ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/32133729
ตอนที่ 2 - 4
http://ppantip.com/topic/32136375
ตอนที่ 5
และแล้วคืนพระจันทร์เต็มดวงที่ไอริสารอคอยก็มาถึง วงกลมสีทองส่องแสงสว่างจ้าผิดกับทุกวัน หล่อนรู้ดี... ต้องเป็นคืนนี้เท่านั้น ข้าวของทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมอยู่ในเป้ หญิงสาวปิดล็อคประตูหน้าต่างทุกบานแล้วจึงปิดไฟในห้องนอน เมื่อคิดทบทวนทุกอย่างเสร็จสรรพ หล่อนจึงพนมมือพร้อมกับตั้งสมาธิ
ความรู้สึกคุ้นเคยเกิดขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่หล่อนรู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นฉุดดึงลงไปอยู่ใต้น้ำ แทนที่จะดิ้นรนและไขว่คว้าไปรอบตัวอย่างเคย หล่อนกลับสงบนิ่งปล่อยให้กระแสแห่งกาลเวลานำพาตัวเองไป ไอริสารู้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นท่ามกลางความรู้สึกร้อนระอุของเปลวไฟรอบตัว ใกล้แล้ว... ใกล้จะถึงแล้ว จะได้พบแล้ว!
ตุบ!
ความรู้สึกเจ็บเป็นสิ่งเดียวที่ไอริสาไม่สามารถทำใจให้คุ้นเคยได้ หล่อนกวาดตามองไปรอบตัว ที่เดิม... นี่มันใต้ต้นสาละต้นเดิมนี่! จริงด้วย... ต้องเป็นที่นี่จริง ๆ แสงของดวงจันทร์บนท้องฟ้ายังคงสว่างจ้าเหมือนวันแรกที่หล่อนเดินทางมาไม่มีผิด
ร่างบางในชุดรัดกุมปัดฝุ่นที่แขนและลำตัวออก คืนนี้หล่อนสวมกางเกงยีนส์สีเข้มและเสื้อยืดสีขาว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่หล่อนอุตส่าห์แบกมาตกอยู่ใกล้ ๆ ไอริสาเอื้อมมือไปคว้ามาอย่างโล่งอก
คราวนี้ไม่เหมือนคราวก่อน จุดหมายปลายทางที่ชัดเจนทำให้หญิงสาวเริ่มออกเดิน มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านทันที บรรยากาศรอบตัวเหมือนวันที่มาถึงครั้งแรก เสียงจักจั่นเรไรดังระงม มันคงดีใจล่ะมั้ง ถึงได้พร้อมใจกันส่งเสียงต้อนรับหล่อนเช่นนี้ ปากได้รูปยิ้มเล็กน้อย หล่อนเองก็ดีใจที่ได้กลับมาเหมือนกัน...
ไอริสาขยับกระเป๋าบนหลังให้เข้าที่ น้ำหนักเป้ดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่ไกลขึ้นตามลำดับ กำลังคิดว่าจะวางมันลงและนั่งพักสักครู่ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากุบกับเข้ามาใกล้และเหมือนกำลังตรงมาทางนี้ ร่างบางหยุดชะงัก หลบวูบเข้าข้างทางตามสัญชาตญาณ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง ใครคนหนึ่งนั่งควบอยู่บนหลังม้า ใกล้เข้ามาทุกที แสงจันทร์สะท้อนเข้ากับกำไลทองบนแขนซ้ายสว่างวาบ ภาพที่เห็นเด่นชัดทำให้ไอริสาใจเต้นแรง
“วินธัย!”
