บทที่ 1 แหวนศักดิ์สิทธิ์กับภูตวิหค
http://ppantip.com/topic/30132632
บทที่ 2 ลักพาตัว
http://ppantip.com/topic/30134184
บทที่ 3 ถ้ำหินขาว
http://ppantip.com/topic/30140347
บทที่ 4 หมู่บ้านมนต์ขาว
http://ppantip.com/topic/30158845
บทที่ 5 วิหารมนต์ขาว
http://ppantip.com/topic/30180375
บทที่ 6 ความทรงจำของหญิงชรา
http://ppantip.com/topic/30194878
บทที่ 7 บ่อน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์
http://ppantip.com/topic/30200552
บทที่ 8 หลบหนีจากหมู่บ้าน
http://ppantip.com/topic/30207167
บทที่ 9 คำสาปของมังกรหนุ่ม
http://ppantip.com/topic/30237565
บทที่ 10 ภูตวิหคสาว
http://ppantip.com/topic/30274687
บทที่ 11 หญิงม่ายโฉมงาม
“ธีโอดอร์ฟ” เสียงของสตรีที่เขารู้สึกว่าคุ้นเคยเรียกนามของเขาดังก้อง
เจ้าชายมองไปรอบกาย โอบล้อมด้วยแสงขาวโพลน จุดปลายสุดของแสงสว่าง มีลำแสงเปล่งประกายทิ่มแทง มาจากประตูซึ่งเปิดอ้าออก พร้อมกับร่างเพรียวระหงส์ ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ก้าวย่างพ้นผ่านลำแสง ออกมาสู่พื้นที่สีขาวภายนอก นางเคลื่อนเข้ามาใกล้ ในลักษณะลอยล่องแทนการเดินมา ผิดไปจากมนุษย์เดินดินธรรมดา พร้อมกับรอยยิ้มละไม บนใบหน้าอันผ่องใส
“โดโรธีอา” เจ้าชายหนุ่มกล่าว เกือบกลายเป็นเสียงกระซิบ “ข้าฝันไปหรือเปล่า เจ้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ไม่ใช่เด็กหญิงโดโรธีอาอีกต่อไปแล้ว เจ้าช่างดูคล้าย เจ้าหญิงฟาลเนียมากขึ้นทุกที”
“ก็ข้าเป็นพี่สาวของฟาลเนียนี่นา” นางกล่าวกับเขา รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้า
“จริงสินะ ว่าแต่ว่าเจ้าโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มาปรากฏในความฝันของข้า เวลานี้เจ้าอยู่ ณ ที่แห่งไหนในโลกนี้กันแน่ ทำไมข้าจึงหาตัวเจ้าไม่พบสักที ร่องรอยปรากฏให้ติดตามก็ไม่มี โปรดบอกข้าที โดโรธีอา”
“ข้ามิได้อยู่ ณ ที่แห่งไหน ไกลจากตัวท่านเลย ธีโอดอร์ฟ ข้าสถิตอยู่ในความทรงจำของท่าน” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงกระซิบสะท้อนก้อง
“แต่ความทรงจำของข้า มีเพียงเด็กหญิงผู้ซุกซนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่หญิงสาว อายุราว26ปี เช่นที่มาปรากฏในฝันของข้า มาพูดคุยกับข้าผ่านกระแสดวงจิต เจ้าอาจสถิตอยู่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งตัวตนของข้า ไม่สามารถล่วงลุไปถึง”
