เอดิออท งัวเงียครึ่งหลับครึ่งตื่น แขนครึ่งหนึ่งของเขา ขยับไม่ได้เพราะรู้สึกเหน็บชาเหมือนถูกอะไรหนักๆกดทับ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่า เด็กผู้หญิงที่เขาไม่รู้จัก มานอนอยู่ข้างกายฝั่งซ้ายมือของเขา ผมเส้นหนาของหล่อนแข็งกระด้างและชี้ฟู เป็นสีเงินยวงปรกคลุมแผ่นหลัง หล่อนนอนขดกดทับแขนของเขาเอาไว้
เอดิออท กระชากแขนเหมือนถูกงูฉก แล้วกลิ้งตกเตียงลงมานอนเค้เก้กับพื้น ตาเบิกโพลงอย่างงุนงง ฉุดดึงตัวเองลุกขึ้นยืนจังก้า เดินลากขาถอยห่างออกมาทีละก้าวๆ อย่างไม่มั่นใจ งุ่นงาน และตกตะลึง โดยสายตายังคงจับนิ่ง อยู่ที่ร่างของเด็กผู้หญิง ซึ่งนอนขดอยู่บนเตียงของเขา หล่อนยังเด็กอยู่เลย ดูจากสารรูป ผอมบางติดกระดูก ไม่มีน้ำมีนวลนั่น ดูเหมือนเธอจะอายุน้อยกว่าเขาหลายปีดีดัก อาจจะสัก 8 - 9 ปี เธอดูเหมือนเพิ่ง 7 - 8 ขวบเท่านั้น
ใบหน้าของหล่อนยาว เช่นเดียวกับ ใบหูยาวรีเกือบแหลม จมูกเชิดรั้น หางตากระดกปัดขึ้นชี้ ขณะหลับตา ดูเหมือนว่าองค์ประกอบต่างๆ บนใบหน้าของหล่อนจะยาวแหลมไปเสียหมด โทนผิวของหล่อนนั้นเป็นสีคล้ำเข้ม ในกรอบผมสีเงินเกือบขาว มีขนแข็งปรกคลุมร่างกาย เหมือนเสื้อขนสัตว์รัดรูปมิดชิด ปิดช่วงอกที่แบนราบไม่ปรากฏทรวดทรง และองค์เอวที่ตรงลงมา ปกคลุมเกือบทั่วทั้งตัวเป็นขนกระด้างสีเงินยวง เช่นเดียวกับเส้นผม และขนคิ้วทั้งหมด หล่อนพลิกกายเล็กน้อย แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมา ขยับกายลุกเงยหน้า ทำจมูกฟุดฟิดสูดดมอากาศ ทั้งที่ตายังปรือครึ่งเปิดครึ่งปิด
แล้วจึงค่อยๆหรี่เปลือกตามอง นัยน์ตาสีทองเข้มคู่นั้น รู้ดีว่าเป้าหมายอยู่ตรงจุดไหน ด้วยจมูกสัมผัสรับรู้กลิ่นอันว่องไว หันควับมายังร่างของเอดิออท ที่ยืนอยู่ห่างๆอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร กับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในขณะนี้
“เด็กนี่..เป็นคนหรือสัตว์กันแน่” คำถามที่ผุดขึ้นมาเหมือนเห็ดพิษ แค่คิดก็ผื่นขึ้นตัว เขาเกาแขนที่หล่อนนอนทับเพราะรู้สึกคันยิบ