ฝุ่นที่คลุ้งตลบจากฝีเท้าม้าทำให้คนที่ยืนยามอยู่ปากทางหมู่บ้านต้องออกปาก
“ท่านวินธัยควบม้าออกไปอีกแล้ว”
“คงไปลาดตระเวนตามเคย”
หลายวันมาแล้วที่วินธัยมาตรวจตราหมู่บ้านอย่างที่เคยทำเป็นประจำ ที่นี่เป็นค่ายที่เขาสร้างขึ้นเพื่อฝึกทหารหน่วยพิเศษ กองทหารของวินธัยใคร ๆ ก็รู้ว่าเก่งกล้าสามารถหาใครเทียบได้ยากเพราะคนฝึกทั้งเข้มงวดและใส่ใจในทุกรายละเอียด ยุทธวิธีการสู้รบแบบกองโจร เงียบและรวดเร็วเป็นทักษะที่ทหารกองพิเศษต้องฝึกให้เชี่ยวชาญ โดยมีจุดประสงค์หลักคือคุ้มกันองค์เจ้าหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์
ชายหนุ่มขี่ม้าออกไปท่ามกลางแสงจันทร์นวลกระจ่างไปตามทางที่คุ้นเคย ร่างตรงนั่งอยู่บนหลังม้าที่กำลังวิ่งเหยาะ ๆ พลางสอดส่ายสายตาไปทั่วเพื่อมองหาอะไรบางอย่างซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
บาดแผลเล็กน้อยที่ได้จากการต่อสู้ ไม่ทำให้เขารำคาญใจเท่ากับการที่ได้ยินคนในเรือนพูดกันว่าเขาถูกไอริสาลวงไปให้พวกนั้นฆ่า ทำอย่างกับเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่ใครจะหลอกไปไหนก็ได้อย่างนั้น... แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยากเกินกว่าที่จะคิดให้เป็นอย่างอื่น ความคิดดังกล่าวทำให้เขารู้สึกรำคาญใจจนอดทนอยู่ไม่ได้ ต้องละจากเมืองมาอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ แต่การฝึกซ้อมอย่างหนักก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเดือดดาลใจน้อยลง เพียงแค่เขาจะได้พบนางอีกครั้ง ครั้งเดียวเท่านั้น จะได้ถามความจริงจากปากนางให้หายข้องใจเสียที
“วินธัย!” เสียงที่แว่วมาทำให้ชายหนุ่มชะงัก จิตใจเขาคงวุ่นวายมากจนเสียสติหรือไม่ก็คงหูฝาดไปแล้ว
“วินธัย!” เสียงใส ๆ ที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มหันขวับเพื่อหาแหล่งที่มาของเสียง ใบหน้านวลขาวและดวงตากลมโตสดใสที่เขาจำได้ไม่ลืมโผล่ขึ้นมาหลังพุ่มไม้ใหญ่ ริมฝีปากบางกำลังเรียกชื่อของเขา
“ไอริสา!”
“วินธัย ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” การที่ได้พบหน้าคนที่อยากพบ ทำให้หัวใจหญิงสาวลิงโลด
“ไอริสา นั่นเจ้าจริง ๆ รึ?” ร่างสูงกระโดดลงมาจากหลังม้าอย่างรวดเร็วจนตัวเองยังแปลกใจ
“ใช่ ข้าเอง... ข้าเพิ่งมาถึง”
“เพิ่งมาถึง? แล้วเจ้าเป็นเยี่ยงไร เจ้าหายไปที่ใดมา พวกนั้นจับเจ้าไปรึ” เขาถามรัว ๆ
“ข้าปลอดภัยดี ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย แล้วเจ้าล่ะ วันนั้นเจ้าถูกพวกมันรุมทำร้าย เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
ท่าทีของชายหนุ่มเปลี่ยนไปคล้ายนึกอะไรได้ ร่างสูงหันหลังให้หล่อนและเริ่มออกเดิน จูงม้าสีดำของเขาไปด้วย
“เจ้ามิเป็นกระไรก็ดี แล้วเจ้ากลับมาที่นี่ด้วยเหตุใด?” เสียงห้าวลึกห้วนขึ้นจนคนฟังปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน
“ก็... ก็ข้าเป็นห่วง”
“เจ้าเป็นห่วงสิ่งใด?”