“ธีโอดอร์ฟ ผู้ปราดเปรื่อง ท่านอ่านออกทะลุปรุโปร่ง ราวกับพลิกหน้าหนังสือ ข้าไม่อาจเอาคำเท็จมาลวงท่านได้สำเร็จ” โดโรธีอาหัวเราะเบาๆ แล้วคลายยิ้มออก สีหน้าแปรเปลี่ยนสงบนิ่ง เหลือรอยยิ้มเพียงจางๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ว่าข้าจะอยู่แห่งใดในโลกก็ตาม แต่ข้ายังคงเฝ้ามองท่าน และฟาลเนียอยู่เสมอไม่ห่าง”
“จริงสิ โดโรธีอา ข้ายังคงเก็บสร้อยเส้นนี้อยู่กับตัวตลอดเวลา หากเจ้าต้องการมันคืนกลับไป ข้าก็จะมอบคืนให้แก่เจ้า”
“ท่านเก็บรักษามันเอาไว้เถิด สร้อยเส้นนี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองท่าน ให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง แต่สัญญากับข้าอย่างนึงซิ ว่าท่านจะปกป้องดูแลฟาลเนีย น้องสาวของข้าให้ดี จะไม่มีวันทอดทิ้งนาง”
“แน่นอน ข้ารับปากว่าดูแลนางไปตลอดชีวิต ฟาลเนียคือของขวัญจากพระเจ้า นางได้นำรอยยิ้มที่ขาดหายไป ของข้ากลับคืนมาใหม่”
“เช่นนั้นดีแล้ว ข้าก็จะได้สบายใจ ไม่ต้องกังวลอะไรอีก” นางคงมีรอยยิ้มระบายบนใบหน้า ค่อยๆทิ้งระยะห่างออกไป
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป! โดโรธีอา โดโรธีอา! ข้ามียังเรื่องที่ต้องการคุยกับเจ้าอีก” เจ้าชายตะโกนเรียก
“ลาก่อน” เสียงสะท้อนของนางแผ่วเบาลง จนทุกอย่างเลือนหายไป
“ท่านพี่ ท่านพี่”
ธีโอดอร์ฟสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงกระซิบเรียกแผ่วเบาของใครบางคน เมื่อม่านตาขยายมองจ้องดู ก็เห็นใบหน้าของเจ้าหญิงฟาลเนีย มองดูเขาอยู่ไม่ห่าง ทว่าใบหน้าของนางปราศจากรอยยิ้ม
“ฟาลเนีย” เจ้าชายเรียกชื่อเจ้าหญิงของเขา ลุกขึ้นมานั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ถามด้วยความแปลกใจว่า
“ปลุกข้าขึ้นมามีอะไรรึ?”
“ขอโทษ ข้าเห็นท่านละเมอ เลยกระซิบเรียกดูเบาๆเท่านั้น ไม่นึกว่าท่านจะสะดุ้งตื่น”
“หูของข้าค่อนข้างไวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเสียงเรียกของเจ้า ข้าจะจับเสียงไวเป็นพิเศษ” เขากล่าวยิ้มๆ มองดูเจ้าหญิงด้วยแววตาเอ็นดู
“เสียงของข้า? ทำไมล่ะ”
“เพราะหน้าที่ของข้าคือคอยระวังไม่ให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ”
เจ้าหญิงถอนหายใจก้มหน้าลงมองต่ำที่พื้น กล่าวโทษตนเองว่า “ข้าเป็นภาระแก่ท่านอยู่เสมอ ช่างแย่เสียจริงๆ”
“ข้าเต็มใจจะปกป้องดูแลเจ้านะฟาลเนีย เจ้าไม่ควรกังวลคิดมาก” เจ้าชายผู้มีเนตรสีมรกต มองดูเจ้าหญิงด้วยแววตารักใคร่ กล่าวออกมาจากใจ ไม่ใช่เพียงแค่การพูดปลอบ
“ว่าแต่ท่านฝันว่าอะไรรึ เห็นละเมอเรียกแต่ โดโรธีอา โดโรธีอา” ฟาลเนียเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จริงสิ นางปรากฏในฝันของข้าอีกแล้ว แต่ก็น่าแปลก ทุกครั้งที่โดโรธีอามาปรากฏตัว นางกลับเจริญวัย เติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนบัดนี้กลายเป็นหญิงสาววัยยี่สิบปีเศษแล้ว นางมาพูดคุยโต้ตอบกับข้า ราวกับว่ามีชีวิตจิตใจเป็นของตนเอง บางที นางอาจจงใจมาปรากฏตัวในความฝันของข้าจริงๆก็เป็นได้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่”
