ขอบฟ้าอันดามัน (11)...ในกรงทอง

กระทู้คำถาม
ขอบฟ้าอันดามัน(11)...ในกรงทอง
 
            “ข้า...อับดุลวาฮับขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท” เสียงร้อนรนดังขึ้น 
            “ทหารให้เขาเข้ามา” เสียงกังวานจากด้านใน
            “ท่านชาย...ข้าได้ข่าวมาจากในวังว่าท่านสุลต่านจะเสด็จมาที่เรือนใหญ่เย็นนี้ครับ”
            “ดี...เจ้าไปตามมูฮัมหมัดองครักษ์ข้ามา แล้วแจ้งไปที่พี่ข้าโดยเร็ว”
 
            เกือบบ่ายสามครึ่งแล้ว ลาเด็นพาท่านชายทั้งสองเข้าพบพระมารดา โดยมีอับดุลวาฮับและมูฮัมหมัด...องครักษ์รออยู่หน้าห้อง 
            “ดูสิ ใครมาหาข้าวันนี้” วาจาไพเราะของท่านแม่รียาร์ดังขึ้น
            “เจ้าพร้อมใจมาเยี่ยมข้า ข้าดีใจนัก มาสิ...นั่งจิบชากับข้าก่อน”  ท่านชายทั้งสองนั่งลงขนาบท่านแม่บนโซฟา ในห้องรับแขกที่แต่งไว้อย่าง
เรียบหรู เพดานห้องประดับเซนเดอเลียระย้าวะวิบไหว  มุมทางเข้าตกแต่งด้วยกระถางเซรามิค สีเขียวอ่อนซ่อนลายพลิ้วไหวด้วยลายเงินและทองไขว้  
กันไปมา เหมือนรอยร้าวเล็กๆ ประดับด้วยดอกบัวหลวงที่ประดิษฐ์จากผ้ามีทั้งบานเต็มที่ แย้มบาน และบัวตูม สีขาว และสีขาวอมชมพู  ภาพถ่ายเมื่อ
สามสิบปีก่อนของท่านแม่ ใบหน้าดูสวยคมในชุดราตรีสีครีมตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ถัดลงมาเป็นภาพถ่ายร่วมกับท่านชายวัยรุ่นหนุ่ม และพระธิดาน้อย
ใบหน้าละม้ายท่านแม่ แต่ผิวเนียนขาวกว่า และรูปรับปริญญาของลูกๆ  สิ่งที่ขาดหายไปคือรูปองค์สุลต่าน
 
            ลาเด็นและซาเวีย นำชาร้อน และผลอินทผลัมมาถวายก่อนผละไป 
            “จิบชาก่อนนะ ข้าเพิ่งได้มา หอมชื่นใจ” นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ดูดีกว่าครั้งที่เสด็จกลับมาใหม่ๆ  
            “ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างเห็นลาเด็นว่าท่านเสวยไม่ได้มากนัก”
            “ดูเหมือนท่านแม่จะซูบลงด้วย” 
            “ข้ารู้เจ้าทั้งสองเป็นห่วงข้า ข้าจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้นะอย่าห่วงเลย”
            “ท่านแม่ที่เรามานี่เพื่อเยี่ยมท่านแม่ และมาแจ้งให้ท่านเตรียมรับมือเพราะท่านพ่อจะเสด็จมาหาท่านเย็นนี้”
            “ข้าคิดว่าคงมาสอบถามเรื่องมิดาแน่” ท่านชายฮาเฟสเอ่ยอย่างกังวล  
            “ดีแล้ว ข้าอยากเห็นหน้าเขานัก ดูซิว่าจะโศกเศร้ากับการตายของมิดาเพียงใด” 
            “ท่านแม่ คงผิดหวังเพราะวันที่ข้าเข้าเฝ้าก่อนตามไปที่ภูเก็ต ท่านยังร่ำสุราเคล้านารี มิเห็นแววตาแห่งความโศกเศร้าใดเลย” 
            “หึหึ! ข้ารู้” ท่านแม่ขบริมฝีปาก จบลงด้วยเสียงถอนใจ
            