หล่อนยกเท้าขึ้นมาขยี้เกาหัวยิกๆ สิ่งมีชีวิตเล็กๆคล้ายหมัด กระเด็นร่วงลงมาจากผมเผ้าที่พันกันยุ่งเหยิง ไต่ดึบดับอยู่บนผ้าปูที่นอนสอมสามตัว เอดิออทยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ มองดูสิ่งนั้นด้วยอาการแขยงขน แล้วหล่อนก็แยกเขี้ยวที่มีคราบ เหมือนลายหินอ่อนคร่ำครา ตาหยีชี้แหลม แลบลิ้นเลียปากแผลบๆ แล้วส่งเสียงหอนราวกับสุนัขป่า
หมดข้อกังขาสิ้นความสงสัย ประจักษ์แจ้งแก่ใจตนในทันทีว่า จิ้งจอกเงินซึ่งเมื่อคืนเขาพบมันริมธารน้ำ และมันก็ย่องกริบตามเขาเข้ามาในกระโจมที่พัก เป็นตัวเดียวกันกับเด็กคนนี้ไม่ผิดแน่
“ไอ้มนุษย์จิ้งจอก ในนิทานของท่านยาย ที่ข้าได้ยินในวัยเยาว์ มันมีอยู่จริงๆหรือนี่” เอดิออทร้องด้วยเสียงประหลาดใจเกือบไม่ปลงใจเชื่อ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธสายตาที่ประจักษ์ในขณะนี้
“เฟ้ย” เอดิออทอุทานลั่น มนุษย์จิ้งจอกกระโจนใส่เขาอย่างฉับพลันไม่ทันให้เขาตั้งตัว
หล่อนงับคอเสื้อของเขา คำรามในลำคออย่างดุร้าย สะบัดหัวไปมาอย่างดุเดือด ราวกับว่าที่อยู่ตรงหน้าคืออาหารมื้อเช้า
“เสื้อของข้าไม่ใช่ของเคี้ยวเล่นนะวะโอ้ย ออกไป!”
เขาจับหัวอันยุ่งเหยิงนั่นไว้หมับเหมือนลูกบอลแล้วผลักส่ง หล่อนยกเขี้ยวคายปกเสื้อจากปาก คราบน้ำลายเหนียวยืด เหมือนไยแมงมุม เป็นเส้นห้อยย้อยระโยงระยาง อยู่ระหว่างเขี้ยวแหลมกับคอเสื้อของเขา ขณะถูกดันใบหน้าให้ห่างออกไป หล่อนก็ส่ายหัวไปมาถูไถกับฝ่ามือของเขา ที่ยังคงยันหัวของหล่อนค้างไว้ อย่างเปรมปรีดิ์ เป็นความสุขชนิดหนึ่งของสุนัขจิ้งจอก ที่เอดิออทไม่มีวันเข้าใจ เขาเริ่มรู้สึกขนลุกเกรียว เมื่อมองดูน้ำลายยาวยืดแกว่งไปมาเหมือนเชือกใสหนืดตรงหน้า
“ยี๊อ๊าาาาก”
เอดิออทแหกปากลั่น เขากำลังต่อสู้แบบพยายามเอามือปัดป้อง จากการจู่โจมแบบพิลั่นพิเรนของอีกฝ่าย ทำท่าจะขบกัด งับจมูกของเขา และแลบลิ้นแผลบๆ ละเลงเลียบนใบหน้า กริยาอาการเต็มไปด้วยความ คึกคะนองสนุกสนาน ปราศจากความเกรงกลัวใดๆ เหมือนกับว่าเขาคือของเล่นอันใหญ่ ใหม่เอี่ยมที่หล่อนกำลังเห่อจัด และแล้วใครคนหนึ่งก็ปรากฏกายเดินเข้ามาข้างในสถานที่อันชุลมุนวุ่นวายแห่งนี้
“อะไรนั่น ตัวอะไรกัน!”