“ท่านคงจะกังวลเป็นห่วงโดโรธีอาอยู่มาก”
“ก็จริงอยู่ แต่ระยะเวลา มันนานพอจะทำให้ข้า ทำใจปล่อยวางได้แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับนางก็ตามแต่ บัดนี้คนที่ข้าเป็นห่วงที่สุดก็คือเจ้า ฟาลเนีย หากเกิดอะไรกับเจ้า ขอให้ร้องตะโกนเรียกชื่อข้าให้สุดเสียง ไม่ว่าจะห่างไกลกันแค่ไหน ข้าก็จะบุกน้ำลุยไฟ ไปช่วยเจ้าในทันที” เจ้าชายลูบผมสยายยาวดุจแพรไหมอย่างเบามือ พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “แต่เราจะไม่มีวันห่างจากกันอีกแล้วจริงมั้ย”
ฟาลเนียกล่าวอย่างร่าเริงว่า “หากมีใครมาทำให้เราต้องห่างไกลกันอีกละก็ ข้าจะเป็นฝ่ายตะเกียดตะกาย ว่ายน้ำ ลุยไฟ กลับมาหาท่านเอง ท่านจะได้เบาแรงลง”
“ดีล่ะ ข้าจะได้อดออมถนอมแรงไว้ สำหรับวันเข้าพิธี” แล้วยื่นหน้ามากระซิบว่า “โดยเฉพาะคืนส่งตัวเจ้าสาว”
คำพูดเพียงประโยคเดียวของอีกฝ่าย ทำให้เจ้าหญิงหน้าร้อนผ่าว ความง่วงหงาวอันตธารหายไปปลิดทิ้ง อีกฝ่ายปิดปากหาวแล้วเอนกายลงนอนต่อ บอกแก่เธอมาว่า “ยังมีเวลาอีกหลายชั่วยาม กว่าท้องฟ้าจะสว่าง เจ้าเองก็ควรนอนพักออมแรงเอาไว้ให้มากๆนะฟาลเนีย”
แล้วธีโอดอร์ฟก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย ในขณะนั้นท้องฟ้ายังคงมืดมิด
แต่บริเวณที่พักยังคงสว่างไสว โดยมีทุกคนนอนหลับเรียงกันอยู่รอบๆกองไฟ ไม่มีใครขยับกายลุกขึ้นมาเลยสักคน มีเสียงถอนหายใจเบาๆของเอดิออท ฟาลเนียเอนกายลงนอนต่ออีกครั้ง แต่เป็นการนอนลืมตามองไปในความมืด ตนเองไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ ครุ่นคิดถึงการแต่งงานระหว่างตนเองกับพี่ชายที่จะมีขึ้น ด้วยความรู้สึกบางอย่างซึ่งไม่สามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้
เลยทิวป่าและเนินเขาบริเวณใกล้กับเนินผา เดรัจฉานลำตัวเป็นปล้อง มีเกล็ดเคลือบเงาดำมะเมื่อม เคลื่อนตัวเลื้อยเข้าไปหาหญิงสาวผู้มีปีกวิหคสีดำบนแผ่นหลัง ซึ่งสะกิดนิ้วเรียกมันเข้ามา ราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่อง กล่าวอย่างชมเชยว่า “เด็กดีของข้า พิษของเจ้าทำงานเยี่ยมยอดไม่มีที่ติ” แล้วนางก็ตบรางวัลให้โดยการโยนสัตว์เล็กชนิดหนึ่งให้ งูฉกเหยื่อกลืนกินลงท้องอย่างรวดเร็ว ก่อนเลื้อยลำตัวเลื่อมมัน เข้ามาขดพันอยู่รอบๆแข้งขาของหล่อนอย่างประจบสอพลอ
เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าอีกครา แสงสว่างบนท้องฟ้าส่งสัญญาณของวันใหม่ให้พิภพตื่นจากนิทรา เจ้าหญิงถูกสะกิดปลุกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่ร้อนรนของเอดิออทว่า “ฟาลเนีย ลุกขึ้นมาเร็ว เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น?” ฟาลเนียถามมองใบหน้าของชายหนุ่มอย่างงุนงง
เอดิออทไม่พูดอะไร ชี้ไปยังร่าง ของเจ้าชายธีโอดอร์ฟ ใบหน้าขาวซีด นอนเหยียดหมดสติอยู่กับพื้น สองสตรีต่างวัยแห่งหมู่บ้านมนต์ขาว คอยเฝ้าดูอาการอยู่ใกล้ชิดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ฟาลเนียทรุดกายลงข้างลำตัวของเขา กุมมือของเขาเอาไว้แนบอกก็พบว่ามือที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง
“ธีโอดอร์ฟ ท่านเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น ตอบข้าสิ ข้าเรียกท่านอยู่นี่ไง” ฟาลเนียลนลาน เขย่าร่างนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ให้ลืมตาขึ้นมา “ธีโอดอร์ฟ ลืมตาสิ ท่านไม่ได้ยินข้าหรืออย่างไร ไหนท่านบอกว่า ท่านได้ยินเสียงของข้า ชัดเจนกว่าใครๆยังไง”
“มีรอยเขี้ยวฝังอยู่” บรุยเน่ย์ให้ข้อมูลพร้อมกับชี้นิ้วให้ดูที่ข้อมือของเจ้าชายนิทรา เลยร่างนั้นไปปรากฏรอยบนพื้นดิน เป็นทางคดเคี้ยวของสัตว์เลื้อยคลานปราศจากตีนหายลับไปในพงหญ้า
“ลักษณะเขี้ยวเช่นนี้ รอบๆมีสีม่วงคล้ำ เกือบจะกลายเป็นสีน้ำเงิน ไม่ผิดแน่ จะต้องเป็นงูพิษ ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในแถบป่าดำ งูชนิดนี้เกลียดแสงแดด ไม่ปรากฏตัวในเวลากลางวัน ปรกติอาศัยหลบซ่อนอยู่ในถ้ำมืดมิด แต่งูพิษร้ายกาจชนิดนี้ มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
หญิงชราพยายามวิเคราะห์หาข้อมูลจากร่องรอยปรากฏอย่างคลางแคลงใจ ขณะที่สาวน้อยทายาทมนต์ขาว กำลังบริกรรมคาถา ร่ายมนต์อย่างสุดกำลังสามารถ จนฝ่ามือเปล่งลำแสงสว่างจ้า ชำละล้างบาดแผลให้บริสุทธิ์ แต่ทว่าแผลกลับยังคงมีรอยคล้ำปรากฏให้เห็นไม่จางหายไป สาวน้อยวางมือลงกับหน้าตักอย่างหมดแรง
“เปล่าประโยชน์” แม่เฒ่าบอกกับบรุยเน่ย์ “พิษร้ายกาจชนิดนี้ ซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว เวทมนต์ขาวไม่อาจช่วยขจัดพิษออกมา ทำได้แค่เพียงสมานแผลเท่านั้น มีวิธีเดียวที่จะช่วยได้คือต้องหายาแก้พิษให้เขากินโดยเร็วที่สุด มีเพียงสมุนไพรบางชนิดเท่านั้นที่สามารถถอนพิษงูร้ายชนิดนี้ได้ หาไม่แล้วเขาจะชีพจรของเขาจะหยุดเต้นทันทีไม่เกินพระอาทิตย์ตกดิน”
“ให้ตายเหอะ แล้วข้าจะไปหาจากไหนล่ะ” เอดิออทสบถอย่างท้อใจ หันมามองเจ้าชายหนุ่มผู้เหลือลมหายใจรวยรินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ธีโอดอร์ฟเคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าไม่มีวันปล่อยให้เค้าตายหรอก”
