ม่านกระโจมเปิดออกพร้อมบุรุษก้าวเข้ามา ยืนอยู่เบื้องหน้าหนุ่มสาวทั้งสอง ดวงตาสีทองเข้มของจิ้งจอก จ้องมองเขาไม่กระพริบ ตั้งแต่เหยียบเข้ามาในกระโจมแห่งนี้ ราวกับเป็นสิ่งเดียวในโลกที่มันมองเห็น แต่แววตาของมันมองมาดูเป็นมิตรกว่าเก่า มันไม่ตระหนกหรือหวาดกลัวบุรุษตรงหน้าอีกต่อไป เนื่องจากจมูกของมันเริ่มคุ้นชินกลิ่นนั้น มันย่องเข้ามาใกล้ ทำจมูกฟุดฟิด สูดดมกลิ่นกาย เพื่อทำความรู้จักอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามพฤติกรรมสันดานของสัตว์
“ใครเป็นคนปล่อยมันออกมา” เจ้าชายธีโอดอร์ฟมองหาคำตอบ สายตาของเขาจ้องชายหนุ่มผมดำขลับเป็นเป้านิ่ง
“ข้าเอง จะทำไม” เอดิออทยืดอกกล่าวหน้านิ่งอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “มันเป็นจิ้งจอกของข้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะปล่อยมัน”
“จิ้งจอกของเจ้า?” ธีโอดอร์ฟถวนคำอย่างล้อเลียน “เจ้าพูดว่ามันเป็นจิ้งจอกของเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นสัตว์สตัฟฟ์ตั้งวางบนแท่นหิน หรือถูกเลาะกะโหลกถลกหนังออกมาแขวนผนังห้องแล้วเท่านั้นแหล่ะ จิ้งจอกไม่ยอมให้ใครเป็นเจ้าของของมันหรอก มันไม่เชื่องเช่นสุนัขบ้าน และรักอิสระเกินกว่าจะผูกพันธุ์กับมนุษย์คนใด”
“แต่เจ้าตัวนี้มันเชื่องและเชื่อฟังคำสั่งคนนะธีโอดอร์ฟ ข้าจะแสดงให้ดู” ฟาลเนียยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น หล่อนแสดงวิธีการขอมือ มันก็เอาขาหน้าวางบนมือหล่อนอย่างแสนรู้ จากนั้นมันก็ยืนสองขา เดินเป็นวงกลม แล้วนั่งลง ตามคำสั่งอย่างว่าง่ายทุกคำพูด
“มันชื่ออะไร?” ธีโอดอร์ฟเลิกคิ้วถาม มองดูมันด้วยแววตาประหลาดใจ
“เงินยวง” เอดิออทตอบ
“เงินยวง?” ธีโอดอร์ฟทวนคำ ด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “ถ้าเป็นข้าจะให้ชื่อว่า จิ้งจอกเงิน เรียกมันตรงๆอย่างที่มันเป็นนั่นแหล่ะ ข้าว่าฟังดูดีกว่า”
“มันเป็นจิ้งจอกของข้า ข้าจะตั้งชื่อมันว่าอะไรก็เรื่องของข้า ท่านมีสิทธิ์อะไรมาตำหนิ”
“ข้าแค่เสนอแนะ” ธีโอดอร์ฟกล่าวอย่างใจเย็น และพูดประชดว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ยอมเปิดใจ รับฟังคำแนะนำใดๆจากข้า เพราะข้าไม่ใช่ฟาลเนียสินะ”
“ท่านกำลังพูดจาท้าทายหาเรื่องข้า” เอดิออทหน้าแดงจัด
“เจ้าต่างหากที่พูดจาหาเรื่อง ข้าหวังดีเสนอชื่อให้ เพราะชื่อที่เจ้าตั้งมันไม่ฟังเข้าท่าเอาซะเลย”
“ว่าไงนะ วาจาท้าทายคมดาบเสียแล้ว” เอดิออนฉุนกึกทันที ราวกับเชื้อเพลิงราดน้ำมัน เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่น่าจะกลายเป็นอารมณ์กระทบกระทั่งได้ แต่ความโกรธเคืองมันคุกรุ่นอยู่ภายในอก เหมือนตะกอนนอนนิ่ง ถูกกวนเพียงเล็กน้อยก็พร้อมขุ่นดำ