ฟาลเนียร้องด้วยความตกใจ สายตามองไปเห็นสองชีวิตกองรวมกันอยู่ตรงพื้น ยื้อและยันกันยึกยักๆอยู่ไปมา ร่างที่คลุมด้วยขนสีเงิน พลิกตัวด้วยความว่องไว เอื้อมสุดแขน พร้อมถีบขาหลัง กระโจนหลบไปแอบอยู่มุมห้อง ทำตัวลีบเบียดชิดขอบเตียง จ้องมองหญิงสาวผู้มาใหม่ ราวกับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่น่าไว้ใจ ด้วยแววตาเป็นประกายนิ่งวาว จับอากับกริยาทุกย่างก้าวของหล่อน ขณะเคลื่อนเข้าไปใกล้ผู้ที่นอนงงงันอยู่ที่พื้น เอดิออท สะบัดหน้าไล่ความงงงวยในหัวออกไป เขานึกว่ากำลังฝันอยู่ และฟาลเนียก็ปลุกเขาให้ตื่นจากฝันร้าย ด้วยเสียงหวานของหล่อนที่เอ่ยชื่อเขา
“เอดิออท” เสียงดุจสายลมกระซิบเบา ทำให้เขามองสบดวงตาสีน้ำเงินเข้ม คู่นั้นของหล่อนเข้าอย่างจัง ดุจระรอกคลื่นแรงซัดกระหน่ำ ใส่หัวใจของเขาฉับพลัน มันสั่นสะท้านไร้ที่เกาะยึดจนเขารู้สึกกลัว ว่าหัวใจตัวเองจะลอยหลุดจากร่างไป แล้วสายตาของฟาลเนียคู่นั้น ที่นิ่งประสานมองตาเขา ก็เปลี่ยนมาจับร่างที่หลบอยู่ ตรงมุมสุดของพื้นที่สี่เหลี่ยมอันเป็นบริเวณขอบกระโจมผ้า
“นั่นมนุษย์หรือไม่ใช่ มันคือตัวอะไรกันแน่” ฟาลเนียถามย้ำอีกครั้งอย่างลังเลไม่แน่ใจ เมื่อพบสิ่งแปลกประหลาดแก่สายตา
“ทวยเทพบรรลัย” เอดิออทสบถลั่น เขากำลังสับสนวุ่นวายใจ พร้อมกันหลายเรื่องในขณะนี้ ยังไม่พอทวยเทพตั้งใจจะเยาะเย้ย ส่งตัวประหลาดมาล้อเลียนเขาอีกหรือนี่ เขาไม่อดทนอีกต่อไป ลุกขึ้นพรวดพราด เดินย่ำเท้าก้าวจากกระโจม ไปสงบสติอารมณ์ด้านนอก
มีบางสิ่งที่ฟาลเนียอยากจะกล่าวกับ เอดิออท ตอนนี้ แต่หล่อนทำเป็นนิ่งเฉยเสีย จากสภาพของเขาขณะนี้ ดูเหมือนว่าไม่พร้อมที่จะพูดคุยปราศรัยอะไรกับใครทั้งนั้น สายตาของหล่อนมองตามหลัง ของเขาเรื่อยไปอย่างปล่อยเลย ในส่วนของเอดิออทนั้น ไม่ว่าเขาจะแสดงอาการเช่นไรออกมา ก็ไม่ทำให้หล่อนร้อนรุ่ม หรือเป็นกังวลใจอะไรมากมายนัก เนื่องจากหล่อนไม่ได้คาดหวังอะไรจากเขา
เมื่อเอดิออทจากไป หล่อนก็หมดความสนใจ หันกลับมา พิจารณาเจ้าสิ่งมีชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในกระโจมแห่งนี้ หรี่ตามองพินิจดูชิดใกล้ ก็ประหลาดใจขีดสุด เมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ที่เห็นอยู่เป็นเพียงจิ้งจองเงินตัวหนึ่ง ที่ไม่ได้มีรูปร่างลักษณะเหมือนมนุษย์ เช่นที่เห็นเมื่อแว่บแรก
หล่อนครุ่นคิดพิศวงสุดๆ ย่อกายลงนั่ง แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาสีเหลืองอำพัน พยายามอ่านจิตใจของกันและกัน ในความเงียบ หล่อนตบมือเรียกมันเบาๆ จิ้งจอกขยับเท้าเข้ามาหา และเริ่มต้นทำความรู้จัก กับสิ่งใหม่ที่ปรากฏตรงหน้า มันค่อยๆย่องกริบเข้ามา ทำจมูกฟุตฟิตดมกลิ่นที่ไม่คุ้น และคำรามเบาๆในลำคอ
แล้วใครคนหนึ่งก็ตรงเข้ามารวบเอวหล่อนไว้ ดึงตัวให้ถอยห่างออกมา ยืนหลบหลัง แผ่นไหล่อันกว้างหนา แล้วกล่าวว่า “ข้าจะทดสอบมันเอง เจ้าถอยไปก่อน”