[มีต่อ]
The Light of Darkness [ บทที่ 11]
บทที่ 2 ลักพาตัว http://ppantip.com/topic/30134184
บทที่ 3 ถ้ำหินขาว http://ppantip.com/topic/30140347
บทที่ 4 หมู่บ้านมนต์ขาว http://ppantip.com/topic/30158845
บทที่ 5 วิหารมนต์ขาว http://ppantip.com/topic/30180375
บทที่ 6 ความทรงจำของหญิงชรา http://ppantip.com/topic/30194878
บทที่ 7 บ่อน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ http://ppantip.com/topic/30200552
บทที่ 8 หลบหนีจากหมู่บ้าน http://ppantip.com/topic/30207167
บทที่ 9 คำสาปของมังกรหนุ่ม http://ppantip.com/topic/30237565
บทที่ 10 ภูตวิหคสาว http://ppantip.com/topic/30274687
บทที่ 11 หญิงม่ายโฉมงาม
“ธีโอดอร์ฟ” เสียงของสตรีที่เขารู้สึกว่าคุ้นเคยเรียกนามของเขาดังก้อง
เจ้าชายมองไปรอบกาย โอบล้อมด้วยแสงขาวโพลน จุดปลายสุดของแสงสว่าง มีลำแสงเปล่งประกายทิ่มแทง มาจากประตูซึ่งเปิดอ้าออก พร้อมกับร่างเพรียวระหงส์ ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ก้าวย่างพ้นผ่านลำแสง ออกมาสู่พื้นที่สีขาวภายนอก นางเคลื่อนเข้ามาใกล้ ในลักษณะลอยล่องแทนการเดินมา ผิดไปจากมนุษย์เดินดินธรรมดา พร้อมกับรอยยิ้มละไม บนใบหน้าอันผ่องใส
“โดโรธีอา” เจ้าชายหนุ่มกล่าว เกือบกลายเป็นเสียงกระซิบ “ข้าฝันไปหรือเปล่า เจ้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ไม่ใช่เด็กหญิงโดโรธีอาอีกต่อไปแล้ว เจ้าช่างดูคล้าย เจ้าหญิงฟาลเนียมากขึ้นทุกที”
“ก็ข้าเป็นพี่สาวของฟาลเนียนี่นา” นางกล่าวกับเขา รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้า
“จริงสินะ ว่าแต่ว่าเจ้าโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มาปรากฏในความฝันของข้า เวลานี้เจ้าอยู่ ณ ที่แห่งไหนในโลกนี้กันแน่ ทำไมข้าจึงหาตัวเจ้าไม่พบสักที ร่องรอยปรากฏให้ติดตามก็ไม่มี โปรดบอกข้าที โดโรธีอา”
“ข้ามิได้อยู่ ณ ที่แห่งไหน ไกลจากตัวท่านเลย ธีโอดอร์ฟ ข้าสถิตอยู่ในความทรงจำของท่าน” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงกระซิบสะท้อนก้อง
“แต่ความทรงจำของข้า มีเพียงเด็กหญิงผู้ซุกซนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่หญิงสาว อายุราว26ปี เช่นที่มาปรากฏในฝันของข้า มาพูดคุยกับข้าผ่านกระแสดวงจิต เจ้าอาจสถิตอยู่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งตัวตนของข้า ไม่สามารถล่วงลุไปถึง”
“ธีโอดอร์ฟ ผู้ปราดเปรื่อง ท่านอ่านออกทะลุปรุโปร่ง ราวกับพลิกหน้าหนังสือ ข้าไม่อาจเอาคำเท็จมาลวงท่านได้สำเร็จ” โดโรธีอาหัวเราะเบาๆ แล้วคลายยิ้มออก สีหน้าแปรเปลี่ยนสงบนิ่ง เหลือรอยยิ้มเพียงจางๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ว่าข้าจะอยู่แห่งใดในโลกก็ตาม แต่ข้ายังคงเฝ้ามองท่าน และฟาลเนียอยู่เสมอไม่ห่าง”