“หยุดทะเลาะกันเป็นเด็กๆเสียที” ฟาลเนียเงียบอยู่นานแล้ว ตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “อย่างนี้ก็แล้วกัน ลองเรียกทั้งสองชื่อพร้อมกันดีมั้ย ใครตั้งชื่อไหน ก็เรียกชื่อนั้น มันเดินไปหาใคร ก็เอาชื่อนั้น แบบนี้ดีมั้ย?” ฟาลเนียเสนอแนะ
เจ้าชายหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันอยู่อึดใจ ก็ตะโกนเรียกมันพร้อมกัน ด้วยชื่อที่ตนเป็นผู้ตั้งให้ว่า
“จิ้งจอกเงิน” / “เงินยวง”
จิ้งจอกน้อยหันซ้ายแลขวาอย่างสับสนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดมันก็ตรงไปหาเจ้าชายธีโอดอร์ฟ พร้อมแกว่งหางพวงใหญ่ไปมา
“ดูเหมือนว่ามันจะชอบชื่อ จิ้งจอกเงิน ของข้ามากกว่านะ” ธีโอดอร์ฟกล่าวกับพร้อมรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
เอดิออทกำหมัดสั่นระริกอย่างเจ็บใจ กล่าวบริภาษเจ้าสัตว์หน้าขนด้วยความโกรธ “แก ไอ้จิ้งจอกเนรคุณ ไม่ทันข้ามวันก็กระดิกหางใส่เจ้านายใหม่แล้วเรอะ กลับไปอยู่ในกรงเลยไป๊”
ไม่มีใครสนใจเอดิออทโวยวาย กระทั่งจิ้งจองเงินก็เอาแต่กระดิกหางอยู่ข้างๆ ผู้ที่ตั้งชื่อใหม่ให้มันอย่างประจบประแจง เจ้าชายธีโอดอร์ฟจับปลายหูของมันอย่างพินิจพิเคราะห์ ยกพวงหางชี้ฟูขึ้นสังเกตด้วยแววตาสงสัย แล้วรำพึงออกมาดังๆว่า
“แปลกจริง เจ้าจิ้งจอกตัวนี้ รูปร่างลักษณะแปลกกว่าที่ข้าเคยเห็น ขนของมันเป็นเส้นตรง แข็งกระด้างเหมือนเม่น แล้วยังใบหูยาวแหลมกว่าจิ้งจอกหิมะโดยเฉลี่ยของมันอีก”
“ท่านวิเคราะห์เหมือนรู้จักจิ้งจอกชนิดนี้ดี ท่านเคยพบเห็นพวกมันมาก่อนหรือ?” ฟาลเนียตั้งข้อสังเกตถามไถ่
“ใช่ข้าเคยพบเห็นพวกมันมาก่อน เพียงแต่…”
“เพียงแต่?”
“ตามปรกติพวกมันไม่สามารถดำรงอยู่ในดินแดนที่มีสภาพอากาศอบอุ่น ยาวนานเช่นนี้ได้ อย่างเก่งก็ไม่เกินเศษเสี้ยวของหนึ่งฤดูกาล พวกมันคุ้นเคยกับความหนาวเย็น และพากันหลบหนีไปในฤดูหิมะละลาย เหตุใดจิ้งจอกสีเงินตัวนี้ จึงมาเดินป้วนเปี้ยน อยู่ในอาณาจักรของฤดูร้อน และฤดูใบไม้ผลิหน้าตาเฉย
ดูจากขนยังฟูแน่นหนา ไม่มีการผลัดร่วงให้บางลง เพื่อปรับสภาพให้กลมกลืน กับสิ่งแวดล้อมใหม่ แสดงว่ามันสามารถดำรงอยู่ได้ ในอุณหภูมิเช่นนี้อย่างสบาย
แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีบุรุษคนใด พบเห็นจิ้งจอกเงินในดินแดนที่มนุษย์อาศัย”
“ถ้าพวกมันไม่เคยปรากฏตัว ในดินแดนที่มนุษย์อาศัย หากว่าพวกมันอยู่ห่างไกล อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว และไม่สุงสิงกันผู้ใด มาเป็นเวลาช้านาน เช่นที่ท่านบอกข้า แล้วท่านพบพวกมันได้อย่างไรกัน?”