เมื่อจิ้งจอกเห็นร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้นั้น มันก็ชักสี่ตีนถอยกรูดไปที่หลบอยู่มุมเดิม
“ท่านทำให้มันกลัวแล้ว ธีโอดอร์ฟ ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเถอะ” ฟาลเนียกล่าว “ไม่ต้องกลัว มันจะไม่ทำอันตรายแก่ข้า เชื่อข้าเถอะนะ มีบางสิ่งในแววตาของมันทำให้ข้ารู้สึกวางใจ”
“เจ้ามองโลกในแง่ดีเกินไป ฟาลเนีย สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่ และเราก็ไม่รู้ว่ามันมา ด้วยมีจุดประสงค์อันใด” ธีโอดอร์ฟกล่าวเสียงลดต่ำลงมา “เมื่อครู่ เอดิออทบอกข้าให้เข้ามาจัดการกับมัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใส่ข้าว่า ช่วยไปจัดการกับไอ้ตัวในกระโจมที ข้าก็เพิ่งเห็นว่ามันคืออะไร กลิ่นสาบของมันปลุกสัมผัส ในส่วนลางสังหรณ์ของข้า ว่ามีบางสิ่งเคลือบแคลง อยู่ภายใต้ภาพปรากฏที่เห็น”
“เมื่อแรกข้าเห็นลักษณะของมันคล้ายกับมนุษย์ แต่ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว นิยามว่า อมนุษย์ น่าจะใกล้เคียงกว่า แล้วมันก็กลายเป็นสุนัขจิ้งจอกในพริบตา ข้าว่า สิ่งที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ น่าจะเป็นมนุษย์จิ้งจอก” ฟาลเนียให้เหตุผลและสรุปตามที่หล่อนคิด
“มนุษย์จิ้งจอก!” เขาร้องขณะจ้องมันด้วย ประกายตาเหมือนเปลวไฟวูบไหว “มันมาป้วนเปี้ยนอยู่ในบริเวณนี้ได้อย่างไร แปลกจริง พวกมันควรจะหลบซ่อนตัว อย่างเงียบงัน ในทุ่งหิมะทางตอนเหนือแห่งฤดูหนาวนิรันดร์ เลยป่าดำและอาณาจักรแห่งความมืดขึ้นไป พวกมันอยู่ห่างไกล อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว และไม่สุงสิงกันผู้ใด มาเป็นเวลาช้านาน พวกมันจะไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นเป็นอันขาด หากมิได้เกิดเหตุอาเพศใดขึ้นในอาณาจักรแห่งนี้”
คำว่า อาเพศ ทำให้ฟาลเนียสะดุ้งเหมือนถูกแทงด้วยปลายเข็ม กระสับกระส่าย ว้าวุ่นใจขึ้นมาในทันที สายตากลอกมองพื้นอย่างร้อนรน มีความไม่สบายใจบางประการณ์ เหมือนยาพิษเคลือบอยู่ในศรัทธาที่หล่อนยึดมั่น
“บางทีการที่พวกมันถูกละเลยมาเป็นเวลาช้านาน ในดินแดนอันหนาวเหน็บห่างไกลเช่นนั้น ทำให้พวกมันอยู่นอกสายตาพวกเราไป จนเราไม่สนใจจนมองไม่เห็น ความเปลี่ยนแปลงของพวกมัน บางทีครึ่งทศวรรตที่ผ่านมา พวกมันอาจมุ่งลงมาทางใต้ โยกย้ายถิ่นฐานมาขยายเผ่าพันธุ์ ดำรงมาหลายชั่วรุ่นแล้วก็เป็นได้ ใครจะรู้” หล่อนเชิดคางกล่าวอย่างมั่นใจ แต่ความจริงมันคือความคิดของหล่อนเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีหลักฐานอ้างอิงใดๆ เป็นความเชื่อชนิดหนึ่ง ที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องความเชื่ออีกชนิด ศรัทธาของหล่อนจะไม่มีวัน สั่นคลอนด้วยคำพูดบั่นทอนใดๆ หล่อนเชื่อมั่นในความรัก ที่มีต่อเจ้าชายธีโอดอร์ฟ ว่าจะต้องเป็นรักที่คงมั่นไม่แปรผัน เขาเพียงผู้เดียวที่หล่อนขอพรจากดวงดาวแห่งศรัทธา ให้ได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไป จะไม่มีอำนาจใดมาลบล้างคำอธิฐานของหล่อน ฟาลเนียเชื่อมั่นเช่นนั้นอย่างสุดหัวใจ