            “ท่านชายรัชทายาทมาวันนี้ก็ดีแล้ว ข้าต้องการรู้ว่าขณะนี้ใครคุมกองกำลังทหารอยู่” ท่านแม่หันมาทางท่านชายดาเนียล 
            “ท่านนายพลอาเดล อับดุลวาฮับ บิดาขององครักษ์อับดุลวาฮับครับท่านแม่ และเขาจะขึ้นตรงกับข้าอีกทีหนึ่ง”
            “นับเป็นโชคดีของเจ้าแท้จริง ท่านนายพลเป็นคนตรง ใจคอกว้างขวาง และยิ่งกว่าอื่นใดเขาเป็นคนซื่อสัตย์ เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ เราเคย     
พบกันหลายครั้งที่เรือนใหญ่ เขาแวะมาถวายพระพรแก่ข้าทุกรอบวันเกิด และยังฝากฝั่งอับดุลวาฮับ ให้ข้าช่วยดูแลสั่งสอนด้วย ข้าตอบกลับไปว่า
ข้าเองควรเป็นคนร้องขอให้ท่านช่วยเมตตาสั่งสอนท่านชายรัชทายาท สิ่งใดควรมิควรมากกว่า” 
            “ท่านแม่ฉลาดล้ำลึก เสียดายที่ท่านพ่อมองหาแต่ความงามของสตรี ช่างน่าเสียดายนัก”
            “ส่วนข้าเห็นว่าดีแล้ว ให้เขาอยู่เป็นสุขเช่นนั้น หมากแต่ละตัวที่ข้าวางจะทำให้ท้ายสุดแล้วเขาเป็นเพียงแค่เสือกระดาษ ไม่มีแรงมาแว้งกัด
ลูกชายข้าอีกต่อไป จงจำไว้หากต้องการได้ใจผู้ใด อย่าใช้แต่อำนาจ ใช้ความกรุณาเมตตาและน้ำใจด้วย เจ้าควรรู้จังหวะ และการรอคอยอย่างอดทน
ที่สำคัญที่สุดยามพายุโหมกระหน่ำจงทำตัวดั่งต้นสนที่ลู่ลม” 
            “ครับท่านแม่”  
            
            ลาเด็นเข้ามาแจ้งกับท่านแม่ “ท่านสุลต่านเสด็จมาค่ะ”
            “ให้คนเปิดห้องโถงแล้วนำเสด็จท่านสุลต่าน พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
 