เจ้าชายธีโอดอร์ฟ มองดูสุนัขจิ้งจอก ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความนึกคิด วางฝ่ามือลูบขนเงินย้อนขึ้นอย่างใช้ความรู้สึกทบทวน สีของมันกระตุ้นให้เขานึก ถึงแสงจันทร์ในฤดูหนาว สัมผัสปลายนิ้วดึงความทรงจำ ในวันเก่าให้กลับมา เขายังจดจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน มันทั้งหนาวเหน็บ ทั้งโหดร้ายทารุณ ที่สุดของความทรมาน แต่มันเป็นการตัดสินใจของเขาเอง ที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความตายในแดนเหนือ เขาเกือบตายกลางพายุหิมะ แต่ก็รอดมาได้ราวปฏิหาร เป็นประสบการณ์ที่เขาไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต
“เมื่อตอนที่ข้าอายุ 19 ข้าตัดสินใจเดินทางท่องไปในแคว้นเหนือ พร้อมกับหน่วยลาดตระเวณแห่งกลามีธีส พวกข้าออกตามหามนุษย์จิ้งจอก ในดินแดนฤดูหนาวนิรันดร์ เพื่อพิสูจน์ความลี้ลับ คลี่คลายปมปริศนาของพวกมัน ว่าเป็นเพียงนิทานปรัมปรา หรือว่าเรื่องจริงกันแน่”
“การเดินทางสู่แคว้นเหนือตอนบนสุด อาณาเขตอยู่เลยขอบแผนที่ขึ้นไป มันเป็นการเดินทางหฤโหด ลำบากแสนเข็ญเลือดตากระเด็น ทำให้ถ้านึกถึงการเดินทางสู่แดนใต้ ผ่านถิ่นทุรกันดาร ที่ถนนหนทางเป็นดินทราย และเนินหินสูงๆต่ำๆ ก็ยังสดวกสบาย กว่าการเดินทางข้ามภูเขาหิมะ หลายร้อยหลายพันเท่า ข้าได้รู้จักกับความเหน็บหนาว อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก ในดินแดนอิสระอันหนาวเย็น จนทุกสิ่งล้วนกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง การดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ในหิมะสามารถกัดกินนิ้วเท้า จนหมดสิ้นความรู้สึก และทหารบางคนต้องตัดเท้าทิ้งไป ก่อนที่ร่างกายทั้งหมดจะกลายเป็นน้ำแข็ง”
“พวกเราปะทะกับความหนาวเหน็บถึงจุดที่ ไม่อาจทานทนต่อไปได้อีกแม้ขณะจิตเดียว พวกเรากำลังจะแข็งตายทั้งเป็น ในดินแดนแห่งความหนาวนิรันดร์ ขณะนั้นข้าตาพร่ามัวเห็นมันกลายเป็นทะเลหมอกอันไร้ฤดูกาลไปต่อหน้า ขณะที่เลือดในกายข้ากำลังจับก้อนแข็ง แม้กระทั่งเปลวไฟของมังกรที่เราหวังพึ่งพา ก็มอดดับในความหนาวเหน็บถึงจุดเยือกแข็งนั้น เจ้าสัตว์ที่น่าสงสาร ที่เดินทางมากับเราตัวนั้น พ่อค้าจากแดนตะวันออก นำมาเสนอขายให้แก่ราชสำนัก ในราคาแพงลิบลิ่ว ความเป็นความตายบังคับให้ ข้าจำเป็นต้องสังหารมัน เพื่อดื่มเลือดร้อนๆของมังกรซึ่งเป็นธาตุไฟ ทำให้ร่างกายอบอุ่นเหมือนเตาผิง ข้ายังคงระรึกถึงมันอยู่เสมอ มังกรตัวนั้นสละเลือดเนื้อของมัน เพื่อให้พวกของข้าทั้งหมดรอดตาย”