v
v
The Light of Darkness [บทที่ 20]
เอดิออท กระชากแขนเหมือนถูกงูฉก แล้วกลิ้งตกเตียงลงมานอนเค้เก้กับพื้น ตาเบิกโพลงอย่างงุนงง ฉุดดึงตัวเองลุกขึ้นยืนจังก้า เดินลากขาถอยห่างออกมาทีละก้าวๆ อย่างไม่มั่นใจ งุ่นงาน และตกตะลึง โดยสายตายังคงจับนิ่ง อยู่ที่ร่างของเด็กผู้หญิง ซึ่งนอนขดอยู่บนเตียงของเขา หล่อนยังเด็กอยู่เลย ดูจากสารรูป ผอมบางติดกระดูก ไม่มีน้ำมีนวลนั่น ดูเหมือนเธอจะอายุน้อยกว่าเขาหลายปีดีดัก อาจจะสัก 8 - 9 ปี เธอดูเหมือนเพิ่ง 7 - 8 ขวบเท่านั้น
ใบหน้าของหล่อนยาว เช่นเดียวกับ ใบหูยาวรีเกือบแหลม จมูกเชิดรั้น หางตากระดกปัดขึ้นชี้ ขณะหลับตา ดูเหมือนว่าองค์ประกอบต่างๆ บนใบหน้าของหล่อนจะยาวแหลมไปเสียหมด โทนผิวของหล่อนนั้นเป็นสีคล้ำเข้ม ในกรอบผมสีเงินเกือบขาว มีขนแข็งปรกคลุมร่างกาย เหมือนเสื้อขนสัตว์รัดรูปมิดชิด ปิดช่วงอกที่แบนราบไม่ปรากฏทรวดทรง และองค์เอวที่ตรงลงมา ปกคลุมเกือบทั่วทั้งตัวเป็นขนกระด้างสีเงินยวง เช่นเดียวกับเส้นผม และขนคิ้วทั้งหมด หล่อนพลิกกายเล็กน้อย แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมา ขยับกายลุกเงยหน้า ทำจมูกฟุดฟิดสูดดมอากาศ ทั้งที่ตายังปรือครึ่งเปิดครึ่งปิด
แล้วจึงค่อยๆหรี่เปลือกตามอง นัยน์ตาสีทองเข้มคู่นั้น รู้ดีว่าเป้าหมายอยู่ตรงจุดไหน ด้วยจมูกสัมผัสรับรู้กลิ่นอันว่องไว หันควับมายังร่างของเอดิออท ที่ยืนอยู่ห่างๆอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร กับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในขณะนี้
“เด็กนี่..เป็นคนหรือสัตว์กันแน่” คำถามที่ผุดขึ้นมาเหมือนเห็ดพิษ แค่คิดก็ผื่นขึ้นตัว เขาเกาแขนที่หล่อนนอนทับเพราะรู้สึกคันยิบ
หล่อนยกเท้าขึ้นมาขยี้เกาหัวยิกๆ สิ่งมีชีวิตเล็กๆคล้ายหมัด กระเด็นร่วงลงมาจากผมเผ้าที่พันกันยุ่งเหยิง ไต่ดึบดับอยู่บนผ้าปูที่นอนสอมสามตัว เอดิออทยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ มองดูสิ่งนั้นด้วยอาการแขยงขน แล้วหล่อนก็แยกเขี้ยวที่มีคราบ เหมือนลายหินอ่อนคร่ำครา ตาหยีชี้แหลม แลบลิ้นเลียปากแผลบๆ แล้วส่งเสียงหอนราวกับสุนัขป่า
หมดข้อกังขาสิ้นความสงสัย ประจักษ์แจ้งแก่ใจตนในทันทีว่า จิ้งจอกเงินซึ่งเมื่อคืนเขาพบมันริมธารน้ำ และมันก็ย่องกริบตามเขาเข้ามาในกระโจมที่พัก เป็นตัวเดียวกันกับเด็กคนนี้ไม่ผิดแน่
“ไอ้มนุษย์จิ้งจอก ในนิทานของท่านยาย ที่ข้าได้ยินในวัยเยาว์ มันมีอยู่จริงๆหรือนี่” เอดิออทร้องด้วยเสียงประหลาดใจเกือบไม่ปลงใจเชื่อ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธสายตาที่ประจักษ์ในขณะนี้
“เฟ้ย” เอดิออทอุทานลั่น มนุษย์จิ้งจอกกระโจนใส่เขาอย่างฉับพลันไม่ทันให้เขาตั้งตัว
หล่อนงับคอเสื้อของเขา คำรามในลำคออย่างดุร้าย สะบัดหัวไปมาอย่างดุเดือด ราวกับว่าที่อยู่ตรงหน้าคืออาหารมื้อเช้า
“เสื้อของข้าไม่ใช่ของเคี้ยวเล่นนะวะโอ้ย ออกไป!”