            ห้องโถงถูกตกแต่งด้วยเครื่องลายทองตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจก และเครื่องทองเหลืองที่ขัดเงาอร่ามตา ที่ประทับเป็นโซฟาหลุยส์ ลวดลายงดงาม
บุด้วยผ้าสักหลาดสีแดงเข้ม ท่านสุลต่านนั่งได้เพียงครู่เดียว ท่านแม่ ท่านชายก็เข้ามาถวายความเคารพ และนั่งลงตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ 
เว้นเสียแต่เก้าอี้พระธิดาว่างเปล่า   
            “อ้าว! ช่างบังเอิญนัก ข้าได้พบบุตรชายของข้าด้วย” ใบหน้าอวบอูม ร่างใหญ่ที่เริ่มอ้วนลงพุงเพราะสุรานารีและอายุ ทำให้ท่านสุลต่านดู
ทรุดโทรมไปเยอะ ท่านแม่มองผ่านแล้วเบือนหน้าไปที่บุตรชาย ใบหน้าเชิดขึ้นท่านั่งหลังตรงดูสง่า ใบหน้าเรียบไร้ความกังวลใด 
            “พวกเจ้าสบายดีหรือ” ท่านสุลต่านเอ่ยถาม 
            “พวกเราสบายดีกันทุกคน เว้นแต่ความโศกเศร้ายังไม่สิ้น ดูจากหน้าตาท่านสุลต่านข้าว่า ท่านรัชทายาทยังคงมิได้ทูลรายงานเรื่องพระธิดา
เป็นแน่” ท่านแม่กล่าวขึ้นเหมือนตำหนิ สีหน้าท่านสุลต่านเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่เขาเก็บอาการอยู่
            “ความจริงข้ามาเพื่อสวบสวนเรื่องการสิ้นชีวิตของบุตรสาวข้า” เขาหันมาจ้องมองท่านแม่ นางมิได้หลบสายตา 
            “ฟังเสมือนข้าตกเป็นจำเลยเช่นนั้นหรือ” 
            “ท่านพ่อ...ข้าแจ้งรายละเอียดให้ท่านทราบตั้งแต่กลับมาถึงวันแรกแล้วมิใช่หรือ” ท่านชายรัชทายาทเอ่ย แม้เขาโกรธที่รู้ว่าท่านพ่อมาครั้งนี้
เพื่อหาความเอากับท่านแม่ แต่เขาต้องครองสติให้ได้ดังเช่นท่านแม่พร่ำสอนเสมอว่าความโกรธแค้นเก็บไว้ในใจ สิ่งที่แสดงออกมาคือรอยยิ้มหรือ
ความยินดี และท่าทางสงบนิ่ง
            “ใช่! แต่ข้าต้องการได้ยินจากปากของแม่เจ้าด้วย” 
            “เช่นนั้นการตายของมิดา ท่านนับเป็นความผิดของท่านหรือของข้ากันเล่า” ท่านแม่กล่าวใบหน้าเย็นชาสงบนิ่ง 
            “เจ้าๆ...” ท่านสุลต่านโกรธมากใบหน้าแดงก่ำ
            “บุตรสาวข้าตายมาเป็นอาทิตย์ ท่านเพิ่งว่างจะมาสอบสวนเอากับข้า เช่นนั้นข้าขอเป็นทนายให้ตัวเองก็แล้วกัน” 
            “ได้หากเจ้าตอบได้ถูกใจข้า”
            “ก่อนที่ข้าจะตอบ ข้าถามท่านว่าใครเป็นคนให้เราสองแม่ลูกไปเที่ยวพักผ่อน ท่านเป็นคนสั่งใช่หรือไม่”
            “ใช่”
            “เช่นนั้นนั่นแหละคือคำตอบที่ท่านถามข้า” ท่านแม่มองตาท่านสุลต่านพลางคิด ‘แม้แววตาโศกเศร้า ก็มิได้เห็น ท่านเป็นคนเช่นไรนะ’
            “ข้ายังไม่เห็นแววตาแห่งความเสียใจกับการจากไปของนาง แต่สิ่งที่ข้าเห็นกลับเป็นแววตาแห่งความเสียดายโอกาสของท่าน ฮึ! “ 
            “เจ้าอย่าหาความข้า ข้าต้องหาคนรับผิดชอบเรื่องนี้ให้ได้”
            “ท่านเป็นคนอนุญาต เช่นนั้นความผิดจึงตกเป็นของท่าน ข้ามีแต่ความเสียใจที่เสียแก้วตาดวงใจไป และการเดินทางกลับเมืองไทย หากจะ
เอาผิดกับข้าที่เดินทางไปกับนางด้วยเพื่อเป็นเพื่อนนางเท่านั้น” นางหยุดครู่หนึ่งกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้ และกล่าวต่อ 
            “หากจะหาความข้าคงไม่ได้เพราะคำสั่งมาจากท่าน หรือจะหาทางไล่ข้าออกจากตำแหน่ง หากเป็นเช่นนั้น ตำแหน่งนี้ข้าไม่ต้องการมันมานานแล้ว เมื่อใดท่านปลดข้า ข้าจะได้เป็นไทแก่ตัวและกลับแผ่นดินเกิดของข้า ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสุขสงบ”
ท่านสุลต่านโมโหจนหน้าแดงตัวสั่น แต่หาได้มีผู้ใดสนใจไม่ เสียงกระทืบเท้าและเดินออกไปจากห้องโถง
            
            ท่านแม่รียาร์ทรุดตัวลงใบหน้านองไปด้วยน้ำตา “นรกที่ข้าจมอยู่จนท่านชายฮาเฟสอายุสามสิบชันษา 
นานพอแล้ว ที่เหลือข้าจะทวงคืนเวลาเหล่านั้นกลับมาให้แก่ตัวข้า” นางสะอื้นไห้ มือทั้งสองรวบเข้าหากันไว้แน่น ท่านชายทั้งสองเข้ากอดนางไว้
และพยุงกลับไปที่ห้องอาหาร ท่านชายฮาเฟสใช้ผ้าเช็ดหน้าให้ท่านแม่อย่างอ่อนโยน 
            “ท่านแม่ข้ารู้ว่าท่านต้องทนและเจ็บปวดนัก นับแต่ข้าจำความได้ ชีวิตท่านตกอยู่ในความทุกข์นับสิบๆปี ความสุขของท่านเพียงน้อยนิด
อยู่ที่ได้เลี้ยงดูและโอบอุ้มพวกเราจนเติบใหญ่” ท่านชายเดเนียลเคียงอยู่ด้านข้าง เขามองนางอย่างสลดใจ 
            “ลาเด็นพาท่านแม่ไปอาบน้ำให้สบายใจสบายตัวเสียก่อนเถอะ ข้าและท่านพี่ฮาเฟสจะรอท่านแม่อยู่ที่ห้องอาหาร” 