“ในแดนอันพิสุทธิ์แห่งฤดูหนาวนิรันดร์ สีขาวไม่เคยเปลี่ยนสีเป็นอื่นใด สีสันอื่นไม่เคยย้อมเปลี่ยนสีของมัน อดีต ปัจจุบัน ล้วนเป็นสีขาวตลอดกาล บนเนินหิมะอันว่างเปล่าขาวโพลนนั้น ข้าได้พบกับสุนัขจิ้งจอกขนสีเงินตัวแรก มันมาด้อมๆมองๆด้วยความประหลาดใจ ไม่ต่างจากข้าที่มองดูพวกมันด้วยความพิศวง พวกมันมีขนราวกับอาบแสงเงินยวง ของดวงจันทร์มานานนับแสนปี จนกลายเป็นสีเดียวกันทุกอนูอันละเอียดอ่อนปรกคลุมร่างของมัน จิ้งจอกเงินที่ข้าเคยพบที่นั่น พวกมันมีหูที่สั้นเล็ก ลดการสูญเสียความร้อน และขนยาวหนาเพื่ออุ่นร่างกาย มันระมัดระวังทุกฝีก้าว ขณะขยับเข้ามาใกล้ จ้องมองข้าแววตาของนักสู้เลือดเย็น
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างของข้ากระแทกล้มลง ดวงตาอันพร่ามัว เหมือนว่าจะมองเห็น หิมะเกาะใบมีดจนกลายเป็นสีขาว ราวกับทำมาจากกระดูกมนุษย์ กระนั้นมันยังคงความคมกริบ เท่าวันแรกที่ถูกตีด้วยค้อนเหล็ก เหล็กกล้าวาซิลเลียเสียบทะลุลำคอจิ้งจอกเงินตัวนั้นก่อนที่ข้าจะรู้ตัว เลือดสดหลังทะลักมาจากใบมีด สีแดงหยดลงมาบนพื้น หิมะดื่มกินเลือดอย่างหิวกระหาย แล้วหิมะชุดใหม่ก็โปรยปรายลงมา ปรกคลุมจนมองไม่เห็นว่า สีแดงเคยปรากฏบนพื้นที่เท้าของข้าเหยียบย่ำ ข้าเข้าใจในตอนนั้นเองว่า ดินแดนแห่งนี้ มีสีขาวสะอาดตาตลอดมา จนราวกับว่าไม่เคยแปดเปื้อนมาก่อนเลยเช่นนั้นเพราะอะไร”
“การเผชิญหน้ากับจิ้งจอกตัวแรก ทำให้ข้าระมัดระวังกว่าเดิม และเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับจิ้งจอกที่ตัวใหญ่กว่า แต่ใจข้าไม่เคยอยากฆ่าพวกมันเลย หากไม่ใช่เพราะต้องป้องกันตัว ข้าจะไม่ทำร้ายพวกมันโดยเด็ดขาด เมื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าได้ ข้าก็เลือกที่จะเลี่ยง และเมื่อพวกเรามิได้แสดงความเป็นศัตรูกับพวกมันก่อน ในที่สุดพวกมันก็หมดความสนใจและพากันจากไป”
“ในขณะที่หน่วยลาดตระเวณ จำนวนเกินกว่าครึ่งพากันกลับไป ข้ายังคงปักหลังอยู่ที่นั่น ไม่ได้จากไปโดยง่าย เราบากบั่นมาถึงเพียงนั้น ก็เพื่อตามหาพวกมันให้พบ แล้วเราก็พบพวกมันแล้ว ข้ากับหน่วยลาดตระเวณที่เหลืออยู่จำนวนไม่มากนัก เฝ้าดูจิ้งจอกกลุ่มนั้น ด้วยความอดทนรอคอย คืนวันล่วงผ่านไป พระจันทร์เปลี่ยนสี และฤดูหิมะเริ่มละลาย ในยามค่ำคืน ดวงจันทร์ทอแสงเต็มดวงกลม บนเนินหิมะตระหง่านง้ำ ที่พวกเราต้องแหงนคอมอง พวกมันย่องกริบออกมา และพากันเห่าหอน ดังกังวานก้องสะท้อนไปทั้งหุบเขา จนข้ารู้สึกว่าตัวกลวงเปล่า และสั่นสะเทือนเหมือนระฆังถูกตี ไม่ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนผัน จิ้งจอกกลับมารวมกลุ่มกันบนเนินหิมะลูกนั้น หรือว่าแยกตัวไปอยู่โดดเดี่ยว ตระเวนเที่ยวไปตามลำพัง หลังจากหิมะละลาย จิ้งจอกก็ยังคงสภาพเป็นจิ้งจอก เช่นที่มันเป็น ข้าไม่เคยเห็นพวกมันกลายสภาพ เป็นมนุษย์จิ้งจอกเช่นคำล่ำรือ”
