน่ะหรือจะทำซุปได้อร่อยแบบนี้”
มีเสียงก้าวเท้าไม่รีบเร่งแต่ก็ไม่เนิบช้าอย่างคนในวังเดินเหินลงบันได
ความสนใจของเธอก็แปรเปลี่ยนไปจับร่างที่โผล่พ้นประตู จ้องตามร่างของหญิง ชราผู้มีผมสีดอกเลา สวมชุดคลุมยาวสีขาว มือหนึ่งถือไม้เท้า ก้าวเท้าอย่างมั่นคงลงมาทีละขั้น ภาพที่ปรากฏในความฝันซ้อนทับกับร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลายเป็นภาพเดียวกัน
ด้วยความตะลึงพรึงเพริด ช้อนที่ถือในมือหล่อนร่วงลงสู่พื้นดัง เคร้ง
“ซุ่มซ่ามจริง พื้นเปื้อนหมดแล้ว” ชายหนุ่มก้มลงไปเก็บช้อนขึ้นมาบ่นอุบ
แต่ฟาลเนียหูหนวกเป็นใบ้ไปเสียแล้ว โลกทั้งโลกเวลานี้หยุดนิ่งลงตรงที่หญิงชรายืนอยู่ นางขยับเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ร่วมโต๊ะอาหาร มองดูฟาลเนียด้วยแววตาเป็นประกายล้ำลึกเปี่ยมด้วยเมตตา
“ขออภัยที่มิได้ต้องรับให้สมเกียรติ เราไม่มีบ้านใหญ่หรือห้องรับแขกที่โอ่โถง หากแต่เรายินดียิ่งที่ได้รองรับท่าน องค์หญิงฟาลเนีย แห่งกลามีธีส” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ก็พอดีกับเสียงเคาะประตูดังขึ้น เอดิออทลุกจากโต๊ะไปเปิดประตู ฟาลเนียชะเง้อมองดูว่าใครมาก็เห็นหญิงสาวหน้าแชล่ม ผมสีขาวดุจหิมะฟูยุ่งเล็กน้อย ตาสีน้ำตาลกลมโตสดใส ในมือถือตระกล้าใส่ผลไม้ มีแอปเปิ้ลสีเขียวลูกใหญ่หลายลูก ตามเนื้อตัวมีรอยฟกช้ำที่เข่า และข้อศอกเหมือนไปหกล้มที่ไหนมา
“บรุยเน่ย์!” เอดิออทร้องทัก “ไปทำอะไรมา ดูสิข้อศอกเขียวช้ำหมด”
หญิงสาวหัวเราะร่า “ต้นแอปเปิ้ลในสวนผลดกเต็มต้น ข้าเลยปีนขึ้นไปเก็บแต่ดันลื่นตกลงมาน่ะสิ”
“ซนอย่างกับลิง ไม่เป็นกุลสตรีเอาซะเลย” ชายหนุ่มผมสีเข้มส่ายหัวหน่ายๆ รับตระกร้าผลไม้มาถือไว้ หลีกทางให้เจ้าหล่อนเดินเข้ามาข้างใน แต่แล้วก็หยุดชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ในห้อง
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ บรุยเนย์” แม่เฒ่ากล่าวทัก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านแม่เฒ่า” เธอตอบน้ำเสียงสดใส แล้วหันไปทางฟาลเนียที่ส่งยิ้มมาให้ด้วยแววตาฉงน “ใครกันนั่น?”
“แขกพิเศษของเรา องค์หญิงฟาลเนีย” เอดิออทกล่าวแนะนำให้รู้จักกับแขกพิเศษที่นั่งอยู่
สาวน้อยเขม้นมองดูองค์หญิงด้วยความฉงายถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“องค์หญิงจากต่างแดนหรือนี่ แล้วเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
“เรื่องมันยาว เอาไว้ค่อยเล่าทีหลัง” เอดิออทบอกปัดๆ อย่างเหนื่อยหน่าย
(มีต่อ)