            “ข้าเตรียมของไว้เรียบร้อยแล้วพระมารดา”
            “ข้าจัดการกับตัวเองได้ ข้าอยากใช้เวลาชำระล้างสิ่งโสโครกที่ถูกหยิบยื่นให้ ข้าต้องการให้มันหมดไปจากกายและใจข้า ด้วยความชุ่มเย็น
ของสายน้ำ ให้ข้าใช้เวลาสงบใจสักพักหนึ่งเถอะ” เสียงนางแผ่วลงแล้วจางหาย

            ท่านแม่กลับมาในชุดนอนสีครีมเรียบหรู สวมทับด้วยปิยาม่า 
            “หิวกันแล้วลงมือเถอะ” ท่านชายเดเนียลหันไปทางฮารีส...องครักษ์  
            “เจ้ามาร่วมโต๊ะกับท่านแม่ด้วยสิ” ซาเวียเปิดเพลงโปรดของท่านแม่แผ่วเบา ฮารีสรินไวน์ให้ทุกคน ก่อนจะโค้งตัวให้พระมารดาและนั่งลง
ท่านแม่ยกไวน์ขึ้นจิบช้าๆ 
            “ท่านรัชทายาท ข้ารั้งตำแหน่งนี้ไว้เนิ่นนานเพื่อตัวเจ้า วันที่ข้าจากไปทุกคนที่จ้องจะยึดตำแหน่งข้าคงกรูกันมาแน่ ให้ข้าถามเจ้าตรงๆ ข้าเห็น
เจ้าไปมาหาสู่กับแม่นางนัสรานบุตรีของท่านนายพลอยู่นานแล้วเจ้าคิดเช่นไรกับนาง”
            “แม่นางนัสรานเป็นสตรีที่เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติ และคุณสมบัติ ความประพฤติดีงาม ซื่อตรง  การศึกษาดี และฉลาดสุขุม”
            “เจ้ารักนางหรือไม่” 
            “เราสองคนรักกันแน่นอนท่านแม่”
            “เช่นนั้นเจ้ายังรอสิ่งใดอีกเล่า หากเจ้าแต่งงานกับนาง กำลังทหารจะอยู่ในการควบคุมของเจ้า ตำแหน่งข้าที่ว่างลงจะถูกเหล่าขุนนางระงับไว้
เพื่อรอนางขึ้นมาครองตำแหน่งพระมารดาแทนข้า หากเจ้ารักนางอย่างแท้จริง ข้าขอเจ้าในฐานะหญิงด้วยกัน จงรักและดูแลนางมีแต่นางผู้เดียว
เจ้าทำได้หรือไม่ หากเจ้าทำไม่ได้จงบอกแม่มาตรงๆ ” 
            “ท่านแม่ข้าต้องการหญิงที่ข้ารักเพียงนางเดียวและครอบครัวที่อบอุ่น จากที่ข้าเห็นชีวิตท่านก็พอที่จะเป็นบทเรียนที่ดีแก่ข้าแล้ว”
            “เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็สบายใจ ข้าจะทำส่วนที่เหลือให้เสร็จ” การทิ้งท้ายอย่างมีเงื่อนงำ 
            "ท่านชายฮาเฟส ท่านชายดาเนียล และมิดา...ลูกอันเป็นที่รักแห่งข้า เมื่อทุกอย่างลงตัวและจบลงแล้ว ข้าขอเพียงอย่างเดียวคือกลับคืน
สู่แผ่นดินไทยที่เป็นบ้านเกิดของข้า” ท่านชายฮาเฟสและดาเนียลก้มตัวโอบเอวนางและซบหน้าลง ท่านแม่รียาห์ยกมือลูบศีรษะบุตรชายทั้งสองไปมา
อย่างเช่นเคยทำเมื่อครั้งพวกเขายังเด็ก

            ลาเด็นเดินเข้ามาท่าทางหน้าตาตื่น “ข้าพบจดหมายนี้อยู่ที่ประตูชั้นล่าง” 
            “ส่งมาให้ข้า” ท่านแม่ยื่นมือออกไปรับ นางเปิดผนึกออก เบิกตากว้าง แล้วหยาดน้ำตาก็ไหลริน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่