v
v
The Light of Darkness [บทที่ 21]
“ใครเป็นคนปล่อยมันออกมา” เจ้าชายธีโอดอร์ฟมองหาคำตอบ สายตาของเขาจ้องชายหนุ่มผมดำขลับเป็นเป้านิ่ง
“ข้าเอง จะทำไม” เอดิออทยืดอกกล่าวหน้านิ่งอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “มันเป็นจิ้งจอกของข้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะปล่อยมัน”
“จิ้งจอกของเจ้า?” ธีโอดอร์ฟถวนคำอย่างล้อเลียน “เจ้าพูดว่ามันเป็นจิ้งจอกของเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นสัตว์สตัฟฟ์ตั้งวางบนแท่นหิน หรือถูกเลาะกะโหลกถลกหนังออกมาแขวนผนังห้องแล้วเท่านั้นแหล่ะ จิ้งจอกไม่ยอมให้ใครเป็นเจ้าของของมันหรอก มันไม่เชื่องเช่นสุนัขบ้าน และรักอิสระเกินกว่าจะผูกพันธุ์กับมนุษย์คนใด”
“แต่เจ้าตัวนี้มันเชื่องและเชื่อฟังคำสั่งคนนะธีโอดอร์ฟ ข้าจะแสดงให้ดู” ฟาลเนียยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น หล่อนแสดงวิธีการขอมือ มันก็เอาขาหน้าวางบนมือหล่อนอย่างแสนรู้ จากนั้นมันก็ยืนสองขา เดินเป็นวงกลม แล้วนั่งลง ตามคำสั่งอย่างว่าง่ายทุกคำพูด
“มันชื่ออะไร?” ธีโอดอร์ฟเลิกคิ้วถาม มองดูมันด้วยแววตาประหลาดใจ
“เงินยวง” เอดิออทตอบ
“เงินยวง?” ธีโอดอร์ฟทวนคำ ด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “ถ้าเป็นข้าจะให้ชื่อว่า จิ้งจอกเงิน เรียกมันตรงๆอย่างที่มันเป็นนั่นแหล่ะ ข้าว่าฟังดูดีกว่า”
“มันเป็นจิ้งจอกของข้า ข้าจะตั้งชื่อมันว่าอะไรก็เรื่องของข้า ท่านมีสิทธิ์อะไรมาตำหนิ”
“ข้าแค่เสนอแนะ” ธีโอดอร์ฟกล่าวอย่างใจเย็น และพูดประชดว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ยอมเปิดใจ รับฟังคำแนะนำใดๆจากข้า เพราะข้าไม่ใช่ฟาลเนียสินะ”
“ท่านกำลังพูดจาท้าทายหาเรื่องข้า” เอดิออทหน้าแดงจัด
“เจ้าต่างหากที่พูดจาหาเรื่อง ข้าหวังดีเสนอชื่อให้ เพราะชื่อที่เจ้าตั้งมันไม่ฟังเข้าท่าเอาซะเลย”
“ว่าไงนะ วาจาท้าทายคมดาบเสียแล้ว” เอดิออนฉุนกึกทันที ราวกับเชื้อเพลิงราดน้ำมัน เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่น่าจะกลายเป็นอารมณ์กระทบกระทั่งได้ แต่ความโกรธเคืองมันคุกรุ่นอยู่ภายในอก เหมือนตะกอนนอนนิ่ง ถูกกวนเพียงเล็กน้อยก็พร้อมขุ่นดำ