“ข้าก็... เป็นห่วงองค์เจ้าหลวงไง” ไอริสาพยักหน้าหงึก ๆ ให้กับเหตุผลของตัวเอง ไม่ได้โกหกซะหน่อย
“อ้อ! เจ้าเป็นห่วงองค์เจ้าหลวง”
ความผิดหวังฉาบอยู่บนใบหน้าคมสันชั่วครู่ก่อนจะจางหายไป ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจก่อนที่จะเริ่มซักไซ้ไล่เลียงหล่อนเหมือนตำรวจที่กำลังสอบสวนผู้ต้องหา ทั้งคู่พูดคุยกัน ถามโน่นถามนี่จนมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน
“เจ้าว่าเจ้ามาจากกาลข้างหน้ากระนั้นรึ จะเป็นไปได้เยี่ยงไร?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอนาคตหรือเปล่า แต่บ้านเมืองข้าไม่เหมือนที่นี่ ที่บ้านข้ามีตึก มีรถ มีไฟฟ้า มีคอมพิวเตอร์ ข้าว่าบ้านเมืองเจ้าคล้ายกับบ้านเมืองข้าสมัยเมื่อสักร้อยกว่าปีที่แล้วมากเลย”
“เจ้าพูดกระไร ข้าฟังมิเข้าใจสักคำ นี่เจ้าคิดจะหลอกให้ข้าเชื่อ ให้ข้าไว้ใจเจ้าอีกใช่หรือไม่”
“ข้าไม่ได้หลอกนะ เอาอย่างนี้ไหม คราวหน้าเวลาที่ข้าจะกลับบ้าน เจ้าก็มาด้วยสิ เจ้าจะได้เชื่อข้าเสียที”
ไอริสาเสนอ ใบหน้าขาวนวลของคนพูดยังคงกระจ่างใส แต่ใบหน้าคร้ามคมของคนฟังกลับสลดลง
“แต่เจ้าเพิ่งมา... จะกลับบ้านอีกกระนั้นรึ?” เสียงทุ้มขาดเป็นห้วง ๆ “แล้ว... เมื่อใดกัน?”
“วันพระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า!”
“เหอะ เจ้าจะลวงข้ามาให้ใครฆ่าอีกเล่า?”
“โธ่! วินธัย ข้าไม่ได้ลวงเจ้าจริง ๆ นะ โอเค... มันเป็นความผิดของข้าเองที่เดินพาเจ้ามานอกหมู่บ้าน แต่ข้าไม่ได้วางแผน ไม่ได้ตั้งใจแล้วก็ไม่ได้อยากให้เจ้าต้องมาเจออันตรายเลย... จริง ๆ นะ”
น้ำเสียงออดอ้อนน้อย ๆ และดวงตาสีน้ำตาลสุกใสที่มองสบตาเขาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสั่นไหวในอก แต่ก็ปากหนักมิยอมเอื้อนเอ่ยคำใด มีเพียงสายตาละมุนและรอยหยักเล็กน้อยบนริมฝีปากได้รูปเท่านั้นที่แสดงว่าเขาพอใจในคำตอบที่ได้ยิน
ที่เรือนไม้ไผ่หลังเล็กท้ายหมู่บ้าน ไอริสาเข้าไปกราบลาปู่เจ้าเพื่อเดินทางเข้าเมืองตามที่หล่อนตั้งใจ ใจจริงไอริสาอยากจะกลับวรนครตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแต่วินธัยยังคงติดพันอยู่กับการฝึกซ้อมกับเหล่าทหารของเขา หล่อนจึงต้องรออย่างช่วยไม่ได้ ระหว่างที่อยู่ที่นั่น