“จริงสิ โดโรธีอา ข้ายังคงเก็บสร้อยเส้นนี้อยู่กับตัวตลอดเวลา หากเจ้าต้องการมันคืนกลับไป ข้าก็จะมอบคืนให้แก่เจ้า”
“ท่านเก็บรักษามันเอาไว้เถิด สร้อยเส้นนี้จะช่วยปกป้องคุ้มครองท่าน ให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง แต่สัญญากับข้าอย่างนึงซิ ว่าท่านจะปกป้องดูแลฟาลเนีย น้องสาวของข้าให้ดี จะไม่มีวันทอดทิ้งนาง”
“แน่นอน ข้ารับปากว่าดูแลนางไปตลอดชีวิต ฟาลเนียคือของขวัญจากพระเจ้า นางได้นำรอยยิ้มที่ขาดหายไป ของข้ากลับคืนมาใหม่”
“เช่นนั้นดีแล้ว ข้าก็จะได้สบายใจ ไม่ต้องกังวลอะไรอีก” นางคงมีรอยยิ้มระบายบนใบหน้า ค่อยๆทิ้งระยะห่างออกไป
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป! โดโรธีอา โดโรธีอา! ข้ามียังเรื่องที่ต้องการคุยกับเจ้าอีก” เจ้าชายตะโกนเรียก
“ลาก่อน” เสียงสะท้อนของนางแผ่วเบาลง จนทุกอย่างเลือนหายไป
“ท่านพี่ ท่านพี่”
ธีโอดอร์ฟสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงกระซิบเรียกแผ่วเบาของใครบางคน เมื่อม่านตาขยายมองจ้องดู ก็เห็นใบหน้าของเจ้าหญิงฟาลเนีย มองดูเขาอยู่ไม่ห่าง ทว่าใบหน้าของนางปราศจากรอยยิ้ม
“ฟาลเนีย” เจ้าชายเรียกชื่อเจ้าหญิงของเขา ลุกขึ้นมานั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ถามด้วยความแปลกใจว่า
“ปลุกข้าขึ้นมามีอะไรรึ?”
“ขอโทษ ข้าเห็นท่านละเมอ เลยกระซิบเรียกดูเบาๆเท่านั้น ไม่นึกว่าท่านจะสะดุ้งตื่น”
“หูของข้าค่อนข้างไวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเสียงเรียกของเจ้า ข้าจะจับเสียงไวเป็นพิเศษ” เขากล่าวยิ้มๆ มองดูเจ้าหญิงด้วยแววตาเอ็นดู
“เสียงของข้า? ทำไมล่ะ”
“เพราะหน้าที่ของข้าคือคอยระวังไม่ให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ”
เจ้าหญิงถอนหายใจก้มหน้าลงมองต่ำที่พื้น กล่าวโทษตนเองว่า “ข้าเป็นภาระแก่ท่านอยู่เสมอ ช่างแย่เสียจริงๆ”
“ข้าเต็มใจจะปกป้องดูแลเจ้านะฟาลเนีย เจ้าไม่ควรกังวลคิดมาก” เจ้าชายผู้มีเนตรสีมรกต มองดูเจ้าหญิงด้วยแววตารักใคร่ กล่าวออกมาจากใจ ไม่ใช่เพียงแค่การพูดปลอบ
“ว่าแต่ท่านฝันว่าอะไรรึ เห็นละเมอเรียกแต่ โดโรธีอา โดโรธีอา” ฟาลเนียเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จริงสิ นางปรากฏในฝันของข้าอีกแล้ว แต่ก็น่าแปลก ทุกครั้งที่โดโรธีอามาปรากฏตัว นางกลับเจริญวัย เติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนบัดนี้กลายเป็นหญิงสาววัยยี่สิบปีเศษแล้ว นางมาพูดคุยโต้ตอบกับข้า ราวกับว่ามีชีวิตจิตใจเป็นของตนเอง บางที นางอาจจงใจมาปรากฏตัวในความฝันของข้าจริงๆก็เป็นได้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่”