เขาจับหัวอันยุ่งเหยิงนั่นไว้หมับเหมือนลูกบอลแล้วผลักส่ง หล่อนยกเขี้ยวคายปกเสื้อจากปาก คราบน้ำลายเหนียวยืด เหมือนไยแมงมุม เป็นเส้นห้อยย้อยระโยงระยาง อยู่ระหว่างเขี้ยวแหลมกับคอเสื้อของเขา ขณะถูกดันใบหน้าให้ห่างออกไป หล่อนก็ส่ายหัวไปมาถูไถกับฝ่ามือของเขา ที่ยังคงยันหัวของหล่อนค้างไว้ อย่างเปรมปรีดิ์ เป็นความสุขชนิดหนึ่งของสุนัขจิ้งจอก ที่เอดิออทไม่มีวันเข้าใจ เขาเริ่มรู้สึกขนลุกเกรียว เมื่อมองดูน้ำลายยาวยืดแกว่งไปมาเหมือนเชือกใสหนืดตรงหน้า
“ยี๊อ๊าาาาก”
เอดิออทแหกปากลั่น เขากำลังต่อสู้แบบพยายามเอามือปัดป้อง จากการจู่โจมแบบพิลั่นพิเรนของอีกฝ่าย ทำท่าจะขบกัด งับจมูกของเขา และแลบลิ้นแผลบๆ ละเลงเลียบนใบหน้า กริยาอาการเต็มไปด้วยความ คึกคะนองสนุกสนาน ปราศจากความเกรงกลัวใดๆ เหมือนกับว่าเขาคือของเล่นอันใหญ่ ใหม่เอี่ยมที่หล่อนกำลังเห่อจัด และแล้วใครคนหนึ่งก็ปรากฏกายเดินเข้ามาข้างในสถานที่อันชุลมุนวุ่นวายแห่งนี้
“อะไรนั่น ตัวอะไรกัน!”
ฟาลเนียร้องด้วยความตกใจ สายตามองไปเห็นสองชีวิตกองรวมกันอยู่ตรงพื้น ยื้อและยันกันยึกยักๆอยู่ไปมา ร่างที่คลุมด้วยขนสีเงิน พลิกตัวด้วยความว่องไว เอื้อมสุดแขน พร้อมถีบขาหลัง กระโจนหลบไปแอบอยู่มุมห้อง ทำตัวลีบเบียดชิดขอบเตียง จ้องมองหญิงสาวผู้มาใหม่ ราวกับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่น่าไว้ใจ ด้วยแววตาเป็นประกายนิ่งวาว จับอากับกริยาทุกย่างก้าวของหล่อน ขณะเคลื่อนเข้าไปใกล้ผู้ที่นอนงงงันอยู่ที่พื้น เอดิออท สะบัดหน้าไล่ความงงงวยในหัวออกไป เขานึกว่ากำลังฝันอยู่ และฟาลเนียก็ปลุกเขาให้ตื่นจากฝันร้าย ด้วยเสียงหวานของหล่อนที่เอ่ยชื่อเขา
“เอดิออท” เสียงดุจสายลมกระซิบเบา ทำให้เขามองสบดวงตาสีน้ำเงินเข้ม คู่นั้นของหล่อนเข้าอย่างจัง ดุจระรอกคลื่นแรงซัดกระหน่ำ ใส่หัวใจของเขาฉับพลัน มันสั่นสะท้านไร้ที่เกาะยึดจนเขารู้สึกกลัว ว่าหัวใจตัวเองจะลอยหลุดจากร่างไป แล้วสายตาของฟาลเนียคู่นั้น ที่นิ่งประสานมองตาเขา ก็เปลี่ยนมาจับร่างที่หลบอยู่ ตรงมุมสุดของพื้นที่สี่เหลี่ยมอันเป็นบริเวณขอบกระโจมผ้า
“นั่นมนุษย์หรือไม่ใช่ มันคือตัวอะไรกันแน่” ฟาลเนียถามย้ำอีกครั้งอย่างลังเลไม่แน่ใจ เมื่อพบสิ่งแปลกประหลาดแก่สายตา