ปู่เจ้าถามหล่อนหลายอย่างเกี่ยวกับสภาพบ้านเมืองของหล่อน นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนฟังหล่อนเล่าอย่างตั้งใจและไม่หาว่าหล่อนบ้าหรือว่าเสียสติ ถึงแม้ว่าปู่เจ้าท่านจะชราภาพมากแล้ว แต่การพูดจารวมไปถึงสติปัญญาของท่านก็มิได้ล้าหลังเลยแม้แต่น้อย ท่านฟังไอริสาเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและยังถามคำถามหล่อนราวกับว่าท่านเคยไปเยือนสถานที่แห่งนั้นมาก่อน
“บ้านเมืองเจ้าทั้งเจริญรุ่งเรืองและน่าอยู่... แล้วเหตุใดเจ้าจึงกลับมาที่นี่เล่า?” รอยยิ้มที่เหมือนรู้ทันของปู่เจ้าทำให้ไอริสาต้องคิดหาคำตอบเป็นพัลวัน
“เออ... อ๋อ!” หญิงสาวเหลือบตามองไปนอกเรือนเล็กน้อย ก่อนจะอ้ำอึ้งตอบ “ก็ข้าเป็นห่วงองค์เจ้าหลวงนี่คะ นี่ก็เอายามาด้วยเยอะเลย เผื่อโชคดีเจ้าหลวงจะได้หายประชวร” ทำไมท่านปู่เจ้าต้องมองหล่อนแล้วอมยิ้มด้วยนะ “อืม... อีกอย่างท่านเสนาบดีก็ดีกับข้า ท่านน้าจันทราด้วย... ข้าก็อยากตอบแทนบ้างอะไรบ้าง”
ปู่เจ้ายิ้ม แววตาท่านเต้นระริกอย่างนึกขันในใจ
“เห็นท่าว่าคนที่นี่จะมีความสำคัญกับเจ้าอยู่ไม่น้อยนะไอริสา”
ปู่เจ้าปรายตามองไปยังคนที่ซ้อมรบอยู่ที่ลานด้านนอกอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ
บุหลันลอยเลื่อน ตอนที่ 5
ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/32133729
ตอนที่ 2 - 4 http://ppantip.com/topic/32136375
ตอนที่ 5
และแล้วคืนพระจันทร์เต็มดวงที่ไอริสารอคอยก็มาถึง วงกลมสีทองส่องแสงสว่างจ้าผิดกับทุกวัน หล่อนรู้ดี... ต้องเป็นคืนนี้เท่านั้น ข้าวของทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมอยู่ในเป้ หญิงสาวปิดล็อคประตูหน้าต่างทุกบานแล้วจึงปิดไฟในห้องนอน เมื่อคิดทบทวนทุกอย่างเสร็จสรรพ หล่อนจึงพนมมือพร้อมกับตั้งสมาธิ
ความรู้สึกคุ้นเคยเกิดขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่หล่อนรู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นฉุดดึงลงไปอยู่ใต้น้ำ แทนที่จะดิ้นรนและไขว่คว้าไปรอบตัวอย่างเคย หล่อนกลับสงบนิ่งปล่อยให้กระแสแห่งกาลเวลานำพาตัวเองไป ไอริสารู้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นท่ามกลางความรู้สึกร้อนระอุของเปลวไฟรอบตัว ใกล้แล้ว... ใกล้จะถึงแล้ว จะได้พบแล้ว!
ตุบ!