“หยุดทะเลาะกันเป็นเด็กๆเสียที” ฟาลเนียเงียบอยู่นานแล้ว ตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “อย่างนี้ก็แล้วกัน ลองเรียกทั้งสองชื่อพร้อมกันดีมั้ย ใครตั้งชื่อไหน ก็เรียกชื่อนั้น มันเดินไปหาใคร ก็เอาชื่อนั้น แบบนี้ดีมั้ย?” ฟาลเนียเสนอแนะ
เจ้าชายหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันอยู่อึดใจ ก็ตะโกนเรียกมันพร้อมกัน ด้วยชื่อที่ตนเป็นผู้ตั้งให้ว่า
“จิ้งจอกเงิน” / “เงินยวง”
จิ้งจอกน้อยหันซ้ายแลขวาอย่างสับสนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดมันก็ตรงไปหาเจ้าชายธีโอดอร์ฟ พร้อมแกว่งหางพวงใหญ่ไปมา
“ดูเหมือนว่ามันจะชอบชื่อ จิ้งจอกเงิน ของข้ามากกว่านะ” ธีโอดอร์ฟกล่าวกับพร้อมรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
เอดิออทกำหมัดสั่นระริกอย่างเจ็บใจ กล่าวบริภาษเจ้าสัตว์หน้าขนด้วยความโกรธ “แก ไอ้จิ้งจอกเนรคุณ ไม่ทันข้ามวันก็กระดิกหางใส่เจ้านายใหม่แล้วเรอะ กลับไปอยู่ในกรงเลยไป๊”
ไม่มีใครสนใจเอดิออทโวยวาย กระทั่งจิ้งจองเงินก็เอาแต่กระดิกหางอยู่ข้างๆ ผู้ที่ตั้งชื่อใหม่ให้มันอย่างประจบประแจง เจ้าชายธีโอดอร์ฟจับปลายหูของมันอย่างพินิจพิเคราะห์ ยกพวงหางชี้ฟูขึ้นสังเกตด้วยแววตาสงสัย แล้วรำพึงออกมาดังๆว่า
“แปลกจริง เจ้าจิ้งจอกตัวนี้ รูปร่างลักษณะแปลกกว่าที่ข้าเคยเห็น ขนของมันเป็นเส้นตรง แข็งกระด้างเหมือนเม่น แล้วยังใบหูยาวแหลมกว่าจิ้งจอกหิมะโดยเฉลี่ยของมันอีก”
“ท่านวิเคราะห์เหมือนรู้จักจิ้งจอกชนิดนี้ดี ท่านเคยพบเห็นพวกมันมาก่อนหรือ?” ฟาลเนียตั้งข้อสังเกตถามไถ่
“ใช่ข้าเคยพบเห็นพวกมันมาก่อน เพียงแต่…”
“เพียงแต่?”
“ตามปรกติพวกมันไม่สามารถดำรงอยู่ในดินแดนที่มีสภาพอากาศอบอุ่น ยาวนานเช่นนี้ได้ อย่างเก่งก็ไม่เกินเศษเสี้ยวของหนึ่งฤดูกาล พวกมันคุ้นเคยกับความหนาวเย็น และพากันหลบหนีไปในฤดูหิมะละลาย เหตุใดจิ้งจอกสีเงินตัวนี้ จึงมาเดินป้วนเปี้ยน อยู่ในอาณาจักรของฤดูร้อน และฤดูใบไม้ผลิหน้าตาเฉย
ดูจากขนยังฟูแน่นหนา ไม่มีการผลัดร่วงให้บางลง เพื่อปรับสภาพให้กลมกลืน กับสิ่งแวดล้อมใหม่ แสดงว่ามันสามารถดำรงอยู่ได้ ในอุณหภูมิเช่นนี้อย่างสบาย
แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีบุรุษคนใด พบเห็นจิ้งจอกเงินในดินแดนที่มนุษย์อาศัย”
“ถ้าพวกมันไม่เคยปรากฏตัว ในดินแดนที่มนุษย์อาศัย หากว่าพวกมันอยู่ห่างไกล อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว และไม่สุงสิงกันผู้ใด มาเป็นเวลาช้านาน เช่นที่ท่านบอกข้า แล้วท่านพบพวกมันได้อย่างไรกัน?”