“ท่านคงจะกังวลเป็นห่วงโดโรธีอาอยู่มาก”
“ก็จริงอยู่ แต่ระยะเวลา มันนานพอจะทำให้ข้า ทำใจปล่อยวางได้แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับนางก็ตามแต่ บัดนี้คนที่ข้าเป็นห่วงที่สุดก็คือเจ้า ฟาลเนีย หากเกิดอะไรกับเจ้า ขอให้ร้องตะโกนเรียกชื่อข้าให้สุดเสียง ไม่ว่าจะห่างไกลกันแค่ไหน ข้าก็จะบุกน้ำลุยไฟ ไปช่วยเจ้าในทันที” เจ้าชายลูบผมสยายยาวดุจแพรไหมอย่างเบามือ พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “แต่เราจะไม่มีวันห่างจากกันอีกแล้วจริงมั้ย”
ฟาลเนียกล่าวอย่างร่าเริงว่า “หากมีใครมาทำให้เราต้องห่างไกลกันอีกละก็ ข้าจะเป็นฝ่ายตะเกียดตะกาย ว่ายน้ำ ลุยไฟ กลับมาหาท่านเอง ท่านจะได้เบาแรงลง”
“ดีล่ะ ข้าจะได้อดออมถนอมแรงไว้ สำหรับวันเข้าพิธี” แล้วยื่นหน้ามากระซิบว่า “โดยเฉพาะคืนส่งตัวเจ้าสาว”
คำพูดเพียงประโยคเดียวของอีกฝ่าย ทำให้เจ้าหญิงหน้าร้อนผ่าว ความง่วงหงาวอันตธารหายไปปลิดทิ้ง อีกฝ่ายปิดปากหาวแล้วเอนกายลงนอนต่อ บอกแก่เธอมาว่า “ยังมีเวลาอีกหลายชั่วยาม กว่าท้องฟ้าจะสว่าง เจ้าเองก็ควรนอนพักออมแรงเอาไว้ให้มากๆนะฟาลเนีย”
แล้วธีโอดอร์ฟก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย ในขณะนั้นท้องฟ้ายังคงมืดมิด
แต่บริเวณที่พักยังคงสว่างไสว โดยมีทุกคนนอนหลับเรียงกันอยู่รอบๆกองไฟ ไม่มีใครขยับกายลุกขึ้นมาเลยสักคน มีเสียงถอนหายใจเบาๆของเอดิออท ฟาลเนียเอนกายลงนอนต่ออีกครั้ง แต่เป็นการนอนลืมตามองไปในความมืด ตนเองไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ ครุ่นคิดถึงการแต่งงานระหว่างตนเองกับพี่ชายที่จะมีขึ้น ด้วยความรู้สึกบางอย่างซึ่งไม่สามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้
เลยทิวป่าและเนินเขาบริเวณใกล้กับเนินผา เดรัจฉานลำตัวเป็นปล้อง มีเกล็ดเคลือบเงาดำมะเมื่อม เคลื่อนตัวเลื้อยเข้าไปหาหญิงสาวผู้มีปีกวิหคสีดำบนแผ่นหลัง ซึ่งสะกิดนิ้วเรียกมันเข้ามา ราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่อง กล่าวอย่างชมเชยว่า “เด็กดีของข้า พิษของเจ้าทำงานเยี่ยมยอดไม่มีที่ติ” แล้วนางก็ตบรางวัลให้โดยการโยนสัตว์เล็กชนิดหนึ่งให้ งูฉกเหยื่อกลืนกินลงท้องอย่างรวดเร็ว ก่อนเลื้อยลำตัวเลื่อมมัน เข้ามาขดพันอยู่รอบๆแข้งขาของหล่อนอย่างประจบสอพลอ
เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าอีกครา แสงสว่างบนท้องฟ้าส่งสัญญาณของวันใหม่ให้พิภพตื่นจากนิทรา เจ้าหญิงถูกสะกิดปลุกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่ร้อนรนของเอดิออทว่า “ฟาลเนีย ลุกขึ้นมาเร็ว เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น?” ฟาลเนียถามมองใบหน้าของชายหนุ่มอย่างงุนงง
เอดิออทไม่พูดอะไร ชี้ไปยังร่าง ของเจ้าชายธีโอดอร์ฟ ใบหน้าขาวซีด นอนเหยียดหมดสติอยู่กับพื้น สองสตรีต่างวัยแห่งหมู่บ้านมนต์ขาว คอยเฝ้าดูอาการอยู่ใกล้ชิดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ฟาลเนียทรุดกายลงข้างลำตัวของเขา กุมมือของเขาเอาไว้แนบอกก็พบว่ามือที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง
“ธีโอดอร์ฟ ท่านเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น ตอบข้าสิ ข้าเรียกท่านอยู่นี่ไง” ฟาลเนียลนลาน เขย่าร่างนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ให้ลืมตาขึ้นมา “ธีโอดอร์ฟ ลืมตาสิ ท่านไม่ได้ยินข้าหรืออย่างไร ไหนท่านบอกว่า ท่านได้ยินเสียงของข้า ชัดเจนกว่าใครๆยังไง”
“มีรอยเขี้ยวฝังอยู่” บรุยเน่ย์ให้ข้อมูลพร้อมกับชี้นิ้วให้ดูที่ข้อมือของเจ้าชายนิทรา เลยร่างนั้นไปปรากฏรอยบนพื้นดิน เป็นทางคดเคี้ยวของสัตว์เลื้อยคลานปราศจากตีนหายลับไปในพงหญ้า
“ลักษณะเขี้ยวเช่นนี้ รอบๆมีสีม่วงคล้ำ เกือบจะกลายเป็นสีน้ำเงิน ไม่ผิดแน่ จะต้องเป็นงูพิษ ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในแถบป่าดำ งูชนิดนี้เกลียดแสงแดด ไม่ปรากฏตัวในเวลากลางวัน ปรกติอาศัยหลบซ่อนอยู่ในถ้ำมืดมิด แต่งูพิษร้ายกาจชนิดนี้ มาโผล่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
หญิงชราพยายามวิเคราะห์หาข้อมูลจากร่องรอยปรากฏอย่างคลางแคลงใจ ขณะที่สาวน้อยทายาทมนต์ขาว กำลังบริกรรมคาถา ร่ายมนต์อย่างสุดกำลังสามารถ จนฝ่ามือเปล่งลำแสงสว่างจ้า ชำละล้างบาดแผลให้บริสุทธิ์ แต่ทว่าแผลกลับยังคงมีรอยคล้ำปรากฏให้เห็นไม่จางหายไป สาวน้อยวางมือลงกับหน้าตักอย่างหมดแรง
“เปล่าประโยชน์” แม่เฒ่าบอกกับบรุยเน่ย์ “พิษร้ายกาจชนิดนี้ ซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว เวทมนต์ขาวไม่อาจช่วยขจัดพิษออกมา ทำได้แค่เพียงสมานแผลเท่านั้น มีวิธีเดียวที่จะช่วยได้คือต้องหายาแก้พิษให้เขากินโดยเร็วที่สุด มีเพียงสมุนไพรบางชนิดเท่านั้นที่สามารถถอนพิษงูร้ายชนิดนี้ได้ หาไม่แล้วเขาจะชีพจรของเขาจะหยุดเต้นทันทีไม่เกินพระอาทิตย์ตกดิน”
“ให้ตายเหอะ แล้วข้าจะไปหาจากไหนล่ะ” เอดิออทสบถอย่างท้อใจ หันมามองเจ้าชายหนุ่มผู้เหลือลมหายใจรวยรินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ธีโอดอร์ฟเคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าไม่มีวันปล่อยให้เค้าตายหรอก”
[มีต่อ]