ความรู้สึกเจ็บเป็นสิ่งเดียวที่ไอริสาไม่สามารถทำใจให้คุ้นเคยได้ หล่อนกวาดตามองไปรอบตัว ที่เดิม... นี่มันใต้ต้นสาละต้นเดิมนี่! จริงด้วย... ต้องเป็นที่นี่จริง ๆ แสงของดวงจันทร์บนท้องฟ้ายังคงสว่างจ้าเหมือนวันแรกที่หล่อนเดินทางมาไม่มีผิด
ร่างบางในชุดรัดกุมปัดฝุ่นที่แขนและลำตัวออก คืนนี้หล่อนสวมกางเกงยีนส์สีเข้มและเสื้อยืดสีขาว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่หล่อนอุตส่าห์แบกมาตกอยู่ใกล้ ๆ ไอริสาเอื้อมมือไปคว้ามาอย่างโล่งอก
คราวนี้ไม่เหมือนคราวก่อน จุดหมายปลายทางที่ชัดเจนทำให้หญิงสาวเริ่มออกเดิน มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านทันที บรรยากาศรอบตัวเหมือนวันที่มาถึงครั้งแรก เสียงจักจั่นเรไรดังระงม มันคงดีใจล่ะมั้ง ถึงได้พร้อมใจกันส่งเสียงต้อนรับหล่อนเช่นนี้ ปากได้รูปยิ้มเล็กน้อย หล่อนเองก็ดีใจที่ได้กลับมาเหมือนกัน...
ไอริสาขยับกระเป๋าบนหลังให้เข้าที่ น้ำหนักเป้ดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่ไกลขึ้นตามลำดับ กำลังคิดว่าจะวางมันลงและนั่งพักสักครู่ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากุบกับเข้ามาใกล้และเหมือนกำลังตรงมาทางนี้ ร่างบางหยุดชะงัก หลบวูบเข้าข้างทางตามสัญชาตญาณ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง ใครคนหนึ่งนั่งควบอยู่บนหลังม้า ใกล้เข้ามาทุกที แสงจันทร์สะท้อนเข้ากับกำไลทองบนแขนซ้ายสว่างวาบ ภาพที่เห็นเด่นชัดทำให้ไอริสาใจเต้นแรง
“วินธัย!”
ฝุ่นที่คลุ้งตลบจากฝีเท้าม้าทำให้คนที่ยืนยามอยู่ปากทางหมู่บ้านต้องออกปาก
“ท่านวินธัยควบม้าออกไปอีกแล้ว”
“คงไปลาดตระเวนตามเคย”
หลายวันมาแล้วที่วินธัยมาตรวจตราหมู่บ้านอย่างที่เคยทำเป็นประจำ ที่นี่เป็นค่ายที่เขาสร้างขึ้นเพื่อฝึกทหารหน่วยพิเศษ กองทหารของวินธัยใคร ๆ ก็รู้ว่าเก่งกล้าสามารถหาใครเทียบได้ยากเพราะคนฝึกทั้งเข้มงวดและใส่ใจในทุกรายละเอียด ยุทธวิธีการสู้รบแบบกองโจร เงียบและรวดเร็วเป็นทักษะที่ทหารกองพิเศษต้องฝึกให้เชี่ยวชาญ โดยมีจุดประสงค์หลักคือคุ้มกันองค์เจ้าหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์
ชายหนุ่มขี่ม้าออกไปท่ามกลางแสงจันทร์นวลกระจ่างไปตามทางที่คุ้นเคย ร่างตรงนั่งอยู่บนหลังม้าที่กำลังวิ่งเหยาะ ๆ พลางสอดส่ายสายตาไปทั่วเพื่อมองหาอะไรบางอย่างซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร
บาดแผลเล็กน้อยที่ได้จากการต่อสู้ ไม่ทำให้เขารำคาญใจเท่ากับการที่ได้ยินคนในเรือนพูดกันว่าเขาถูกไอริสาลวงไปให้พวกนั้นฆ่า ทำอย่างกับเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่ใครจะหลอกไปไหนก็ได้อย่างนั้น... แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยากเกินกว่าที่จะคิดให้เป็นอย่างอื่น ความคิดดังกล่าวทำให้เขารู้สึกรำคาญใจจนอดทนอยู่ไม่ได้ ต้องละจากเมืองมาอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ แต่การฝึกซ้อมอย่างหนักก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเดือดดาลใจน้อยลง เพียงแค่เขาจะได้พบนางอีกครั้ง ครั้งเดียวเท่านั้น จะได้ถามความจริงจากปากนางให้หายข้องใจเสียที
“วินธัย!” เสียงที่แว่วมาทำให้ชายหนุ่มชะงัก จิตใจเขาคงวุ่นวายมากจนเสียสติหรือไม่ก็คงหูฝาดไปแล้ว
“วินธัย!” เสียงใส ๆ ที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มหันขวับเพื่อหาแหล่งที่มาของเสียง ใบหน้านวลขาวและดวงตากลมโตสดใสที่เขาจำได้ไม่ลืมโผล่ขึ้นมาหลังพุ่มไม้ใหญ่ ริมฝีปากบางกำลังเรียกชื่อของเขา
“ไอริสา!”