เจ้าชายธีโอดอร์ฟ มองดูสุนัขจิ้งจอก ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความนึกคิด วางฝ่ามือลูบขนเงินย้อนขึ้นอย่างใช้ความรู้สึกทบทวน สีของมันกระตุ้นให้เขานึก ถึงแสงจันทร์ในฤดูหนาว สัมผัสปลายนิ้วดึงความทรงจำ ในวันเก่าให้กลับมา เขายังจดจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน มันทั้งหนาวเหน็บ ทั้งโหดร้ายทารุณ ที่สุดของความทรมาน แต่มันเป็นการตัดสินใจของเขาเอง ที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความตายในแดนเหนือ เขาเกือบตายกลางพายุหิมะ แต่ก็รอดมาได้ราวปฏิหาร เป็นประสบการณ์ที่เขาไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต
“เมื่อตอนที่ข้าอายุ 19 ข้าตัดสินใจเดินทางท่องไปในแคว้นเหนือ พร้อมกับหน่วยลาดตระเวณแห่งกลามีธีส พวกข้าออกตามหามนุษย์จิ้งจอก ในดินแดนฤดูหนาวนิรันดร์ เพื่อพิสูจน์ความลี้ลับ คลี่คลายปมปริศนาของพวกมัน ว่าเป็นเพียงนิทานปรัมปรา หรือว่าเรื่องจริงกันแน่”
“การเดินทางสู่แคว้นเหนือตอนบนสุด อาณาเขตอยู่เลยขอบแผนที่ขึ้นไป มันเป็นการเดินทางหฤโหด ลำบากแสนเข็ญเลือดตากระเด็น ทำให้ถ้านึกถึงการเดินทางสู่แดนใต้ ผ่านถิ่นทุรกันดาร ที่ถนนหนทางเป็นดินทราย และเนินหินสูงๆต่ำๆ ก็ยังสดวกสบาย กว่าการเดินทางข้ามภูเขาหิมะ หลายร้อยหลายพันเท่า ข้าได้รู้จักกับความเหน็บหนาว อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก ในดินแดนอิสระอันหนาวเย็น จนทุกสิ่งล้วนกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง การดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ในหิมะสามารถกัดกินนิ้วเท้า จนหมดสิ้นความรู้สึก และทหารบางคนต้องตัดเท้าทิ้งไป ก่อนที่ร่างกายทั้งหมดจะกลายเป็นน้ำแข็ง”
“พวกเราปะทะกับความหนาวเหน็บถึงจุดที่ ไม่อาจทานทนต่อไปได้อีกแม้ขณะจิตเดียว พวกเรากำลังจะแข็งตายทั้งเป็น ในดินแดนแห่งความหนาวนิรันดร์ ขณะนั้นข้าตาพร่ามัวเห็นมันกลายเป็นทะเลหมอกอันไร้ฤดูกาลไปต่อหน้า ขณะที่เลือดในกายข้ากำลังจับก้อนแข็ง แม้กระทั่งเปลวไฟของมังกรที่เราหวังพึ่งพา ก็มอดดับในความหนาวเหน็บถึงจุดเยือกแข็งนั้น เจ้าสัตว์ที่น่าสงสาร ที่เดินทางมากับเราตัวนั้น พ่อค้าจากแดนตะวันออก นำมาเสนอขายให้แก่ราชสำนัก ในราคาแพงลิบลิ่ว ความเป็นความตายบังคับให้ ข้าจำเป็นต้องสังหารมัน เพื่อดื่มเลือดร้อนๆของมังกรซึ่งเป็นธาตุไฟ ทำให้ร่างกายอบอุ่นเหมือนเตาผิง ข้ายังคงระรึกถึงมันอยู่เสมอ มังกรตัวนั้นสละเลือดเนื้อของมัน เพื่อให้พวกของข้าทั้งหมดรอดตาย”