“ทวยเทพบรรลัย” เอดิออทสบถลั่น เขากำลังสับสนวุ่นวายใจ พร้อมกันหลายเรื่องในขณะนี้ ยังไม่พอทวยเทพตั้งใจจะเยาะเย้ย ส่งตัวประหลาดมาล้อเลียนเขาอีกหรือนี่ เขาไม่อดทนอีกต่อไป ลุกขึ้นพรวดพราด เดินย่ำเท้าก้าวจากกระโจม ไปสงบสติอารมณ์ด้านนอก
มีบางสิ่งที่ฟาลเนียอยากจะกล่าวกับ เอดิออท ตอนนี้ แต่หล่อนทำเป็นนิ่งเฉยเสีย จากสภาพของเขาขณะนี้ ดูเหมือนว่าไม่พร้อมที่จะพูดคุยปราศรัยอะไรกับใครทั้งนั้น สายตาของหล่อนมองตามหลัง ของเขาเรื่อยไปอย่างปล่อยเลย ในส่วนของเอดิออทนั้น ไม่ว่าเขาจะแสดงอาการเช่นไรออกมา ก็ไม่ทำให้หล่อนร้อนรุ่ม หรือเป็นกังวลใจอะไรมากมายนัก เนื่องจากหล่อนไม่ได้คาดหวังอะไรจากเขา
เมื่อเอดิออทจากไป หล่อนก็หมดความสนใจ หันกลับมา พิจารณาเจ้าสิ่งมีชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในกระโจมแห่งนี้ หรี่ตามองพินิจดูชิดใกล้ ก็ประหลาดใจขีดสุด เมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ที่เห็นอยู่เป็นเพียงจิ้งจองเงินตัวหนึ่ง ที่ไม่ได้มีรูปร่างลักษณะเหมือนมนุษย์ เช่นที่เห็นเมื่อแว่บแรก
หล่อนครุ่นคิดพิศวงสุดๆ ย่อกายลงนั่ง แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาสีเหลืองอำพัน พยายามอ่านจิตใจของกันและกัน ในความเงียบ หล่อนตบมือเรียกมันเบาๆ จิ้งจอกขยับเท้าเข้ามาหา และเริ่มต้นทำความรู้จัก กับสิ่งใหม่ที่ปรากฏตรงหน้า มันค่อยๆย่องกริบเข้ามา ทำจมูกฟุตฟิตดมกลิ่นที่ไม่คุ้น และคำรามเบาๆในลำคอ
แล้วใครคนหนึ่งก็ตรงเข้ามารวบเอวหล่อนไว้ ดึงตัวให้ถอยห่างออกมา ยืนหลบหลัง แผ่นไหล่อันกว้างหนา แล้วกล่าวว่า “ข้าจะทดสอบมันเอง เจ้าถอยไปก่อน”
เมื่อจิ้งจอกเห็นร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้นั้น มันก็ชักสี่ตีนถอยกรูดไปที่หลบอยู่มุมเดิม
“ท่านทำให้มันกลัวแล้ว ธีโอดอร์ฟ ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเถอะ” ฟาลเนียกล่าว “ไม่ต้องกลัว มันจะไม่ทำอันตรายแก่ข้า เชื่อข้าเถอะนะ มีบางสิ่งในแววตาของมันทำให้ข้ารู้สึกวางใจ”
“เจ้ามองโลกในแง่ดีเกินไป ฟาลเนีย สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่ และเราก็ไม่รู้ว่ามันมา ด้วยมีจุดประสงค์อันใด” ธีโอดอร์ฟกล่าวเสียงลดต่ำลงมา “เมื่อครู่ เอดิออทบอกข้าให้เข้ามาจัดการกับมัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใส่ข้าว่า ช่วยไปจัดการกับไอ้ตัวในกระโจมที ข้าก็เพิ่งเห็นว่ามันคืออะไร กลิ่นสาบของมันปลุกสัมผัส ในส่วนลางสังหรณ์ของข้า ว่ามีบางสิ่งเคลือบแคลง อยู่ภายใต้ภาพปรากฏที่เห็น”