“วินธัย ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” การที่ได้พบหน้าคนที่อยากพบ ทำให้หัวใจหญิงสาวลิงโลด
“ไอริสา นั่นเจ้าจริง ๆ รึ?” ร่างสูงกระโดดลงมาจากหลังม้าอย่างรวดเร็วจนตัวเองยังแปลกใจ
“ใช่ ข้าเอง... ข้าเพิ่งมาถึง”
“เพิ่งมาถึง? แล้วเจ้าเป็นเยี่ยงไร เจ้าหายไปที่ใดมา พวกนั้นจับเจ้าไปรึ” เขาถามรัว ๆ
“ข้าปลอดภัยดี ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย แล้วเจ้าล่ะ วันนั้นเจ้าถูกพวกมันรุมทำร้าย เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
ท่าทีของชายหนุ่มเปลี่ยนไปคล้ายนึกอะไรได้ ร่างสูงหันหลังให้หล่อนและเริ่มออกเดิน จูงม้าสีดำของเขาไปด้วย
“เจ้ามิเป็นกระไรก็ดี แล้วเจ้ากลับมาที่นี่ด้วยเหตุใด?” เสียงห้าวลึกห้วนขึ้นจนคนฟังปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน
“ก็... ก็ข้าเป็นห่วง”
“เจ้าเป็นห่วงสิ่งใด?”
“ข้าก็... เป็นห่วงองค์เจ้าหลวงไง” ไอริสาพยักหน้าหงึก ๆ ให้กับเหตุผลของตัวเอง ไม่ได้โกหกซะหน่อย
“อ้อ! เจ้าเป็นห่วงองค์เจ้าหลวง”
ความผิดหวังฉาบอยู่บนใบหน้าคมสันชั่วครู่ก่อนจะจางหายไป ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจก่อนที่จะเริ่มซักไซ้ไล่เลียงหล่อนเหมือนตำรวจที่กำลังสอบสวนผู้ต้องหา ทั้งคู่พูดคุยกัน ถามโน่นถามนี่จนมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน
“เจ้าว่าเจ้ามาจากกาลข้างหน้ากระนั้นรึ จะเป็นไปได้เยี่ยงไร?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอนาคตหรือเปล่า แต่บ้านเมืองข้าไม่เหมือนที่นี่ ที่บ้านข้ามีตึก มีรถ มีไฟฟ้า มีคอมพิวเตอร์ ข้าว่าบ้านเมืองเจ้าคล้ายกับบ้านเมืองข้าสมัยเมื่อสักร้อยกว่าปีที่แล้วมากเลย”
“เจ้าพูดกระไร ข้าฟังมิเข้าใจสักคำ นี่เจ้าคิดจะหลอกให้ข้าเชื่อ ให้ข้าไว้ใจเจ้าอีกใช่หรือไม่”
“ข้าไม่ได้หลอกนะ เอาอย่างนี้ไหม คราวหน้าเวลาที่ข้าจะกลับบ้าน เจ้าก็มาด้วยสิ เจ้าจะได้เชื่อข้าเสียที”
ไอริสาเสนอ ใบหน้าขาวนวลของคนพูดยังคงกระจ่างใส แต่ใบหน้าคร้ามคมของคนฟังกลับสลดลง
“แต่เจ้าเพิ่งมา... จะกลับบ้านอีกกระนั้นรึ?” เสียงทุ้มขาดเป็นห้วง ๆ “แล้ว... เมื่อใดกัน?”
“วันพระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า!”
“เหอะ เจ้าจะลวงข้ามาให้ใครฆ่าอีกเล่า?”
“โธ่! วินธัย ข้าไม่ได้ลวงเจ้าจริง ๆ นะ โอเค... มันเป็นความผิดของข้าเองที่เดินพาเจ้ามานอกหมู่บ้าน แต่ข้าไม่ได้วางแผน ไม่ได้ตั้งใจแล้วก็ไม่ได้อยากให้เจ้าต้องมาเจออันตรายเลย... จริง ๆ นะ”
น้ำเสียงออดอ้อนน้อย ๆ และดวงตาสีน้ำตาลสุกใสที่มองสบตาเขาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสั่นไหวในอก แต่ก็ปากหนักมิยอมเอื้อนเอ่ยคำใด มีเพียงสายตาละมุนและรอยหยักเล็กน้อยบนริมฝีปากได้รูปเท่านั้นที่แสดงว่าเขาพอใจในคำตอบที่ได้ยิน
ที่เรือนไม้ไผ่หลังเล็กท้ายหมู่บ้าน ไอริสาเข้าไปกราบลาปู่เจ้าเพื่อเดินทางเข้าเมืองตามที่หล่อนตั้งใจ ใจจริงไอริสาอยากจะกลับวรนครตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแต่วินธัยยังคงติดพันอยู่กับการฝึกซ้อมกับเหล่าทหารของเขา หล่อนจึงต้องรออย่างช่วยไม่ได้ ระหว่างที่อยู่ที่นั่น ปู่เจ้าถามหล่อนหลายอย่างเกี่ยวกับสภาพบ้านเมืองของหล่อน นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนฟังหล่อนเล่าอย่างตั้งใจและไม่หาว่าหล่อนบ้าหรือว่าเสียสติ ถึงแม้ว่าปู่เจ้าท่านจะชราภาพมากแล้ว แต่การพูดจารวมไปถึงสติปัญญาของท่านก็มิได้ล้าหลังเลยแม้แต่น้อย ท่านฟังไอริสาเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและยังถามคำถามหล่อนราวกับว่าท่านเคยไปเยือนสถานที่แห่งนั้นมาก่อน
“บ้านเมืองเจ้าทั้งเจริญรุ่งเรืองและน่าอยู่... แล้วเหตุใดเจ้าจึงกลับมาที่นี่เล่า?” รอยยิ้มที่เหมือนรู้ทันของปู่เจ้าทำให้ไอริสาต้องคิดหาคำตอบเป็นพัลวัน
“เออ... อ๋อ!” หญิงสาวเหลือบตามองไปนอกเรือนเล็กน้อย ก่อนจะอ้ำอึ้งตอบ “ก็ข้าเป็นห่วงองค์เจ้าหลวงนี่คะ นี่ก็เอายามาด้วยเยอะเลย เผื่อโชคดีเจ้าหลวงจะได้หายประชวร” ทำไมท่านปู่เจ้าต้องมองหล่อนแล้วอมยิ้มด้วยนะ “อืม... อีกอย่างท่านเสนาบดีก็ดีกับข้า ท่านน้าจันทราด้วย... ข้าก็อยากตอบแทนบ้างอะไรบ้าง”
ปู่เจ้ายิ้ม แววตาท่านเต้นระริกอย่างนึกขันในใจ
“เห็นท่าว่าคนที่นี่จะมีความสำคัญกับเจ้าอยู่ไม่น้อยนะไอริสา”
ปู่เจ้าปรายตามองไปยังคนที่ซ้อมรบอยู่ที่ลานด้านนอกอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