“ในแดนอันพิสุทธิ์แห่งฤดูหนาวนิรันดร์ สีขาวไม่เคยเปลี่ยนสีเป็นอื่นใด สีสันอื่นไม่เคยย้อมเปลี่ยนสีของมัน อดีต ปัจจุบัน ล้วนเป็นสีขาวตลอดกาล บนเนินหิมะอันว่างเปล่าขาวโพลนนั้น ข้าได้พบกับสุนัขจิ้งจอกขนสีเงินตัวแรก มันมาด้อมๆมองๆด้วยความประหลาดใจ ไม่ต่างจากข้าที่มองดูพวกมันด้วยความพิศวง พวกมันมีขนราวกับอาบแสงเงินยวง ของดวงจันทร์มานานนับแสนปี จนกลายเป็นสีเดียวกันทุกอนูอันละเอียดอ่อนปรกคลุมร่างของมัน จิ้งจอกเงินที่ข้าเคยพบที่นั่น พวกมันมีหูที่สั้นเล็ก ลดการสูญเสียความร้อน และขนยาวหนาเพื่ออุ่นร่างกาย มันระมัดระวังทุกฝีก้าว ขณะขยับเข้ามาใกล้ จ้องมองข้าแววตาของนักสู้เลือดเย็น
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างของข้ากระแทกล้มลง ดวงตาอันพร่ามัว เหมือนว่าจะมองเห็น หิมะเกาะใบมีดจนกลายเป็นสีขาว ราวกับทำมาจากกระดูกมนุษย์ กระนั้นมันยังคงความคมกริบ เท่าวันแรกที่ถูกตีด้วยค้อนเหล็ก เหล็กกล้าวาซิลเลียเสียบทะลุลำคอจิ้งจอกเงินตัวนั้นก่อนที่ข้าจะรู้ตัว เลือดสดหลังทะลักมาจากใบมีด สีแดงหยดลงมาบนพื้น หิมะดื่มกินเลือดอย่างหิวกระหาย แล้วหิมะชุดใหม่ก็โปรยปรายลงมา ปรกคลุมจนมองไม่เห็นว่า สีแดงเคยปรากฏบนพื้นที่เท้าของข้าเหยียบย่ำ ข้าเข้าใจในตอนนั้นเองว่า ดินแดนแห่งนี้ มีสีขาวสะอาดตาตลอดมา จนราวกับว่าไม่เคยแปดเปื้อนมาก่อนเลยเช่นนั้นเพราะอะไร”
“การเผชิญหน้ากับจิ้งจอกตัวแรก ทำให้ข้าระมัดระวังกว่าเดิม และเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับจิ้งจอกที่ตัวใหญ่กว่า แต่ใจข้าไม่เคยอยากฆ่าพวกมันเลย หากไม่ใช่เพราะต้องป้องกันตัว ข้าจะไม่ทำร้ายพวกมันโดยเด็ดขาด เมื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าได้ ข้าก็เลือกที่จะเลี่ยง และเมื่อพวกเรามิได้แสดงความเป็นศัตรูกับพวกมันก่อน ในที่สุดพวกมันก็หมดความสนใจและพากันจากไป”
“ในขณะที่หน่วยลาดตระเวณ จำนวนเกินกว่าครึ่งพากันกลับไป ข้ายังคงปักหลังอยู่ที่นั่น ไม่ได้จากไปโดยง่าย เราบากบั่นมาถึงเพียงนั้น ก็เพื่อตามหาพวกมันให้พบ แล้วเราก็พบพวกมันแล้ว ข้ากับหน่วยลาดตระเวณที่เหลืออยู่จำนวนไม่มากนัก เฝ้าดูจิ้งจอกกลุ่มนั้น ด้วยความอดทนรอคอย คืนวันล่วงผ่านไป พระจันทร์เปลี่ยนสี และฤดูหิมะเริ่มละลาย ในยามค่ำคืน ดวงจันทร์ทอแสงเต็มดวงกลม บนเนินหิมะตระหง่านง้ำ ที่พวกเราต้องแหงนคอมอง พวกมันย่องกริบออกมา และพากันเห่าหอน ดังกังวานก้องสะท้อนไปทั้งหุบเขา จนข้ารู้สึกว่าตัวกลวงเปล่า และสั่นสะเทือนเหมือนระฆังถูกตี ไม่ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนผัน จิ้งจอกกลับมารวมกลุ่มกันบนเนินหิมะลูกนั้น หรือว่าแยกตัวไปอยู่โดดเดี่ยว ตระเวนเที่ยวไปตามลำพัง หลังจากหิมะละลาย จิ้งจอกก็ยังคงสภาพเป็นจิ้งจอก เช่นที่มันเป็น ข้าไม่เคยเห็นพวกมันกลายสภาพ เป็นมนุษย์จิ้งจอกเช่นคำล่ำรือ”
v
v