“เมื่อแรกข้าเห็นลักษณะของมันคล้ายกับมนุษย์ แต่ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว นิยามว่า อมนุษย์ น่าจะใกล้เคียงกว่า แล้วมันก็กลายเป็นสุนัขจิ้งจอกในพริบตา ข้าว่า สิ่งที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ น่าจะเป็นมนุษย์จิ้งจอก” ฟาลเนียให้เหตุผลและสรุปตามที่หล่อนคิด
“มนุษย์จิ้งจอก!” เขาร้องขณะจ้องมันด้วย ประกายตาเหมือนเปลวไฟวูบไหว “มันมาป้วนเปี้ยนอยู่ในบริเวณนี้ได้อย่างไร แปลกจริง พวกมันควรจะหลบซ่อนตัว อย่างเงียบงัน ในทุ่งหิมะทางตอนเหนือแห่งฤดูหนาวนิรันดร์ เลยป่าดำและอาณาจักรแห่งความมืดขึ้นไป พวกมันอยู่ห่างไกล อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว และไม่สุงสิงกันผู้ใด มาเป็นเวลาช้านาน พวกมันจะไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นเป็นอันขาด หากมิได้เกิดเหตุอาเพศใดขึ้นในอาณาจักรแห่งนี้”
คำว่า อาเพศ ทำให้ฟาลเนียสะดุ้งเหมือนถูกแทงด้วยปลายเข็ม กระสับกระส่าย ว้าวุ่นใจขึ้นมาในทันที สายตากลอกมองพื้นอย่างร้อนรน มีความไม่สบายใจบางประการณ์ เหมือนยาพิษเคลือบอยู่ในศรัทธาที่หล่อนยึดมั่น
“บางทีการที่พวกมันถูกละเลยมาเป็นเวลาช้านาน ในดินแดนอันหนาวเหน็บห่างไกลเช่นนั้น ทำให้พวกมันอยู่นอกสายตาพวกเราไป จนเราไม่สนใจจนมองไม่เห็น ความเปลี่ยนแปลงของพวกมัน บางทีครึ่งทศวรรตที่ผ่านมา พวกมันอาจมุ่งลงมาทางใต้ โยกย้ายถิ่นฐานมาขยายเผ่าพันธุ์ ดำรงมาหลายชั่วรุ่นแล้วก็เป็นได้ ใครจะรู้” หล่อนเชิดคางกล่าวอย่างมั่นใจ แต่ความจริงมันคือความคิดของหล่อนเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีหลักฐานอ้างอิงใดๆ เป็นความเชื่อชนิดหนึ่ง ที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องความเชื่ออีกชนิด ศรัทธาของหล่อนจะไม่มีวัน สั่นคลอนด้วยคำพูดบั่นทอนใดๆ หล่อนเชื่อมั่นในความรัก ที่มีต่อเจ้าชายธีโอดอร์ฟ ว่าจะต้องเป็นรักที่คงมั่นไม่แปรผัน เขาเพียงผู้เดียวที่หล่อนขอพรจากดวงดาวแห่งศรัทธา ให้ได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไป จะไม่มีอำนาจใดมาลบล้างคำอธิฐานของหล่อน ฟาลเนียเชื่อมั่นเช่นนั้นอย่างสุดหัวใจ
v
v